เกมลึก-แก้ร่าง รธน. พลิกหลายตลบ ฉายรอยร้าวภายใน
หลังจากคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. เสนอปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ไปเมื่อไม่นานนี้ ปฏิกิริยาของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. ก็สะท้อนอาการแปลกๆ ออกมา
เป็นอาการในทำนอง “ฟ้อง” ให้สาธารณชนเห็นว่า ข้อเสนอของ ครม.นั้นเป็นฉันใด
เพราะข้อเสนอที่ ครม.เสนอมามีนัยยะทางอำนาจการบริหารอธิปไตย โดยเฉพาะอำนาจฝ่ายบริหาร ซึ่งประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี
และอาจจะรวมไปถึงองค์กรตรวจสอบอย่างศาลรัฐธรรมนูญด้วย
โดยที่ข้อเสนอในการปรับแก้ดังกล่าวเบี่ยงเบนอำนาจที่ กรธ.คิดไว้เดิมให้กลับคืนไปสู่อำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ซึ่งถูกตีความในระยะใกล้เคียงนั้นว่า
เป็นการสืบทอดอำนาจ
สืบทอดอำนาจต่อไปอีก 5 ปี
ปฏิกิริยาของนายมีชัย และ กรธ.ที่แสดงออกเช่นนั้น ปลุกให้สื่อมวลชนเบนไมค์ไปสอบถามความเห็นจาก คสช.
ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
กลายเป็นเป้าหมายในการหาคำตอบ
และแทบจะในทันทีที่มีคำถาม พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ก็ประสานเสียผลักดันในข้อเสนอ
สนับสนุน ส.ว.สรรหา และสนับสนุนให้มีบทเฉพาะกาลก่อนใช้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นเวลา 5 ปี
แม้นายมีชัยจะขอ “ลายลักษณ์อักษร” จากผู้เสนอความเห็นก็ไม่ใช่อุปสรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะหลังจากนั้น คสช.ก็ส่ง “ข้อเสนอ” กลับไปให้
เป็นข้อเสนอที่เกิดขึ้นหลังจากแม่น้ำ 4 สายประชุมหารือกัน
สรุปว่า ควรเลือกตั้ง ส.ส. 2 แบบ คือ ระบบเขตและบัญชีรายชื่อ โดยใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ
สรุปว่า ส.ส.เขตควรกำหนดเขตใหญ่ 3 คน แต่ให้ประชาชนเลือกผู้สมัครในเขตนั้นเพียงคนเดียว แล้วนำคะแนนมากสุดมาเรียงลำดับที่ 1-3
สรุปอีกว่า ส.ว.มี 250 คน และใช้วิธีสรรหาหรือแต่งตั้ง
ในจำนวน ส.ว.ทั้งหมด ควรมีปลัดกลาโหม ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. รวม 6 คนเป็น ส.ว.โดยตำแหน่ง
มีอำนาจหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ และสามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้
สุดท้ายคือ ไม่ต้องการให้เปิดเผยชื่อนายกรัฐมนตรีให้ทราบก่อน
ทุกอย่างควรบรรจุอยู่ในบทเฉพาะกาล ระยะ 5 ปี
หลังจากนายมีชัยรับข้อเสนอของ คสช.แล้วได้นำเข้าสู่ที่ประชุม กรธ. เมื่อวันที่ 21 มีนาคม และต่อเนื่องไปถึงวันที่ 22 มีนาคม
ที่ประชุมมีมติปรับเปลี่ยนข้อเสนอของ คสช.
มีจุดใหญ่คือ แบ่งที่มาของ ส.ว. 250 คน ออกเป็น 2 แบบ
แบบหนึ่ง 200 คนให้มาจากการสรรหา อีกแบบหนึ่ง 50 คนได้มาด้วยการเลือกจากกลุ่มอาชีพตามวิธีการเดิมของ กรธ.
ไม่ระบุให้ปลัดกลาโหม และ ผบ.เหล่าทัพ รวม 6 เก้าอี้เป็น ส.ว.
ส่วนอำนาจหน้าที่วุฒิสภาก็ไม่ให้อภิปรายไม่ไว้วางใจ
จากจุดใหญ่ที่ กรธ.สรุปก่อนเดินทางไปร่างรัฐธรรมนูญที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีในวันที่ 29 มีนาคม ทำให้เกิดปฏิกิริยาจากแม่น้ำ 4 สายที่เหลือ
มีรายงานข่าวระบุว่า กรณีดังกล่าว คสช.ไม่พอใจ เพราะหากปล่อยให้ ส.ว.ปรับเปลี่ยนไปตาม กรธ.กำหนด เป้าหมายเดิมที่ คสช.จะดูแลประเทศต่อไปอีก 5 ปีก็มีอุปสรรค
ทั้งนี้เพราะเมื่อไอเดียตั้งองค์กรอย่างเช่น คปป. ในรัฐธรรมนูญตามร่างที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เสนอไม่อาจใช้ได้
คสช.จึงหวังว่า ส.ว.จะเป็นองค์กรที่ช่วยทำหน้าที่เช่นนั้นในยามวิกฤต
แต่เมื่อ “ที่มา” และ “สัดส่วน” ของ ส.ว. รวมถึง “อำนาจหน้าที่” ถูกเปลี่ยนแปลง
ความมั่นใจของ คสช.จึงสั่นสะเทือน
ในห้วงเวลานี้จึงฉายภาพรอยร้าวระหว่าง คสช. กับ กรธ. ขึ้นมาให้เห็น
นอกจากนี้ยังเห็นปฏิกิริยาของแม่น้ำสายที่เหลือ
โดยเฉพาะปฏิกิริยาจาก นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ที่ออกมาจี้ กรธ.ให้ทบทวนการเปลี่ยนแปลงข้อเสนอ คสช.
คล้ายกับว่าแม่น้ำ 4 สายมีจุดยืนเคียงข้าง คสช.
เหลือเพียง กรธ.มีจุดยืนเช่นไร?
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเพียง 1 วัน ทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย เมื่อนายมีชัยและ กรธ.ส่งสัญญาณถอย
กรธ.ออกมาแถลงอีกครั้งว่า การสรรหา ส.ว. 250 คนนั้นให้กำหนดโควต้า ปลัดกระทรวงกลาโหม และ ผบ.เหล่าทัพ รวม 6 เก้าอี้ล็อกไว้ที่ คสช.เสนอ
ส่วนการสรรหา ส.ว. ทั้ง 250 คน แม้ 200 คนจะมาจากการแต่งตั้ง อีก 50 คนมาจากการเลือกจากกลุ่มอาชีพ
แต่ทั้ง 250 คนต้องผ่านการกลั่นกรองของ คสช.ในรอบสุดท้าย
กล่าวคือ ส.ว.จำนวน 50 คนที่มาจากกลุ่มอาชีพนั้น ให้เลือกมา 200 คน แล้วส่ง คสช.คัดเหลือ 50 คน
เท่ากับว่า คสช.กินรวบ !
ขณะที่อำนาจของ ส.ว.นั้น ได้กำหนดไว้ว่า ในยามวิกฤตสามารถร่วมโหวตกับ ส.ส. เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้
ในกรณีวิกฤตนี้ รัฐสภาต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ในการเลือกนายกรัฐมนตรี
และนายกรัฐมนตรีก็ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส.
ประเด็นดังกล่าวจึงปลุกให้คนคาดการณ์ไปล่วงหน้าว่า เป็นการเปิดทางให้ “คนนอก” เป็นนายกรัฐมนตรี
ผลการประชุมของ กรธ.ครั้งนี้ สอดคล้องกับปฏิกิริยาของนายพรเพชร และ พล.อ.ประวิตร ในวันเดียวกันนั้น
เป็นปฏิกิริยาจากการจี้ทบทวน เป็นการ “ไฟเขียว” ให้ กรธ.ตัดสินใจ
แล้วผลการตัดสินใจก็ออกมาตรงใจ คสช.
ผลจากการตัดสินใจของ กรธ.ครั้งนี้ ตอกย้ำให้สังคมมองเห็นเจตนาของ คสช.ที่ต้องการ “สืบทอดอำนาจ”
สืบทอดอำนาจต่อไปอีกอย่างน้อย 5 ปีเพื่อการปฏิรูป
ขณะเดียวกันก็มองเห็นรอยร้าวภายในแม่น้ำ 5 สาย โดยเฉพาะรอยร้าวของ กรธ.กับแม่น้ำอีก 4 สาย
เป็นรอยร้าวที่มองเห็นความแตกต่างทางความคิดระหว่าง ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย กับบทเฉพาะกาลที่ คสช.เสนอ
เป็นรอยร้าวที่พัวพันกับอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน และการตรวจสอบการบริหาร
เป็นรอยร้าวของ “คนกันเอง”
และถือเป็นรอยร้าวที่เพิ่มขึ้น เพราะลำพังร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ก็สร้างความแคลงใจกับฝ่ายการเมืองมาเยอะแยะ
ทั้งบทเฉพาะกาล และร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินการก่อเกิดปัญหาเชิงสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแจ่มแจ้ง
การก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพประชาชน ย่อมสร้างรอยร้าวกับประชาชนในอนาคต
ขณะเดียวกันก็สร้างรอยปริแยกจากโลกขั้วประชาธิปไตย
ล่าสุด สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (โอเอชซีเอชอาร์) ออกแถลงการณ์
แนะนำ กรธ.ให้ปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญ 11 ประเด็น
โดยเฉพาะการคงอำนาจ ม.44 ไว้ในรัฐธรรมนูญใหม่นั้น โอเอชซีเอชอาร์แนะนำให้ตัดทิ้ง
ความเคลื่อนไหวนี้ เท่ากับยูเอ็นประกาศตัวมาเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญไทยอย่างแจ่มแจ้ง
ดังนั้นประเมินสถานการณ์ พบว่า จากการร่างรัฐธรรมนูญล่าสุด แม่น้ำ 5 สาย มีปัญหากับฝ่ายการเมืองในประเทศ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ที่จับจ้องมองนั้น ก็ยังอยู่
การนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไปทำประชามติ จึงเป็นปัญหาต่อไปของคสช. จะทำให้ประชามติผ่านพ้นไปได้อย่างไร
คำถามนี้เริ่มดังขึ้นด้วยความห่วงใย ว่าหากร่างรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นสากล อาจะกรทบต่อการบริหารงานของคสช.
รวมทั้งขั้นตอนการ 'ลงจากหลังเสือ'ที่ตระเตรียมไว้ก็อาจไม่ได้ใช้ เพาะวันเวลาที่ผ่านมาพิสูจน์ ให้เห็นว่า ทางลงเริ่มแคบ และยากลำบากมากขึ้้นเรื่่อยๆ
ที่มา มติชนรายวัน
ผลสะเทือน 'ดาวมฤตยู' กับสถานการณ์ การเมือง
มติชนออนไลน์
ไม่ว่ากรณี “วิวาทะ”และความวุ่นวาย อันเนื่องแต่เส้นแห่ง'จริยธรรม'ของ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา
ไม่ว่ากรณี”ชะงักงัน'ในตำแหน่ง'สมเด็จพระสังฆราช'
ไม่ว่ากรณี 'เห็นต่าง' ต่อข้อเสนอ 16 ข้อซึ่งมาจาก 'ครม.' ให้ปรับแก้เนื้อหาของ “ร่าง”รัฐธรรมนูญ
เพื่อสนองรับ”ระยะเปลี่ยนผ่าน”เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี
ไม่ว่าการถกเถียงต่อบทบาทและความหมายของ 'มือปืนป๊อบคอร์น' ซึ่งต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก 37 ปี'
ไม่ว่ามติกกต.ให้มีการฟ้องร้องความผิดในเรื่อง 'การเลือกตั้ง'
เรียกร้องให้แกนนำ'กปปส.'ชดใช้เงินค่าเสียหาย 2,400 ล้านบาท
เรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้เงินค่าเสียหาย 2,400 ล้านบาท
โดย'กกต.'ลอยตัวด้วยความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม
หากมองจากมุมของ 'โหร'หากมองผ่านวิถีโคจรแห่งดวงดาวน้อยใหญ่ภายในห้วงพาหิรากาศ
ล้วนเป็นผลจาก 'ดาวมฤตยู'
พลันที่ดาวมฤตยูเคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม เป็นต้นไป
สถานการณ์ก็จะยิ่ง 'ร้อนแรง'
พลันที่ดาวพฤหสบดีอยู่ราศีสิงห์และโดนราหูทับและบดบัง สถานการณ์ก็จะยิ่ง HOT เป็นทบเท่าทวีคูณ
จะอ้างว่า 'วิกฤต'เกิดจาก'ดวงดาว'ก็ย่อมได้
กระนั้น ความเป็นจริง ซึ่งต้องยอมรับไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ไม่ว่าในเรื่องของ นายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา
ไม่ว่าในเรื่องของการเลือกตั้งที่กลายเป็นความล้มเหลว ไม่ว่าในเรื่องของมือปืนป๊อบคอร์น
ก็มิได้เป็นเรื่องซึ่งไร้”รากฐาน”และความเป็นมา
ตรงกันข้าม เรื่องของการเลือกตั้งก็เกิดขึ้นอย่างอึกทึกครึกโครมก่อนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
ภาพหญิงถือไฟฉาย ปีนรั้ว เข้าคูหาเลือกตั้ง
ภาพชายฉกรรจ์บีบคอ'พลเมืองดี' คนหนึ่งซึ่งแสดงความต้องการจะใช้สิทธิลงคะแนนเสียง
ภาพการปะทะที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง
ภาพการเผยแพร่ภาพไปเยือนหอเอนปิซ่า ประเทศอิตาลี ของกรรมการกกต.ท่านหนึ่งพร้อมกับคำบรรยาย
'จำเป็นต้องเอน'
การปราศรัยไม่ว่าจะจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ว่าจะจาก นายถาวร เสน เนียม มีความแจ่มชัด
จากเดือนกุมภาพันธ์ 2557 มายังเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ไม่นานเลย
เพียงแต่ 'ความร้อนแรง'ของเรื่องราวมาเกิดขึ้นเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติอย่างเด่นชัด
ฟ้องแกนนำ'กปปส.'พ่วงฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ปรากฏขึ้นในห้วงเดียวกันกับการเคลื่อนย้ายของดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นดาวมฤตยู ไม่ว่าจะเป็นดาวพฤหสบดี
ห้วงเดียวกับมีการรุกไล่ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา
ห้วงเดียวกับมีการนำเอาเรื่อง'รถหรู'นำเอาเรื่อง'วัดพระธรรมกาย'
มาสกัดขัดขวางมิให้เส้นทางไปสู่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 ดำเนินไปด้วยความราบรื่น
เหมือนกับเป็นเรื่องของ 'ดวงดาว' แต่ก็เกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไปบนฐานความเป็นจริงอันสามารถพิสูจน์และยืนยันได้
ยืนยันได้ว่า 'มือปืนป๊อบคอร์น'ปฏิบัติภารกิจอะไร
ล้วนเป็นเรื่องของ'กรรม'เป็นกรรมในยุคแห่ง'ชัตดาวน์'....
มติชนออนไลน์ : คอลัมน์ โครงร่างตำนานคน
ไม่เพียงก่อนสิ้นปีผลสำรวจของสำนักสถิติแห่งชาติจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนทั้งโลก กระทั่งเหล่าทีมงานโฆษกรัฐบาลใช้เป็นข้อมูลมาแถลงให้ประชาชนรับรู้ด้วยความปบาบปลื้มภาคภูมิ
ว่า "ประชาชนไทยร้อยละ 99.5 เทความนิยมให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี"
เป็นการแถลงเพื่อยืนยันว่ากระแสเสียงที่แสดงถึงความอึดอัด หงุดหงิด และหวั่นวิตกทั้งหลายแหล่นั้นนับเป็นแค่ความรู้สึกของประชาชนกลุ่มเดียว
เป็นกลุ่มที่น้อยนิดระดับเศษเสี้ยว แค่ร้อย 0.5 เท่านั้น
ช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ "ศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ ชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน" ที่มี "นพดล กรรณิกา" นักทำโพลขึ้นชื่อของเมืองไทยอีกคนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการก็แถลงผลการสำรวจเรื่อง "ที่สุดแห่งปีྲྀ ข่าวดีผลงานรัฐบาลในความทรงจำของมนุษย์เงินเดือน" ออกมาอย่างน่าปลาบปลื้มอีกครั้ง ด้วยคำถามที่ว่าด้วย "ระยะเวลาที่ให้โอกาส พล.อ.ประยุทธ์ทำงานต่อไปในฐานะนายกรัฐมนตรี"
ที่ผลออกมาว่า มากถึงร้อยละ 52.1 ให้โอกาส 3 ปีขึ้นไป ร้อยละ 18.4 ให้โอกาส 2-3 ปี ร้อยละ 23.7 ให้โอกาส 1-2 ปี มีแค่ร้อยละ 5.8 เท่านั้นที่ให้ไม่เกินปี
นั่นหมายความว่าหากเอาเวลาตามโรดแมปที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศไว้ โอกาสที่ประชาชนให้เหลือเฟือ
ยังเป็นผู้ที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกให้ทำหน้าที่ผู้บริหารประเทศต่อไปอย่างท่วมท้น
หากเป็นนักการเมือง ความนิยมและโอกาสที่ประชาชนมอบให้มากมายเช่นนี้ ย่อมถือเป็นผู้นำประเทศที่ควรมีความสุข ทำงานอย่างผ่อนคลาย สร้างความสบายอกสบายใจ สร้างบรรยากาศชวนให้ปลอดโปร่งโล่งใจกับประชาชนอย่างมาก
จะมีรัฐบาลไหนที่ประชาชนให้ความนิยม และมอบโอกาสใหท่วมท้นขนาดนี้
ผลสำรวจที่ออกมาสะท้อนชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่เทใจให้มากมาย ระดับเป็นขวัญใจประชาชน
ผู้นำที่ครองใจประชาชนได้ระดับนี้ มีแต่ทำงานด้วยความสบายใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส ประชาชนทั่วไปหรือคนรอบข้างจะอยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องนั่งคาดเดาด้วยความกังวลว่า "วันนี้ท่านผู้นำจะอารมณ์เสียหรือไม่" และ "ใครจะเป็นเหยื่อของอารมณ์"
ไม่ต้องภาวนาก่อนออกจากบ้านว่า "ขอให้พบกับท่านตอนที่ท่านอารมณ์ดี"
เพราะด้วยระดับของความนิยม และโอกาสที่ประชาชนมอบให้ ย่อมเป็น "ผู้นำที่ใช้ความรักความศรัทธาของประชาชน" มาเป็นเครื่องมือใช้บริหาร ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ "การแสดงอำนาจ" ให้เกิดแรงกดดันต่อสังคม
ผลสำรวจช่วงรอยต่อของปีนี้น่าจะถือเป็นโชคดีของสังคมไทย ประชาชนส่วนใหญ่เทกำลังใจให้ "ท่านผู้นำ" อย่างท่วมท้น
ความรักความศรัทธาที่ประชาชนมอบให้มากมายนั้น น่าจะทำให้ได้เห็น "ท่านผู้นำทำงานด้วยความเบิกบาน อย่างมีความสุข ในปีใหม่นี้"
มติชนออนไลน์ : ปฏิทินความเข้มข้นทางการเมืองในปี 2558 เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือน "มกราคม" หลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการจำนำข้าว ด้วยคะแนนเสียง 190-18 งดออกเสียง 8 คะแนน บัตรเสีย 3 คะแนน ส่งผลให้โดนโทษถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี นั่นนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกแวดวงทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่า สนช.ตั้งขึ้นมาโดยคณะรัฐประหาร ดังนั้น การถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ในครั้งนี้จึงเป็นเสมือนผลพวงจากการทำรัฐประหาร ที่จ้องทำลายฝ่ายตรงข้ามเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องออกเดินสายพบปะมวลชนทั่วประเทศในเวลาต่อมา
สถานะของรัฐบาลถูกท้าทายอย่างต่อเนื่องกระทั่งวันเสาร์ที่7กุมภาพันธ์ ที่สนามศุภชลาศัย ในกีฬาฟุตบอลประเพณี "จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์" ครั้งที่ 70 ซึ่งนักศึกษาได้แสดงออกอย่างไม่มีใครคาดฝัน แม้จะมีการขอความร่วมมือจากรัฐบาลและ คสช.แล้วก็ตาม ครั้งนี้เกิดความวุ่นวายขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่เข้ามาปิดประตูเพื่อห้ามขบวนล้อการเมืองเข้าไป ทั้งยังยึดป้ายผ้าที่มีถ้อยคำที่เหมาะสม แต่เมื่อขบวนล้อการเมืองของธรรมศาสตร์เข้าสู่สนาม นักศึกษาได้กางป้ายผ้าผืนใหม่ ระบุข้อความเสียดสีการเมือง พร้อมแกะกระดาษออกจากหุ่นล้อการเมือง ทำให้ข้อความและเรื่องราวของหุ่นแต่ละตัวนั้นเปลี่ยนไป เช่น หุ่นคนปิดหน้าที่ระบุว่าเป็นกลุ่ม ISIS กลายเป็นหุ่นหน้าคล้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และภาพทีวีจอดำ ก็กลายเป็นรายการคืนความสุข ที่มีการเปลี่ยนฉากหลังเป็นเทเลทับบี้ และหุ่นครูสอนค่านิยม 12 ประการ ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า"ประชาธิปไตย" ที่ถูกขีดฆ่า กระแสดังกล่าวจุดติดต่อเนื่อง โดยหลังจากนั้นไม่นานกลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ก็ได้จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ "เลือกตั้งที่ (รัก) ลัก" เพื่อรำลึกถึงการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 โดยมีผู้ร่วมกิจกรรมประมาณ 300 คน เเละได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่สัญจรไปมา จนมีการควบคุมตัวแกนนำหลัก
กฎอัยการซึ่งรัฐบาลใช้ควบคุมความสงบเรียบร้อยมาตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 ที่บางขณะกลับเป็นจุดอ่อนทำให้ฝ่ายตรงข้ามนำมาโจมตี เป็นผลให้องค์กรระหว่างประเทศออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก กระทั่งปลายเดือน"มีนาคม" พล.อ.ประยุทธ์ได้หารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง ก่อนจะให้มือกฎหมายร่างประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก และเลือกใช้มาตร 44 ซึ่งให้อำนาจหัวหน้า คสช.จัดการทุกอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นเครื่องมือควบคุมดูแลสถานการณ์บ้านเมืองต่อไป และหลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ก็อาศัยอำนาจในมาตรา 44 นี้ จัดการหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น การแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ การลงโทษข้าราชการที่ทุจริตทั่วประเทศ รวมทั้งถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยกเลิกกฎอัยการศึกได้ไม่นาน ต่อมาคืนวันที่ 10 เมษายน ได้เหตุระเบิดขึ้น ที่ห้างเซ็นทรัล อ.สมุย เป็นคาร์บอมบ์โดยรถกระบะที่ถูกปล้นมาจากยะลา ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย โดยสันนิษฐานว่าคนร้ายต้องการข่มขู่สร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดความหวั่นไหวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ซึ่งอยู่ในตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นกลุ่มผู้ที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มอำนาจเก่าที่เคยก่อเหตุในกรุงเทพฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังติดตามประกบตัวผู้อยู่ และขอให้เลิกจองเวรประเทศ เลิกสร้างสถานการณ์ขยายผลความกังวลของประชาชน เพราะเป็นการขัดขวางการเดินหน้าพัฒนาและแก้ไขปัญหาประเทศ
ในวันที่ 22 พฤษภาคม ถือเป็นวาระครบรอบ 1 ปีรัฐประหารโดย คสช. นอกจากจะมีกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์จากนักศึกษาแล้ว การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็เป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากได้มีการเผยแพร่คลิปให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นภาษาไทย ถึงสถานการณ์ในเมืองไทย ความยาว 1.32 นาที โดย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึงสถานการณ์การยึดอำนาจที่เกิดขึ้น รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์ทหารว่าคงชอบประชาธิปไตยแบบพม่า พร้อมทั้งกล่าวโจมตีองคมนตรีว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร กระทั่งกระทรวงการต่างประเทศสั่งยกเลิกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) เนื่องจากเห็นว่าการให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณมีเนื้อหาบางส่วนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยหรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย
การเรียกร้องให้รัฐบาลคืนอำนาจยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากบรรดานักศึกษาเมื่อวันที่24มิถุนายน ซึ่งเป็นวันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครอง นักศึกษาได้จัดกิจกรรมพร้อมกันหลายจุด และเช้าวันเดียวกันที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะที่นายนัชชชา กองอุดม 1 ใน 8 นักศึกษาที่ถูกออกหมายเรียกจากเหตุการณ์ชุมนุมหน้าหอศิลป์ สี่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวออกจากโรงพยาบาลวิภาวดี ขณะเข้าพักฟื้นเนื่องจากมีอาการป่วย นำตัวไปที่ศาลทหารกรุงเทพ โดยมีผู้เข้ามาให้กำลังใจจนล้นพื้นที่ หนึ่งในนั้นรวมถึง 7 นักศึกษาดาวดิน ต่อมาเกิดการรวมกลุ่มระหว่างนักศึกษาที่ออกมาชุมนุมหน้าหอศิลป์กับกลุ่มดาวดิน โดยใช้ชื่อใหม่ว่า "ประชาธิปไตยใหม่" ซึ่งรวมตัวกันออกแถลงการณ์กดดันรัฐบาล แม้จะมีหมายเรียกจากศาลทหารแล้วก็ตาม นักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ 14 คน ถูกจับกุมและฝากขังโดยศาลทหารในวันที่ 27 มิถุนายน ศาลทหารฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ก่อนที่ศาลจะปล่อยตัวออกมาในเช้าวันที่ 8 กรกฎาคม
กระแสการปรับเปลี่ยนตำแหน่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ซึ่งมีส่วนสำคัญจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะดีนัก และได้ปะทุขึ้นอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม มีข่าวสะพัดว่า บิ๊กตู่ ต้องการปรับเปลี่ยน ครม.ในส่วนของงานด้านเศรษฐกิจ โดยต้องการให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งขณะนั้นทำหน้าที่ในฐานะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของ คสช.เข้ามารับตำแหน่งแทนหม่อมอุ๋ย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมีข่าวสะพัดหลายด้าน
เรื่อยมาถึงวันที่ 20 สิงหาคม มีพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้ง ครม.ชุดใหม่ โดย ครม.ประยุทธ์ 3 มีการปรับเปลี่ยนรวมทั้งสิ้น 19 ตำแหน่ง มีรัฐมนตรีที่หลุดออกไป 11 ราย ได้แก่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกฯด้านสังคม นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายพรชัย รุจิประภา รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รมช.สาธารณสุข และนายกฤษณพงศ์ กีรติกร รมช.ศึกษาธิการ
มีรัฐมนตรีใหม่เข้ามาจำนวน 10 ราย ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมช.คมนาคม นายอุตตม สาวนายน รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมช.ศึกษาธิการ นางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม หลังจากนั้นไม่นานหม่อมอุ๋ยถึงกับออกมาโวยเพราะไม่เห็นด้วยกับการปรับเปลี่ยนตำแหน่งในครั้งนี้
กรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน ได้ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาจนครบกำหนด 180 วัน และเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อพิจารณารับหรือไม่รับ ซึ่ง สปช.ได้นัดประชุมวาระพิเศษในวันที่ 6 กันยายน โดยที่ประชุมมีคติ 135 เสียง ต่อ 105 เสียง ไม่เห็นชอบ ส่งผลให้ร่างรัฐธรรมนูญถูกตีตกไป พร้อมปิดฉาก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ โดยรัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดให้ตั้งคณะกรรมการยกร่างชุดใหม่ 21 คน เพื่อมายกร่างฯให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน การโหวดตกของ สปช.มีหลายประเด็นที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการโผล่ขึ้นมาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ซึ่งมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหาร สามารถจัดการภาวะวิกฤตของบ้านเมืองได้
ต่อมา "บิ๊กตู่" ได้ใช้อำนาจหัวหน้า คสช.แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ขึ้นมาทำหน้าที่เขียนรัฐธรรมนูญแทน กมธ.ชุดเดิม โดยคณะกรรมการร่างฯส่วนมากมาจากการคัดสรรโดยมือกฎหมายของรัฐบาลอย่างนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งในวันที่ 5 ตุลาคม มีการประชุม คสช.เพื่อพิจารณาแต่งตั้ง กรธ. และสมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ (สปท.) มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุม ที่ประชุมได้คัดเลือก กรธ.ทีละคน จนเห็นชอบให้แต่งตั้ง กรธ. 21 คน มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ สมาชิก คสช.เป็นประธาน และ สปท. 200 คน เข้ามาทำหน้าที่ปฏิรูปต่อ โดย กรธ.จะใช้เวลาร่างรัฐธรรมนูญ 180 วัน ทั้งนี้ หลังจากแต่งตั้ง กรธ.และ สปท.ใหม่ นายวิษณุ ก็เดินสายชี้แจงโรดแมป 6-4-6-4 ซึ่งเป็นโรดแมปใหม่ของรัฐบาล อันหมายความว่าจะใช้เวลาร่างรัฐธรรมนูญ 6 เดือน เข้าสู่การลงประชามติ 4 เดือน จัดทำกฎหมายลูกอีก 6 เดือน กระทั่งเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งอีก 4 เดือน
เดือนพฤศจิกายน ประเด็นปัญหาโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ร้อนระอุขึ้นเมื่อมีการขยายผลการสอบสวนจากการเอาผิดกลุ่มคนผู้แอบอ้างเบื้องสูง โดยกล่าวหาว่ามีการทุจริตโดยเฉพาะการเรียกเก็บค่าหัวคิวจากโรงหล่อ ร้อนมาถึงรัฐบาลเพราะโครงการดังกล่าวมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานก่อสร้าง เป็นผลให้นายทหารคนสนิทของ พล.อ.อุดมเดช ต้องหนีออกนอกประเทศ ท่ามกลางกระแสกดดัน ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งพรรคเพื่อไทยหรือมวลชนคนเสื้อแดง จนถึงขั้นเรียกร้องให้ พล.อ.อุดมเดช รับผิดชอบด้วยการลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี กระทั่งกองทัพบกได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน โดยในวันที่ 20 พฤศจิกายน พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงผลสอบหลังจากไม่พบการทุจริต
หลังจาก 2 แกนนำเสื้อแดงอย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โดนรวบตัวหลังนัดกันที่ตลาดมหาชัยเมืองใหม่ จ.สมุทรสาคร ระหว่างจะเดินทางไปตรวจสอบการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ต่อมาวันที่ 7 ธันวาคม ที่สถานีรถไฟบ้านโป่ง จ.ราชบุรี "จ่านิว" หรือนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักศึกษาธรรมศาสตร์ ถูกรวบตัวระหว่างจะเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ด้วยเช่นกัน จากนั้นนักศึกษาที่ชื่อ "จ่านิว" ได้เคลื่อนไหวต่อเนื่อง เพื่อเรียกร้องความโปร่งใสในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ก็เปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบได้อย่างเต็มกำลัง จนมีเรื่องผิดใจกันระหว่าง พล.อ.อุดมเดช กับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เนื่องจาก พล.อ.ไพบูลย์ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบเช่นกัน ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับข้อมูลจากแกนนำเสื้อแดงแล้วแถลงข่าวว่า มีการทุจริตจริงและจะเอาคนผิดมารับผิดชอบ ซึ่งในเวลาต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งห้ามไม่ให้ทั้ง 2 คน ออกมาโต้เถียงกัน
หมายเหตุ - ความเห็นนักวิชาการและนักการเมือง จากกรณีที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) จะมีข้อเสนอถึงคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกฯคนนอกได้แต่ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 และหากภายใน 30 วันยังเลือกนายกฯไม่ได้ให้ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่
กรณีนายกฯคนนอกที่ไม่ได้มาจาก ส.ส.ต้องมีเสียงสนับสนุนของ ส.ส. 3 ใน 5 ส่วนตัวมองว่าเป็นการพยายามทำให้เห็นว่าวิถีทางของนายกฯคนนอกนั้นมายาก ทั้งที่จริงแล้วเป็นการไปทำให้วิธีการนั้นผิดธรรมชาติ อันที่จริง หากได้เสียงข้างมากของสภาก็ควรได้เป็นนายกฯแล้ว
อีกทั้งการกำหนดให้ต้องได้เสียง ส.ส. 3 ใน 5 นั้นเป็นเรื่องยาก เพราะต้องพร้อมอกพร้อมใจกัน เปรียบเสมือนข้อเสนอของ สปท. นี้เป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น คือเหมือนเอาไว้ตกแต่ง คิดว่าให้ ส.ส.ตัดสินไปเลยก็ได้ คือเสียงเกินครึ่งก็ได้ เพราะหากจะมีนายกฯคนนอกจริงๆก็ต้องได้เสียงคู่คี่มากจริงๆ ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
ถามว่าเหมาะกับประชาธิปไตยไหม ส่วนตัวคิดว่าไม่เหมาะ ประเทศไทยไม่เคยกำหนดอะไรเช่นนี้ แต่ถ้าถามเรื่องมันสามารถป้องกันการฉีกรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ต่อให้อยู่เฉยๆ ก็ลุกขึ้นมาฉีกก็มี
ไม่มีวิธีป้องกันหรอก
รัชฎาภรณ์ แก้วสนิท
อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์
เงื่อนไขของ กมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ของ สปท.จะคล้ายๆ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ คือ จะเปิดช่องทางให้ประเทศไทยมีนายกฯคนนอกที่ไม่ใด้มาจาก ส.ส. ต้องมีเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. 3 ใน 5 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด เรื่องนี้ดิฉันไม่เห็นด้วยเท่าไร
แต่เท่าที่ติดตามข่าวเรื่องที่มานายกฯคนนอก ทั้งในร่างของ กรธ.และแนวคิดของนายบวรศักดิ์นั้น จะเห็นว่าไม่เหมือนกัน ของ กรธ.เขาจะให้เสนอชื่อมาเลย จะเลือกใครก็ได้ ตรงนี้เข้าใจว่า กรธ.ไม่ได้พูดถึงกรณีที่บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะวิกฤต แต่ถ้าร่างของนายบวรศักดิ์นั้น สไตล์จะคล้ายๆ กับที่ กมธ.การเมือง สปท.เสนอมา
ส่วนตัวก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก เพียงแต่ว่าเรื่องสำคัญคือ ต้องพูดหรือกำหนดให้ชัดเจนว่า กรณีอย่างไรบ้าง ที่จะเรียกว่าวิกฤต
ที่ไม่ติดใจอะไรในประเด็นนายกฯคนนอก เพราะส่วนตัวเห็นว่า มันไม่สามารถช่วยอะไรได้ เนื่องจากถ้าเรามองย้อนกลับไปในอดีต สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประเทศเราเกิดวิกฤตอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งวิกฤตเช่นนั้น จะเห็นว่าเขาสามารถถูกยึดอำนาจได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นจึงไม่คิดว่า ถ้าบ้านเมืองเกิดวิกฤตขึ้นจริงๆ ส.ส.จะอยู่ทำงานในสภาจนถึงการโหวตโดยใช้เสียง 3 ใน 5 เพื่อให้มีนายกฯคนนอกเข้ามาบริหารประเทศ แต่ถ้าจะเขียนเป็นกลไกเพื่อควบคุม แก้ปัญหาในอนาคต ก็เขียนได้ ไม่มีปัญหา
ส่วนอำนาจการถอดถอนของ ส.ว.นั้น ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว จริงๆ ถ้าถามความเห็นของดิฉัน ประเทศไทยควรมีสภาเดียวก็พอแล้ว ประเทศเราถ้าจะมี ส.ว.แล้วคุณสมบัติและการได้มาจะเหมือนกับ ส.ส.คือประชาชนเลือกตั้งเข้ามาในสภา ไม่ต้องมีก็ได้
แต่ถ้าจำเป็นจะต้องมี ส.ว.ต่อไป อำนาจก็ควรจะมีแค่การกลั่นกรองกฎหมาย หรือทำงานตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลด้วยการตั้งกระทู้ถามก็เพียงพอ ไม่ควรให้มีอำนาจถอดถอน
นอกจากนี้ การเสนอยกเลิก ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์นั้น ต้องดูหลักการและข้อเท็จจริง เมื่อก่อนที่เรากำหนดให้มีปาร์ตี้ลิสต์ เพราะอยากได้คนที่มีความสามารถหลากหลายเข้ามาทำงานด้านการเมือง แต่ปัจจุบันเรามองว่าปาร์ตี้ลิสต์เป็นพวกอีแอบ เป็นพรรคพวกนายทุน ตรงนี้ถ้าจะยุบหรือยกเลิกปาร์ตี้ลิสต์ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่อยากบอกข้อเท็จจริงให้ทราบว่านายทุนเขาไม่ได้อยากเป็น ส.ส.มากนัก แต่ส่วนใหญ่อยากเป็นรัฐมนตรี ดังนั้นถ้าจะนำเสนอให้ยกเลิกแค่ปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อป้องกันพวกอีแอบ ต้องเสนอว่าห้าม ส.ส. เป็นรัฐมนตรีด้วย
สำหรับกรณีที่เสนอว่า การเลือกนายกฯในสภา ภายใน 30 วัน ถ้ายังไม่ได้นายกฯ จะต้องยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ ข้อเสนอนี้เห็นว่าถ้าเรามีสภาขึ้นมาแล้ว ส.ส.ในสภาจะเลือกนายกฯกันขึ้นมาจนได้ ไม่ต้องห่วงกังวล แต่ถ้าเลือกไม่ได้ก็อาจจะถือว่าเป็นวิกฤต ก็ไปเอาคนนอกมาเป็นนายกฯ แต่ต้องเขียนกติกาตรงนี้ให้ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องไปเลือกตั้งใหม่ เพราะถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา การเลือกตั้งใหม่ก็ไม่มีหลักประกันว่าผู้สมัคร ส.ส.เขาจะได้กลับเข้ามาในสภาอีก
ดังนั้น จึงเชื่อว่าสภาจะสามารถเลือกนายกฯได้ใน 30 วัน แต่ถ้าไม่ได้ นั่นก็อาจถือว่าเป็นวิกฤตใช่หรือไม่ ต้องบอกให้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม อยากฝากบอกไปยัง กมธ.การเมือง ว่า ถ้าไม่ได้ลงมาเป็นผู้เล่นเองก็ไม่ควรเสนอหรือเขียนอะไรให้มันออกมาดูยุ่งยากมากนัก
สามารถ แก้วมีชัย
อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทยในฐานะคณะทำงานติดตามการร่างรัฐธรรมนูญ
การที่กำหนดให้นายกฯมาจากคนนอกได้แต่ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของสมาชิกรัฐสภาก็เหมือนร่างของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคณะก่อน เมื่อครั้งที่แล้ว
ผมไม่เห็นด้วยกับการที่กำหนดว่าหากไม่สามารถเลือกนายกฯได้ ให้ยุบสภาภายใน 30 วัน เพราะเป็นเรื่องที่ฝืนครรลอง เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้า กรธ.ไม่เขียนรัฐธรรมนูญในลักษณะเปิดช่องให้มีนายกฯคนนอก และก็คงไม่เกิดปัญหา แต่เพราะไปเขียนรัฐธรรมนูญพิสดารก็เลยทำให้มีปัญหาในทางปฏิบัติ
ทั้งนี้ ที่ถามว่าการยุบสภาต้องใช้อำนาจใครยุบนั้นก็ต้องบอกว่า ไม่ต้องให้ใครมายุบ เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญเขียนให้ยุบก็ต้องยุบโดยรัฐธรรมนูญกำหนดนั่นเอง
ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น
นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์
ต้องดูทิศทางการเมืองในระยะยาว ตั้งแต่ร่างของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จนถึงร่างนี้ มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ กองทัพหรือทหารพยายามหาทางลงจากอำนาจ เขาคงประเมินว่าคงจะอยู่ในอำนาจต่อไปอีกระยะหนึ่งตามโรดแมป เรื่องนายกฯคนนอกหรือเรื่องคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) เมื่อคราวที่แล้ว เป็นความพยายามทางการเมืองของทหารที่จะสืบทอดอำนาจตัวเอง
การให้ ส.ส.โหวตเลือกนายกฯคนนอก โดยกระบวนการรัฐสภาสามารถทำได้ ในอดีตเราก็เคยทำมาแล้ว สิ่งที่น่าสังเกตคือ ผู้ที่จะเข้ามาเป็นนายกฯโดยให้สภาเลือก คิดว่าสุดท้ายแล้วจะมีอิทธิพลของกองทัพ เป็นบรรยากาศอำนาจของกองทัพมาปกคลุมกระบวนการเหล่านี้ ถ้าร่างนี้เกิดขึ้นจริง
ตรงนี้เป็นดีลทางการเมืองที่ทหารเองพยายามประนีประนอมกับฝ่ายการเมืองอยู่พอสมควร ถึงได้ออกมาเป็นรูปการณ์แบบนี้
แต่สุดท้ายแล้วประเด็นหลักคือเป็นความพยายามของทหารที่จะสืบทอดอำนาจตัวเอง
ตัวเลข 3 ใน 5 ตรงนี้ยังไม่นิ่งเพราะยังเป็นข้อเสนออยู่ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถ้าไม่เกิดการประนีประนอมหรือมีการเจรจาทางการเมือง ระหว่างอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับนักการเมือง คุยเรื่องตัวเลขไปก็ไม่เกิดประโยชน์เพราะปรับได้อยู่ตลอด
สิ่งที่จะดูทิศทางการเมืองได้ดีที่สุด ต้องดูว่าแต่ละฝ่ายมีความมุ่งหวังอย่างไร ในด้าน คสช.เขาต้องหาทางลงแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ยิ่งบีบให้เขาต้องลงจากอำนาจให้สวยที่สุดและเจ็บตัวน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
เรื่องนายกฯคนนอกเป็นความพยายามโยนหินถามทางของทาง คสช.ว่าสังคมหรือนักการเมือง ฝ่ายการเมืองที่มีบทบาทอยู่ในประเทศไทยตอนนี้จะมีความเห็นในทิศทางอะไร แต่เสียงก็ยังแตกอยู่ บางคนยอมรับ บางคนไม่ยอมรับ
ในระยะยาว ยังไงตัวนายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง ถ้าการเป็นนายกฯคนนอกเกิดการไม่ยอมรับทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองของไทยตอนนี้เป็นการเมืองแบบมวลชนแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย โมเดลนายกฯคนนอกแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยในระยะยาว เพราะเราขัดแย้งกันจนใครจะมาเป็นคนกลาง
ถ้าประชาชนเลือกพรรคการเมืองเข้าไป ก็คาดหวังว่าคนที่อยู่ในพรรคการเมืองเสียงข้างมากจะเป็นนายกฯ กลับกลายเป็นว่าพรรคที่ตัวเองเลือกไปในรัฐสภาไปโหวตให้ใครไม่รู้ที่คนไม่ได้เลือกหรือไม่ได้คาดหวังว่าจะให้เขามาเป็นนายกฯ อาจเกิดปมปัญหาทางการเมืองขึ้นมาอีกว่า ผู้ลงคะแนนเลือกตั้งจะรับเรื่องนี้ได้หรือเปล่า
ถ้าดูจากบริบทการเมืองไทยใน 10 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่ายากที่จะทำให้โมเดลนายกฯคนกลางเกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ
เหตุผลที่บอกว่าเพื่อออกจากวิกฤตหรือป้องกันการฉีกรัฐธรรมนูญยามหาทางออกไม่ได้ คิดว่าเป็นข้ออ้างทางการเมืองที่เขาเชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งจริงๆ แล้วแก้ไม่ได้ สิ่งที่เขาพูดขัดแย้งกับสถานการณ์ทางการเมืองในไทยตอนนี้ คนแบ่งฝ่ายหมดแล้ว อยู่ที่ว่าในระยะยาวฝ่ายไหนจะอ่อนแรงทางการเมืองไปเท่านั้นเอง อาจจะใช้เวลายาวหน่อย แต่คิดว่าโมเดลนี้ไม่เวิร์ก ต่อให้เข็นกันจนสำเร็จ ระยะยาวก็ไม่เวิร์กอยู่ดี เพราะจะเกิดปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองตามมาเยอะมาก
ส่วนข้อเสนอเรื่องที่หากเปิดประชุมสภาผู้แทนฯไป 30 วันแล้วยังเลือกนายกฯกันไม่ได้ ให้ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ มีความพยายามวางยาเบื่อกับระบบรัฐสภาเอาไว้ เป็นวิธีคิดที่ค่อนข้างแยบยล เขาพยายามทำลายรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากอยู่ตลอดเวลา
ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญในปัจจุบันนั่งดูยังไงก็รู้ว่าทุกคนมีธงอยู่แล้ว โมเดลที่พูดมายังไงก็หนีไม่พ้นความพยายามทำให้ระบบรัฐสภาอ่อนแอ
เลือกนายกฯไม่ได้ใน 30 วันแล้วยุบสภา คำถามก็คือยุบไปทำไม จะเลือกตั้งใหม่ให้เปลืองงบประมาณเหรอ คนเลือกเข้ามาแล้ว เพิ่งเลือกตั้งกันไปแล้วจะมาเลือกอะไรอีก
สิ่งที่มองเห็นได้อย่างเดียวคือเป็นความพยายามที่จะสอดไส้วางยาเบื่อระบบรัฐสภาของไทยให้เกิดปัญหามากที่สุด แล้วจะได้ใช้เป็นข้ออ้างว่า นี่ไง เสรีประชาธิปไตยมันไม่เวิร์กสำหรับไทย แล้วก็เป็นข้ออ้างไปใช้ระบอบอื่นแทน
ถามว่าทำไมไม่เปลี่ยนระบบไปเลยตรงๆ คำตอบคือเปลี่ยนไม่ได้ ตอนนี้คนส่วนหนึ่งไม่เอาเสรีประชาธิปไตย แต่ส่วนหนึ่งเอา เขาก็ไม่กล้าที่จะทุ่มลงไป เพราะกลัวกระแสตีกลับเหมือนกัน
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด