สกสว. ออกแบบโครงการสำคัญ
ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติปีงบ’65 ส่งมอบสภาพัฒน์
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กระทรวงการอุมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยภารกิจนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนวิจัยและนวัตกรรม ได้ดำเนินการจัดทำโครงการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปีงบประมาณ 2565 เพื่อส่งมอบให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ รวบรวมข้อมูลเพื่อการดำเนินการทำงานต่อของรัฐบาล
ทั้งนี้ รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล รองผู้อำนวยการด้านนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ สกสว. เปิดเผยข้อมูลว่าการดำเนินภารกิจนี้ สกสว. เดินหน้า ตามที่รัฐบาลออกแบบเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานภาครัฐที่ทำงานล้อกับยุทธศาสตร์ชาติประจำปีงบประมาณ 2565 โดยมีขั้นตอน 4 ขั้น คือ 1) ให้หน่วยงานภาครัฐ มองเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 2) จัดทำโครงการสำคัญตามการวิเคราะห์ห่วงโซ่ความสัมพันธ์ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทางของเป้าหมาย 3) จัดลำดับความเร่งด่วนของโครงการสำคัญ และ 4) จัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปี ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการดำเนินการจัดทำโครงการตามแนวทางการขับเคลื่อนดังกล่าว ร่วมกับสำนักงบประมาณ และหน่วยงานเครือข่ายเจ้าภาพ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ตามแนวทางการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม
AO6040
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
สภาพัฒนาฯ COVID-19-ปัญหาภัยแล้ง ปีนี้คนตกงานเท่าวิกฤตต้มยำกุ้ง เสี่ยงตกงาน 8.4 ล้าน
สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2563
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติขอรายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาสหนึ่ง ปี 2563 ซึ่งมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ หนี้สินครัวเรือนชะลอการขยายตัว การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังลดลง คดีอาญาลดลง การเกิดอุบัติเหตุทางบกลดลง แต่มีประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ การจ้างงานลดลง การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอสถานการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจ ได้แก่ การเลิกเรียนกลางคัน : ความเสี่ยงของอนาคตเยาวชนไทย และพฤติกรรมทางการเงินของครัวเรือนไทยและความเสี่ยงทางการเงิน รวมทั้งการเสนอบทความเรื่อง 'วิกฤต COVID-19 : บทเรียนเพื่อการก้าวต่อไปอย่างมีภูมิคุ้มกัน'โดยสรุปสาระดังนี้
การจ้างงานลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงไตรมาสหนึ่ง ปี 2563 ผู้มีงานทำ 37,424,214 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.7 จากการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลงร้อยละ 3.7 ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งที่มีความรุนแรงและต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2562 ขณะที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมยังคงขยายตัวได้เล็กน้อยที่ร้อยละ 0.5 จากการขยายตัวของการจ้างงานในสาขาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาการศึกษา
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ยังไม่แสดงผลกระทบในจำนวนการจ้างงานภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมากนัก ส่วนหนึ่งเนื่องจากในช่วงเดือนมกราคม-ต้นมีนาคม การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ยังคงจำกัดอยู่ในบางพื้นที่ และผู้ประกอบการยังรอดูสถานการณ์ของผลกระทบ อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณของผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ต่อการจ้างงานคือ ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยภาคเอกชนลดลงเท่ากับ 42.8 ชั่วโมง/สัปดาห์ จาก 43.5 ชั่วโมง/สัปดาห์ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยผู้ที่ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงขึ้นไป/สัปดาห์ ลดลงร้อยละ 9.0
นอกจากนั้น สถานประกอบการมีการขอใช้มาตรา 75 ในการหยุดกิจการชั่วคราวมีจำนวนทั้งสิ้น 570 แห่ง และมีแรงงานที่ต้องหยุดงาน แต่ยังได้รับเงินเดือน 121,338 คน ผู้ว่างงานมีจำนวน 394,520 คน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 1.03 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.92 จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว สอดคล้องกับจำนวนผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานที่ในไตรมาสหนึ่ง ปี 2563 มีจำนวน 170,144 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 และมีผู้ว่างงานแฝงจำนวน 448,050 คน คิดเป็นอัตราการว่างงานแฝงร้อยละ 1.2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ค่าจ้างที่แท้จริงภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 ผลิตภาพแรงงานลดลงร้อยละ 1.0 เป็นการลดลงจากทั้งภาคเกษตรกรรมและนอกภาคเกษตรกรรม
ปัจจัยที่กระทบต่อการจ้างงาน ปี 2563
รวมทั้งอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมจากทั้งหมด 5.9 ล้านคน คาดว่ามีผู้ได้รับผลกระทบ 1.5 ล้านคน และ (3) การจ้างงานในภาคบริการอื่นที่ไม่ใช่การท่องเที่ยวในกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐจากการปิดสถานที่ เช่น สถานศึกษา หรือสถานที่มีการรวมกลุ่มของคนจำนวนมาก เช่น ตลาดสด สนามกีฬา ห้างสรรพสินค้า ซึ่งกลุ่มนี้มีการจ้างงานจำนวน 10.3 ล้านคน คาดว่าจะได้รับผลกระทบประมาณ 4.4 ล้านคน
ทั้งนี้ คาดว่าผลกระทบของการแพร่ระบาดเชื้อ COVID-19 และปัญหาภัยแล้งต่อการจ้างงาน การว่างงาน จะปรากฏผลชัดเจนเป็นลำดับตั้งแต่ไตรมาสที่สอง และชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2563 อัตราการว่างงานจะอยู่ในช่วงร้อยละ 3-4 หรือตลอดทั้งปีมีผู้ว่างงานไม่เกิน 2 ล้านคน เนื่องจาก (1) สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มควบคุมได้และในครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคมเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางประเภทสามารถเปิดดำเนินการได้มากขึ้น (2) รัฐบาลมีมาตรการในการช่วยเหลือ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเน้นกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ และ (3) ภาคเกษตรกรรมจะสามารถรองรับแรงงานที่ว่างงานได้บางส่วนแม้ว่าจะมีปัญหาภัยแล้ง
ประเด็นที่ต้องติดตาม
หนี้ครัวเรือนชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน แต่คุณภาพสินเชื่อแย่ลง
ในไตรมาสสี่ปี 2562 สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย มีมูลค่า 13.47 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.0 ชะลอลงจากร้อยละ 5.5 ในไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากการปรับตัวลดลงในสินเชื่อทุกประเภท ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 79.8 สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2559 เป็นต้นมา เนื่องจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องและเร็วกว่าการชะลอตัวของหนี้สินครัวเรือน ด้านภาพรวมคุณภาพสินเชื่อด้อยลง โดยยอดคงค้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพื่อการอุปโภคบริโภคของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสหนึ่ง ปี 2563 มีมูลค่า 156,227 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.23 ต่อสินเชื่อรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.90 ในไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากความสามารถในการชำระหนี้ของสินเชื่อทุกประเภทด้อยลง โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่นๆ
ในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบทางลบอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยว และภาคการเกษตร โดยภาครัฐได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผ่านหลายช่องทาง ในส่วนของปัญหาหนี้สินและสภาพคล่องของประชาชนได้ดำเนินมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและบรรเทาภาระค่าครองชีพต่างๆ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน สินเชื่อฉุกเฉินสำหรับผู้ไม่มีรายได้ประจำ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ที่มีศักยภาพและไม่เป็นหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน อย่างไรก็ตาม มาตรการต่างๆ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นมาตรการระยะสั้นและมุ่งบรรเทาความเดือดร้อนเท่านั้น ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องเร่งเตรียมแผนการดำเนินงานและมาตรการต่างๆ ที่มุ่งเน้นช่วยเหลือฟื้นฟูและยกระดับรายได้ของครัวเรือนอย่างชัดเจนเพื่อให้สอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินของแต่ละครัวเรือน รวมทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ให้สามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ครัวเรือนได้เพื่อชดเชยรูปแบบหนี้ที่เน้นการอุปโภคบริโภค
การเจ็บป่วยยังต้องเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกที่กลับมาระบาดในบางพื้นที่
ไตรมาสหนึ่ง ปี 2563 มีผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังรวม 189,319 ราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 19.9 เป็นการลดลงเกือบทุกโรค โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกลดลงร้อยละ 42.8 ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ลดลงร้อยละ 26.9 ผู้ป่วยโรคหัดลดลงร้อยละ 64.6 และผู้ป่วยโรคฉี่หนูลดลงร้อยละ 44.4 เนื่องจากการเฝ้าระวังและดูแลตัวเอง รวมทั้งการเว้นระยะทางกายภาพ (Physical Distancing) เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกที่แม้ในภาพรวมของประเทศจะมีผู้ป่วยลดลง แต่มีแนวโน้มจะกลับมาระบาดอีกครั้งในบางพื้นที่จากการเข้าสู่ช่วงฤดูฝน รวมทั้งเฝ้าระวังการกลับมาระบาดหนักอีกครั้งของโรค COVID-19 และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อาทิ โรคจากความเครียด ปัญหาทางจิต และการฆ่าตัวตาย รวมทั้งการเฝ้าระวังโรคที่เกิดจากพฤติกรรมจากการกักตัวอยู่บ้าน
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น
ไตรมาสหนึ่งปี 2563 การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ขยายตัวร้อยละ 3.0 โดยการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขยายตัวร้อยละ 5.5 ขณะที่การบริโภคบุหรี่ลดลงร้อยละ 1.0 และต้องเฝ้าระวังอันตรายและความเสี่ยงของผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำที่อาจติดเชื้อ COVID-19 ได้ง่ายและมีอาการรุนแรงกว่าบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ จากมาตรการภาครัฐที่ได้มีการปิดสถานบันเทิง และห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเดือนเมษายนลดลง เหตุผลหลักที่ทำให้นักดื่มหยุดดื่มหรือดื่มน้อยลงคือ หาซื้อไม่ได้/ซื้อยาก กลัวเสี่ยงติดเชื้อ รายได้น้อยลง/ไม่มีเงินซื้อ และต้องการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และเหตุผลที่ทำให้พฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลง คือ รายได้ลดลง ต้องการดูแลสุขภาพ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และหาซื้อยาสูบได้ยากขึ้น ส่วนปัจจัยที่ทำให้พฤติกรรมการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น คือ มีความเครียดกับสถานการณ์ COVID-19 มีความเครียดจากการทำงาน และกักตุนสินค้า/กลัวสินค้าขาดแคลน/กังวลเรื่องราคาสินค้า
คดีอาญารวมลดลงจากคดีชีวิตร่างกายและเพศและคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ที่ลดลง
ไตรมาสหนึ่ง ปี 2563 คดีอาญารวมลดลงร้อยละ 4.8 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2562 โดยลดลงทั้งการรับแจ้งคดียาเสพติดร้อยละ 4.4 คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ร้อยละ 5.3 คดีชีวิตร่างกายและเพศร้อยละ 13.7 จากการที่อยู่ในช่วงประกาศภาวะฉุกเฉิน ผู้กระทำความผิดก่ออาชญากรรมยากขึ้น ขณะที่การลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจทำให้ประชาชนขาดรายได้ พบว่าในเดือนมีนาคม 2563 คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าร้อยละ 0.7 จึงต้องให้ความสำคัญกับการเข้มงวดตรวจตราเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการกระทำผิดด้านการประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
การเกิดอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตลดลงทั้งในช่วงปกติและช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2563
ไตรมาสหนึ่ง ปี 2563 สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกและจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ 6.4 และ 20.8 ตามลำดับ แต่มูลค่าทรัพย์สินเสียหายเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.0 และจากการจำกัดการเดินทาง ห้ามจำหน่ายสุรา การล็อกดาวน์ของจังหวัด ส่งผลให้เทศกาลสงกรานต์ปี 2563 เกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกและผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ 60.8 และ 56.7 ตามลำดับ ทั้งนี้ จากพฤติกรรมการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ประสบเหตุมีโอกาสเสียชีวิตสูง จึงจำเป็นต้องสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนให้ปฏิบัติตามข้อบังคับของกฎหมายอย่างเคร่งครัดและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง รวมทั้งการถอดบทเรียนการดำเนินมาตรการในช่วงจัดการโรค COVID-19 มาประยุกต์ใช้เพื่อบริหารจัดการและลดอุบัติเหตุทางถนนได้
การร้องเรียนผ่าน สคบ. และ กสทช. ลดลง
ไตรมาสหนึ่ง ปี 2563 สคบ. ได้รับการร้องเรียนสินค้าและบริการลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนร้อยละ 6.4 แม้ว่าจะมีการร้องเรียนในประเด็นการจองตั๋วเครื่องบิน/สายการบินเพิ่มขึ้นเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้มีการยกเลิกเที่ยวบิน เช่นเดียวกับการร้องเรียนผ่าน กสทช. ที่ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนร้อยละ 36.6 โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องมาตรฐานและคุณภาพการให้บริการ นอกจากนี้ การระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลให้ต้องมีการเฝ้าระวังการหลอกลวงและเอาเปรียบผู้บริโภคในด้านต่างๆ ทั้งในประเด็นข่าวปลอม สินค้าปลอม ราคาสินค้าสูงเกินจริง
การหลอกขายกรมธรรม์ และภัยไซเบอร์จากมาตรการทำงานที่บ้าน (Work from Home) โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้ง ‘ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19’ ทำหน้าที่ (1) จัดหาและบริหารจัดการหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ (2) ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจโดยคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยทำหน้าที่ในการตรวจสอบการเสนอขาย การร้องเรียน และการจ่ายเคลมประกัน อีกทั้งได้สร้างแอปพลิเคชัน ‘คนกลาง For Sure’ เพื่อตรวจสอบสถานะใบอนุญาตของตัวแทน-นายหน้าประกันภัย
การเลิกเรียนกลางคัน : ความเสี่ยงของอนาคตเยาวชนไทย
สถานการณ์เด็กและเยาวชนต้องออกจากระบบการศึกษากลางคัน แม้จะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่พบว่าจะมีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาเพิ่มตามระดับการศึกษาที่สูงขึ้น โดยนักเรียนที่เข้าศึกษาประถมศึกษาปีที่ 1 ในระหว่างปีการศึกษา 2546–2548 มีนักเรียนกว่าร้อยละ 20 ไม่จบการศึกษาภาคบังคับ (ม.ต้น) และมีนักเรียนกว่าร้อยละ 31 หลุดออกจากระบบการศึกษาก่อนสำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. และร้อยละ 38 หลุดออกจากการศึกษาในระดับอุดมศึกษา สาเหตุของการหลุดออกนอกระบบการศึกษา จากข้อมูลกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พบความยากจนถือเป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้กลุ่มเด็กและเยาวชนไทยหลุดออกนอกระบบการศึกษามีมากกว่า 670,000 คน รวมทั้งยังมีสาเหตุอื่นๆ อาทิ ปัญหาภายในครอบครัว ปัญหาแม่วัยใส การที่เด็กต้องดูแลคนป่วยคนพิการที่อยู่ในบ้าน ปัญหาการเจ็บป่วย รวมถึงการย้ายภูมิลำเนาตามผู้ปกครอง
นอกจากนี้ การหลุดออกนอกระบบการศึกษายังสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำ กลุ่มเด็กและเยาวชนในกลุ่มครัวเรือนที่รวยที่สุด (ครัวเรือนที่รวยสุด 10% บน) ได้เรียนต่อในระดับ ม.ปลาย/ปวช.ร้อยละ 80.3 และได้เรียนต่อในระดับปวส./อุดมศึกษาร้อยละ 63.1 ขณะที่กลุ่มเด็กและเยาวชนในกลุ่มครัวเรือนที่ยากจนที่สุด (ครัวเรือนที่ยากจนที่สุด 10% ล่าง) ได้เรียนต่อระดับม.ปลาย/ปวช. เพียงร้อยละ 40.5 และได้เรียนต่อในระดับปวส./อุดมศึกษาเพียงร้อยละ 4.2 นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มเยาวชนที่ไม่ได้มีสถานะอยู่ในการจ้างงาน การศึกษาและการฝึกอบรม หรืออาจกล่าวว่าไม่ได้อยู่ในกิจกรรมสะสมทุนมนุษย์ (NEETs: Not in Education, Employment or Training) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
โดยในปี 2562 มีอยู่ร้อยละ 12.87 ของเยาวชนไทยในช่วงอายุ 15 ถึง 24 ปี หรือประมาณ 1,200,000 คน ผลกระทบของการหลุดออกนอกระบบการศึกษาก่อนวัยอันควร คือ (1) ทักษะแรงงานที่ต่ำและค่าแรงที่ต่ำตามมา ส่งผลต่อฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มเด็กดังกล่าวในระยะยาวจนก่อให้เกิดวัฎจักรความจน โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนที่ยากจน (2) การขาดแคลนแรงงานในระยะยาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากรอย่างรวดเร็ว (3) ความเสี่ยงจากทักษะการทำงานที่มีอาจล้าสมัย (Skills Obsolete)ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงาน และ (4) อุปสรรคในการเพิ่มผลิตภาพทางการผลิต (Productivity) และการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศ
แนวทางการส่งเสริมเด็กและเยาวชนให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ดังนี้ (1) ร่วมมือกับหน่วยงานและภาคีในพื้นที่ในการนำเด็กและเยาวชนให้กลับสู่ระบบการศึกษาหรือการพัฒนาทักษะอาชีพ และมุ่งเน้นวางแผน การช่วยเหลือเป็นรายกรณี (2) จัดตั้งหน่วยงานเฝ้าระวัง ป้องกัน โดยต้องมีระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในการติดตามช่วยเหลือเด็กและเยาวชน และสร้างเครือข่ายทั้งภาคการศึกษาและนอกการศึกษา (3) ปรับวิธีการเรียนการสอนให้มีความยืดหยุ่นเหมาะกับสภาพปัญหาของเด็ก มีระบบสะสม โอนหน่วยกิต/เทียบวุฒิการศึกษา และมีรูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย และ (4) ศึกษาและแก้ปัญหาผ่านกลไกของรัฐ อาทิ การใช้กลไกภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (Earmarked Tax) เพื่อแก้ปัญหาตรงจุดและต่อเนื่อง
พฤติกรรมทางการเงินของครัวเรือนไทยและความเสี่ยงทางการเงิน
ในปัจจุบันสถานการณ์ครัวเรือนไทยกำลังเผชิญผลกระทบทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรม โดยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างและความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจและสังคมในระดับครัวเรือนอย่างชัดเจน ทั้งนี้ จากผลการศึกษาโครงการสำรวจและศึกษาสาเหตุที่คนไทยก่อหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และบริษัทศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ จำกัด (SAB) ได้ฉายภาพให้เห็นรูปแบบการสะสมความเสี่ยงที่ส่งผลต่อฐานะทางการเงินของครัวเรือนเป็นจำนวนมาก
ได้แก่ (1) พฤติกรรมการก่อหนี้ที่เน้นการบริโภค นำไปสู่การสร้างภาระทางการเงินของครัวเรือน และไม่สามารถช่วยยกระดับรายได้ของครัวเรือนให้สูงขึ้นได้ในระยะยาว โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายจ่ายมักเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการที่จำเป็น ขณะเดียวกันปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่ายโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เริ่มทำงานใหม่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายจ่ายเพื่อสันทนาการฯ อาทิ ค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์/บุหรี่ ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว และค่าการดูแลความสวยงาม รวมถึงทัศนคติที่พร้อมจะใช้จ่ายมากขึ้นเมื่อมีรายได้สูงขึ้น และความคลั่งไคล้ในการชอปปิง (2) ทัศนคติและพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือนมีแนวโน้มทำให้เกิดการบริโภคสูง การก่อหนี้ที่นำไปใช้จ่ายผิดประเภท และการเข้าสู่วงจรหนี้ซ้ำ
โดยเฉพาะการนำเงินที่ได้จากการกู้เพื่อประกอบอาชีพและเพื่อการศึกษาไปใช้บริโภคแทนการลงทุนและต่อยอดเพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตในระยะยาว และเมื่อไม่สามารถชำระคืนได้จะอาศัยการกู้เงินจากแหล่งอื่นเพื่อนำไปชำระหนี้คืนแทน (การก่อหนี้ซ้ำ) และ (3) การเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้เห็นความเปราะบางของครัวเรือนชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในช่วงสถานการณ์ปกติครัวเรือนไทยก็มีปัญหาทางการเงินในระดับสูง ทั้งการมีเงินออมน้อย มีภาระหนี้สูงและนาน และภูมิคุ้มกันทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ เมื่อต้องเผชิญกับภาวะที่เศรษฐกิจหดตัวทำให้ผลกระทบต่อครัวเรือนจะมีความรุนแรง และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นวงกว้าง
ในปัจจุบันการแก้ไขปัญหาของภาครัฐพยายามเร่งดำเนินการเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของครัวเรือนในช่วงระยะสั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญของการแก้ไขปัญหา คือ การแก้ไขปัญหาความเปราะบางทางการเงินในระดับเชิงโครงสร้างของครัวเรือนในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดย (1) การสร้างกลไกเพื่อบรรเทาภาระหนี้และปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้โดยมีภาครัฐเป็นสื่อกลาง (2) การยกระดับรายได้ของประชาชนให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่และความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และ (3) การส่งเสริมความรู้และสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชนผ่านช่องทางเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี 2563
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สภาพัฒฯคาดเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะปรับตัวลดลงในช่วงร้อยละ (-6.0) - (-5.0)
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2563 และแนวโน้มปี 2563
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขอแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)ในไตรมาสแรกของปี 2563 และแนวโน้มปี 2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2563
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2563 ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.8 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2563 ลดลงจากไตรมาสที่สี่ของปี 2562 ร้อยละ 2.2 (QoQ_SA)
ด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัว การใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนปรับตัวลดลง การส่งออกรวมปรับตัวลดลงตามการส่งออกบริการที่ปรับตัวลดลงมาก ในขณะที่การส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัว การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 3.0 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 4.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนและกึ่งคงทน สอดคล้องกับการชะลอตัวของฐานรายได้ที่สำคัญ ๆ ในระบบเศรษฐกิจและการลดลงของความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ในขณะที่การใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนและหมวดบริการขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 8.8 ตามการลดลงของปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล หมวดสินค้ากึ่งคงทนลดลงร้อยละ 4.4 สอดคล้องกับการลดลงของดัชนีปริมาณค้าปลีกสินค้ากึ่งคงทนและดัชนีปริมาณการนำเข้าสินค้าหมวดสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม ในขณะที่การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 2.8 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนส่วนหนึ่งจากการเตรียมการของภาคครัวเรือนเพื่อรองรับการระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งส่งผลให้การใช้จ่ายสินค้าอาหารและเครื่องดื่มหลายรายการขยายตัว และการใช้จ่ายในหมวดบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือน
ดัชนี ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 49.7 เทียบกับระดับ 56.8 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลลดลงร้อยละ 2.7 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.9 ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายรวมอยู่ที่ร้อยละ 25.3 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 22.3 ในไตรมาสเดียวกันของปีงบประมาณก่อน) การลงทุนรวมลดลงร้อยละ 6.5 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 0.8 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 5.5 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.6 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลดลงของการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรและการลงทุนในสิ่งก่อสร้าง ร้อยละ 5.7 และร้อยละ 4.3 ตามลำดับ
และการลงทุนภาครัฐลดลงร้อยละ 9.3 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 5.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนของรัฐบาลลดลงร้อยละ 22.1 สอดคล้องกับความล่าช้าของการประกาศใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ขณะที่การลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัวร้อยละ 12.1 อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนอยู่ที่ร้อยละ 10.5 เทียบกับอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 4.3 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 18.2 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในด้านภาคต่างประเทศ การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 60,867 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 1.5 เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ในขณะที่ ราคาส่งออกลดลงร้อยละ 0.4 กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าขยายตัว เช่น น้ำตาล (ร้อยละ 16.2) คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 11.0) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 15.0) เครื่องปรับอากาศ (ร้อยละ 14.8) ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (ร้อยละ 12.4) และอาหารสัตว์ (ร้อยละ 10.6) เป็นต้น กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าลดลง เช่น ข้าว (ลดลงร้อยละ 25.0) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 2.7) มันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 19.0) รถยนต์นั่ง (ลดลงร้อยละ 11.1) รถกระบะและรถบรรทุก (ลดลงร้อยละ 27.4) เคมีภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ 14.0) ปิโตรเคมี (ลดลงร้อยละ 10.7)
และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 4.4) เป็นต้น การส่งออกสินค้าไปยังตลาดอาเซียน (9) และตะวันออกกลาง (15) ขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป (15) และออสเตรเลียปรับตัวลดลง เมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 3.1 และเมื่อคิดในรูปของเงินบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 0.5 ส่วนการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 52,817 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 0.9 เทียบกับการลดลงร้อยละ 7.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.01 ในขณะที่ราคานำเข้าลดลงร้อยละ 0.9
ด้านการผลิต การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาอุตสาหกรรม สาขาเกษตรกรรม สาขาการขนส่ง และสาขาก่อสร้างปรับตัวลดลง ขณะที่การผลิตสาขาการขายส่งและการขายปลีก สาขาไฟฟ้าและก๊าซ สาขาการเงินและการประกันภัย และสาขาข้อมูลข่าวสารขยายตัว โดยสาขาเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 5.7 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการลดลงของผลผลิตพืชเกษตรสำคัญซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ผลผลิตพืชผลสำคัญที่ลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 29.4) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 29.2) อ้อย (ลดลงร้อยละ 12.7) ปาล์มน้ำมัน (ลดลงร้อยละ 19.1) มันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 5.4) และกลุ่มไม้ผล (ลดลงร้อยละ 0.4) เป็นต้น
ผลผลิตพืชผลสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา (ร้อยละ 1.1) ด้านผลผลิตหมวดประมงลดลงร้อยละ 8.3 ขณะที่ผลผลิตหมวดปศุสัตว์ขยายตัวต่อเนื่องในเกณฑ์ดีร้อยละ 3.6 ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.5 ในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน โดยดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน (ร้อยละ 123.2) กลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 23.4) ข้าวเปลือก (ร้อยละ 6.7) และอ้อย (ร้อยละ 17.3) อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางรายการปรับตัวลดลง เช่น ยางพารา (ลดลงร้อยละ 9.0) มันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 11.8) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 10.0) เป็นต้น
การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมกลับมาขยายตัวร้อยละ 2.0 สาขาการผลิตอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 2.7 ต่อเนื่องจากร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 ลดลงร้อยละ 19.0 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงร้อยละ 2.2 ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ขยายตัวร้อยละ 0.8 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 18.8) การผลิตน้ำตาล (ลดลงร้อยละ 37.7) และการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 4.3) เป็นต้น
ดัชนี ผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตเครื่องจักรอื่นๆ ที่ใช้งานทั่วไป (ร้อยละ 13.0) การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (ร้อยละ 6.9) และการผลิตสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำสด แช่เย็นหรือแช่แข็ง (ร้อยละ 12.7) เป็นต้น อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 66.7 ลดลงจากร้อยละ 70.8 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงร้อยละ 24.1 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 6.8 ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศและรายรับจากนักท่องเที่ยวลดลงมาก
โดยในไตรมาสนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 6.69 ล้านคน ลดลงร้อยละ 38.0 ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 13 ไตรมาส (นับตั้งแต่ไตรมาสที่สี่ของปี 2559) เมื่อรวมกับการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวไทย ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 0.515 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 38.2 ประกอบด้วย (1) รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 0.332 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 40.4 โดยรายรับจากนักท่องเที่ยวจากประเทศสำคัญที่ลดลง ประกอบด้วย รายรับจากนักท่องเที่ยวจีน มาเลเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ ตามลำดับ และ (2) รายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย 0.183 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 33.6 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 51.50 ลดลงจากร้อยละ 71.26 ในไตรมาสก่อนหน้า
และลดลงจากร้อยละ 78.62 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ลดลงร้อยละ 6.0 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของบริการขนส่งผู้โดยสารเป็นสำคัญ โดยบริการขนส่งทางอากาศลดลงร้อยละ 20.8 บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียงลดลงร้อยละ 4.2 และบริการสนับสนุนการขนส่งลดลงร้อยละ 2.4 อย่างไรก็ตาม บริการขนส่งทางน้ำขยายตัวร้อยละ 2.2 และบริการไปรษณีย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร ขยายตัวร้อยละ 4.4 ชะลอลงจากขยายตัวร้อยละ 10.6 ในไตรมาสก่อนหน้า
ตามการชะลอตัวของบริการโทรคมนาคมและบริการการจัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์และการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เป็นสำคัญ และสาขาการเงินและการประกันภัย ขยายตัวร้อยละ 4.5 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.4 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลมาจากการขยายตัวในเกณฑ์สูงจากสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่ออุปโภคบริโภคของบริษัทผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่สถาบันการเงิน และผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวดีขึ้น ส่วนด้านการประกันภัยโดยรวมขยายตัวเร่งขึ้น
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.0 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.4 บัญชีเดินสะพัดเกินดุล 9.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (295.8 พันล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 7.1 ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 อยู่ที่ 226.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2563 มีมูลค่าทั้งสิ้น 7,018.7 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.0 ของ GDP
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2563
เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่า จะปรับตัวลดลงในช่วงร้อยละ (-6.0) - (-5.0) เนื่องจาก (1) การปรับตัวลดลงรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (2) การลดลงรุนแรงของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ (3) เงื่อนไขและข้อจำกัดที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศ และ (4) ปัญหาภัยแล้งโดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ 8.0 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมปรับตัวลดลงร้อยละ 1.7 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ (-1.5) - (-0.5) และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 4.9 ของ GDP
รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2563 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้
ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2563
การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2563 ควรให้ความสำคัญกับ (1) การประสานนโยบายการเงินการคลังเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงการลดลงอย่างรุนแรงของรายได้จากการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก รวมทั้งเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการลดลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเพื่อสร้างความมั่นใจว่าภาคธุรกิจมีความพร้อมในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังการระบาดของโรคโควิด 19 และเงื่อนไขข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจผ่อนคลายลง (2) การผ่อนคลายมาตรการปิดสถานที่และข้อจำกัดการเดินทางควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 อย่างรัดกุม
และดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนให้พฤติกรรมในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชนและภาคธุรกิจสามารถปรับตัวเข้าสู่ระดับใกล้เคียงภาวะปกติ รวมทั้งสามารถปรับตัวสอดคล้องกับมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของภาครัฐ และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคและรูปแบบการประกอบธุรกิจที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด 19 (3) การให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้าเพื่อไม่ให้การส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงรุนแรงมากเกินไป รวมทั้งเพื่อช่วยลดผลกระทบจากการลดลงของรายได้จากการท่องเที่ยว โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้าในช่วงที่ผ่านมาและได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการระบาดของโรคโควิด 19 ในต่างประเทศ ซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าบางรายการปรับตัวเพิ่มขึ้น
เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอุปกรณ์สำนักงานและอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการทำงานที่บ้าน และวัตถุดิบสำหรับการประกอบอาหารที่บ้าน (4) การเบิกจ่ายงบประมาณภายใต้กรอบต่าง ๆ ของภาครัฐ ประกอบด้วย (i) การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ให้ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90.2 ของวงเงินงบประมาณ โดยเบิกจ่ายรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 99.0 และร้อยละ 55.0 ตามลำดับ (ii) การเบิกจ่ายงบประมาณเหลื่อมปีไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90.0 (iii)
การเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75.0 และ (iv) การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภายใต้กรอบพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฯ (5) การขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้พระราชกำหนดเงินกู้ เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนการสร้างศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะยาวภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีและกรอบงบลงทุนรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง และ (6) การเตรียมการรองรับความเสี่ยงสำคัญ ๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีและในระยะปานกลาง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
รองนายกฯ สมคิด หารือ 'กก.กลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ฯ' แก้ไขฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากภัยโควิด-19 ยกเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง-ทันสมัย สร้างงานสร้างรายได้ประชาชน
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมาตรวจเยี่ยมและประชุมหารือร่วมกับคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้บริหารสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พร้อมด้วย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และผู้แทนหน่วยงานในคณะกรรมการฯ อาทิ นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ณ ห้องประชุม 521 สศช.
ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดอำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) โดยเฉพาะในส่วนของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายใต้กรอบวงเงิน 400,000 ล้านบาท ที่ต้องเร่งดำเนินการในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน 2563 โดยรองนายกฯ เน้นย้ำ 2 ประเด็นสำคัญต่อคณะกรรมการฯ ได้แก่ (1) การวางหลักการการใช้เงินเพื่อสร้างและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็งและทันสมัย กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศโดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชน และ (2) การกำหนดกลุ่มเป้าหมายและดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่มีความชัดเจน เพื่อให้ทุกส่วนราชการมีความเข้าใจและดำเนินการในทิศทางเดียวกัน
ดร.สมคิด กล่าวด้วยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้รายได้ของประเทศไทยจากการส่งออกและการท่องเที่ยวลดน้อยลง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจึงขึ้นอยู่กับ 2 ตัวแปร คือ การใช้จ่ายของภาครัฐ และเศรษฐกิจชุมชน ดังนั้น เพื่อให้ประเทศผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือเพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือการสร้างดุลยภาพระหว่างการส่งออกและเศรษฐกิจชุมชน โดยหลังจากนี้ คณะกรรมการฯ จะวางกรอบนโยบาย รับฟังความคิดเห็นของภาครัฐและเอกชน เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้ทุกส่วนราชการนำไปประกอบการเสนอแผนงาน/โครงการและงบประมาณต่อไป
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
สภาพัฒน์ เผยผลสำรวจภาคธุรกิจ-ประชาชนส่วนใหญ่ เข้าไม่ถึงมาตรการเยียวยา เหตุติดเงื่อนไข
รายงานข่าวจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า สภาพัฒน์ได้เสนอรายงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมรับทราบ ถึงผลสำรวจข้อคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลอดจนปัญหาและความต้องการของภาคธุรกิจที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากกลุ่มเป้าหมาย 8,929 คน ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 9-14 เม.ย.63
จากผลการสำรวจพบว่าคนส่วนใหญ่ ถึง 88% ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ และมาตรการช่วยเหลือ อาจจะไม่เพียงพอ หากสถานการณ์ยาวนานกว่า 3 เดือน โดยมีเพียง 12% ที่ยืนยันว่าได้รับความช่วยเหลือ
ส่วนข้อมูลที่ได้จาก "นายจ้าง" พบว่า 89% ไม่ได้รับการช่วยเหลือเพราะส่วนใหญ่ติดเงื่อนไข โดยมองว่ามาตรการด้านการเงินที่ได้รับยังไม่เพียงพอต่อการพยุงธุรกิจ หรือแก้ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินในช่วงวิกฤติ 3-6 เดือน และต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมในด้านการลดภาระค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ รวมถึงการเตรียมเงินทุนสำหรับการฟื้นฟูกิจการ โดยกลุ่มนายจ้าง มีข้อเสนอแนะดังนี้
เร่งกระบวนการช่วยเหลือให้ถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเร็ว เช่น ลดขั้นตอนติดต่อและการดำเนินงานของภาครัฐ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และเร่งการเบิกจ่ายช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มโดยตรง เป็นต้น
ปรับลดภาษี ในส่วนของภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และเพิ่มวงเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ที่บุคคลสามารถเอามาลดหย่อนภาษีได้
ผ่อนปรนเงื่อนไขในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะหลักเกณฑ์การขอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เช่น การกำหนดอายุของบริษัท การอิงกับยอดขาย และการกำหนดวางค้ำประกัน เป็นต้น
อนุญาตให้ลูกจ้างสามารถนำเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนประกันสังคมมาใช้ล่วงหน้าได้ โดยกำหนดระยะเวลาชำระคืน 9 –12 เดือนแบบปลอดดอกเบี้ย
ผ่อนปรนธุรกิจบางประเภทให้สามารถเปิดทำการได้โดยมีเงื่อนไข อาทิ ให้ผ่อนคลายเรื่องการให้ลูกค้านั่งรับประทานอาหารที่ร้าน โดยยึดหลักเกณฑ์และระเบียบตามมาตรการด้านสาธารณสุข
สนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ของ SMEs โดยการส่งเสริมจัดตั้งกองทุนการเงินเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมแฟรนไชส์ในการลดภาระการเข้าถึงแหล่งเงินกู้
ส่วนข้อมูลจาก 'ลูกจ้าง พนักงาน แรงงาน'ส่วนใหญ่ 88% ระบุว่าไม่ได้รับการช่วยเหลือ เพราะส่วนใหญ่ติดเงื่อนไขเช่นกัน ทั้งนี้ แม้ส่วนใหญ่ได้รับความช่วยเหลือด้านการลดภาระค่าใช้จ่ายและมาตรการด้านการคลัง แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องการความช่วยเหลือด้านการลดภาระค่าใช้จ่าย ลดหนี้สิน และการเสริมสภาพคล่องด้านการเงินเพิ่มเติม เพื่อประคับประคองให้รอดพ้นจากช่วงวิกฤตอย่างน้อย 3 เดือน
ด้านข้อมูลจากกลุ่ม 'อาชีพอิสระ' ส่วนใหญ่ 89% ระบุว่าไม่ได้รับความช่วยเหลือ เพราะยังติดเงื่อนไขเช่นกัน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ส่วนใหญ่มีรายได้ไม่แน่นอน และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐเนื่องจากติดปัญหาด้านเงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนดไว้ ดังนั้น กลุ่มนี้ต้องการให้ภาครัฐผ่อนปรนเงื่อนไขให้เหมาะสมและเร่งช่วยเหลือด้านการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคในชีวิตประจำวัน และการผ่อนปรนภาระหนี้สิน
ขณะที่ข้อมูลจากกลุ่ม 'ผู้ว่างงาน' ส่วนใหญ่ 91% ระบุว่าไม่ได้รับความช่วยเหลือ เพราะติดเงื่อนไขเช่นกัน ทั้งนี้ผู้ว่างานเป็นกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด แต่กลับเข้าถึงความช่วยเหลือน้อยที่สุด และมีแนวโน้มจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน หากภาครัฐไม่เพิ่มความแรงในการเข้าช่วยเหลือ เนื่องจากผู้ว่างงานมีภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
สำหรับ ข้อเสนอแนะในภาพรวมจากทุกกลุ่ม ประกอบด้วย 4 เรื่องหลัก ดังนี้
1.เพิ่มการเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือ
ควรขยายมาตรการช่วยเหลือให้ให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มตามลักษณะความต้องการที่เหมาะสม ไม่ควรกำหนดมาตรการเดียวเพื่อประชาชนทั้งประเทศ
ลดเงื่อนไขการเข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือ โดยกำหนดสิทธิการเข้าถึงการช่วยเหลือที่ชัดเจนเหมาะสม และเสมอภาค และเพิ่มช่องทางการประสานงานช่วยเหลือประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
จัดหางานให้กับประชาชนที่ถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์โควิด-19 ด่วนที่สุด
2.ลดภาระค่าใช้จ่ายผู้ประกอบการและประชาชน
สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและพักหนี้โดยปราศจากเงื่อนไขที่มีความซับซ้อน/ยุ่งยาก และมีมาตรฐานเดียวกันทุกสถาบันการเงิน
คืนภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามสัดส่วนขนาดธุรกิจ คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม งดเว้นการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น และเพิ่มการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด