สนช.รับหลักการกม.ชุมนุม
มติชนออนไลน์ :วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
แจงกม. - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม หารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระหว่างเข้าชี้แจงถึงเหตุผลการเสนอ พ.ร.บ.การชุมนุมฯต่อที่ประชุม สนช. ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.... ในวาระแรก ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ การชุมนุมสาธารณะต้องเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ซึ่งการใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้ชุมนุมในระหว่างการชุมนุมสาธารณะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ การชุมนุมสาธารณะในรัศมี 150 เมตร จากพระบรมมหาราชวัง พระราชวัง วังของพระรัชทายาทหรือของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป พระราชนิเวศน์ พระตำหนัก หรือจากที่ซึ่งพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาทฯ หรือสถานที่พำนักของพระราชอาคันตุกะ จะกระทำมิได้ นอกจากนี้ การจัดการชุมนุมสาธารณะภายในพื้นที่ของรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล และศาลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีการจัดให้มีสถานที่เพื่อใช้ในการชุมนุมสาธารณะในพื้นที่นั้น โดยให้อำนาจผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายในการประกาศ ห้ามชุมนุมในรัศมีไม่เกิน 50 เมตร รอบสถานที่ดังกล่าว ทั้งนี้ หากผู้ใดประสงค์จะจัดการชุมนุมสาธารณะให้แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งต้องระบุวัตถุประสงค์ วัน ระยะเวลา และสถานที่ด้วย ในกรณีที่ผู้ชุมนุมกระทำการใดๆ ที่มีลักษณะรุนแรงและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นจนเกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง ให้เจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งยกเลิกการชุมนุม และในระหว่างการรอคำสั่งศาล ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งให้ผู้ชุมนุมยุติการ กระทำนั้น หากมีการฝ่าฝืนให้ประกาศพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ควบคุม และให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ภายในระยะเวลาที่กำหนด สำหรับบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนได้กำหนดโทษไว้ 9 กรณี ซึ่งมีทั้งจำและปรับ โดยมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า การจัดทำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยึดหลัก 4 ข้อ คือ 1.กฎหมายนี้ไม่ได้ระบุว่าการชุมนุมต้องไปขออนุญาตการชุมนุม แต่ให้ไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าจะมีการชุมนุม เพื่อบอกให้รู้ว่าจะชุมนุมในวันใดถึงวันใด เพื่อเตรียมการรับมือและอำนวยความสะดวก 2.กฎหมายนี้ส่งเสริมให้มีการจัดสถานที่ชุมนุม 3.กฎหมายนี้ให้หลักประกันเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพว่าเจ้าหน้าที่จะไปสลายการชุมนุมไม่ได้ และ 4.กฎหมายนี้ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษสุด เพราะมีคนถามว่า เมื่อมีกฎหมายนี้การชุมนุมยังมีหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า การชุมนุมยังมีอยู่และอาจมากขึ้น แต่การชุมนุมจะมีระเบียบมากขึ้น
จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการในวาระ 1 ด้วยคะแนน 182 ต่อ 0 งดออกเสียง 4 โดยให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา 22 คน เพื่อดำเนินการให้เสร็จภายใน 30 วัน
อดีต 38 สว.ส่ง 5 ตัวแทน 3 สำรอง เข้าแจงสนช.ปมแก้รธน.ที่มาสว.
แนวหน้า : นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตส.ว.นนทบุรี หนึ่งใน 38 ส.ว. ที่ถูกยื่นถอดถอนกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาส.ว.โดยมิชอบ กล่าวถึงการเตรียมแถลงเปิดสำนวนถอดถอนต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ ว่า ล่าสุด ทางกลุ่ม 38 ส.ว.ได้มีการทำหนังสือถึงนางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะเลขาธิการ สนช.เพื่อแจ้งรายชื่อผู้แถลงเปิดสำนวนอย่างเป็นทางการจำนวน 5 คน ประกอบด้วย 1.นายกฤช อาทิตย์แก้ว อดีต ส.ว.กำแพงเพชร 2.นายวิทยา อินาลา อดีต ส.ว.นครพนม 3.นางภารดี จงสุทธนามณี อดีต ส.ว.เชียงราย 4.นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต ส.ว.อุทัยธานี และตน นอกจากนี้จะมีการสำรองผู้ร่วมชี้แจงเพิ่มเติมอีก 3 คนไว้ หากมีประเด็นที่ต้องชี้แจงเพิ่มเติม ซึ่งกรณีดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับความเห็นของประธานในที่ประชุมว่าจะอนุญาตหรือไม่ โดยคาดว่า จะมีอดีต ส.ว.เข้าร่วมเดินทางมารับฟังการแถลงเปิดสำนวนในที่ประชุมกว่า 30 คน อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมีความกังวลต่อการชี้แจง แต่จะชี้แจงด้วยเหตุผล โดยเฉพาะประเด็นข้อกล่าวหาที่ระบุว่า พวกตนร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการล้มล้างการปกครอง ตามมาตรา 291 ซึ่งเป็นการทำตามอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาที่มีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
ขณะที่ นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต ส.ว.อุทัยธานี หนึ่งใน 38 ส.ว. ที่ถูกยื่นถอดถอนกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาส.ว.โดยมิชอบ กล่าวว่า โดยส่วนตัวต้องขอขอบคุณ สนช.ที่รับเรื่องไว้พิจารณา เพราะตลอด 1 ปีที่ผ่านมามีความขัดแย้งทางการเมืองค่อนข้างสูง พวกตนก็ถูกผลักเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองด้วย เนื่องจากพวกตนมีความเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว.เหมือนกับพรรคเพื่อไทย จึงถูกโยงว่าเป็นกลุ่มเดียวกับพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่สังคมบางส่วนได้ตราหน้าพวกตนไปแล้วว่าพวกล้มล้างการปกครอง ถือเป็นความเจ็บปวดที่สุด เมื่อเทียบเท่ากับต้องถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย จึงอยากให้มีการถ่ายทอดสดตลอดการแถลงเปิดสำนวนเพื่อจะได้ชี้แจงให้ประชาชนและสมาชิก สนช.ได้รับทราบความจริง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่มีความกังวลและพร้อมชี้แจงในทุกข้อกล่าวหา
สนช.รับร่างกฎหมายศาลทหาร ไม่เกี่ยวพลเรือนเว้นหมิ่น-มั่นคง
แนวหน้า : ที่รัฐสภา การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 11/2558 มีนายพีระศักดิ์ พอจิต เป็นประธานในที่ประชุม โดยมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญที่มี พล.ร.อ.วัลลภ เกิดผล เป็นประธานฯ ได้พิจารณาเสร็จแล้ว โดยสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... นั้น กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีอำนาจออกข้อบังคับและระเบียบ เพื่อปฏิบัติการตามร่างพระราชบัญญัตินี้ และกำหนดให้ระเบียบราชการของศาลทหารและอัยการทหารต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา ต่อมา กำหนดให้ตุลาการพระธรรมนูญและอัยการทหารได้รับเงินเพิ่ม สำหรับตำแหน่งตามระเบียบที่กระทรวงกลาโหมกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง กำหนดให้คดีที่ต้องดำเนินในศาลเยาวชนและครอบครัวเป็นคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร
กำหนดให้ศาลจังหวัดทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาได้ทุกบทกฎหมาย เว้นแต่คดีที่จำเลยมียศทหารชั้นสัญญาบัตร กำหนดให้ศาลทหารสูงสุดมีอำนาจพิจารณาพิพากษา บรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารกลาง และคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารชั้นต้นโดยตรงไปยังศาลทหารสูงสุด กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาทหารมีอำนาจสั่งควบคุมผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร ได้ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็น กำหนดให้ศาลทหารตั้งทนายให้แก่จำเลย และให้ศาลจ่ายเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายแก่ทนายที่ศาลตั้ง กำหนดให้การพิพากษาคดีของศาลทหารสอดคล้องกับมาตรา 192 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และแก้ไขการบังคับคดีในกรณีหญิงมีครรภ์ต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต โดยกำหนดให้รอการประหารชีวิตไว้ก่อนจนกว่าจะพ้นกำหนดสามปีนับแต่คลอดบุตร แล้วให้ลดโทษประหารชีวิตลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับการบังคับคดีในกรณีหญิงมีครรภ์ตามมาตรา 247 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ซึ่งทางสมาชิก สนช. ได้แสดงความเป็นห่วงในร่างแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนมาตรา 46 ของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพราะเป็นประเด็นที่สื่อมวลชนและประชาชนให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นการเพิ่มอำนาจให้ศาลทหารมีอำนาจครอบคุมพลเรือนและสามารถฝากขังผู้ต้องหาได้ภายใน 84 วัน จึงอยากให้ทางคณะกรรมาธิการชี้แจงให้ชัดเจนด้วย ซึ่งทาง พล.ร.อ.วัลลภ เกิดผล ประธานกรรมาธิการได้ชี้แจงว่า ตามหลักการผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งคุมตัวได้ ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ซึ่งในร่าง พ.ร.บ.นี้ จะเขียนให้มีความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้น การแก้ไขกฎหมายในเรื่องนี้ ไม่มีเรื่องพลเรือนทั่วไปมาขึ้นศาลทหารโดยเด็ดขาด ยกเว้นกรณีที่ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีประกาศให้คดีหมิ่นสถาบันฯ และคดีที่เป็นภัยความมั่นคง เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร
หลังจากนั้น ทางสมาชิกได้ลงมติว่าจะรับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ประกาศใช้เป็นกฎหมายหรือไม่ ปรากฏว่า ที่ประชุมฯ ได้ลงมติเห็นชอบให้นำร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ประกาศเป็นกฎหมายต่อไป
มติชนออนไลน์ : |
เริ่มมีกระแสคัดค้านมติกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหล่าองค์กรอิสระทั้งหลายที่ถูกลดทอนอำนาจ วาระปี อายุงาน จำนวนกรรมการ หรือแม้แต่การควบรวม 2 หน่วยงาน อย่างเช่นรวมกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กับผู้ตรวจการแผ่นดิน การลดทอนอำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการจัดการเลือกตั้ง โดยให้กำเนิดคณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง (กจต.) ขึ้นมาทำหน้าที่แทน อีกทั้งยังให้อำนาจการแจกใบแดงเป็นหน้าที่ของศาล หรือแม้แต่การให้ตุลาการศาลปกครองพ้นจากราชการเมื่อเกษียณ อายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ทำให้หลายองค์กรอิสระเหล่านี้ออกมาคัดค้าน แต่ประธาน กมธ.ยกร่างฯอย่าง "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ" ออกมาแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญยังสามารถปรับแก้ก่อนที่จะถูกนำเสนอสู่ที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หากกางโรดแมปตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวดูอีกครั้ง กมธ.ยกร่างฯต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน นับแต่วันที่ได้รับความเห็นหรือข้อเสนอแนะจาก สปช. แล้วเสนอต่อ สปช.เพื่อพิจารณาภายในวันที่ 17 เมษายน สปช.ต้องพิจารณาเสนอแนะหรือให้ความเห็นให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 26 เมษายน สมาชิก สปช.อาจยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมต่อประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ สปช.เสร็จสิ้นการพิจารณาภายในวันที่ 25 พฤษภาคม กมธ.ยกร่างฯต้องพิจารณาคำขอแก้ไขเพิ่มเติมภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ครบกำหนดยื่นคำขอแก้ไขเพิ่มเติมภายในวันที่ 23 กรกฎาคม และ สปช.ต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับภายใน 15 วัน นับแต่วันที่่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญจาก กมธ.ยกร่างฯภายในวันที่ 6 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม ยังมีการตั้งข้อสงสัยไม่น้อยว่าการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญนั้นจะทำได้จริงหรือไม่ หรือจะต้องปรับแก้ในช่วงใด และเสียงประชาชนที่ สปช.เปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการยกร่างรัฐธรรมนูญนั้น จะถูกบรรจุอยู่ในส่วนใดของรัฐธรรมนูญ หรืออาจจะสูญเปล่า หาก กมธ.ยกร่างฯไม่ได้นำไปพิจารณาด้วยเหตุผลที่ว่า "รัฐธรรมนูญ" ถูกยกรอไว้ก่อนแล้ว เกี่ยวกับข้อเสนอต่างๆ ที่หลายฝ่ายไม่เห็นกับแนวทางของ กมธ.ยกร่างฯนั้น นายสุจิต บุญบงการ รองประธาน กมธ.ยกร่างฯ ชี้แจงว่า มีหลายเรื่องหลายประเด็นที่จะต้องเผชิญกับปัญหาที่หลายฝ่ายอาจไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทาง กมธ.ยกร่างฯได้พิจารณาไป ทาง กมธ.ยกร่างฯคงต้องรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนไปเรื่อยๆ เพื่อนำเหตุผลและแนวคิดที่เสนอมานั้น มาประกอบการพิจารณาในรายละเอียดของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญต่อไป จริงๆ แล้ว แม้ทาง กมธ.ยกร่างฯจะได้พิจารณาเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญรายมาตราผ่านไปแล้วนั้น แต่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนยังคงเดินหน้าต่อไปไม่ได้ และเข้าใจว่าความคิดเห็นจากส่วนต่างๆ คงจะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เราจะต้องนำเหตุผลมาพิจารณาด้วยความรอบคอบ "ส่วนหลักการใหญ่ๆ ยังคงต้องมีอยู่ต่อไป ยกตัวอย่างเช่น การควบรวมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และผู้ตรวจการแผ่นดิน ขึ้นเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิของประชาชนนั้น หลักใหญ่คือ ยังคงให้สองหน่วยงานนี้คงอยู่ต่อไป ไม่ได้หายไป เพียงแต่การให้มาควบรวมเป็นหน่วยงานเดียวกันนั้น เพื่อจะได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ต้องทำความเข้าใจว่าไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะไปยุบหน่วยงานใดหรือเพิ่มอำนาจให้หน่วยงานใด เพียงแต่แค่ต้องการให้ทั้งสองหน่วยงานทำงานประสานกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและช่วยประหยัดงบประมาณด้วย" นายสุจิตให้เหตุผล สำหรับ ประเด็นการกำหนดให้ตุลาการศาลปกครองต้องพ้นจากการดำรงตำแหน่งเมื่ออายุ 65 ปี หรือการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานศาลรัฐธรรมนูญนั้น นายสุจิตระบุว่า ขอไม่ตอบแทน กมธ.ยกร่างฯคนอื่นๆ เพราะมองว่าหากมีการคัดค้านหรือมีการเสนอประเด็นและความคิดมานั้น ทาง กมธ.ยกร่างฯคงต้องนำทุกความเห็นมาพิจารณาอย่างรอบคอบอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวรู้สึกพอใจการทำงานของ กมธ.ยกร่างฯ เนื่องจากเราถูกกำหนดระยะเวลาไว้ว่าจะต้องเสนอร่างรัฐธรรมนูญให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) พิจารณาภายในวันที่ 17 เมษายน ดังนั้น เหลือระยะเวลาอีกประมาณแค่ 2 เดือนเศษเท่านั้น ยังมีอีกหลายส่วนที่จะต้องรีบดำเนินการให้แล้วเสร็จ ขณะที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานที่ปรึกษา กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้ความเห็นว่า ยืนยันว่าร่างบทบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของ กมธ.ยกร่างฯไปแล้วนั้น ยังสามารถนำกลับมาทบทวน แก้ไขและปรับปรุงได้ ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่สมบูรณ์หรือเด็ดขาดแต่อย่างใด หากประเด็นใดหรือมาตราใดมีเสียงคัดค้านหรือมีข้อเสนอแนะเข้ามา กมธ.ยกร่างฯต้องนำความเห็นเหล่านั้นมาประกอบการพิจารณาด้วยความรอบคอบ และถ้าหากความเห็นที่เสนอเข้ามานั้น ทาง กมธ.ยกร่างฯวิเคราะห์แล้วเห็นว่ามีข้อเท็จจริงที่มีน้ำหนักเพียงพอ ก็อาจจะต้องมีการปรับแก้ไขให้สอดคล้องกับความเห็นที่เสนอมาได้ ยกตัวอย่างประเด็นการควบรวมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกับผู้ตรวจการแผ่นดิน มีความเห็นหลากหลายทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หากข้อเสนอมีน้ำหนักมากพออาจจะไม่ควบรวมก็ได้ เช่นเดียวกับประเด็นการให้ตุลาการศาลปกครองต้องพ้นออกจากตำแหน่งเมื่ออายุ 65 ปี ซึ่งมีเสียงคัดค้านมาก ถ้าหากเราได้ฟังเหตุผลอาจกลับไปเหมือนแบบเดิมที่ให้พ้นจากตำแหน่งเมื่ออายุ 70 ปีก็ได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าทุกเรื่องทุกประเด็นยังไม่ได้เป็นที่ยุติ ทุกอย่างยังสามารถแก้ไขและทบทวนใหม่ได้ |
ปฏิรูปศึกษาให้สำเร็จ
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 บทนำมติชน
การปฏิรูปประเทศซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช.รับดำเนินการนั้นมี 11 ด้าน และเมื่อตั้งเป็นคณะกรรมาธิการแล้วได้ขยายการปฏิรูปออกไปเป็น 18 ด้าน โดยแต่ละด้านต้องมีความคืบหน้าและมีผลสรุปในวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งที่ผ่านมามีข่าวคราวการปฏิรูปทางการเมือง และด้านกระบวนการยุติธรรมออกมา ขณะที่การปฏิรูปด้านการศึกษานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นข้อเสนอจากสังคมภายนอก ยังไม่มีรูปแบบตุ๊กตาออกมาให้ได้ขบคิดและร่วมแสดงความคิดเห็นกันมากนัก
กระทั่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รศ.ณรงค์ วรงค์เกรียงไกร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ออกมาเปิดเผยความคืบหน้าว่า สปช.ซึ่งทำหน้าที่เสนอความเห็นเรื่องปฏิรูปการศึกษามีความเห็นหลากหลาย ในความเห็นเหล่านั้นมีความเห็นให้กระจายอำนาจทางการศึกษา เพราะเมื่อทุกอย่างไปรวมอยู่ส่วนกลาง แต่ส่วนกลางไม่เคยไปดูการศึกษาในพื้นที่ต่างจังหวัด ทำให้เกิดปัญหา ซึ่งที่ผ่านมามีกฎหมายเขียนไว้เพื่อแก้ปัญหานี้ แต่ไม่ทำ สปช.จึงเสนอให้มีคณะกรรมการเหมือนซุปเปอร์บอร์ดด้านการศึกษา พิจารณาแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญ เช่น ปลัด อธิบดี หรือข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการระดับ 10 ขึ้นไป แล้วให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอนุมัติ
นอกจากนี้ รศ.ณรงค์ยังฉายภาพการปฏิรูปการศึกษาออกมาอีกหลายอย่าง ซึ่งคงต้องรอให้รวบรวมก่อนจึงจะเห็น ซึ่งการปฏิรูปที่นำเสนอย่อมส่งผลกระทบต่อการศึกษาไทย ทั้งครูในฐานะผู้สอน นักเรียนในฐานะผู้เรียน รัฐบาลในฐานะผู้ให้การสนับสนุนรายใหญ่ทางการศึกษา และเป็นผู้กำหนดนโยบายภาพรวมการศึกษาของประเทศด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้ปกครอง ชุมชน และอื่นๆ ซึ่งมีส่วนร่วมทางการศึกษาทั้งสิ้น
เมื่อการปฏิรูปการศึกษาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ควรนำไปทำการประชาสัมพันธ์แนวคิด และติดตามด้วยการดึงให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางการศึกษาเข้ามาเสริม เพื่อร่วมกันมองว่าการศึกษาไทยตามแผนที่ สปช.เสนอ จะทำให้การศึกษาของประเทศพัฒนาขึ้นอย่างไร การปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ จึงมีผู้หวังว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้จริง หวังว่าจะได้เห็นการปฏิรูปครู ปฏิรูปนักเรียน ปฏิรูปอุปกรณ์และวัสดุสนับสนุนการเรียนการสอน และปฏิรูปสถานที่เรียน เกิดขึ้นทั้งระบบ มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่าหลังปฏิรูปเด็กและเยาวชนไทยจะกลายเป็นอะไร ด้วยวิธีไหน และมีอนาคตสดใสได้อย่างไร
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด