ไทยร่วมมือกัมพูชายกระดับถนนหมายเลข 67 ช่วงเสียมราฐ-อันลองเวง-จวม/สะงำ สนับสนุนการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน
นายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2565 เห็นชอบให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้ร่วมกันผลักดันการยกระดับและปรับปรุงถนน NR67 เชื่อมโยงจากประเทศไทยบริเวณช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ และช่องจวม อำเภออันลองเวง จังหวัดอุดรเมียนเจย ไปยังเมืองเสียมราฐ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกัมพูชา เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณการจราจร กระตุ้นเศรษฐกิจ
และสนับสนุนการเชื่อมโยงเส้นทางในประเทศกัมพูชาระหว่างเมืองที่สำคัญ ได้แก่ พนมเปญ-เสียมราฐ-บันเตียเมียนเจย ผ่านทางหลวงหมายเลข 6 (NR6) ของกัมพูชา และพัฒนาการเชื่อมโยงเส้นทางระหว่างประเทศที่สำคัญตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) ของกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS) และทางหลวงอาเซียนสาย AH1 ผ่านทางหลวงหมายเลข 5 (NR5) (กรุงพนมเปญ-ปอยเปต)
ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Easter Economic Corridor: EEC) ของไทย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกทางการค้า และการลงทุนในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมบทบาทของไทยในการให้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาค เพิ่มโอกาสในการขยายการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน
การดำเนินความร่วมมือภายใต้โครงการ NR67 สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) โดยสามารถสนับสนุนในมิติการพัฒนาภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย หมุดหมายที่ 5 ไทยเป็นประตูการค้า การลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค แผนพัฒนาประเทศของกัมพูชาในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และแผนพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทางถนนของกัมพูชา
เพื่อยกระดับทางหลวง 2 หลัก ให้มีผิวจราจรแบบแอสฟัลต์คอนกรีต โดยการดำเนินโครงการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance: ESG) โดยเฉพาะการพัฒนาด้านสังคม และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นการดำเนินโครงการตามแนวเส้นทางเดิม
ถนน NR67 ส่งเสริมให้มีการขยายตัวด้านการค้าชายแดน การขนส่งสินค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวทั้งในไทยและกัมพูชามากขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการโดยมูลค่าการค้า สภาพปริมาณจราจร ปริมาณยานพาหนะบริเวณจุดผ่านแดนช่องสะงำได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเส้นทางครั้งแรกในปี 2550 เพราะมีการขนส่งวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องจักรจากฝั่งไทยเข้าไปดำเนินการก่อสร้าง เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มใช้ประโยชน์ในปี 2552 มูลค่าการค้าและปริมาณจราจรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกรณีที่ยังไม่มีโครงการ พิจารณาได้จากสถิติข้อมูลด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
สถานการณ์ ปี พ.ศ. มูลค่าการค้า (ล้านบาท) ยานพาหนะผ่านแดน ผู้ผ่านแดน*
ส่งออก นำเข้า รวม ดุลการค้า คัน คน
ก่อนมีโครงการครั้งแรก 2549 285.38 6.61 291.99 278.77 (+) 2,474 6,839
เริ่มก่อสร้างครั้งแรก 2550 508.39 29.09 537.48 479.30 (+) 4,052 13,303
เริ่มใช้ประโยชน์ตั้งแต่ปี 2552 2564 1,377.87 707.94 2,085.80 669.94 (+) 32,254 125,145
การยกระดับ NR67 ส่งเสริมความร่วมมือของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับกัมพูชาในการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวร่วมกัน เช่น เส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจากอีสานใต้ไปยังกัมพูชา (บุรีรัมย์-สุรินทร์-ศรีสะเกษ-เสียมราฐ) เป็นกลุ่มๆ หรือ Cluster อาทิ แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์: เส้นทางชมปราสาทหินและแหล่งโบราณคดีในจังหวัดศรีสะเกษ-กลุ่มปราสาทหินตามแนวเส้นทาง NR67-แหล่งโบราณคดีนครวัด หรือแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ: เส้นทางท่องเที่ยวผามออีแดงจังหวัดศรีสะเกษ-พนมกุเลน-โตนเลสาบในจังหวัดเสียมราฐ การผลักดันให้เกิดการพัฒนาเส้นทางเดินรถระหว่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวตลอดแนวเส้นทาง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และการให้บริการรถโดยสาร เป็นต้น
โครงการ NR67 จะทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจตลอดอายุของโครงการในแง่ของมูลค่าการประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้ยานพาหนะ มูลค่าประหยัดเวลาในการเดินทาง และมูลค่าจากการลดค่าใช้จ่ายจากอุบัติเหตุรวมประมาณ 150 ล้านบาทต่อปี ชาวไทยและกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่โครงการและพื้นที่ใกล้เคียงจะได้รับประโยชน์ทางตรงจากโครงการ NR67 โดยสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในการดำรงชีวิตได้รวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น
และจะได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมจากการมีโอกาสในการประกอบอาชีพจากการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการยกระดับ NR67 โดยเฉพาะชาวกัมพูชา จำนวน 47,833 คน หรือ 10,229 ครอบครัว ที่อาศัยอยู่ตามแนวเส้นทาง จำนวน 38 หมู่บ้าน 12 ตำบล 4 อำเภอ ของจังหวัดอุดรเมียนเจยและจังหวัดเสียมราฐ สามารถเข้าถึงสถานศึกษาและสถานบริการสาธารณสุขตามแนวเส้นทางได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการ NR67 จะดำเนินการในรูปแบบเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนของ สพพ. ในวงเงิน 983.00 ล้านบาท โดยกำหนดให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ภายใต้โครงการจากไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าสัญญา รวมทั้งให้ผู้รับเหมาก่อสร้างและวิศวกรที่ปรึกษาจากไทยเป็นหลักในการดำเนินโครงการ ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
สมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม ประชุมการจัดงาน ‘Get Together for Thai-Vietnam Friendship 2022’
สนั่น อังอุบลกุล นายกสมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ครั้งที่ 2/2565 ณ ห้องประชุม กระทรวงการต่างประเทศ และผ่านระบบ VDO Conference เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565
โดยมีท่านนิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย, ท่านวีรกา มุทิตาภรณ์ กงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์, คุณธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, คุณอาจารี ศรีรัตนบัลล์ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก, คุณวรพันธ์ุ ศรีวรนารถ ผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออก 2, สำนักบริหารการคลัง, คุณธีรศักดิ์ นาทีกาญจนลาภ อุปนายก, คุณนิธิ ภัทรโชค กรรมการเลขาธิการ, คณะกรรมการบริหารและที่ปรึกษาฯ เข้าร่วมการประชุม
สรุปหัวข้อในการประชุม :
เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย นำคณะผู้บริหารพรรคคอมมิวนิสต์สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเข้าเยี่ยมและประชุมกับสมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนามและสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม
การเสนอแต่งตั้งที่ปรึกษาสมาคมฯ
การจัดทำเว็บไซด์สมาคมฯ
พิจารณาแผนการจัดทำกิจกรรมของสมาคมฯ ปี 2565
หลังจบการประชุมสมาคมฯ โดยคณะกรรมการและที่ปรึกษาได้ร่วมเลี้ยงส่งและมอบโล่ขอบคุณแก่คุณกุสุมา คลังจัตุรัส เจ้าหน้าที่สมาคมฯ ซึ่งได้ร่วมปฏิบัติงานของสมาคมฯ และกระทรวงการต่างประเทศมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี
'ลาว' ยอดส่งออกรุ่ง ทำกำไรเกินดุลการค้าถึง 100 ล้านดอลล์ (3 พันกว่าล้านบาท) ภายในเดือนมีนาคมเพียงเดือนเดียว...
เว็บไซต์ลาว เทรด พอร์ทัล เผยว่า ลาวมียอดส่งออกเกินดุลการค้าในเดือนมีนาคมประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.44 พันล้านบาท)
ลาวมีปริมาณการค้ารวม 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.79 หมื่นล้านบาท) แบ่งเป็นสินค้าส่งออกมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.06 หมื่นล้านบาท) และสินค้านำเข้ามูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.72 หมื่นล้านบาท)
โดยสินค้าส่งออกหลักของลาว ได้แก่ แร่ทองแดง ทองผสม ทองคำแท่ง กระดาษ เยื่อไม้และเศษกระดาษ ยาง กล้วย เสื้อผ้า ปุ๋ย และน้ำตาล ขณะสินค้านำเข้าหลักประกอบด้วยยานพาหนะซึ่งไม่รวมรถจักรยานยนต์และรถแทรกเตอร์ น้ำมันดีเซล อุปกรณ์เครื่องกล ชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ผลิตภัณฑ์พลาสติก แม่เหล็ก เชื้อเพลิงเกรดพรีเมียมและเกรดธรรมดา และผลิตภัณฑ์เคมี
ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นจุดหมายส่งออกสินค้าอันดับหนึ่งของลาว ตามมาด้วยเวียดนามและไทย ส่วนประเทศที่เป็นแหล่งนำเข้าสินค้าหลักของลาว ได้แก่ ไทย จีน และเวียดนาม โดยตัวเลขข้างต้นไม่ได้รวมรายได้จากการส่งออกไฟฟ้าของประเทศ หากรวมมูลค่าการส่งออกพลังงานไฟฟ้า งบเกินดุลจะเพิ่มมากกว่านี้เท่าตัว
More Articles
คู่มือ การค้าและการลงทุน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
การประกวดวิดีโอสั้นประทับใจล้านช้าง-แม่น้ำโขง
เพื่อนรักจากสื่อไทย : China News Service จะจัดพิธีเปิดตัว’การประกวดวิดีโอสั้นประทับใจล้านช้าง-แม่น้ำโขง’ ในเมืองคุนหมิง ประเทศจีน ในวันที่ 24 มีนาคมนี้ โดยเพื่อนๆ จากสื่อกระแสหลักในประเทศไทยจะได้รับเชิญเป็นพิเศษให้บันทึกวิดีโอแสดงความยินดีของพวกเขา
ข้อกำหนดวิดีโอ:
กรุณาส่งวิดีโอของคุณก่อนวันที่ 16 มีนาคม 2022 ไปที่ [email protected]
หากคุณมีคำถามใด ๆ โปรดติดต่อเรา
เฟิงถิงถิง โทร: 0086-18610072046
อีเมล์:[email protected]
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตพันธบัตรรัฐบาล วงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาท ‘สปป. ลาว’ ที่ ‘BBB-‘แนวโน้ม ‘Negative’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตประเทศของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) และอันดับเครดิตพันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดย สปป. ลาว ที่ระดับ ‘BBB-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Negative’ หรือ ‘ลบ’ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตพันธบัตรรัฐบาลชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาทของ สปป. ลาว ที่ระดับ ‘BBB-‘ ด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Negative’ หรือ ‘ลบ’ สะท้อนถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยังคงยืดเยื้อซึ่งส่งผลทำให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต้องหยุดชะงักและความสามารถในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ของ สปป. ลาว เกิดความขัดข้องทั้งในด้านการบริหารจัดการสภาพคล่องตลอดจนความเปราะบางในด้านการคลังและการต่างประเทศ
ในขณะที่อันดับเครดิตประเทศของ สปป. ลาว นั้นสะท้อนถึงประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กและมีศักยภาพในการขยายตัวสูงรวมทั้งมีเสถียรภาพทางการเมือง ทริสเรทติ้งคาดว่าการลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างผลผลิตจะเป็นแหล่งที่มาของรายได้ที่มีเสถียรภาพของรัฐบาลลาวได้ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ในระยะปานกลางอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้ ทริสเรทติ้ง คาดว่า อันดับเครดิตจะยังคงมีข้อจำกัดจากสถานะการคลังและการต่างประเทศที่เปราะบางของ สปป. ลาว ต่อไป โดยความสามารถในการบริหารจัดการด้านการคลังและการชำระหนี้ของรัฐบาลลาวน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญของทริสเรทติ้งในการประเมินอันดับเครดิตของ สปป. ลาว ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
เงินที่ได้จากการออกพันธบัตรรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นแหล่งสภาพคล่องเพิ่มเติมในการชำระหนี้ในอนาคตของ สปป. ลาว ซึ่งมีภาระหนี้ต่างประเทศที่จะต้องชำระคืนในปี 2565 มูลค่ารวม 1.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามประมาณการจากกระทรวงการเงินของลาว (Ministry of Finance of the Lao PDR -- MOFL) ซึ่งในจำนวนนี้รวมภาระดอกเบี้ยทั้งหมดและเงินต้นที่มีเงื่อนไขตามตลาด (Commercial Obligations) จำนวน 748 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในปี 2564 ภาระในการชำระหนี้ต่างประเทศของ สปป. ลาว น่าจะคงอยู่ภายใต้สภาวะกดดันจากการอ่อนค่าของค่าเงินกีบและการขาดดุลการคลังของประเทศ ในขณะเดียวกัน สปป. ลาว ก็มีพัฒนาการด้านบวกจากแนวโน้มการขาดดุลการคลังที่ลดลง รวมทั้งการคงระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ และสถานะดุลบัญชีเดินสะพัดที่ปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง คาดว่า แหล่งเงินทุนสำคัญที่จะใช้ในการชำระคืนหนี้ต่างประเทศในอนาคตของ สปป. ลาว จะมาจาก 1) รายได้รับของรัฐบาลในรูปเงินตราต่างประเทศ และ 2) การเจรจาสัญญาเงินกู้ใหม่เพื่อมาใช้ทดแทนสัญญาเงินกู้เดิม (รีไฟแนนซ์) และแหล่งเงินอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากการกู้ยืมให้แล้วเสร็จเพื่อให้ทันการณ์ในลักษณะเช่นเดียวกันกับที่ได้ดำเนินการในปี 2564 ในขณะที่ทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงในด้านเวลาของแหล่งเงินทุนข้อที่ 2 นั้นน่าจะยังคงอยู่
สปป. ลาว มีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product -- GDP) ที่แท้จริงตามค่าเงินกีบที่ระดับ 3.5% ในปี 2564 จากประมาณการของธนาคารแห่ง สปป. ลาว (Bank of Lao – BOL) ซึ่งต่ำกว่าประมาณการก่อนหน้าของทริสเรทติ้ง ที่ระดับ 4.3% การกลับมาเกิดการแพร่ระบาดซ้ำของโรคโควิด 19 และมาตรการกักตัวที่ตามมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ได้ชะลอการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนและกิจกรรมในภาคบริการ โดยที่การเติบโตของการส่งออกสินค้าภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรยังคงเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่กดดันดุลการชำระเงินระหว่างประเทศและค่าเงินกีบในช่วงปี 2564 อันประกอบด้วยเงินไหลเข้าสุทธิจากการกู้ยืมและรายได้จากต่างประเทศที่ลดต่ำลงท่ามกลางการฟื้นตัวที่เชื่องช้าของเศรษฐกิจในภูมิภาคและภาวะแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงระหว่างสิ้นปี 2564 และสิ้นปี 2563 อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง และอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารพาณิชย์และตลาดคู่ขนานของค่าเงินกีบได้อ่อนค่าลงกว่า 19% และ 17% ตามลำดับ
ในขณะที่ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศขาดดุลที่ระดับ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2564 เมื่อเทียบกับอัตราเกินดุลที่ระดับ 355 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563
เมื่อมองในด้านบวกนั้น สปป. ลาว สามารถรักษาระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศและระดับของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ พร้อมกับได้ปรับปรุงสถานะของดุลบัญชีเดินสะพัดเอาไว้ได้ จากประมาณการเบื้องต้นของ BOL ระบุว่า สปป. ลาว มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ระดับ 1.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งใกล้เคียงระดับ 1.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2563
นอกจากนี้ สปป. ลาว ยังมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่ปรับตัวดีขึ้นจากการมีดุลบัญชีการค้าที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2564 อีกด้วย ในขณะที่เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศนั้นอยู่ที่ระดับ 816 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดียวกัน ซึ่งสูงกว่าระดับ 721 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2563
ทริสเรทติ้ง มีความเห็นว่าสถานะการคลังและระดับหนี้สาธารณะของ สปป. ลาว นั้นยังสามารถปรับตัวดีขึ้นได้อีกจนกระทั่งสถานการณ์ทางเศรษฐกิจฟื้นตัวสู่ภาวะที่ดีกว่าในปัจจุบัน ทั้งนี้ จากการประมาณการเบื้องต้นของ MOFL ระบุว่าการขาดดุลงบประมาณของ สปป. ลาว ในปี 2564 นั้นได้ลดลงสู่ระดับ 2%-3% ของ GDP จากที่ระดับเกินกว่า 5% ในปี 2563 โดยประเทศมีเงินลงทุนภาครัฐซึ่งมีแหล่งเงินจากการกู้ยืมเป็นแหล่งที่มาที่สำคัญของการขาดดุลดังกล่าว
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Negative’ หรือ ‘ลบ’ สะท้อนถึงผลกระทบที่ยืดเยื้อจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งยังคงเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของ สปป. ลาว และความสามารถของ สปป. ลาว ที่จะรับมือกับความท้าทายในการจัดการกับปัญหาด้านสภาพคล่องรวมถึงความเปราะบางของภาคการคลังและการต่างประเทศต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ทริสเรทติ้ง อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิตของ สปป. ลาว ลงหากมีสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่เพิ่มสูงขึ้น หรือความเปราะบางในด้านการคลังและการต่างประเทศมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนส่งผลกระทบทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศของ สปป. ลาว เสื่อมถอยลงมากกว่าเดิม
ทริสเรทติ้ง อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตกลับมาเป็น ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ หากมีสัญญาณที่ชัดเจนว่า สปป. ลาว สามารถหาแหล่งเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการชำระภาระหนี้ที่มีเงื่อนไขตามตลาดได้ในระยะ 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งอาจพิจารณาปรับเพิ่มอันดับเครดิตหากรัฐบาล สปป. ลาว แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่มีนัยสำคัญในการรับมือกับความเปราะบางที่สำคัญๆ พร้อมทั้งความสามารถในการสร้างสภาพคล่องเพิ่มเติม (Liquidity Buffer) และแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพเพื่อรองรับภาระหนี้ในอนาคตได้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของประเทศ (Sovereign Credit Rating), 8 ตุลาคม 2556
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Lao PDR)
อันดับเครดิตประเทศ: |
BBB- |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
MOFL22OA: พันธบัตรรัฐบาล 1,019.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
BBB- |
MOFL23NA: พันธบัตรรัฐบาล 1,063.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
BBB- |
MOFL23NB: พันธบัตรรัฐบาล 2,546.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
BBB- |
MOFL24OA: พันธบัตรรัฐบาล 340.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB- |
MOFL256A: พันธบัตรรัฐบาล 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB- |
MOFL26NA: พันธบัตรรัฐบาล 1,371.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
BBB- |
MOFL27OA: พันธบัตรรัฐบาล 2,967.00 ล้านบาท ไถ่ถอน 2570 |
BBB- |
MOFL28NA: พันธบัตรรัฐบาล 1,891.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
BBB- |
MOFL28NB: พันธบัตรรัฐบาล 532.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
BBB- |
MOFL29OA: พันธบัตรรัฐบาล 1,505.50 ล้านบาท ไถ่ถอน 2572 |
BBB- |
MOFL30NA: พันธบัตรรัฐบาล 2,153.20 ล้านบาท ไถ่ถอน 2573 |
BBB- |
MOFL32OA: พันธบัตรรัฐบาล 5,375.50 ล้านบาท ไถ่ถอน 2575 |
BBB- |
MOFL25DA: พันธบัตรรัฐบาล 162 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB- |
MOFL27DA: พันธบัตรรัฐบาล 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไถ่ถอนปี 2570 |
BBB- |
พันธบัตรรัฐบาลวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาท อายุไม่เกิน 4 ปี |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Negative |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2565 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด