วันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
คนดี กะคนดี กรณี'สาธารณสุข'คนดี ถูกเชือด
การตัดสินใจปลด นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข ของรัฐบาลมีเจตนาประสงค์ต้องการขจัดปัญหาอันรุมเร้าให้สงบและเย็นลง
เท่ากับเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
เมื่อประเมินว่า นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ เป็นปัญหาในเชิงเปรียบเทียบมากกว่า นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน ก็ต้องเอาออกไป
แล้วแต่งตั้งคนอื่นให้เข้ามารักษาการในตำแหน่งแทน
ความเชื่อมั่น 1 คือ ความไม่พอใจของข้าราชการในกลุ่ม นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ หากจะมีก็ไม่น่าจะบานปลาย
หรือหากเกิดขึ้น นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน ก็ต้องจัดการ
คำถามอันเสนอเข้ามาก็คือ การตัดสินใจย้ายครั้งนี้ริเริ่มมาจาก นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน เองหรือว่าเป็นการลงมือของส่วนอื่นอันครองอำนาจเหนือกว่า
ตรงนี้แหละ คือ ความละเอียดอ่อน
...............................................
ต้องยอมรับว่า ปัญหาในกระทรวงสาธารณสุข คือ เงาสะท้อนแห่งความขัดแย้งระหว่าง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ กับ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน
โดยมีสปสช. หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นตัวแทน
ฐานของ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ คือ ข้าราชการและโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ โรงพยาบาลและศูนย์อนามัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
เป็นฐานอันใหญ่โต กว้างขวางและแข็งแกร่ง
ขณะเดียวกัน ฐานของ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน คือฐานขององค์การอย่างที่เรียกกันว่าองค์การตระกูล “ส.เสือ” อันแทรกซึมอยู่ในองค์กรอิสระ องค์กรมหาชน
เป็นปัญหามาตลอด 9 เดือนอย่างคาราคาซัง
.................................................
ที่ว่าคาราคาซังแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมคือ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่ยอมตัดสินใจ
กระทั่งมีข้อเรียกร้องให้มีการย้าย “ปลัดกระทรวง”
ข้อเสนอนี้กระหึ่มมาจากกรรมการของ สปสช. มาจากบรรดาผู้ทรงอิทธิพลอยู่ในแวดวงองค์การตระกูล “ส.เสือ”
มิได้มาจากความดำริของ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน โดยตรง
จากความขัดแย้งภายในกระทรวงสาธารณสุขกระทั่งรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลโดยตรง นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ ซึ่งเป็นระดับหลานของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ก็เอาไม่อยู่ จึงตกไปอยู่บนบ่าของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง
การตัดสินใจปลด นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ น่าจะมาจากนี้
.................................................
จากนี้จึงมองเห็นได้อย่างเด่นชัดว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้เรื่องของหมอจ๊ะ หมอจ๋า ยุ่งเหยิงระดับนี้
เพราะว่า นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ก็ระดับ “นกหวีดทองคำ” เพราะว่า นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน ก็เป็นแถวหน้า “กลุ่มอธิการบดี” ล้วนเป็นคนดีๆ ด้วยกัน
นี่คือยุทธการ “คนดี” ตั้งแง่กับ “คนดี”
มติชนออนไลน์ :หมายเหตุ - กรณีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดบทเฉพาะกาล ตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อต้องการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม รวมทั้งการที่ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญและสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จะทำหน้าที่ต่ออีก 210 วัน หรือ 7 เดือน หลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ซึ่งก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ส.ส. ขณะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะอยู่ต่อจนถึงวันที่มี ส.ว. คือ 240 วัน หรือ 8 เดือน ต่อไปนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการต่อเรื่องดังกล่าว
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ถ้าร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จแล้วประกาศรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วคิดว่าสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นคือองค์กรที่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญควรจะเริ่มต้นใหม่ เช่น สนช.ควรต้องพ้นจากตำแหน่งไป ปล่อยให้ฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งได้เริ่มทำหน้าที่
เพราะฉะนั้นผมคิดว่า เห็นได้ชัดว่ามีความพยายามที่จะต่ออำนาจ สืบทอดอำนาจ ต่ออายุออกไปไม่ว่าจะเป็นองค์กรใดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เกิดขึ้นชัดเจนไม่ว่าจะเป็นกรณีแม่น้ำทั้ง 5 สาย เป็นข้อเสนอที่เห็นได้ชัดมากว่ามีความพยายามในเรื่องสืบทอดอำนาจ
สิ่งที่สังคมไทยได้เห็นคือเนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความพยายามที่จะสืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร และบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานให้คณะรัฐประหารให้ทำงานยืดยาวออกไป
การอ้างว่าดำรงตำแหน่งต่อเพื่อให้รัฐบาลใหม่สามารถดำเนินตามนโยบายที่วางไว้นั้น คิดว่านโยบายหรือผลงานที่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารทำไว้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบรรทัดฐานที่ต้องเดินตาม เอาเข้าจริงกฎหมายหรือนโยบายที่วางไว้ไม่ได้มีความชอบธรรมด้วยซ้ำ และไม่มีข้อกำหนดใดที่บอกให้รัฐบาลใหม่ต้องเดินตามข้อกำหนดแบบนั้น และผมมองว่าไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องเดินตาม
มีหลายครั้งที่ได้ยินการอ้างเหตุผลว่า ที่ต้องทำหน้าที่ต่อเป็นไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ระบุนั้น คำถามของผมคือ รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 มาจากไหน เพราะรัฐธรรมนูญชั่วคราวเกิดขึ้นจากคณะรัฐประหารเขียนขึ้น โดยพื้นฐานการอ้างรัฐธรรมนูญชั่วคราวไม่ได้มีความชอบธรรมในตัวมันเอง
ผมคิดว่ารัฐบาล คสช. กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ สปช. และ สนช. จะอยู่ในตำแหน่งก็อยากเตือนว่าการอยู่ในตำแหน่งคงต้องมีความชอบธรรมบางอย่างกำกับอยู่ ดังนั้นควรจะต้องตระหนักเองว่าตนเองไม่ได้มีความชอบธรรมใดที่จะอยู่ในตำแหน่งได้นาน รวมถึงการผ่านกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญที่เป็นปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ จะไม่เป็นผลดีต่อสังคมไทยโดยรวม ผมคิดว่าจะยิ่งทำให้สังคมไทยลงไปสู่ความขัดแย้งมากขึ้นกว่าเดิม และอาจจะเกิดปัญหาระยะยาวมากขึ้นทั้งตัวรัฐธรรมนูญและตัวองค์กรที่จะมาสืบทอดอำนาจต่อ ในเชิงหลักการยังเป็นปัญหาด้วยว่า เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้วยังมีองค์กรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทำหน้าที่อยู่แล้ว องค์กรที่มาจากการเลือกตั้งจะทำงานอย่างไร จะสัมพันธ์กันอย่างไร น่าจะเป็นภาวะที่ยุ่งยาก
ผมคิดว่าเมื่อมีการประกาศรัฐธรรมนูญ องค์กรหรือสถาบันที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหารควรพ้นจากตำแหน่งไป แล้วปล่อยให้การเมืองดำเนินต่อไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
ยอดพล เทพสิทธา
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ต้องพูดกันตรงๆ ว่า เมื่อมีรัฐบาลใหม่ มีรัฐธรรมนูญที่ไม่ใช่ฉบับชั่วคราว องค์กรที่อยู่ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวทั้งหลายต้องหายไป องค์กรที่เคยมาจากวิธีพิเศษคือการแต่งตั้ง ทั้ง สนช. สปช. ผู้ทรงคุณวุฒิ ทุกอย่างไม่ควรอยู่เป็นภาระผูกพันกับรัฐบาลหน้าอันเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นี่เป็นหลักกฎหมายที่สากลที่สุด เหมือนกรณีที่รัฐบาลรักษาการไม่สามารถกู้เงินอะไรได้ เพราะจะเป็นภาระผูกพันให้กับรัฐบาลถัดไป
กรณีนี้เช่นเดียวกัน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศถูกตั้งด้วยรัฐบาลชั่วคราวทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลเรื่องการปฏิรูปหรืออะไรก็ตาม ไม่ควรเป็นภาระผูกพันไปถึงรัฐบาลหน้า
อย่างรัฐธรรมนูญ 2550 เราต้องยอมรับข้อหนึ่งว่าผ่านการทำประชามติ แม้จะเป็นประชามติที่ไม่มีอิสระอย่างแท้จริงก็ตาม แต่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเรียกว่าฉบับ 2558 หรือ 2559 ดี เราไม่มีกระบวนการการมีส่วนร่วมเลย มีแต่กระบวนการสรรหาและการแต่งตั้งทั้งสิ้น ถ้าดูจากเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเรื่อง ส.ว. หรือสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ทุกอย่างมาจากการแต่งตั้งทั้งสิ้น ฉะนั้น ปัญหาของรัฐธรรมนูญจึงมีเพียงอย่างเดียว คือการแก้ไขที่กำหนดให้แก้โดยรัฐสภา แต่ปัญหาที่ทำให้เกิดวิกฤตคือ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ยอมรับในการแก้ไขของรัฐสภา
หากเรานำสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศมาให้คำปรึกษารัฐบาล ถามว่ารัฐบาลบริหารประเทศภายใต้ความรับผิดชอบต่อรัฐสภาอยู่แล้วในระบบรัฐสภา แล้วสถานะของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ มีเพื่ออะไร นอกจากให้คำปรึกษา ส่วนตัวมองว่าไม่จำเป็น เพราะรัฐบาลต้องถูกตรวจสอบโดยรัฐสภาอยู่แล้ว ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือการถอดถอน มองว่าไม่มีความจำเป็นเลย ทั้งในแง่ที่มาและเนื้อหา
แง่ที่มาคือรัฐบาลชุดนี้ สนช. สปช. ไม่ควรสร้างภาระผูกพันให้รัฐบาลชุดหน้า แง่เนื้อหาคือไม่ควรมีเนื้อหาหรือองค์กรใดที่เป็นผลพวงของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่มีผลต่อรัฐบาลพลเรือนในภายภาคหน้า
ส่วนบทเฉพาะกาลที่ระบุให้ สปช.และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญอยู่ถึงวันเปิดประชุมสภานั้น ถ้าเราพูดกันให้ถึงที่สุด อายุควรหมดวันที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ เพราะหมดภารกิจ หมดหน้าที่ ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่แล้ว ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมเขียนให้อยู่ถึงวันเปิดประชุมสภาครั้งแรก สปช.ก็ไม่ควรอยู่ยาว ในเมื่อกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญนั้นสอดคล้องกันหมด ทั้ง สปช. สนช. และ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ภารกิจของคุณตอนนี้คือร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อร่างเสร็จ ประกาศใช้ ไม่ว่าประชาชนจะรับได้หรือไม่ นั่นคือเสร็จสิ้นหน้าที่แล้ว ไม่ควรมีตัวตนแล้วในระบบกฎหมาย
การเขียนในบทเฉพาะกาลเช่นนี้น่าจะมีวาระซ่อนเร้นบางอย่าง แต่ตอนนี้ยังตอบไม่ได้เพราะยังไม่เห็นเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ มองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ต้องอยู่จนถึงวันเปิดประชุมสภา ดูว่าพรรคไหนชนะการเลือกตั้งเข้ามา ส่วนการเลือกตั้งนั้นคงไม่เกิดในเร็ววันนี้ จะจัดหรือไม่ ตอนนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการหรือเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีคนเดียว อาจมีวันพรุ่งนี้ หรืออีก 3 ปีข้างหน้า เราตอบไม่ได้
สุดท้ายแล้ว การให้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญยังอยู่ น่าจะเพื่อดูว่ารัฐบาลใหม่ที่ชนะการเลือกตั้งเป็นพวกไหน เพราะจะมีผลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องดูแนวคิดของ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่าจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้แก้ไขได้ง่ายหรือยาก
ถ้าเราดูเนื้อหา สิ่งที่เราเขียนกันมามันแก้ไม่ได้ ตราบใดที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีการปฏิรูป อย่างรัฐธรรมนูญ 2550 เขียนไว้เลยว่า สภามีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สุดท้ายไปตกที่ศาลรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น ต่อให้เขียนว่าแก้ไขได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญยังเป็นแบบปัจจุบัน เราก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นวิกฤตที่เรียกว่า "ตุลาการภิวัฒน์" จริงๆ เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังเป็นชุดเดิม
วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
ภาษี ที่ดิน จากยุค ชวน หลีกภัย ถึง 'ประยุทธ์'
เสียง “เตือน” ในเรื่องการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อันมาจาก นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล เป็นเสียงเตือนอันทรงความหมาย
อย่ามองเพียงเขาเป็นเจ้าของโรงแรมขนาดใหญ่ที่กระบี่
ขอให้มองว่า ก่อนเข้ามามีบทบาททางการเมืองผ่านพรรคประชาธิปัตย์เขาเคยเป็นนักธุรกิจและมีตำแหน่งเป็นถึงประธานหอการค้าภาคใต้
และที่สำคัญเคยเป็นรัฐมนตรีอยู่ในกระทรวงการคลัง
ทั้งยังเป็นรัฐมนตรีอันได้รับความไว้วางใจจากรัฐมนตรีว่าการอันเป็นเจ้ากระทรวงให้ดูแลและรับผิดชอบงานอันเกี่ยวกับ “กรมภาษี”
ทั้งยังอยู่ในสถานการณ์วิกฤตที่เรียกว่า “ต้มยำกุ้ง”
สถานภาพของ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ตรงนี้แหละที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมควรให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษ
การเตือนของเขาเท่ากับรั้งบังเหียนม้ามิให้ตกเหว
............................................
สถานการณ์วิกฤตอย่างที่เรียกว่า “ต้มยำกุ้ง” จากรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในปี 2540 ต่อเนื่องไปยังรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ในปี 2541 นั้นสำคัญ
สำคัญเพราะประเทศเกือบอยู่ในภาวะ “ล้มละลาย”
1 ต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เป็นจำนวนมหึมา 1 มีความจำเป็นต้องหาเงินเพื่อชดใช้หนี้สินและบริหารประเทศ
กระทรวงการคลังต้องหากระบวนการต่างๆ มาใช้เพื่อสร้างรายได้
กระบวนการ 1 ที่ได้รับการเสนอขึ้นมาให้ผู้บริหารกระทรวงในขณะนั้นนำไปใช้คือ การปรับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นช่องทางที่สามารถสร้างรายได้ให้กับ “กรมภาษี” อย่างมหาศาล พลิกฟื้นสถานะทางการคลังของประเทศอย่างฉับพลัน
แต่ นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ไม่เออออไปด้วย
..............................................
ไม่เออออเพราะว่าจากกระบวนการนี้จะส่งผลสะเทือนให้กับผู้ประกอบการและประชาชนอย่างกว้างขวาง ลึกซึ้ง
แทนที่จะเป็น “ผลได้” กลับจะกลายเป็น “ผลเสีย”
คนซึ่งเป็นเศรษฐีมีเงินไม่เดือดร้อนหรอก เพราะมีเงินและสามารถผลักภาระให้กับคนอื่นได้ แต่คนชั้นกลางโดยทั่วไปต่างหากที่จะเดือดร้อนแสนสาหัส
รัฐบาล นายชวน หลีกภัย จึงไม่เดินหน้าใน “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง”
เพราะรัฐบาล นายชวน หลีกภัย มีพื้นฐานมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ย่อมร้อนหนาวในความเดือดร้อนและความลำบากของประชาชนเป็นอย่างดี
รัฐบาล “รัฐประหาร” อาจไม่คิด เพราะไม่ได้มาจาก “ประชาชน”
..............................................
อย่าลืมเป็นอันขาดว่ารากฐานการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มาจากอะไร
1 มาจากคนชั้นสูงในเมืองใหญ่ 1 มาจากคนชั้นกลางอันเป็นฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งรวมตัวกันเป็นกปปส.ภายใต้การนำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
นี่คือเสียงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิอาจเพิกเฉยและมองข้าม
บทนำมติชน กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการนิติบัญญัติ ในการผลักดันออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป แต่ด้วยความที่เป็นกฎหมายใหม่ ขาดกระบวนการชี้แจงอย่างเป็นระบบให้ประชาชนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ส่งผลให้ประชาชนตื่นตกใจ ทั้งนี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสาระสำคัญ จะมีภาระเพิ่มขึ้น ต้องเสียภาษีบ้านและที่ดินที่อยู่อาศัยตามอัตราที่กฎหมายกำหนดต่างจากปัจจุบัน แม้กฎหมายภาษีบำรุงท้องที่ และกฎหมายภาษีโรงเรือนและที่ดินมีผลบังคับใช้ แต่ในทางปฏิบัติ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นได้ยกเว้น ไม่จัดเก็บภาษีบ้านที่อยู่อาศัย รัฐบาลมีนโยบายปฏิรูปกฎหมายให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯเป็นอีกฉบับที่อยู่ในแผนการผลักดัน บรรจุอยู่ในหมวดภาษีทรัพย์สิน ที่รัฐเห็นว่าควรจัดเก็บเหมือนกับต่างประเทศ อีกฉบับคือภาษีการรับมรดกที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติรับหลักการแล้ว ขณะนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ กฎหมายใหม่ 2 ฉบับนี้มีเจตนารมณ์จัดเก็บภาษีเพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ลดภาระรัฐในการจัดสรรงบประมาณพัฒนาท้องถิ่น รัฐบาลหลายชุดพยายามผลักดันเรื่องนี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ มีเสียงคัดค้านมาก รัฐบาลปัจจุบันดำเนินการจนเป็นรูปเป็นร่าง แต่โดยที่ขาดการยึดโยง ไม่มีผู้แทนเป็นสะพานเชื่อม ชี้แจงข้อดีข้อเสีย สะท้อนปัญหาผลกระทบ ประชาชนจึงตื่นตกใจเนื่องจากได้รับข้อมูลไม่เพียงพอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันล่าสุด ไม่ล้มเลิกการผลักดันกฎหมายภาษีบ้านและที่ดิน พร้อมกับตั้งคำถาม หากไม่เก็บภาษี รัฐบาลจะนำเงินจากไหนมาพัฒนาประเทศ แสดงว่ารัฐบาลเล็งเห็นถึงความจำเป็นประการต่างๆ ที่ต้องผลักดันเรื่องนี้ต่อไป แนวคิดเก็บภาษีทรัพย์สินเป็นผลมาจากการผลการศึกษาที่ระบุว่ามีข้อดีมากกว่าเสีย โดยเฉพาะช่วยสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เมื่อรัฐบาลยืนยันเดินหน้าต่อ สิ่งจำเป็นยิ่งคือการประชาสัมพันธ์เป็นระบบอย่างสม่ำเสมอในทุกขั้นตอน ให้ประชาชนเข้าใจหลักเกณฑ์ อัตราจัดเก็บ ข้อยกเว้น รวมถึงเงื่อนเวลาการบังคับใช้ที่ถูกต้อง เพื่อให้เตรียมพร้อมรับภาระ ทุกครั้งที่มีข้อสงสัยเกิดขึ้น ต้องรีบตอบคำถามให้กระจ่าง หายสงสัย ป้องกันความเข้าใจผิดตัวเลขจัดเก็บและเรื่องต่างๆ ที่อาจพึงมีได้ เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายดำเนินไปอย่างราบรื่น บ้านเป็นปัจจัยสี่ การจัดเก็บภาษีสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องละเอียดอ่อน รัฐต้องรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ชี้แจงทำความเข้าใจอย่างระมัดระวัง |
วันที่ 07 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
สถานการณ์ เพื่อไทย สถานการณ์ หลังรัฐประหาร รอคอย'การเลือกตั้ง'
ทั้งๆ ที่กระบวนท่า 'ไม่ต่อต้าน ไม่แข็งขืน'ต่อคสช.และต่อรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยและนปช.คนเสื้อแดงสร้างความหงุดหงิดให้เป็นอย่างมากกับแนวร่วม
โดยเฉพาะแนวร่วมที่เป็นปัญญาชนเป็นนักวิชาการ
แต่เหตุใดยิ่งนานวันเข้าพรรคเพื่อไทยและนปช.คนเสื้อแดง ยิ่งสงบนิ่งอยู่ในที่ตั้งไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในทางการเมือง
แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะถูกไล่ต้อนอย่างหนักหนาสาหัส
แม้การคิดบัญชีต่อนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย ของนปช.คนเสื้อแดงจะมีเป้าหมายเพื่อตัดสิทธิ์มิให้มีพื้นที่ในทางการเมือง
แต่พรรคเพื่อไทยนปช.คนเสื้อแดงก็ยังนิ่งสนิท
เป็นการนิ่งสนิทเหมือนกับยอมรับต่อการรัฐประหาร เป็นการนิ่งสนิทเหมือนกับยอมจำนนต่อกฎอัยการศึก
ตั้งท่ารอคอย “การเลือกตั้ง” สถานเดียว
...............................................
อาการนิ่งสนิทของพรรคเพื่อไทยและของนปช.คนเสื้อแดงอาจมีผลดี“บ้าง” ในทางการเมืองจากเหตุอื้อฉาวต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นราวระลอกคลื่น
เรื่องสภา “ครอบครัว” อันเห็นได้จาก “สนช.”
ก็กลายเป็นว่าบรรดา “คนดี” ทั้งหลายอย่างเช่น นายตวง อันทะไชย อย่าง นายสมชาย แสวงการ กระทำขึ้นเอง
มิใช่การขุดคุ้ยของพรรคเพื่อไทยหรือของนปช.คนเสื้อแดง
ข่าวลือข่าวปล่อยต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องการลี้ภัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็นกระบวนการเต้าข่าวของปรปักษ์ทางการเมือง โดยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังเดินเหินไปกินก๋วยเตี๋ยว พบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเป็นปกติ
พรรคเพื่อไทย นปช.คนเสื้อแดง ปลอดจากการเคลื่อนไหวสิ้นเชิง
.............................................
หากศึกษาความมั่นใจของพรรคเพื่อไทยก็จะค่อยๆสัมผัสได้จากความจัดเจนในการต่อสู้ทางการเมืองของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน
เลือกตั้งเดือนมกราคม 2544 ก็ได้ชัยชนะถล่มทลาย
ทั้งๆ ที่พรรคไทยรักไทยไม่ได้เป็นผู้มีส่วนในการกำหนดกติกาผ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 จากนั้นก็ต่อยอดเป็นชัยชนะในการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2548
เลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 พรรคพลังประชาชนก็ชนะ
แม้กระทั่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยอันเป็นอวตารของพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทยก็ชนะพรรคประชาธิปัตย์
พรรคเพื่อไทยจึงรอ“การเลือกตั้ง” ด้วยความมั่นใจ
...............................................
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2558 เป็นเรื่องของ “คสช.” ดำเนินไปแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
คล้ายกับว่าพรรคเพื่อไทยและนปช.คนเสื้อแดงจะอาศัยสถานการณ์ที่ถูกกระทำ ถูกรุกไล่ ทางการเมืองจากรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 มาเป็นผลด้านกลับ
พลิกสถานการณ์โดยการเลือกตั้งในปี 2559 อีกครั้ง
ความกล้าหาญ
วันที่ 07 มีนาคม พ.ศ. 2558 บทนำมติชน
มีคำกล่าวทำนองว่า ผู้ใดเขียนกฎหมาย ก็แน่ไซร้เพื่อผลประโยชน์ของผู้นั้น ดังนั้นในระบบอันเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไป ผู้เขียนกฎหมาย หรือฝ่ายนิติบัญญัติ จึงต้องมาจากประชาชน เพื่อที่กฎหมายจะได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ แต่ถ้าฝ่ายนิติบัญญัติมาจากการแต่งตั้ง ผู้เขียนกฎหมายเป็นตัวแทนกลุ่มอำนาจ กลุ่มผลประโยชน์ ก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า แม้จะแอบอ้างผลประโยชน์ของประชาชน ด้วยเหตุผลถ้อยคำสวยหรู แต่ผู้ได้ประโยชน์ก็ย่อมเป็นกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังนั่นเอง
อีกประเด็นใหม่ที่น่าสนใจจากการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้แก่ ข้อเสนอจากกรรมาธิการบางคน ให้กำหนดในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า ให้ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรต่างๆ ของ คสช. หรือแม่น้ำ 5 สายของ คสช. งดเว้นหรือเว้นวรรค การเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองหลังใช้รัฐธรรมนูญเป็นเวลา 2 ปี เพื่อแสดงถึงจริยธรรม ความโปร่งใส ความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่หาประโยชน์จากรัฐธรรมนูญที่ตนเองร่างขึ้นในแบบชงเองกินเอง
ข้อเสนอดังกล่าวเป็นหลักการที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะในเมื่อผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญมาจากการแต่งตั้ง ไม่ได้มาจากระบบคัดเลือกโดยประชาชน และอ้างเสมอว่าต้องการทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อให้การเมืองไทยสะอาด โปร่งใส เป็นการเมืองที่พลเมืองเป็นใหญ่ การเสียสละไม่เข้ารับตำแหน่งใดๆ ในระยะหนึ่ง ที่รัฐธรรมนูญนี้มีผลบังคับใช้ จะช่วยลดข้อครหาได้มาก
แต่หลักการที่ดีอาจไม่เป็นที่ต้องการในบางสถานการณ์ ผู้เสนอให้มีบทเฉพาะกาลเองยังกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่าบทเฉพาะกาลดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบของกรรมาธิการหรือไม่ ประกอบกับมีคำกล่าวอยู่ทั่วไปว่า ลงเรือแป๊ะก็ต้องตามใจแป๊ะ เป็นภาษาสัญลักษณ์ที่เข้าใจได้ง่ายๆ ดังนั้น ความเป็นไปได้ของบทเฉพาะกาลนี้ จึงอยู่ที่ ?แป๊ะ? หาก คสช.เห็นว่า บทเฉพาะกาลไม่เป็นประโยชน์กับการผลักดันการเมืองตามแนวทางของ คสช. ก็ย่อมจะไม่เห็นด้วยกับบทเฉพาะกาลดังกล่าว อย่างไรก็ตามถ้ากรรมาธิการหรือผู้เกี่ยวข้องเห็นว่า บทเฉพาะกาลนี้เป็นประโยชน์กับสังคและประเทศชาติ น่าจะแสดงความกล้าหาญทางจริยธรรม ผลักดันให้ปรากฏเป็นจริงให้ได้
วันที่ 06 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น. ข่าวสดออนไลน์
โยนหิน ก้อนใหญ่ ถามถึง วาระแห่ง อำนาจ พลานุภาพ แหลมคม
ข้อเสนอในที่ประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่จะกำหนดให้สิ่งที่เรียกว่า “แม่น้ำ 5 สาย” ต้องเว้นวรรคทางการเมือง
แหลมคม ร้อนแรง
แหลมคมเพราะว่าเป้าหมายอยู่ที่การจำกัด “กรอบ” ของแม่น้ำ 5 สายอันประกอบด้วย 1.คสช. 2.รัฐบาล 3.สภานิติบัญญัติแห่งชาติ 4.สภาปฏิรูปแห่งชาติ 5.คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ร้อนแรงเพราะมีเสียงสวนกลับอย่างฉับพลันทันใด
ไม่ว่าจะมาจาก นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่ว่าจะมาจาก นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสปช. ซึ่งกำลังมีบทบาท
หาก นายเจษฎ์ โทณะวณิก กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไม่นำมา “แถลง” และกลายเป็นข่าวครึกโครม ก็ไม่มีโอกาสได้รับรู้ ได้รับฟัง
นี่คือ “หิน” ก้อนเบ้อเริ่มที่โยนออกมา “ถามทาง”
..................................................
หากมองจากมุมซึ่ง นายเจษฎ์ โทณะวณิก ดำรงอยู่ในฐานะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอันเป็น 1 ในแม่น้ำ 5 สายก็ต้องขอคารวะ
คารวะใน “สปิริต” คารวะใน “ความเสียสละ”
เพราะหมายถึงว่าตัว นายเจษฎ์ โทณะวณิก นั่นแหละจะหมดหนทาง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกอยู่ในวุฒิสภาจากการสรรหา ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.สังกัดพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
กระนั้น คำถามก็คือ แล้วคนอื่นจะยอมละหรือ
คนอย่าง นายไพบูลย์ นิติตะวัน เด่นชัดแล้วว่าจะไม่ยอม คนอย่าง นายพีระศักดิ์ พอจิต เด่นชัดแล้วว่าจะไม่ยอม ขณะที่คนอื่นๆ ทั้งในคสช. ทั้งในรัฐบาล ทั้งในสนช. ทั้งในสปช. และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
“หิน” ก้อนนี้จะมี “อนาคต” อย่างไรในทางการเมือง
...................................................
บทสรุปในวันสุดท้ายของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญนั่นแหละคือคำตอบ บทสรุปในการลงมติในที่ประชุมสปช.นั่นแหละคือคำตอบ
ที่สำคัญ คือ คำตอบในเรื่อง “สืบทอดอำนาจ”
หากฟังจากคำพูดของหลายๆ คนในคสช.ในรัฐบาลต่างยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามีระยะเวลาอยู่ในอำนาจไม่น่าจะเกิน 2 ปี
เพื่อจัดระเบียบประเทศ เสร็จแล้วก็อำลา
กระนั้น สังคมก็ยังไม่เชื่อ สังคมก็ยังสงสัย เพราะไม่เคยมีผู้ยึดอำนาจรายใดจะถอนตัวออกจากอำนาจอย่างสิ้นเชิง
ต่างต้องวาง “กติกา” เพื่อรักษา “อำนาจ” ทั้งสิ้น
.....................................................
กระบวนท่าของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีความแหลมคมและน่าติดตามอย่างยิ่ง
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะตรวจสอบทิศทางของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หากแต่ยังจะตรวจสอบหลักการของสปช. หลักการของสนช. หลักการของรัฐบาลและหลักการของคสช.
“หิน” ที่โยนถามทางครานี้มี “พลานุภาพ” ทางการเมือง
วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17:17 น. ข่าวสดออนไลน์
238 นักวิชาการ-นักเขียน-นักคิด เรียกร้องขอเสรีภาพทางวิชาการกลับมาในประเทศไทย จากกรณีสมศักดิ์เจียม
วันที่ 5 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มนักวิชาการ นักคิด นักเขียน จำนวน 238 คนจาก 19 ประเทศ ประกอบด้วย ออสเตรเลีย ออสเตรีย แคนาดา โคลัมเบีย เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลี สวีเดน ไต้หวัน ไทย ตุรกี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ร่วมกันออกแถลงการณ์เป็นจดหมายเปิดผนึก ในหัวข้อ “นักวิชาการ นักเขียน นักคิด เรียกร้องขอให้เสรีภาพทางวิชาการกลับมาในประเทศไทย” เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 มี.ค. จากกรณีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีคำสั่งไล่ออกนายสมศักดิ์ เจียมธีรสุกล
ถ้อยความในแถลงการณ์ระบุว่าตลอด 9 เดือนหลังจากคสช.ก่อรัฐประหารครั้งล่าสุดในไทย เป็นรัฐประหารครั้งที่ 12 ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย. 2475 ทางกลุ่มนักวิชาการ นักเขียน และนักคิด 238 คนขอร่วมเรียกร้องให้เคารพเสรีภาพทางวิชาการในประเทศไทย การเรียกร้องนี้เป็นแนวร่วมหนึ่งเดียวกับที่นักวิชาการภายในประเทศไทยเรียกร้องไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เร่งเร้าจากกรณีนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ถูกไล่ออกจากตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างไม่เป็นธรรม กลุ่มนักวิชาการ 238 คนตั้งข้อสังเกตว่าว่ามีการจำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงออกอย่างสูงและอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง พร้อมวิจารณ์การไล่นายสมศักดิ์ออก ว่าเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และคณะทหาร
ทั้งนี้ กลุ่มนักวิชาการ 238 คนไม่ได้ยกเสรีภาพทางวิชาการว่ามีความสำคัญเหนือกว่าเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนทุกคน หากแต่ตั้งข้อสังเกตว่าการลิดรอนเสรีภาพทางวิชาการเป็นสิ่งที่ยิ่งอันตรายในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นการ “ขัดขวางการเรียนการสอนของอาจารย์และนักศึกษา ที่ภาระหน้าที่ปกติประจำวันคือการคิดและการพิจารณาความรู้และความหมาย ก่อให้เกิดการจำกัดจินตนาการและการทำงาน และขัดขวางการกลับคืนสู่ระบอบที่มีการปกป้องสิทธิเสรีภาพเป็นหลัก”
ในตอนท้ายของจดหมาย นักวิชาการกลุ่มนี้ เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ก้าวออกมาเป็นผู้นำในการสนับสนุนเสรีภาพทางวิชาการและเสรีภาพในการแสดงออกอย่างกว้างขวาง พร้อมกับเสนอว่า การคิดแตกต่างกันไม่ใช่อาชญากรรมถ้าหากไม่ได้คิดต่างกันในรั้วมหวิทยาลัยอันเป็นพื้นที่การเรียนการสอนและการแสวงหาความจริงแล้วพื้นที่สำหรับความคิดนอกรั้วมหาวิทยาลัยจะเริ่มหดหายไปเช่นกัน
แถลงการณ์ดังกล่าวลงชื่อพร้อมลายเซ็นของนักวิชาการ 238 คน ทั้งไทยและต่างประเทศ ได้แก่ นอม ชอมสกี้ สถาบันเอ็มไอที แมสซาชูเซ็ตต์ สหรัฐอเมริกา, แคทเธอรีน โบวี่ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ทักษ์ เฉลิมเตียรณ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ สหรัฐ, เควิน ฮิววิสัน มหาวิทยาลัยเมอร์ด็อก ออสเตรเลีย, ดันแคน แม็กคาร์โก มหาวิทยาลัยลีดส์ อังกฤษ, เจเรมี อเดลแมน มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน สหรัฐ, นัดเต อัล อาลี มหาวิทยาลัยแห่งลอนดอน, โรเบิร์ต บี. อัล บริตตัน จากมหาวิทยาลัยแห่งมิสซิสซิปปี สหรัฐ, โจชัว บาร์เกอร์ จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา. เวย์เซล บาตมาส มหาวิทยาลัยอิสตันบูล ตุรกี, คริส แบร์รี มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ลอนดอน, โรเบิร์ก บิกเนอร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐ, โรซา คอร์ดิลเลรา คาสติลโล มหาวิทยาลัยไฟรเออ กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี, แอนิตา ชาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์ ออสเตรเลีย, โนโบรุ อิชิกาวะ และมัตสึกิ คาทาโอกะ มหาวิทยาลัยเกียวโต, โซเรน อิวาร์สสัน มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก, โทมัส ลาร์สสัน มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อังกฤษ เป็นต้น
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด