สปช.เห็นชอบปรับค่าโทรมือถือเป็นวินาที เตรียมนัดถกอีกรอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) มีการประชุม เพื่อพิจารณารายงานการกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริงโดยคิดเป็นวินาที ซึ่งคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาแล้วเสร็จ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้บริโภค โดยมีนางทัศนา บุญทอง รองประธาน สปช.คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม
โดยมีการสรุปสาระสำคัญดังนี้ 1. การกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริงโดยคิดเป็นวินาที เป็นการปฏิรูปโดยเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและระบบวิธีคิดโดยคิดตามการใช้งานจริง ซึ่งอาจใช้เป็นแบบอย่างในการพิจารณาปรับเปลี่ยนวิธีคิดอัตราค่าบริการในเรื่องต่าง ๆ ของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม อาทิ การคิดอัตราค่าบริการอินเตอร์เน็ต รวมทั้ง เรื่องอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
2.การกำหนดอัตราค่าบริการโดยคิดเป็นวินาทีดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งในการปฏิรูปในเรื่อง ที่เป็นรูปธรรมและใกล้ตัวผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคยังคงถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ ดังนั้น การกำหนดอัตราค่าบริการโดยคิดเป็นวินาทีจะส่งผลให้ประชาชนที่เป็นผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการกำหนดอัตราค่าบริการรูปแบบใหม่
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการฯจะได้รับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตจากที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในเรื่องการกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริงโดยคิดเป็นวินาทีเพิ่มเติมต่อไป
ส่วนกำหนดวัน เวลา และสถานที่ประชุมคณะกรรมาธิการในครั้งต่อไป จะแจ้งเป็นหนังสือ ให้ได้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สปช. วิบูลย์ ชี้การวางแผน PDP ควรให้สิทธิประชาชน รับรู้-มีทางเลือก
ในการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญติดตามและให้ข้อเสนอแนะการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่จัดทำสรุปความเห็นหรือข้อเสนอแนะในการยกร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ประจำสภา 18 คณะ วันที่สอง นายวิบูลย์ คูหิรัญ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ประธานคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปกิจการไฟฟ้า ในคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงานของ สปช. และอดีตผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้อภิปรายในประเด็นการปฏิรูปพลังงานดังนี้
นายวิบูลย์ ระบุว่าในส่วนสิทธิและหน้าที่พลเมืองในด้านพลังงาน เห็นว่าเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการวางแผนที่จะดำเนินการเพื่อใช้เป็นแผนพลังงานของชาตินั้น ควรจะได้มีการจัดให้มีการประชาพิจารณ์แผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า (PDP) ก่อนที่จะมีการประกาศใช้ เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงผลดี ผลเสียของแต่ละระบบในแผน และผลที่ประชาชนจะได้รับ ก่อนที่จะให้ประชาชนได้เลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่ง นอกจากนี้ประชาชนควรมีหน้าที่ติดตามตรวจสอบการดำเนินการให้ตรงตามแผนที่ประชาชนให้ความเห็นชอบหลังการประกาศใช้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และประชาชนควรให้การสนับสนุนการดำเนินการต่างๆ ตามแผนที่ประชาชนได้ให้ความเห็นชอบ ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าต่างๆ เมื่อผ่านการทำ EIA และ EHIA แล้ว ซึ่งจะสามารถป้องกันการเกิดวิกฤตพลังงานในอนาคตได้
และในเรืองของการวางแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า (PDP) นั้น จะต้องเน้นการกระจายแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าให้สามารถดูแลการบริการในเขตพื้นที่ย่อยๆ ออกไปได้ มีการกระจายชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้มีความเหมาะสมเพื่อความมั่นคงของระบบ ไม่ควรใช้เชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป และควรสนับสนุนเชื้อเพลิงประเภทที่จะเป็นประโยชน์ต่อการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น เชื้อเพลิงจากขยะ ของเสียจากอุตสาหกรรมการเกษตร และมูลสัตว์ เป็นต้น นอกจากนี้ในแผน PDP จะต้องมีการกระจายระบบสายส่งให้ครอบคลุมทั่วถึงตามความต้องการไฟฟ้า สามารถรับ -ส่งพลังงานไฟฟ้าได้แม้จะเกิดปัญหาจุดใดก็สามารถส่งไฟฟ้าจากที่อื่นไปให้ได้ทันที และในอนาคตจะต้องมีการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าทั่ว AEC และไทยควรมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางในการซื้อ-ขาย พลังงานไฟฟ้าของ AEC ด้วย
และสุดท้ายต้องคำนึงถึงแผนอนุรักษ์พลังงาน ควรนำมาประกอบในการจัดทำแผน PDP เพื่อให้การลงทุนก่อสร้างแหล่งผลิตไฟฟ้าลดลง ซึ่งจะมีผลต่อค่าไฟที่จะไม่เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนเพิ่ม ควรมีการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานด้วยความจริงจังเพื่อให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะสามารถช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย
นอกจากนี้ ในการอภิปราย นายวิบูลย์ยังฝากถึงการดูกฎระเบียบการอนุญาตให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Plant - SPP) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ เพราะขณะนี้สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศมีสัดส่วนประมาณ 68-70% แล้ว หรือติดตั้งในระบบกว่า 33,000 - 34,000 MW แล้ว และยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการติดตั้งถึงอีก 6,000 MW ซึ่งนายวิบูลย์มีความกังวลถึงความมั่นคงด้านพลังงานที่ใช้สัดส่วนเชื่อเพลิงชนิดนี้ผลิตไฟฟ้ามากจนเกินไป
สนช.รับหลักการร่างพ.ร.บ.ภาษีมรดก ด้วยคะแนนเห็นชอบ 160 เสียง ต่อ 16 เสียง และงดออกเสียง 10 เสียง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ.... และร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ.... โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้ นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ชี้แจงถึงหลักการและเหตุผลของร่างพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดกว่า เนื่องจากที่ผ่านมาการถ่ายโอนทรัพย์สินทางกองมรดกไม่ต้องเสียภาษี ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม จึงควรจัดเก็บเพื่อนำไปพัฒนาประเทศ ยกระดับการดำรงชีพของประชาชนที่ยากไร้โดยไม่ให้กระทบกับผู้ได้รับมรดกพอสมควรกับการดำรงชีพ ส่วนร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรนั้น เป็นการแก้ไขให้สอดคล้องกับร่างพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก ซึ่งประมวลรัษฎากรนั้นยังมีการงดเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี รวมถึงจากการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม
นายสมหมาย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันรายได้จากการเก็บภาษีอยู่ที่ 18% ต่อจีดีพี ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วจะสูงถึง 30-40 % การจัดเก็บภาษีสูงนั้นไม่ได้หมายความว่าไปรีดเค้นจากประชาชน แต่เป็นการเก็บเพื่อให้มีการกระจายรายได้ ไม่ไปกระจุกอยู่ที่คนกลุ่มหนึ่ง แล้วเอาเงินมาพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีมรดก 10 % จากส่วนที่เกิน 50 ล้านบาทนั้น จะทำให้รายได้จากการเก็บภาษีขยับอยู่ที่ 21-22% เรื่องภาษีมรดกนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศมีการจัดเก็บตั้งแต่ 20-40 % ขณะที่ของประเทศไทยไม่ได้เก็บจากมรดกบาทแรก แต่เก็บจากเงินที่เกิน 50 ล้านบาท สมมติว่าหากมรดก 200 ล้านบาท แบ่งให้ลูก 3 คน เราจะเก็บเฉพาะส่วนที่เกินคนละ 50 ล้านบาทคือ ประมาณ 10 กว่าล้านบาท เมื่อเก็บคนละ 10 % ก็จะได้คนละล้านกว่าบาท ซึ่งไม่ได้สูงมาก ประเทศฟิลิปปินส์ก็เก็บแบบขั้นบันได ประเทศ?เวียดนามก็เก็บเท่ากับประเทศไทย ขณะที่ประเทศเกาหลีอยู่ที่ 10-50 % อย่างไรก็ตาม หากคนไม่มีเงินชำระภาษีก็สามารถผ่อนจ่ายได้เป็นเวลา 5 ปี โดย 2 ปีแรกนั้นไม่ต้องเสียดอกเบี้ย หรือถ้าหากไม่มีเงินก็สามารถไปจัดตั้งเป็นกองมรดกได้
ด้านนายประดิษฐ์? วรรณรัตน์ สนช. ลุกขึ้นอภิปรายว่า 12 ใน 25 ประเทศที่จัดเก็บภาษีมรดกนั้นปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว อาทิ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ และนอร์เวย์ เพราะไม่คุ้มค่ากับการจัดเก็บและไม่ต้องการให้รายได้ออกไปนอกประเทศจากการหลบเลี่ยงภาษีมรดก สำหรับสัดส่วน 10 % นั้นถือว่าสูงเป็นลำดับที่ 5 ของโลก อีกทั้งยังถูกมองว่าก่อนจะมาเป็นมรดกนั้นก็ได้ผ่านการเก็บภาษีมาแล้วทั้งภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีมรดกจะต้องไม่ทำให้ถูกมองว่าเป็นการเสียสองต่อ ทั้งนี้ ยังมีทางเลือก?อื่น อาทิ การเพิ่มการจัดเก็บภาษีฟุ่มเฟือย ทั้งรถยนต์ เหล้า และบุหรี่ ที่จะทำให้การจับเก็บรายได้เพิ่มขึ้น ?ดังนั้น อยากให้พิจารณาให้รอบคอบด้วย
นายโกศล เพ็ชร์สุวรรณ์ สนช. อภิปรายว่า การจัดเก็บภาษีมรดกอาจจะทำให้ประเทศอื่นได้ประโยชน์มหาศาล เพราะอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้เศรษฐีไทยนำเงินไปเก็บไว้ที่ประเทศอื่นซึ่งไม่ต้องเสียภาษีมรดกได้ ดังนั้น ต้องพิจารณาให้รอบคอบ? ทั้งในประเด็นการบริหารจัดการที่ต้องป้องกันไม่ให้มีการหลบเลี่ยงภาษีมรดกเหมือนกับที่หลายประเทศประสบมาแล้ว และต้องระวังเรื่องความไม่เป็นธรรมกับคนชั้นกลาง ผู้ประกอบการเอ็สเอ็มอี ที่ทุ่มเททำงานแต่ต้องมาเสียภาษีซ้ำซ้อน รวมทั้งทายาทผู้เยาว์ที่อาจจะประสบปัญหาไม่สามารถช่วยตัวเองในการรับมรดกได้อีกด้วย ?
นายสมชาย แสวงการ สนช. อภิปรายว่า ฝากให้พิจารณาให้รอบด้านว่า เมื่อทำแล้วจะไม่เกิดการลดการออมในประเทศ โดยจัดการรับฟังความคิดเห็นให้รอบด้าน เพราะนักวิชาการหลายมหาวิทยาลัยเห็นตรงกันว่า ภาษีมรดกยังเป็นปัญหา ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำได้ตรงจุด นอกจากนี้ อยากให้ผลักดันกฎหมายภาษีอื่นๆ ด้วย อาทิ ภาษีที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และต้องนำเข้าสู่สภาฯ โดยเร็ว ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า ในส่วนของที่ดินการเกษตรนั้นจะมีการยกเว้นหรือไม่ เช่น ถ้าถนนตัดผ่านแล้วทำให้ที่ดินเกษตรราคาสูงและต้องการเก็บที่ดินไว้ทำการเกษตรต่อไปนั้น ควรจะงดเว้นภาษีหรือไม่ และเจ้าของที่ดินที่เป็นบริษัทเกษตรรายใหญ่ เป็นอภิมหาเศรษฐี จะได้รับการงดเว้นหรือไม่ ขอให้มีหลักเกณฑ์ที่มีความชัดเจน อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วสนับสนุนกับการจัดเก็บภาษีแบบขั้นบันไดเพื่อทำให้เกิดการปรับตัว จากน้อยไปหามาก เพราะจะทำให้ไม่เกิดการหลบเลี่ยงภาษี
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สนช. อภิปรายว่า รู้สึกเป็นห่วงกับการจัดเก็บภาษีมรดกที่ไม่แน่นอน หากกระทรวงการคลังตั้งเป้าไว้ที่เรื่องลดความเหลื่อมล้ำนั้น จะสามารถทำได้จริงหรือไม่ เพราะหากมีการตั้งกองมรดก มูลนิธิ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้ ยังไม่รวมกับการโยกย้ายไปยังต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ รู้สึกสงสัยว่า เหตุใดจึงเก็บเฉพาะภาษีการรับมรดก แต่ไม่เก็บในส่วนของกองมรดกที่เคยทำมาแล้วตั้งแต่ปี 2476 แต่ยกเลิกไป ทั้งๆ ที่ทำให้รายได้เข้ารัฐเป็นกอบเป็นกำ และประเมินครั้งเดียวแต่ผลระยะยาว ส่วนที่มีการกำหนดว่าเก็บภาษีมรดกจากที่เกิน 50 ล้านบาทนั้น ต่อไปเงินเฟ้อแต่ละปีอาจจะทำให้ค่าเงินน้อยลง ซึ่งจะกลายเป็นภาระให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยได้
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ สนช. อภิปรายว่า การจะนำภาษีที่ได้ไปใช้ช่วยเหลือผู้ยากไร้นั้น ควรมีหลักประกันเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการยกระดับชีวิตคนยากไร้ ซึ่งไม่ควรอยู่ในงบประมาณ แต่ควรจะกำหนดให้ชัดเจนว่า จะไปพัฒนาในรูปแบบไหน และหากจะเก็บภาษีนั้นต้องให้เวลากับผู้ประกอบการในการเสียภาษีมรดกด้วย อย่างไรก็ตาม การมีกฎหมายนี้จะเป็นการเร่งให้มีการโอนเงินให้กับทายาท อาจจะทำให้เป็นการสร้างความแตกแยกภายในครอบครัวให้เร็วขึ้นหรือไม่
