SET Research Paper ฉบับที่ 1/2565 : ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai ปี 2565 (SET CEO Survey: Economic Outlook 2022)
บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)
ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งเทศไทย ร่วมกับสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai (CEO Survey: Economic Outlook 2022) ซึ่งรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 25 สิงหาคม-19 กันยายน 2565
● CEO ส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในปี 2565 และเติบโตต่อเนื่องจากในปี 2566 โดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ระดับ 2% ถึง 3% ในปี 2565 และเติบโตที่ระดับ 3% ถึง 4% ในปี 2566 โดยการท่องเที่ยว การส่งออก การฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 เป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ราคาน้ำมัน และความไม่แน่นอนของเสถียรภาพการเมืองโลก เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย
● ทิศทางอุตสาหกรรมและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปี 2565 จะดีขึ้น โดย 66% ของ CEO คาดว่าผลประกอบการ มีแนวโน้มดีขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศ และการกลับมาใช้รูปแบบการดำเนินชีวิตปกติ อาทิ ธุรกิจการแพทย์ ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นต้น
● 91% ของ CEO ที่ตอบแบบสอบถาม คาดว่ารายได้ของปี 2565 จะเติบโต โดย 50% คาดว่ารายได้ในปี 2565 จะเติบโตมากกว่า 10% ซึ่งเกือบครึ่งของจำนวนนี้คาดว่ารายได้จะเติบโตสูงกว่า 30% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
● ด้านการลงทุน 66% ของ CEO คาดว่าจะลงทุนเพิ่มในปี 2565 ซึ่งเมื่อพิจารณาร่วมกับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ พบว่า เป็นการวางแผนการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเป็นการลงทุนในประเทศ ขณะที่ 44% วางแผนลงทุนในต่างประเทศ โดยแหล่งเงินทุนสำคัญ คือ กำไรสะสมของกิจการ การขอสินเชื่อธนาคาร และการออกหุ้นกู้
● เมื่อสอบถามถึงความวิตกกังวลในการประกอบธุรกิจ พบว่า CEO มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตเป็นสำคัญทั้งราคาวัตถุดิบ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลงจากอัตราเงินเฟ้อ ขณะที่การเปิดประเทศ CEO มองว่าเป็นปัจจัยบวกต่อการประกอบธุรกิจ
อ่านฉบับเต็ม >> SET Research Paper ฉบับที่ 1/2565
A11501
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือกระทรวงการต่างประเทศ กลุ่มบริษัทบางจาก เอสซีจี และโออาร์ ขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำผ่านโครงการ Care the Bear ‘ลดโลกร้อน’ ในการประชุมเอเปค 2565
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชูศักยภาพบริษัทจดทะเบียนไทย ตอกย้ำความเป็นตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำ ด้วยเป้าหมายการเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนในการประชุมเอเปค 2565 พร้อมจับมือกระทรวงการต่างประเทศและพันธมิตร ขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำผ่านโครงการ Care the Bear “ลดโลกร้อน” โดยการนำหลักปฏิบัติ 6 Cares มาใช้ใน “ศูนย์ข่าวสีเขียว” เพื่อเป็นต้นแบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างคุ้มค่า และบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจรและเป็นรูปธรรม โดยพันธมิตรตลาดทุนที่บูรณาการการทำงานร่วมกัน ได้แก่ กลุ่มบริษัทบางจาก ที่ร่วมประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมจัดหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชย ด้าน เอสซีจี สนับสนุนนวัตกรรมกระดาษรีไซเคิลได้ สำหรับตกแต่งงานประชุมเพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รวมทั้ง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ ที่นำขยะพลาสติกสู่กระบวนการ Circular Economy หลังเสร็จสิ้นงาน พร้อมต้อนรับสื่อมวลชนจากทั่วโลกกว่า 3,000 ราย ระหว่าง 14-19 พฤศจิกายน 2565 ที่ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า การจัดการประชุมเอเปค 2565 ประเทศไทยได้มุ่งเน้นส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและสมดุลโดยการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวคิด Bio - Circular - Green Economy Model (BCG) เป็นพื้นฐานสำคัญ โดยพื้นที่ศูนย์ข่าวของการประชุมซึ่งจะรองรับสื่อมวลชนจากทั่วโลกกว่า 3,000 รายที่เดินทางมาร่วมงาน จะนำเสนอเป็น “ศูนย์ข่าวสีเขียว” ที่สะท้อนศักยภาพของไทยในการขับเคลื่อนความยั่งยืนโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านบูธและนิทรรศการของภาคส่วนต่างๆ ที่ผลิตจากวัสดุหมุนเวียน คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรให้ได้ประโยชน์สูงสุด ขณะที่การบริหารจัดการขยะจะทำอย่างครบวงจร สามารถติดตามผลและนำไปสู่เป้าหมายในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลดโลกร้อน
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมเป็น APEC Communication Partner สื่อสารการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเอเปค 2565 และร่วมออกบูธแสดงศักยภาพของตลาดทุนไทย และบทบาทการส่งเสริมการเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และพันธมิตรนำโครงการ Care the Bear “ลดโลกร้อน” หนึ่งในโครงการภายใต้แพลตฟอร์มความร่วมมือลดภาวะโลกร้อน (Climate Care Collaboration Platform) มาสนับสนุนการจัดการพื้นที่ “ศูนย์ข่าวสีเขียว” ในการประชุมเอเปค 2565 ครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงพื้นที่จัดบูธนิทรรศการขององค์กรต่างๆ ที่ชั้น LG รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 22,000 ตารางเมตร เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานและทรัพยากรในการจัดกิจกรรม ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยส่งเสริมให้องค์กรที่ร่วมออกบูธในงาน รวมทั้งผู้ร่วมงาน เข้าใจและนำหลักปฏิบัติ 6 Cares ไปใช้ ซึ่งประกอบด้วย การเดินทางโดยรถสาธารณะหรือเดินทางมาร่วมกัน การลดใช้กระดาษและพลาสติก การงดการใช้โฟม การลดใช้พลังงาน การใช้วัสดุตกแต่งที่สามารถกลับมาใช้ใหม่ได้ และการลดขยะจากอาหารเหลือทิ้ง และข้อมูลจากการดำเนินการตามหลัก 6 Cares จะถูกนำไปประเมินการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในงาน
“ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการพัฒนาแพลตฟอร์มความร่วมมือลดภาวะโลกร้อน (Climate Care Collaboration Platform) โดยการนำโครงการ “Care the Bear” มาสนับสนุนการจัดการประชุมเอเปค 2565 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ ภายใต้ความร่วมมือของกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และพันธมิตร มุ่งหวังให้นานาประเทศเห็นถึงการขับเคลื่อนความยั่งยืนดูแลสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ที่ปฏิบัติได้จริง วัดผลได้ เป็นต้นแบบและนำไปสู่การสร้างมาตรฐานใหม่ในการจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กรต่างๆ และขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต
พันธมิตรตลาดทุนที่ร่วมโครงการ Care the Bear ภายในศูนย์ข่าวสีเขียวในการประชุมเอเปค 2565 ระหว่าง 14-19 พฤศจิกายน 2565 ได้แก่ กลุ่มบริษัทบางจาก ซึ่งจะประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมจัดหาคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยผ่าน Carbon Markets Club มาชดเชย ด้าน เอสซีจี สนับสนุนนวัตกรรมกระดาษรีไซเคิลสำหรับตกแต่งงานประชุม เช่น ฉากถ่ายภาพ จุดทิ้งขยะ โดยหลังใช้งานเสร็จสามารถนำไปรีไซเคิลเป็นชั้นวางหนังสือ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) รวมทั้ง โออาร์ ที่สนับสนุนจุดแยกขยะ และนำขยะพลาสติกไปสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัพไซคลิ่งให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์นำกลับมาใช้งานใหม่ได้ เพื่อสนับสนุนแนวคิด BCG Economy ของการประชุม APEC ในครั้งนี้ นับว่าภาคธุรกิจแต่ละรายได้นำเอาความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มาบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การดำเนินการครอบคลุมในทุกมิติ” นายภากรกล่าว
องค์กรที่สนใจลดโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการจัดงานอีเวนต์สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.carethebear.com
A11467
สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนตุลาคม 2565
ตัวเลขเศรษฐกิจจริงของประเทศสหรัฐฯ กลับมาขยายตัวในไตรมาส 3 ปี 2565 ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไปเริ่ม ชะลอลงแต่ยังสูงกว่าระดับเป้าหมายนโยบายการเงิน ส่งผลให้ผู้ลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีกในปีหน้า อีกทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ลงจาก 2.9% ไปที่ 2.7% พร้อมส่งสัญญาณกังวลความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยซึ่งเป็นผลจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อชะลอเงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนการเงินโลก และค่าเงินดอลล่าร์ปรับตัวแข็งค่าอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการฟื้นตัวของประเทศอื่นๆ ที่สถานะเศรษฐกิจยังเปราะบาง ไม่สามารถต้านทานความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย จนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง และมีความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มสูงขึ้น
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า IMF ประเมินตัวเลขการเติบโตของ GDP ไทยยังคงโตต่อเนื่องทั้งในปี 2565 และ 2566 อยู่ที่ 2.8% และ 3.7% ตามลำดับ จากการกลับมาเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งหลังปี 2565 และจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2566 อีกทั้งยังคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าใกล้เคียงกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2566 จากแรงกดดันด้านอุปทานที่ค่อยๆ ลดลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่แรงกดดันด้าน อุปสงค์มีอยู่จำกัด ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยยังแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2565 SET Index ปรับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
• ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2565 SET Index ปิดที่ 1,608.76 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 1.2% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค และเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ปรับลดลงอยู่ที่ 2.9%
• SET Index ใน 10 เดือนแรกปี 2565 ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
• ในเดือนตุลาคม 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 64,036 ล้านบาท ลดลง 27.5% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 10 เดือนแรกปี 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 80,208 ล้านบาท โดย ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 7,467 ล้านบาท ทำให้ใน 10 เดือนแรกปี 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 153,931 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6
• ในเดือนตุลาคม 2565 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น (PCC) และใน mai 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ทเวนตี้ โฟร์ คอน แอนด์ ซัพพลาย (24CS) บมจ. ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย (AMARC) บมจ. อินเตอร์เนชั่นแนล เน็ตเวิร์ค ซิสเต็ม (ITNS) โดยมูลค่าระดมทุนรวมในหุ้น IPO ของไทยปี 2565 อยู่ยังในระดับต้นๆ ของเอเชีย
• Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 15.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 15.2 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 10.4 เท่า
• อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 2.83% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.41%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
• ในเดือนตุลาคม 2565 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 512,031 สัญญา ลดลง 24.4% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565 TFEX ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 559,866 สัญญา เพิ่มขึ้น 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
A11445
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับขึ้นสู่เกณฑ์ทรงตัว นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจากภาคท่องเที่ยวและการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ขณะที่ปัจจัยฉุดคือความไม่แน่นอนของนโยบายเฟดและภาวะเงินเฟ้อ
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนตุลาคม 2565 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 108.86 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 60.5% จากเดือนก่อนหน้าขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” นักลงทุนมองว่าการฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือความคาดหวังต่อการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนต่อนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED รองลงมาคือ สถานการณ์เงินเฟ้อ และสถานการณ์โรคระบาด Covid-19
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนตุลาคม 2565 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
● ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มกราคม 2565) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (ช่วงค่าดัชนี 80-119) เพิ่มขึ้น 60.5% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 108.86
● ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และ กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ปรับขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับ “ร้อนแรง”
● หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
● หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO)
● ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยว
● ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความไม่แน่นอนต่อนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED
“ผลสำรวจ ณ เดือนตุลาคม 2565 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับเพิ่มขึ้นโดย นักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 46.7% อยู่ที่ระดับ 113.43 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น 11.1% อยู่ที่ระดับ 111.11 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่มขึ้น 14.7% อยู่ที่ระดับ 130.00 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่ม 150.0% อยู่ที่ระดับ 100.00
ในช่วงเดือนตุลาคม 2565 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีปัจจัยหนุนจากอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัว ความคาดหวังว่าเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย แนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ปรับสูงขึ้นกว่าคาด รวมถึงการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของกลุ่มธนาคารซึ่งออกมาดีตามความคาดหมาย โดย SET Index ณ สิ้นเดือนตุลาคมปิดที่ 1,608.76 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.2% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในเดือนตุลาคม 2565 กว่า 7,467 ล้านบาท โดยตลอดทั้งปี 2565 นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิเป็นมูลค่า 153,932 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ ความชัดเจนของนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งส่งผลให้ธนาคารกลางในหลายประเทศต้องออกมาตรการแทรกแซงค่าเงิน โดยเฉพาะธนาคารกลางอังกฤษและญี่ปุ่น รวมถึงแนวโน้มการถดถอยของเศรษฐกิจโดยเฉพาะในกลุ่ม emerging market สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ยังคงชะลอตัวจากนโยบาย Zero Covid และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย—ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การชะลอตัวของภาคการส่งออก แนวโน้มการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศจีนซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในไทย สถานการณ์เงินบาทอ่อนค่าและเงินสำรองต่างประเทศของไทยที่ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นผลจากการที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนที่น่าติดตามจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจากแรงหนุนของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจ้างงานและการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ”
A11421
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัด SET in the City 2022 5-6 พ.ย. นี้ ชวนค้นหาโอกาสใหม่ ให้คุณลงทุนอย่างมั่นใจ ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดมหกรรมการลงทุน SET in the City 2022 ด้วยแนวคิด “ค้นหาโอกาสใหม่ ให้คุณลงทุนอย่างมั่นใจ ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น” เน้นมุมมองเศรษฐกิจทั้งไทยและต่างประเทศ วิเคราะห์แนวโน้ม ทิศทางการลงทุน ติดอาวุธมือใหม่ด้วยเวิร์กช็อปเข้มข้น พร้อมร่วมมือ 23 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำให้คำปรึกษา วางแผน และบริการเปิดบัญชีลงทุน 5-6 พ.ย. นี้ พร้อมกันทั้งที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ. รัชดาภิเษก และ Facebook SET Thailand
ตลอดทั้ง 2 วัน ผู้ร่วมงานจะได้พบกับ 4 สัมมนา ให้ผู้ลงทุนใช้เป็นแนวทางในการปรับการลงทุนและพิจารณาสินทรัพย์ลงทุนได้อย่างเหมาะสม “อัปเดตเศรษฐกิจจับทิศลงทุน 2023”, “ปรับพอร์ต จัดทัพ รับดอกเบี้ยขาขึ้น”, “วิเคราะห์เจาะ Theme เด่น Trend เติบโต” และ “เปิด Roadmap สู่การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล” นอกจากนี้ ยังได้ลงมือปฏิบัติจริงกับ 6 เวิร์กช็อป เรียนรู้วิธีการและเครื่องมือการลงทุน “สอนมือใหม่ลงทุนออนไลน์ให้เทรดได้ ใช้เครื่องมือเป็นกับ Streaming”, “สร้างพอร์ตลงทุน ทำได้เองไม่ง้อเซียน”, “เปิดตำราหาหุ้น ฉบับมือใหม่ สไตล์ KFC”, “เปิดสูตรลงทุนหุ้นต่างประเทศ เทรดอย่างมืออาชีพ”, “สร้างโอกาสทำกำไร ในกราฟเทคนิค กับ Wave Rider” และ “สอนเทรด TFEX FX Futures ด้วย MT4” นอกจากนี้ ยังมีบริการเปิดบัญชีลงทุน พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ทางเลือกลงทุนอย่างครบวงจร ทั้ง หุ้น อนุพันธ์ กองทุนรวม และสินทรัพย์ลงทุนใหม่ๆ ในตลาดทุนไทย เช่น TFEX FX Futures, ETF, DR, Fractional DR หรือ DRx รวมทั้งเครื่องมือลงทุน เช่น Settrade Streaming และเครื่องมือต่างๆ จากกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทหลักทรัพย์และโบรกเกอร์อนุพันธ์ ทั้ง 23 แห่ง ซึ่งเป็นการรวมตัวที่มากที่สุดครั้งแรกของปี
SET in the City 2022 จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 5 และอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2565 ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ. รัชดาภิเษก เดินทางสะดวกโดยรถไฟฟ้า MRT ลงสถานีศูนย์วัฒนธรรม ทางออกประตู 3 ผู้ลงทะเบียนร่วมงานจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษถึง 3 ต่อ คือ สิทธิในการใช้ SET SMART สำหรับดูข้อมูลการลงทุน สรุปรวมเอกสารประกอบสัมมนาทุกหัวข้อ และกระเป๋าผ้า Investnow โดยลงทะเบียนและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com/setinthecity หรือรับชมผ่าน Facebook และ YouTube Live SET Thailand
A11106
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด