ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับขึ้นสู่เกณฑ์ร้อนแรงอย่างมาก นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจากภาคท่องเที่ยวและเงินทุนไหลเข้าขณะที่ปัจจัยฉุดคือความขัดแย้งระหว่างประเทศและนโยบายขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
- Details
- Category: ตลาดหลักทรัพย์
- Published: Monday, 13 February 2023 18:15
- Written by: akachai
- Hits: 1755
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับขึ้นสู่เกณฑ์ร้อนแรงอย่างมาก นักลงทุนคาดหวังปัจจัยหนุนจากภาคท่องเที่ยวและเงินทุนไหลเข้าขณะที่ปัจจัยฉุดคือความขัดแย้งระหว่างประเทศและนโยบายขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนมกราคม 2566 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 160.07 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 31.5% จากเดือนก่อนหน้าเข้าสู่เกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” นักลงทุนมองว่าการฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือเงินทุนไหลเข้าและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ นโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และการประกาศจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนมกราคม 2566 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
• ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เมษายน 2566) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” (ช่วงค่าดัชนี 160-200) เพิ่มขึ้น 31.5% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 160.07
• ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลและกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ปรับขึ้นสู่เกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ ปรับขึ้นอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”
• หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
• หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ (PAPER)
• ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยว
• ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
“ผลสำรวจ ณ เดือนมกราคม 2566 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 29.8% อยู่ที่ระดับ 166.67 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 60.4% อยู่ที่ระดับ 137.50 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 42.1% อยู่ที่ระดับ 150.00 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับเพิ่ม 28.0% อยู่ที่ระดับ 160.00
ในช่วงเดือนมกราคม 2566 SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1,663.86—1,691.41 โดยมีปัจจัยหนุนภายนอกจากแนวโน้มการชะลอตัวในการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ การชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศเศรษฐกิจสำคัญ และการเปิดประเทศของจีน ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วนของปัจจัยในประเทศแม้ได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว แต่นักลงทุนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย—ยูเครนที่ยืดเยื้อมากว่า 1 ปี ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4/2565 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด และความกังวลต่อการประกาศจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดย SET Index ณ สิ้นเดือนมกราคม 2566 ปิดที่ 1,671.46 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้า ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิในเดือนมกราคม 2566 กว่า 18,997 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นเนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของ FED จึงไม่น่ามีการลดดอกเบี้ยในปี 2566 แนวโน้มการเลิกจ้างงานโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ได้อานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้าที่อาจจะชะลอลงตามอุปสงค์ประเทศคู่ค้าสำคัญ โอกาสในการเป็นฐานการผลิตหลังหลายประเทศเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีน รวมถึงจับตามองการนับถอยหลังสู่การยุบสภาและผลการเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งจะสะท้อนทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2566”
A2347