ขณะที่นายสมหมาย ชี้แจงว่า สาเหตุที่เก็บภาษีมรดกในอัตราคงที่? ไม่เป็นแบบขั้นบันไดนั้น เนื่องจากเราเจตนาที่จะเก็บจากผู้ที่มีรายได้สูงมากกว่าผู้ที่มีรายได้ปานกลางอยู่แล้ว จะเห็นได้จากการกำหนดให้เก็บภาษีจากมรดกที่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงแล้ว ?ส่วนกรณีที่หลายประเทศยกเลิกการจัดเก็บภาษีมรดก เช่น ?นอร์เวย์นั้น เนื่องจากเขามีระบบภาษีการกระจายรายได้ที่ดีมาก คนนอร์เวย์ไม่มีคนรวยมาก จนมาก ไม่เหลื่อมล้ำ เขาใช้การเก็บภาษีอื่นได้ แต่ประเทศไทยต้องเก็บภาษีมรดกเพราะเป็นสัญลักษณ์อันหนึ่ง และเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ ควบคู่ไปกับภาษีที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง เพื่อขยายฐานภาษีให้มีประสิทธิภาพ
นายสาธิต รังคสิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า ประเด็นปัญหาที่ห่วงกันว่าผู้รับมรดกจะไม่สามารถชำระภาษีได้นั้น หากเป็นในส่วนของที่ดินต่างจังหวัด ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาทคงไม่เป็นภาระเท่าไหร่ แต่ในส่วนที่ดินที่มีราคาแพง อาทิ ย่านเยาวราช ข้อเท็จจริงนั้นมีการทำธุรกิจควบคู่ไปกับที่อยู่อาศัย จึงมีความสามารถที่จะชำระภาษี อีกทั้งกฎหมายยังเปิดช่องให้ผ่อนชำระ 5 ปี โดย 2 ปีแรกไม่มีดอกเบี้ย และหากยังมีปัญหาก็ยังสามารถทำเป็นกองมรดกที่จะไม่ต้องเสียภาษีจนกว่าจะขายหรือมีเงินมาชำระภาษีได้อีกด้วย
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
รมว.คลังเผยสนช.รับหลักการร่างพ.ร.บ.ภาษีมรดกวาระแรก ยังยืนเพดานเดิม 10%
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 160 ต่อ 16 เสียง พร้อมให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 25 คน และกำหนดกรอบเวลาการทำงานของกรรมาธิการวิสามัญรวม 90 วัน พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ด้วยเสียงข้างมาก 172 ต่อ 8 เสียง พร้อมแปรญัตติ 15 วัน ระยะเวลาทำงาน 90 วัน
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) วันนี้ มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. เป็นประธานการประชุม โดยได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก และร่างพ.ร.บ.แก้ไขประมวลรัษฎากร ฉบับที่..พ.ศ.... ซึ่งเสนอโดยคณะรัฐมนตรี โดยเป็นการพิจารณาคู่ขนานเนื่องจากเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกัน
นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า วันนี้สนช. ได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก ในวาระแรก ซึ่งการพิจารณาของที่ประชุม สนช.ในวาระแรกไม่พบว่ามีปัญหาใดๆ และได้มีการรับหลักการในวาระแรกไปแล้ว ทั้งนี้ในที่ประชุมได้มีการเสนอให้จัดเก็บภาษีดังกล่าวในอัตราก้าวหน้า ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วมองว่าไม่จำเป็น เพราะไม่ต้องการให้อัตราภาษีที่สูงเป็นเหตุที่จะทำให้มีการนำเงินออกนอกประเทศ
"ในที่ประชุมได้เสนอให้มีการเก็บภาษีแบบยืดหยุ่น โดยให้พิจารณาถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ซึ่งส่วนตัวมองว่าอัตราภาษีที่ 10% อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว และจะไม่เป็นการผลักดันให้มีการโยกออกนอกประเทศ" รมว.คลัง กล่าว
อย่างไรก็ดี สำหรับภาษีมรดกที่เสนอจัดเก็บในอัตราเพดานที่ 10% นั้นจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันได้กำชับให้ที่ประชุมพิจารณากฎหมายนี้อย่างรอบคอบและเป็นกลางที่สุด
ทั้งนี้ อีก 90 วันจึงจะมีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดกเป็นวาระที่ 2
นายสมหมาย กล่าวว่า การถ่ายโอนมรดกในปัจจุบันได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ไม่ว่าทรัพย์สินจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด จึงก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม สมควรที่จะต้องจัดเก็บภาษีตามสมควรจากการรับมรดกที่มีมูลค่าจำนวนมาก เพื่อนำไปพัฒนาประเทศและยกระดับการดำรงชีวิตของประชาชนที่ยากไร้ให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 20-21 แต่ยืนยันว่าจะไม่ให้กระทบถึงผู้ที่ได้รับมรดกพอสมควรแก่การดำรงชีพ เพราะสามารถผ่อนชำระภาษีได้ถึง 5 ปี โดย 2 ปีแรกไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ อีกทั้งในต่างประเทศล้วนจัดเก็บภาษีในลักษณะนี้เช่นกัน
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก จะมีทั้งหมด 38 มาตรา โดยมีสาระสำคัญ คือ การจัดเก็บภาษีมรดก จะเก็บจากผู้ที่ได้รับมรดกที่มีมูลค่า 50 ล้านบาทขึ้นไป ในอัตรา 10% โดยจะต้องเป็นการโอนมรดกให้กับทายาทโดยตรงเท่านั้น ส่วนการโอนทรัพย์สินให้บุคคลอื่นโดยเสน่หานั้น จะต้องเข้าข่ายต้องเสียภาษีการรับให้ ซึ่งกระทรวงการคลังเสนอให้มีการแก้ไขประมวลรัษฎากรของกรมสรรพากร โดยเรียกเก็บภาษีในอัตรา 5% สำหรับทรัพย์สินที่มีการโอนมากกว่า10 ล้านบาทขึ้นไป และผู้ได้รับทรัพย์สินดังกล่าวยังต้องมีภาระในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย ซึ่งปัจจุบันจัดเก็บในอัตราสูงสุดที่ 35% ทำให้ผู้ที่ต้องการผ่องถ่ายทรัพย์สินจะโดนจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนมากขึ้น
ในระหว่างการอภิปรายนายมณเทียร บุญตัน สมาชิกสนช. ได้ท้วงติงว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมได้จริงในทางปฏิบัติ และเสนอให้ปรับการจัดเก็บเป็นแบบขั้นบันได
อย่างไรก็ดี ยังสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะอาจจะมีคนที่เลี่ยงการเสียภาษีในส่วนนี้ไปตั้งเป็นกองทุนสาธารณะกุศล เหมือนในต่างประเทศที่เมื่อมีกฎหมายภาษีมรดกจะเกิดกองทุน, มูลนิธิ, องค์กรสาธารณะกุศลเพื่อสังคมจำนวนมาก
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสนช. กล่าวว่า กฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่ดีในการส่งสัญญาณที่จะสร้างความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำ แต่ควรต้องรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน เพราะอาจจะส่งผลให้คนเลี่ยงไปออมเงินในต่างประเทศแทน
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ สมาชิกสนช. กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลชี้แจงให้ชัดเจนว่าการจัดเก็บภาษีการรับมรดกจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศด้านใด และเป็นไปในรูปแบบใด และอยากให้พิจารณาเรื่องการให้เวลาเรียกเก็บภาษีกับผู้ประกอบการหรือผู้รับมรดกที่อาจจะไม่สามารถจ่ายได้ทันที และมองว่าร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้อาจทำให้เกิดปัญหาในครอบครัว ที่เสมือนบังคับให้บุพการีแบ่งมรดกให้ลูกเพื่อเลี่ยงการเสียภาษี ในขณะที่ลูกบางคนอาจจะยังไม่มีความพร้อมในการรับมรดก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวางแล้ว นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ได้ชี้แจงถึงการไม่จัดเก็บภาษีแบบขั้นบันไดหรืออัตราก้าวหน้าว่า เพราะต้องการเก็บภาษีจากผู้ที่มีรายได้สูงจริงๆ ซึ่งคณะรัฐมนตรีคำนึงถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยที่เกิดขึ้นมาก จึงผลักดันกฎหมายฉบับนี้ออกมา
ขณะที่นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวย้ำว่า การเสียภาษีมรดกจะจัดเก็บเฉพาะทรัพย์สินที่ประเมินได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท โดยหากมีพิธีกรรมรับมรดกแล้วต้องจ่ายภาษีภายใน 150 วัน และหากสามารถค้นหาทรัพย์สินเจอภายหลังเสียชีวิต ประเมินราคาทรัพย์สินไม่เกิน 50 ล้านบาทก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี ส่วนกรณีต่างชาติเข้ามาอาศัยในประเทศไทยโดยมีภรรยาหรือเข้ามาทำงาน หากเกินระยะเวลา 3 ปีจะต้องเสียภาษีมรดกด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล
อินโฟเควสท์
วันที่ 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 18:15:06 น.
สนช.เคาะ 5 กมธ.ยกร่าง ‘สมเจตน์’ปิว ดิสทัตที่ 1-กาญจนารัตน์ 2
แนวหน้า : สนช.เคาะ5กมธ.ยกร่าง ‘สมเจตน์’ปิว ดิสทัตที่1-กาญจนารัตน์ 2 ‘ปรีชา-วุฒิศักดิ์-ยอดยุทธ ’บิ๊กป๊อกหนุนบวรศักดิ์ปธ.‘ตู่’ชี้ล็อกรัฐธรรมนูญชัวร์
ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธานการประชุม มีระเบียบวาระสำคัญคือ การพิจารณาเสนอสมาชิก สนช.เพื่อไปเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กมธ.ยกร่างฯ) ในสัดส่วนของ สนช.จำนวน 5 คน ทั้งนี้ นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ สมาชิก สนช.และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แจ้งถอนตัวต่อที่ประชุม โดยให้เหตุผลว่า ก่อนหน้านี้มีสมาชิกทาบทามให้เป็นกมธ.ยกร่างฯเพราะต้องการให้มีตัวแทนด้านกฎหมายเข้าไป แต่เมื่อมีผู้ประสงค์สมัครเข้ามาถึง 11คนเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่จำเป็นต้องได้ผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายและหนึ่งในผู้สมัครมีชื่อของ นายดิสทัต โหตระกิตย์ สมาชิก สนช.ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่วมอยู่ด้วย จึงขอถอนตัว เพื่อให้เกิดหลากหลายมากขึ้น
สั่ง’ลงคะแนนลับ’เคาะ 5 เก้าอี้
จากนั้น ที่ประชุมจึงถอนรายชื่อ นายชูเกียรติ ออกไป ทำให้เหลือผู้สมัครเป็นกมธ.ยกร่างฯ 10คน ซึ่งวิธีการเลือกให้เจ้าหน้าที่แจกบัตรกับสมาชิก สนช.ลงคะแนนลับ ต่อมา นายพรเพชร ได้เชิญสื่อมวลชนออกจากห้องประชุม จากนั้นได้นับองค์ประชุมปรากฏว่า มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 182คน เจ้าหน้าที่จึงแจกบัตรลงคะแนนให้กับสมาชิก โดยให้ลงคะแนนได้ไม่เกิน 5คน
‘ดิสทัต’เข้าที่1-‘สมเจต์’สอบตก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงคะแนนใช้เวลาไม่ถึง 5นาที แต่ใช้เวลานับคะแนนกว่า 2ชั่วโมง จากนั้น นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.ได้แจ้งผลลงคะแนนปรากฏว่า สนช.5 ราย ที่ได้เข้าไปเป็น กมธ.ยกร่างฯได้แก่ 1.นายดิสทัต โหตระกิตย์ ได้ 175คะแนน 2.นางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ กรรมการกฤษฎีกาและอดีตกมธ.ยกร่างฯพ.ศ.2550 ได้ 167 คะแนน 3.นายปรีชา วัชราภัย อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้ 149 คะแนน 4.นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ 126 คะแนน 5.พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกมธ.เกษตรและสหกรณ์ สนช.ได้ 100คะแนน
ส่วนคะแนนผู้สมัครรายอื่น คือ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ได้ 85 คะแนน รศ.ทวีศักดิ์ สูกทวาทิน ได้ 67 คะแนน นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง ได้ 37 คะแนน พล อ.นิวัติ ศรีเพ็ญ ได้ 26 คะแนน และนายประมุท สูตะบุตร ได้ 24 คะแนน ก่อนปิดประชุมในเวลา 12.13น.
‘อลงกรณ์’ยันไร้ใบสั่ง 20 กมธ.
ด้าน นายอลงกรณ์ พลบุตร สมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ(สปช.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการประสานงานกิจการ สปช.ชั่วคราว (วิป สปช.ชั่วคราว) กล่าวถึงภาพลักษณ์ของกรรมาธิการยกร่างฯในสัดส่วนของ สปช.จำนวน 20คน ว่า เป็นที่น่าพอใจ เพราะมีความหลากหลายและคลอบคลุมในด้านสาขาครบทั้ง 11ด้าน รวมทั้งระดับภาคครบ 4ภาค นอกจากนี้ ยืนยันว่า การคัดเลือกกมธ.ยกร่างฯไม่มีการล็อคสเปก สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อาจได้เป็นประธานกรรมาธิการยกร่างฯนั้น นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่า นายบวรศักดิ์ มีความเหมาะสม เพราะมีความรู้ ความสามารถ และได้รับการยอมรับจากสังคม อีกทั้งยังเป็นนักวิชาการที่ดีอีกด้วย
‘เอนก’โวมีสติปัญญาทำงานเอง
ขณะที่ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิก สปช.ด้านการเมืองและหนึ่งในกมธ.ยกร่างฯกล่าวถึงกรณีที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน สปช.ในฐานะกรรมการยกร่างฯระบุว่า จะร่างรัฐธรรมนูญตามสัญญามวลมหาประชาชน ว่า แต่ละคนก็เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก มีการไปคุยกับคนมาแตกต่างกัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนฝากเรื่องนั้นเรื่องนี้มา แต่เวลาพิจารณาจริงๆ กมธ.แต่ละคนมีสติปัญญาพอที่จะเลือกกลั่นกรองข้อมูลเพื่อส่วนร่วมมากที่สุด ดังนั้นตอนนี้อย่าเพิ่งไปกังวลอะไร เราต้องฟังความเห็นหลายด้านหลายทาง เพราะเมื่อถึงเวลาพิจารณาไม่ใช่ทำงานคนเดียว ก็ต้องคิดให้รอบด้านเพื่อประโยชน์สุขของประเทศ
‘บิ๊กป๊อก’พอใจ 20 สปช.นั่งกมธ.
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงหน้าตากรรมาธิการยกร่างฯในส่วนของ สปช.จำนวน 20คน ว่า ตนคิดว่าดี เพราะดูแล้วเป็นการคัดสรรภายในของ สปช.ซึ่งความจริงสปช.ก็เป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นคนที่ได้รับการคัดเลือกมา คนที่มีรายชื่อดูแล้วก็ดูดีเพราะมีทุกสาขา สำหรับกรรมาธิการยกร่างฯในส่วนของคณะรัฐมนตรี(ครม.)และคสช.นั้น เท่าที่นายกรัฐมนตรี ดำริไว้ คือ วันที่ 4 พฤศจิกายน จะประชุมเป็นวาระ โดยจะมีส่วนของ คสช.ส่วนหนึ่งและครม.ต้องแยกกันตามกฎหมาย
หนุน’บวรศักดิ์’นั่งปธ.ยกร่างฯ
เมื่อถามว่า ล่าสุดปรากฏชื่อ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานกรรมาธิการยกร่างฯคิดว่าเหมาะสมหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าท่านใดก็ได้ในสภาปฏิรูป มีคุณสมบัติถึงเยอะ ไม่ว่าจะเป็นท่านดังกล่าว หรือเป็นท่านอื่น แต่เป็นเรื่องของสภาปฏิรูป เมื่อถามว่า นายบวรศักดิ์ แย้มว่า การร่างรัฐธรรมนูญควรให้คู่ขัดแย้งเข้าร่วมด้วย มีความเห็นอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า น่าจะดี เป็นความคิดที่มีเหตุผลในตัวเอง ถ้าคู่ขัดแย้งมาร่วมกันในการปฏิรูป การยอมรับและผลของการปฏิรูปก็จะเกิดขึ้น
โปรดเกล้าฯปธ.-รองสปช.แล้ว
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานและรองประธาน สปช.คือ 1.นายเทียนฉาย กีระนันทน์ เป็นประธาน สปช.2.นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นรองประธาน สปช.คนที่1และ3.น.ส.ทัศนา บุญทอง เป็นรองประธาน สปช.คนที่2 ประกาศ ณ วันที่ 30ตุลาคม2557 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยจะมีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการฯ ในวันที่ 3พฤศจิกายนนี้ ที่อาคารรัฐสภา1
‘ปลอด’ชี้รธน.ใหม่ไร้ปชต.แน่
นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย(พท.)ให้สัมภาษณ์ถึงโฉมหน้ากมธ.ยกร่างฯสัดส่วน สปช.ว่า คนพวกนี้ไม่ใช่ตัวแทนประชาชนและผลที่ออกมาคงไม่ถูกใจประชาชน ขณะเดียวกันเชื่อว่าประชาชนคงมองออกว่า รัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่เกิดขึ้นจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ อีกทั้งแนวทางการเขียนรัฐธรรมนูญก็ออกมาแล้วจากคำพูดของผู้นำคณะทหารตั้งแต่ต้น ออกมาในคำสั่งของ คสช.และสุดท้ายออกมาในรูปแบบของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ฉะนั้นรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นถูกกำหนดมาแล้ว ใครจะเขียนไม่สำคัญ ทั้งนี้ ไม่ได้คาดหวังกับรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นและขอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน อยากให้ดู 20พระหน่อมีตั้งหลายพระหน่อขึ้นเวทีมาแล้วทั้งนั้น ก็เห็นๆอยู่ว่า รูปร่างหน้าตาของรัฐธรรมนูญจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่ง 20คนนี้ไม่ใช่ศาล ส่วนเรื่องความเป็นธรรมไม่ต้องพูดถึง ไม่ได้หวังจะเห็นประชาธิปไตยเต็มใบ แต่อย่าถึงกับออกมาเป็นดอกอุตพิดก็แล้วกัน
เย้ยแค่ให้ปชช.ลงมติยังไม่กล้า
ขณะที่ นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีตสส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เห็น 20อรหันต์ร่างรัฐธรรมนูญก็เห็นอนาคตประเทศไทย พิมพ์เขียวที่พยายามสร้างฉากประชาธิปไตยให้เหมือนจริง ทำยังไงมันก็ไม่ใช่ เพราะรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตย ต้องเป็นของประชาชน เพื่อประชาชนและโดยประชาชน แต่การร่างรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ ประชาชนได้แต่มองตาปริบๆไม่มีโอกาสจะกำหนดอนาคตตัวเอง แม้แต่เสี้ยวเดียวของรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ ประชาธิปไตยที่ขาดการมีส่วนร่วม ขาดความหลากหลายในวิธีประชาธิปไตย ขาดการยอมรับจากเสียงส่วนใหญ่ แค่ให้ลงประชามติยังไม่กล้าเท่านี้ก็จบแล้ว
'ตุ๊ดตู่'ยันล็อกสเปกรธน.ชัวร์
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงรายชื่อกรรมาธิการยกร่างฯในสัดส่วน สปช.20คน ซึ่งไม่มีชื่อ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองประธาน สนช.ว่า แปลความง่ายๆว่า นายบวรศักดิ์ จะไปอยู่ในโควตา คสช.โดยเป็นประธานกรรมาธิการยกร่างฯตนพูดตั้งแต่ต้นแล้วว่า นายบวรศักดิ์ จะไปอยู่ที่ในโควตา คสช.ที่เป็นตัวกำหนดประธานกรรมาธิการยกร่างฯเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญชั่วคราวตั้งแต่มาตรา35-37เกี่ยวข้องกับการบังคับร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งห้วงเวลา เนื้อหาและทิศทาง เมื่อคนออกแบบรัฐธรรมนูญชั่วคราวเป็นการออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับที่20ไว้ครบถ้วน ขั้นตอนจากนั้นแม้เราจะเห็นความลักลั่นของว่าที่กมธ.ยกร่างฯบางคน แต่ท้ายสุดรัฐธรรมนูญชั่วคราวก็กันเหนียวเอาไว้แล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นหอยลืมเปลือก พูดง่ายๆ คือบางทีเกิดไม่ฟังเอาดื้อๆก็ล็อกสเปกไว้เลย
ทิ้งปัญหาไว้ให้รัฐบาลชุดหน้า
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ถัดจากนี้ไปอีกห้วงปีตนเห็นว่า จะเป็นเวลาที่เราจะได้แสดงความเห็นในหลากหลายเรื่องราว แต่เราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า มันก็อยู่ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา35 การปฏิรูปประเทศทั้ง 11ด้านก็จะเป็นการระดมความคิดเห็นมากกว่าการกระทำ แต่ไม่รู้จบอย่างไร เพราะความเห็นแตกต่างกัน แต่คนที่จะนำไปปฏิบัติและเข้าสู่กฎเกณฑ์นี้ คือ รัฐบาลและสภาที่มาจากประชาชนในวันข้างหน้า ซึ่งไม่แน่ใจว่าทั้ง 11ด้านจะนำไปล็อกในรัฐธรรมนูญที่จะเป็นภาระให้รัฐบาลชุดหน้าหรือไม่
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด