ไทย-เมียนมาเร่งตั้งเขตศก.พิเศษทวายตกลงใช้เงินสกุลบาท-จ๊าดเอาใจนักลงทุน
แนวหน้า : ไทย-เมียนมา ถกแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย "สมคิด" คาดสรุปปลายไตรมาสแรก ปี'59 ก่อสร้างถนน ท่าเรือ เส้นทางรถไฟเชื่อม ท่าเรือน้ำลึกทวาย พร้อมใช้เงินสกุลบาท-จ๊าด ในพื้นที่เพิ่มความสะดวกให้กับนักลงทุน หวังดึงกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มาลงทุนในอาเซียนมากขึ้น
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายก รัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทยและ เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง หรือ JHC ครั้งที่ 5 ว่า ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าของโครงการทวายเป็นไปได้ด้วยดี ซึ่งครั้งนี้ญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องมากขึ้น และที่ผ่านมาเมียนมาเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ เชื่อว่าหากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายแล้วเสร็จจะทำให้ประเทศในแถบนี้ได้รับผลดีตามไปด้วย โดยเฉพาะการค้าและการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เข้ามาลงทุน ในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น ซึ่งในส่วนของไทยที่มีการพัฒนา เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ หรือ East West Corridor จะทำให้ไทยได้ประโยชน์จากการพัฒนามากขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่า จะสรุปแผนการก่อสร้างได้ช่วงปลายไตรมาส ที่ 1 ของปี 2559 เพื่อดำเนินการตามแผนการก่อสร้างต่างๆ เช่น ถนน ท่าเรือ เส้นทางรถไฟที่เชื่อมเข้าท่าเรือน้ำลึกทวาย โดยมีคณะกรรมการบริหารโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และกลุ่มบริษัทผู้พัฒนา คือ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนท์ บริษัทสวนอุตสาหกรรมโรจนะ และบริษัท LNG Plus international เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง
"เมียนมามีความมั่นใจมากขึ้นว่าแผนการดำเนินการก่อสร้างโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายอย่างเต็มรูปแบบ หรือฟลูเฟส จะเป็นไปได้ หลังจากที่ญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุนโดยคณะกรรมการไทยเมียนมาจะประชุมกันอีกครั้งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2559 เพื่อสรุปมูลค่าโครงการลงทุนทั้งหมดจากเดิม 4 แสนล้านบาท จะก่อสร้างหลายโครงการ เช่น ขยายถนน 4 เลน โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ การตั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมเหล็กและเคมีภัณฑ์ ท่าเรือน้ำลึก"
ส่วนบริษัทที่ร่วมลงทุนพิเศษ หรือ SPV ระหว่างไทย เมียนมา และญี่ปุ่น จะทำหน้าที่ 3 ด้านคือ การบริหารโครงการตามสัญญาตามแผน ร่วมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งท่าเรือ ถนน โครงการโรงไฟฟ้า ก่อสร้างเขื่อน ก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรม และร่วมวางแผนแม่บทของโครงการทั้งหมด โดยแต่ละประเทศจะนำเงินลงทุนเพื่อจัดตั้งบริษัท SPV แห่งละ 6 ล้านบาท
นอกจากนี้ ไทยและเมียนมา ยังบรรลุข้อตกลงใน การใช้เงินสกุลบาท-จ๊าด ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระหว่างไทย เมียนมา เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุน และความร่วมมือในการให้บริษัทประกันต่างชาติสามารถให้บริการการเงินในเขตเศรษฐพิเศษทวายเพื่อสนับสนุนโครงการลงทุน นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้มีเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศสนใจเข้ามาร่วมลงทุน ในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายแล้ว 78 ราย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เข้าไปลงทุน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากการประชุมคณะกรรมการ ร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 5 นี้แล้วจะมีการประชุมคณะกรรมการย่อยของทั้ง 2 ประเทศ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่เมียนมา ก่อนจะประชุมคณะกรรมการชุดดังกล่าวเป็นครั้งที่ 6 ต่อไป
สมคิด คาดเริ่มก่อสร้างนิคมอุตฯ ทวายเฟสแรกในปลาย มี.ค.59
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 5 ว่า คาดการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก จะสามารถเริ่มงานก่อสร้างในปลายไตรมาสแรกปี 59 หรือปลายเดือนมี.ค.59
ขณะเดียวกัน สามารถหารือการพัฒนาเขตเศรษฐกิจทวายในส่วนพื้นที่เหลือทั้งหมด (Full phase) ร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ ไทย-เมียนมา และญี่ปุ่น โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เฟสแรกก่อสร้างเสร็จ ทั้งนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปในการประชุมครั้งหน้าในช่วงปลายเดือน ก.พ.-ต้นมี.ค.59 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของเมียนมา ทั้งนี้ จะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาทิ เหล็ก ปุ๋ยเคมี และยังมีการลงทุนท่าเรือน้ำลึกทวาย โดยเชื่อว่าไทยกับเมียนมาจะเป็นพาร์ทเนอร์การค้า เพราะด้านแม่สอด-เมียวดีมีการค้าที่เกื้อกูลกัน
"โครงการทวาย เป็นโครงการที่เมียนมาเอาจริงเอาจัง เพราะโครงการนี้ทำให้เกิดประโยชน์กับเมียนมา และเป็นประโยชน์ต่อประเทศใกล้เคียง ตอนแรกเขาก็มีความกังวล แต่เมื่อทางญี่ปุ่นแสดงความมุ่งมั่นเข้ามาร่วม ทำให้โครงการทวายเป็นจริงขึ้นมา" นายสมคิด กล่าว
อย่างไรก็ดี นอกจากเมียนมาแล้ว ในปลายสัปดาห์นี้คณะรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชาจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกัน โดยรัฐมนตรีเข้าร่วมทั้งหมด 17 คน ขณะที่ในวันที่ 17-18 ธ.ค.จะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากจีนจำนวน 12 คน พร้อมด้วยนักธุรกิจจีนเข้ามาด้วย 20 คน และวันที่ 19 ธ.ค. จีนจะร่วมวางศิลาฤกษ์โครงการความร่วมมือรถไฟฟ้าไทย-จีน ที่สถานีควบคุมรถที่เชียงรากน้อย
"จีนแสดงความสนใจและกระตือรือร้นในการเข้าประชุมร่วมกับไทย เรื่องรถไฟเป็นแค่ส่วนประกอบ เขาต้องการกระชับทั้งด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
โดยวันนี้ญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงของผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลเฉพาะกิจ(SPV) ระหว่างธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(JBIC) ในฐานะตัวแทนรัฐบาลญี่ปุ่น สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน(สพพ.) ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย และสำนักความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของเมียนมา(FERO) ในฐานะตัวแทนรัฐบาลเมียนมาเพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาหลักให้กับคณะกรรมการบริหารโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยถือหุ้นในสัดส่วนเท่ากันและลงทุนฝ่ายละ 6 ล้านบาท
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม กล่าวว่า SPV มีบทบาทหน้าที่ในการบริหารโครงการ และลงทุนสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ เช่น ท่าเรือ ถนน โรงไฟฟ้า ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานของเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนได้ นอกจากนี้ SPV จะวางแผนแม่บทของโครงการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำ แต่เมื่อญี่ปุ่นสนใจเข้าร่วมก็จะพิจารณาแผนและอาจมีการปรับปรุงได้หลังจากที่ญี่ปุ่นได้ให้ข้อสังเกต เช่น โครงการถนน และท่าเรือ เป็นต้น
ด้านนายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) กล่าวว่า ที่ประชุม JHC ครั้งนี้ได้เห็นชอบร่วมกันในแนวนโยบายการใช้เงินบาทของไทยและเงินจ๊าดของเมียนมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การค้าและการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย รวมถึงความเป็นไปได้ในการให้บริษัทประกันต่างชาติสามารถให้บริการทางการเงินในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเพื่อสนับสนุนโครงการ ซึ่งได้มอบหมายให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ด้านการเงิน การลงทุน นำไปหารือเพื่อให้ข้อสรุปร่วมกันต่อไป
ในที่ประชุม JHC วันนี้ ได้รับทราบความคืบหน้าโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่ให้สัญญาสัมปทานโครงการระยะแรกที่มีพื้นที่ 27 ตร.กม.ให้กับกลุ่มผู้พัฒนา คือ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์(ITD) บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ(ROJNA) และ บริษัท LNG Plus International จำกัด หลังจากลงนามไปเมื่อ 5 ส.ค.58 ซึ่งขณะนี้การดำเนินงานตามเงื่อนไขมีความคืบหน้าเป็นไปตามกำหนด เช่น การเจรจาข้อสรุปข้อตกลงสัมปทานสถานีรับ LNG ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตไฟฟ้าสำหรับโครงการนี้ระยะแรก
อีกทั้ง อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการย้ายถิ่นฐานและการจ่ายค่าชดเชยประชากรที่ได้รับผลกระทบให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติขององค์กรระหว่างประเทศ พร้อมทั้งมีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม(EIA) เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืน รวมถึงอยู่ระหว่างการจัดตั้งศูนย์บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ(OSSC) เพื่อให้บริการแก่นักลงทุนนานาชาติในอนาคต
สำหรับ โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 270 ตร.กม. และแบ่งพัฒนาระยะแรกแล้ว 27 ตร.กม.
อย่างไรก็ดี บ่ายวันนี้ได้มีการประชุมคณะทำงานร่วม 3 ฝ่าย เพื่อหารือและวางแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายร่วมกันในระยะยาว
โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม กล่าวว่าหลังการประชุมคณะทำงานร่วม 3 ฝ่ายว่า การเข้ามาร่วมมือของญี่ปุ่นในโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของญี่ปุ่นนั้น ญี่ปุ่นต้องการศึกษาปรับปรุงโครงการโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่ญี่ปุ่นได้ตั้งข้อสังเกตไว้ 7 ประเด็น ทั้งนี้จะเร่งรัดให้ผลศึกษาแล้วเสร็จในก.พ.59 ถึงจะทราบมูลค่าทั้งหมดในเฟสที่เหลือของโครงการนี้
รมว.คมนาคม กล่าวว่า ในส่วนถนนจากท่าเรือน้ำลึกทวายไปบ้านพุน้ำร้อน ระยะทาง 138 กม. ซึ่ง ITD ได้ศึกษาทำถนน 2 ช่องจราจรนั้น อาจจะปรับเป็น 4 ช่องจราจร และบางช่วงมีจุดลาดชันจึงอาจจะปรับทำเป็นอุโมงค์ที่จะทำให้รถบรรทุกเดินรถได้ง่ายและยังจะทำรถไฟเป็นเส้นทางเดียวกับถนนเป็นรางขนาด 1 เมตร เพื่อใช้ขนส่งสินค้าและจะได้เชื่อมต่อรถไฟฝั่งไทยที่เริ่มจากพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี
นอกจากนี้ ในส่วนท่าเรือก็จะมีแยกให้ทำเป็นท่าเรือน้ำลึก ท่าเรือเฉพาะ LNG Terminal ท่าเรือขนส่งอุตสาหกรรมอื่น และโรงไฟฟ้าแผนเดิมเป็นโรงไฟฟ้าใช้เชื้อเพลิก๊าซธรรมชาติกับพลังงานความร้อนร่วมขนาด 4,000 เมกะวัตต์ โดยจะมีการสร้าง LNG Terminal
ขณะที่ในส่วนพลังงานไฟฟ้านั้น ในที่ประชุมเห็นด้วยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) และกระทรวงพลังงานของไทยหรือคณะทำงานของเมียนมาร่วมมือสร้างสายส่ง 115KV เข้าไปในโครงการทวาย โดยระยะเริ่มแรกให้ใช้ไฟฟ้าจากฝั่งไทยก่อน หลังจากที่โรงไฟฟ้าเกิดขึ้น หากมีกำลังการผลิตเหลือก็ขอให้ส่งให้ไทย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าแผนแม่บทโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายได้รับความเห็นชอบในระดับนโยบายแล้ว แต่ญี่ปุ่นขอไปศึกษาในรายละเอียดและต้องการดูภาพรวมทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีการปรับปรุงแผนแม่บทดังกล่าว และอาจปรับระยะเวลาของแผนแม่บทจากเดิมที่กำหนดไว้ 20 ปี
อินโฟเควสท์
'สมคิด'เผยจะประชุมสรุปโครงการทวายร่วมญี่ปุ่นแบบเต็มเฟส ก.พ.นี้ พร้อมสร้างนิคมฯ เฟสแรกใน Q1/59
'สมคิด' เผยจะประชุมสรุปโครงการทวายร่วมญี่ปุ่นแบบเต็มเฟส ก.พ.นี้ พร้อมสร้างนิคมฯ เฟสแรกใน Q1/59 ทั้ง การพัฒนานิคมฯ โรงผลิตไฟฟ้าในพื้นที่พักอาศัย ท่าเรือขนาดเล็ก อ่างเก็บน้ำ ถนนสองเลนสู่ประเทศไทย และการวางโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 5 ว่า การดำเนินการเฟสแรก คาดว่าจะสรุปแผนการก่อสร้างได้ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2559 เพื่อดำเนินการแผนการก่อสร้างต่างๆ ประกอบด้วย การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม โรงผลิตไฟฟ้าพื้นที่พักอาศัย ท่าเรือขนาดเล็ก อ่างเก็บน้ำ ถนนสองเลนสู่ประเทศไทย และการวางโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน นอกจากนี้การพัฒนาระยะแรกจะรวมถึงการสร้างสถานีรับ LNG อีกด้วย
นายสมคิด ยืนยัน เมียนมามีความมั่นใจมากขึ้นว่าแผนการดำเนินการก่อสร้างโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย หรือ ฟลูเฟส จะเป็นไปได้ หลังจากที่ญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุน โดยหลังจากนี้จะเร่งสรุปมูลค่าโครงการใหม่ทั้งหมด โดยคณะกรรมการไทยเมียนมา จะประชุมกันอีกครั้งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2559 เพื่อสรุปมูลค่าโครงการลงทุนทั้งหมด จากเดิมกว่า 4 แสนล้านบาท จะก่อสร้างหลายโครงการ เช่น ขยายถนน 4 เลน โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ การตั้งนิคมอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็กและเคมีภัณฑ์
ทั้งนี้ ผู้แทนระดับสูงจากประเทศไทย เมียนมา และญี่ปุ่น ยังได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามข้อตกลงของผู้ถือหุ้น ของนิติบุคคลเฉพาะกิจ หรือ SPV ระหว่างธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือ JBIC ในฐานะตัวแทนรัฐบาลญี่ปุ่น สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือ สพพ.ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย และสำนักความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของเมียนมา หรือ FERD ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลเมียนมา เพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาหลักให้กับคณะกรรมการบริหารโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยเงินลงทุนเพื่อตั้งบริษัทของแต่ละประเทศ 6 ล้านบาท
ขณะเดียวกันไทย และเมียนมา ยังบรรลุข้อตกลงในการใช้เงินสกุลบาท-จ๊าด ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระหว่างไทย เมียนมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การค้าและการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย รวมถึงความเป็นไปได้ในการให้บริษัทประกันต่างชาติสามารถให้บริการทางการเงินในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เพื่อสนับสนุนโครงการ ซึ่งได้มอบหมายให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ด้านการเงินการลงทุน นำไปหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกันต่อไป
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนการย้ายถิ่นฐานและการจ่ายค่าชดเชยประชากรที่ได้รับผลกระทบ ให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติขององค์กรระหว่างประเทศ พร้อมทั้งจัดทำรายการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หรือ EIA เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างนั่งยืน รวมถึงอยู่ระหว่างการจัดจั้งศูนย์บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ หรือ OSSC เพื่อให้บริการแก่นักบงทุนนานาชาติในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก จะดึงดูดนักลงทุนจากทั้งในและนอกภูมิภาค เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนสำหรับการพัฒนาต่อไปในระยะยาว ซึ่งในโครงการในระยะยาวจะครอบคลุมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ท่าเรือน้ำลึก และทางหลวงพิเศษเชื่อมโยงพื้นที่โครงการทวายสู่ชายแดนไทย
อนึ่งการประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมระหว่างคณะกรรมการบริหารโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย หรือ Dawei SEZ Management Committee หรือ DSEZMC และกลุ่มบริษัทพัฒนา ซึ่งประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัทสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) และบริษัท LNG Plus International จำกัด
รมว.คมนาคม เผยหารือญี่ปุ่น-เมียนมา เร่งรัดโครงสร้างพื้นฐานในเขตศก.พิเศษทวาย คาดได้ข้อสรุปม.ค. 59
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงการประชุมร่วมคณะกรรมการร่วมระดับสูง 3 ฝ่าย ระหว่างไทย-เมียนมา-ญี่ปุ่น เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 5 ว่า ขณะนี้ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกับไทย-เมียนมา โดย ในการประชุม 3 ฝ่ายได้มีการหารือถึงการเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ความมั่นใจกับนักลงทุน เช่น ถนนสองช่องจราจร ซึ่งจากการลงนามสัมปทานการพัฒนาโรงสร้างพื้นฐานระยะแรก บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งญี่ปุ่นจะช่วยเหลือในด้านการศึกษาความเหมาะสม 2 ช่องจราจร ซึ่งคาดว่าจะได้รับความชัดเจนในเดือนมกราคม 2559
ในส่วนของการสร้างคลังก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ในท่าเรือน้ำลึก จะต้องมีการปรับในส่วนของท่าเรือน้ำลึก เพื่อให้เหมาะสมต่อการสร้าง LNG รวมถึงการร้างท่าเรือเฉพาะเพื่อให้เอื้อต่ออุตสาหกรรมเหล็ก ด้านการสร้างโรงไฟฟ้าได้มอบหมายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กระทรวงพลังงาน หารือร่วมกับรัฐบาลเมียนมาในการสร้างสายส่ง 115 kv จากท่าเรือโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ถึงชายแดนไทย ซึ่งในช่วงแรกเขตนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวยังไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องดึงไฟฟ้าจากไทยช่วยในการดำเนินงาน
สำหรับ ในระยะต่อไป โครงการโรงไฟฟ้าที่ทวายเกิดขึ้น อาจจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าส่วนเกิน ซึ่งจะมีการทำสัญญาซื้อขายให้ไทยต่อไป ซึ่งกระทรวงพลังงานไทยจะหารือกับกระทรวงพลังงานเมียนมาต่อไป ขณะเดียวกันหลังจากที่มีการประชุมร่วมกันแล้วอย่างเป็นทางการระหว่างไทย เมียนมา และญี่ปุ่น เพื่อวางรากฐานแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายร่วมกันในระยะยาวต่อไป
ทั้งนี้ ในส่วนของสัดส่วนการลงทุนนั้น ทุนจดทะเบียนเริ่มต้นเท่ากันที่ประเทศละ 6 ล้านบาท ทั้งนี้ไทยได้ขอให้ญี่ปุ่นศึกษาเกี่ยวกับการเชื่อมชายแดนไปทวาย โดยรถไฟโลจิสติกส์ด้วย ซึ่งหากวางแผนระหว่างรถไฟและถนนไปพร้อมกันได้ เชื่อว่าไทยจะเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะจะช่วยประหยัดต้นทุน
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
รัฐอัดงบลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ปี 59 กว่า 1.33 แสนล้านบาท ชี้ใช้จัดการน้ำถึง 7 หมื่นล้าน เปิดทางหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างได้ตั้งแต่ ส.ค.นี้ ตั้งเป้าเบิกจ่ายงบลงทุนรวมไตรมาสแรก 8 หมื่นล้าน จากทั้งปี 5.4 แสนล้านบาท หวังกระตุ้น ศก.ปลายปี
มติชนออนไลน์ :
นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2559 ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นั้น ได้กำหนดงบลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทั้งโครงการรถไฟฟ้า, ถนนและโครงการบริหารจัดการน้ำ เม็ดเงินลงทุนรวม 1.33 แสนล้านบาท ประกอบด้วย โครงการลงทุนขยายเครือข่ายรถไฟฟ้าในเขต กทม.และปริมณฑล 4 สาย คือ สายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต, สายสีส้ม ช่วง ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี, สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง
นอกจากนี้ ยังมีโครงการก่อสร้างถนนโครงข่าย 11 สายทาง กำหนดวงเงินงบประมาณก่อสร้างที่ใช้ในปี 2559 ไว้ 2.93 พันล้านบาท, ค่าจ้างที่ปรึกษาออกแบบทางเชื่อม ของทางยกระดับอุตรภิมุข และศรีรัชวงแหวน วงเงิน 30 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างถนนเข้าพื้นที่เกษตร 735 สายทาง และสะพานอีก 157 แห่ง ของกรมทางหลวงชนบท เป็นงบก่อสร้างรวม 7.64 พันล้านบาท
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำ กรมชลประทานกำหนดเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 3.90 แสนไร่, บริหารจัดการน้ำพื้นที่การเกษตร 24.78 ล้านไร่, หาแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน 2 หมื่นบ่อ, ติดตั้งและพัฒนาระบบเตือนภัยทางน้ำ 4.78 พันหมู่บ้าน, พัฒนาแหล่งน้ำบาดาล 1.83 พันบ่อ, ขุดร่องน้ำ 20 ร่องน้ำ, และขยายระบบประปา 228 แห่ง รวมวงเงินงบประมาณที่เกี่ยวกับแหล่งน้ำ 7 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ รัฐบาลเตรียมที่จะกู้เงินเพื่อลงทุนในแผนบริหารจัดการน้ำในปีงบประมาณ 2559 ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การวางแผนเพื่อเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของปีงบประมาณ 2559 นั้น รัฐบาลกำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเตรียมวางแผนจัดซื้อจัดจ้าง ก่อนที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา โดยให้หน่วยราชการสามารถทำประกาศเชิญชวนจัดซื้อจัดจ้างได้ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณผ่านวาระ 2 และ 3 แล้ว โดยคาดหวังว่าการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนในปีงบประมาณ 2559 โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ หรือไตรมาสที่สี่ของปีปฏิทิน คือ ช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2558 จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ได้ในระดับหนึ่ง
"ได้กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนไตรมาสแรกปีงบ 2559 ที่ 15% ของงบลงทุน 5.4 แสนล้านบาท หรือน่าจะเบิกจ่ายได้กว่า 8 หมื่นล้านบาท ส่วนงบประมาณปี 2558 คาดว่าจนถึงสิ้นเดือนกันยายนจะเบิกจ่ายงบลงทุนได้ 85% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 87% เพราะมีการโอนงบลงทุน ไปเป็นงบกลาง ราว 1 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 2% ของงบลงทุน" นายสมศักดิ์กล่าว
จี้รัฐลุยเมกะโปรเจ็กต์ลือ'อุ๋ย'สั่งรื้อรถไฟฟ้า
ไทยโพสต์ : นนทบุรี * ซิโน-ไทยฯ วอนรัฐ เร่งดันโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ชี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เผยก่อสร้างแข่งเดือด ตัดราคา 20-30% ชิงงาน ลือ 'หม่อมอุ๋ย' สั่งทบทวนรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง ให้เอกชนลงทุนทั้งหมด "คีรี" ติง เกิดยาก ไม่คุ้มทุน
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็น จีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐไม่เกิดขึ้นเลย ดังนั้น อยากให้ภาครัฐเร่งรัดโครงการต่างๆ ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อประโยชน์กับระบบเศรษฐ กิจของประเทศ
ต้องยอมรับว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เอกชนหวังว่าจะมีโครง สร้างพื้นฐานของภาครัฐออกมาตั้งแต่โครงการ 2 ล้านล้านบาทแล้ว แต่ทุกโครงการก็เร่งรัด แต่ไม่มีความชัดเจนเลย ดังนั้น ช่วงนี้จึงมีแต่โครงการลงทุนขนาด 100-1,000 ล้านบาท แต่มีการแข่งขันกันรุนแรง โดยเฉพาะมีการตัดราคากันค่อนข้างสูงถึง 20-30% เพื่อให้ได้งาน" นายภาคภูมิกล่าว
สำหรับ บริษัทคาดว่า ในปี 2558 จะมีปริมาณงานเข้ามาดีกว่าปีที่ผ่านมา แต่รายได้ ยังทรงตัว โดยคาดว่าปีนี้ต้อง ได้งานใหม่มาเติมไม่น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท ทั้งงานภาครัฐ และเอกชน อาทิ การก่อสร้างอาคาร และงานในภาคอุตสาห กรรมพลังงาน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมีงานในมือ (แบ็ก ล็อก) อยู่ราว 5 หมื่นล้านบาท
ส่วนการเปิดโรงงานผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปที่ จ.นนทบุรี พื้นที่ 250 ไร่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับโครงการทางด่วนศรีรัช (บางซื่อ-วงแหวนตะวันออกตลิ่งชัน) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ หรือทางพิเศษในอนาคต
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า กรณีที่คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวล ชนแห่งประเทศ (รฟม.) มีมติปรับแผนการดำเนินการโครงการรถ ไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย- มีนบุรี 34.5 กม. วงเงิน 5.67 หมื่น ล้านบาท และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง 30.4 กม. วง เงิน 5.47 หมื่นล้านบาท เปลี่ยนเป็นให้เอกชนลงทุนทั้งหมด 100% นั้น เป็นแนวคิดของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เพราะกระทรวงคมนาคมเสนอเรื่องไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่ต้นปี 2558 ที่อยากให้รวมเป็นสัญญาเดียว และเอก ชนรายเดียวดำเนินการ เพื่อลดระยะเวลาดำเนินการให้เร็วขึ้น
ด้านนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า ข้อเสนอที่ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนรถไฟฟ้าทั้งโครงการ มีความเป็นไปได้ยากที่จะเกิดความคุ้มค่าในการลงทุน หากเทียบกับระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี ส่วนบีทีเอสยืนยันสนใจเข้าร่วมแน่นอน แต่ขอศึกษารายละเอียดก่อน.
ผุดไอเดียลุย'เวสต์เทิร์นซีบอร์ด' นายกฯหวังจีบเอกชนร่วมลงทุน
แนวหน้า : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ได้สั่งการในที่ประชุมครม. ให้ตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อไปช่วยผู้ว่าราชการจังหวัดในการขับเคลื่อนงาน และต่อไปจะดำเนินการในลักษณะเดิมที่มีโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ดแล้ว แต่ทางตะวันตกยังไม่มี จึงให้รัฐบาลคิดกันมาว่า จะทำโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งตะวันตก หรือเวสต์เทิร์นซีบอร์ดได้หรือไม่ มีนิคมอุตสาหกรรม มีโรงเหล็กเพื่อเป็นอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ โดยคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษ จะมีเอกชนเข้ามาร่วมด้วย เพื่อช่วยขับเคลื่อนงานด้านการตลาด และหาคนมาลงทุน เพราะรัฐบาลบริหารเองไม่ได้ทั้งหมด
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด