ออมสิน จับมือมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดโครงการพัฒนา ‘Holistic Area Based’ ตั้งเป้า 5 หมู่บ้านยอดดอยเปียงซ้อ จ.น่าน เป็นต้นแบบการพัฒนาแบบองค์รวม ตอบโจทย์ความยั่งยืน
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้ริเริ่มเปิดตัวโครงการเพื่อสังคมโปรเจกต์ใหม่ล่าสุด โดยร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดทำโครงการพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม หรือ Holistic Area-Based Development คัดเลือก 5 หมู่บ้านของพื้นที่ห่างไกลในตำบลขุนน่าน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน ได้แก่ 1) บ้านเปียงซ้อ 2) บ้านห้วยฟอง 3) บ้านสะจุก 4) บ้านสะเกี้ยง 5) บ้านห้วยเต๋ย ให้เป็นพื้นที่เป้าหมายของการพัฒนา 9 ด้าน ครอบคลุมมิติคุณภาพชีวิต และมิติเศรษฐกิจ ชุมชน และสังคม ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการบูรณาการแนวคิดเชิงสังคมลงในกระบวนการปฏิบัติงานที่สำคัญ : Social Mission Integration เพื่อขับเคลื่อนการสร้างผลกระทบเชิงบวกในสังคมให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ธนาคารเพื่อสังคม
โครงการพัฒนาชุมชนแบบองค์รวม : Holistic Area-Based Development พื้นที่ 5 หมู่บ้านของจังหวัดน่าน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ จำนวนประชากร 500 ครัวเรือน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับผลประโยชน์ในโครงการ โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เข้าไปบุกเบิกชักชวนชาวบ้านของ 5 หมู่บ้าน ให้เปลี่ยนจากการทำเกษตรเลื่อนลอยที่ทำลายพื้นที่ป่าอนุรักษ์ มาปลูกกาแฟคุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายผิวดินและป่าต้นน้ำน่าน ต่อมาธนาคารออมสินได้ริเริ่มจัดทำโครงการต้นแบบตามแนวคิดการพัฒนาชุมชนแบบองค์รวมขึ้น สนับสนุนงบประมาณ 6,900,000 บาท โดยร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คัดเลือกให้ 5 หมู่บ้านดังกล่าว เป็นพื้นที่เป้าหมายการพัฒนาในขั้นต่อไป ด้วยการจัดตั้งโรงแปรรูปกาแฟ เครื่องมืออุปกรณ์ และปัจจัยที่จำเป็นในการแปรรูปเมล็ดกาแฟให้พร้อมจำหน่ายเพิ่มรายได้ต่อกิโลกรัมให้กับเกษตรกร
นอกจากนี้ ธนาคารยังจัดสรรงบประมาณอีกจำนวนหนึ่งสำหรับมิติการพัฒนาด้านอื่นที่รับผิดชอบดำเนินการโดยบุคลากรของธนาคารทั้งจากส่วนกลาง และธนาคารออมสินภาค 9 (จังหวัดน่าน) อาทิ ด้านการจัดหาแหล่งเงินและแก้ปัญหาหนี้ การสร้างอาชีพสร้างรายได้อื่นนอกเหนือจากการเกษตร เช่น การส่งเสริมอาชีพผู้ประกอบการโฮมสเตย์รวม 18 ราย ที่ผ่านการอบรมยกระดับโฮมสเตย์มาตรฐานจากกรมการท่องเที่ยว องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) และ Airbnb การฝึกอบรมสอนอาชีพช่างโดยวิทยาลัยเทคนิคปัว การสนับสนุนด้านการศึกษา ทั้งที่เป็นก่อสร้าง/ปรับปรุงอาคารโรงอาหาร ห้องน้ำ สนามเด็กเล่น และการส่งเสริมการเรียนการสอนด้าน ICT โดยความร่วมมือของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED) การสนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์แก่โรงพยาบาลเสริมสุขภาพตำบลและกิจกรรมของ อสม. การปรับปรุงระบบจัดการน้ำดื่มน้ำใช้ การติดตั้งระบบไฟ Solar System ระบบอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายการพัฒนาและช่วยเหลือชาวบ้านให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในระยะเวลา 1 ปี และคาดว่าจะมีผู้ได้รับผลประโยชน์ในโครงการต้นแบบฯ ครั้งนี้ ทั้งประชากรของ 5 หมู่บ้านและพื้นที่ใกล้เคียง ไม่น้อยกว่า 10,000 ราย
ด้วยการเริ่มต้นจากจุดเล็กที่ธนาคารออมสินได้ริเริ่มในพื้นที่นี้ เมื่อสามารถขยายตัวลงมือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นรูปธรรมจนนำไปสู่ความสำเร็จ หากเกิดการทยอยทำหลายพื้นที่ แล้วได้ต่อภาพจากต้นแบบนี้ จนมีการขยายผลไปเรื่อยๆ ทั้งที่ธนาคารออมสินจะดำเนินการเอง หรือหากมีหน่วยงานอื่น จะทำลักษณะนี้ด้วย จะเป็นการช่วยกันใส่ความช่วยเหลือให้ในหลายๆ จุดตามพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ ดังเช่นจุดริเริ่มที่ตำบลขุนน่านนี้ ถือว่ายากลำบากทุรกันดารที่สุด หากทำสำเร็จได้แล้ว พื้นที่ใดๆ ก็ตามในประเทศไทยก็สามารถพัฒนาไปสู่ความสำเร็จเช่นนี้ได้ทั้งสิ้น
A11633
ธนาคารแห่งอเมริกา จับมือมูลนิธิ EDF จัดกิจกรรม Volunteer Day พัฒนาโรงเรียน
นางนิดา ภักดีกุลสัมพันธ์ (แถวยืนหน้า – ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ นางรุ่งทิวา ปรมัตถ์วิโรจน์ (แถวยืนหน้า –ที่ 9 จากซ้าย) ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) นางพลอยภัสสร์ พูลสวัสดิ์ (แถวยืนกลาง-ที่ 7 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร มูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ถ่ายภาพร่วมกับเจ้าหน้าที่อาสาสมัครธนาคารแห่งอเมริกา คณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) จังหวัดราชบุรี ในโอกาสที่ธนาคารแห่งอเมริการจัดกิจกรรมจิตอาสา Volunteer Day พัฒนาโรงเรียน ด้วยการร่วมกันปลูกต้นไม้ จัดสวนหย่อม ทาสีอาคาร และอุปกรณ์สนามเด็กเล่นภายใต้การประสานงานของมูลนิธิ EDF
ธนาคารแห่งอเมริการ่วมพัฒนาสังคมจัดกิจกรรม Volunteer Day เปิดโอกาสให้บุคลากรธนาคารร่วมเป็นจิตอาสาพัฒนาโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ภายใต้การประสานงานของมูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา)
นางนิดา ภักดีกุลสัมพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ธนาคารแห่งอเมริกา กล่าวว่า “นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ในช่วงเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่บุคลากรธนาคารแห่งอเมริกาของเราได้มีโอกาสมาจัดกิจกรรมอาสาVolunteer Day พัฒนาโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) ในจังหวัดราชบุรี ด้วยการร่วมกันปลูกต้นไม้ จัดสวนหย่อม ทาสีอาคาร และอุปกรณ์สนามเด็กเล่น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีงามร่วมกับนักเรียนและคณะครู รวมถึงการทำกิจกรรมพิเศษงานประดิษฐ์อุปกรณ์ของใช้จากไม้ไอศกรีม การทำพวงกุญแจจากเรซิ่น และการเล่นเกมร่วมกันกับนักเรียน ภายใต้การประสานงานของมูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ซึ่งเป็นพันธมิตรของเราที่ดำเนินโครงการพัฒนาอาชีพและรักษ์สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรี สำหรับกิจกรรมพิเศษ Volunteer Day 1 วัน ในโรงเรียนครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่ดีงามของอาสาสมัครจากธนาคารแห่งอเมริกาทุกคน โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่มีแต่ความดีใจของนักเรียนถือว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง”
นางรุ่งทิวา ปรมัตถ์วิโรจน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) จังหวัดราชบุรี กล่าวว่า “คณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) ขอขอบคุณคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งอเมริกาที่ได้ร่วมแรงร่วมในกันมาจัดกิจกรรมจิตอาสา Volunteer Day ร่วมกับนักเรียนและครู และขอขอบคุณมูลนิธิ EDF (มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา) ที่เป็นสื่อกลางช่วยประสานงานจนเกิดกิจกรรมในครั้งนี้ ธนาคารแห่งอเมริกาเป็นองค์กรแรกที่มาจัดกิจกรรมในโรงเรียนของเรานับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เห็นได้อย่างชัดเจนจากรอยยิ้มและการร่วมแรงร่วมใจของนักเรียนและคณะครู”
เด็กหญิงเปมิกา เสมออิ่ม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตัวแทนนักเรียนกล่าวว่า “ในนามของนักเรียนโรงเรียนวัดปากช่อง (จันทรานุมาศวิทยาคาร) หนูและเพื่อนๆ ขอขอบคุณพี่ๆ อาสาสมัครจากธนาคารแห่งอเมริกาที่มาจัดกิจกรรมพัฒนาโรงเรียน พวกเรามีความสุขมากค่ะ ได้รู้จักพี่ๆ เห็นความตั้งใจของพี่ๆ ที่เสียสละเวลาช่วงวันหยุดมาร่วมพัฒนาทำให้โรงเรียนของเราสวยงามมากยิ่งขึ้น อีกทั้งหนูและเพื่อนๆ ยังได้ทำกิจกรรมเล่นเกมกระชับความสัมพันธ์ ได้ร่วมกันออกไอเดียโดยเฉพาะกิจกรรมประดิษฐ์อุปกรณ์ตามไอเดียจากไม้ไอศกรีมที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงและทำพวงกุญแจจากเรซิ่น พวกเราสนุกและมีความสุขมากค่ะ”
เด็กชายพสิษฐ์ ยอดแก้ว นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กล่าวเสริมว่า “ผมและเพื่อนๆ ชอบกิจกรรมที่พี่ๆ จิตอาสามาจัดที่โรงเรียนมากครับ พวกเราได้มีส่วนร่วมขุดดิน ปลูกต้นไม้ ทาสี ช่วยให้โรงเรียนของเรามีสีสันสวยงามมากขึ้น พวกเราสัญญาว่าจะช่วยกันรักษาต้นไม้และอุปกรณ์ต่างๆ ที่พี่ๆ ตั้งใจทำเพื่อพวกเราอย่างดีครับ”
องค์กรหรือผู้สนใจที่ต้องการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม หรือสนับสนุนทุนการศึกษาให้นักเรียนด้อยโอกาสร่วมกับมูลนิธิ EDF สามารถติดต่อมูลนิธิได้ที่โทรศัพท์ (02) 579 9209-11 (วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00-16.30 น.) อีเมล [email protected] ทาง Line: @edfthai เฟสบุ๊คแฟนเพจ https://www.facebook.com/edfthai หรือเว็บไซต์ www.edfthai.org
A11629
สยามพิวรรธน์ เดินหน้าองค์กรต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม เนรมิตแคมเปญ ‘Citizen of Earth by Siam Piwat’ มอบต้นไม้ให้กทม. ช่วยฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืนและส่งต่อโลกที่น่าอยู่
กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ประกาศเดินหน้าองค์กรต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม สร้างผลกระทบเชิงบวกด้วยการฟื้นฟูและส่งต่อโลกที่น่าอยู่ สร้างสรรค์แคมเปญ “Citizen of Earth by Siam Piwat” จับมือพันธมิตรอีโคซิสเต็มมอบต้นไม้จากการทำกิจกรรม SIAM CENTER RUN FOREST RUN เปลี่ยนกิโลเมตรจากการวิ่งบนลู่วิ่งกลางสยามเซ็นเตอร์ทุก 1 กิโลเมตรเป็นต้นไม้ 1 ต้น โดยมีเป้าหมาย 100,000 ต้น เพื่อปลูกในพื้นที่สาธารณะช่วยฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวให้แก่กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้รับมอบและร่วมปลูกต้นไม้กับคณะผู้บริหาร พนักงานกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ พันธมิตร พนักงานกรุงเทพมหานคร ณ สวนราชเทวีภิรมย์ เขตราชเทวี อีกทั้งร่วมมือกับ SCGC ในการรีไซเคิลถุงดำเพาะกล้าไม้เพื่อหมุนเวียนทรัพยากรอย่างยั่งยืน
สำหรับแคมเปญ “Citizen of Earth by Siam Piwat” กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ได้มีพันธกิจในการร่วมเป็น ส่วนหนึ่งของการร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อโลกที่น่าอยู่ โดยเริ่มดำเนินการสร้างสรรค์กิจกรรมรูปแบบต่างๆ ด้วยการจับมือกลุ่มพันธมิตรอีโคซิสเต็ม ทำกิจกรรมในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ จึงนำต้นไม้ จากการทำกิจกรรม SIAM CENTER RUN FOREST RUN ระหว่างวันที่ 20 ก.ค.-10 ส.ค. ที่ผ่านมา จัดขึ้นโดยสยามเซ็นเตอร์ ร่วมกับเวอร์จิ้น แอ็คทีฟ (Virgin Active) เชิญชวนให้คนมาวิ่งบนลู่วิ่งกลางสยามเซ็นเตอร์ เปลี่ยนระยะทางทุก 1 กิโลเมตรเป็นต้นไม้ 1 ต้น ซึ่งได้รับความสนใจมีผู้ร่วมกิจกรรมวิ่งรวมระยะทาง 4,504 กิโลเมตร จึงเปลี่ยนเป็นต้นไม้จำนวน 4,504 ต้น มอบให้กับกรุงเทพมหานคร โดยได้ตั้งเป้าพันธกิจช่วยสร้างพื้นที่สีเขียวช่วยดูดซับคาร์บอนและเพิ่มออกซิเจนให้โลกด้วยการเชิญชวนพนักงาน พันธมิตรอีโคซิสเต็มภาครัฐและเอกชน ลูกค้า ร่วมกันปลูกต้นไม้จำนวน 100,000 ต้น ช่วยฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืนในพื้นที่สาธารณะให้กับกรุงเทพมหานคร
กิจกรรมมอบต้นไม้ปลูกต้นไม้ภายใต้แคมเปญ “Citizen of Earth by Siam Piwat” ครั้งนี้ กลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ ยังจับมือกับบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน ที่ดำเนินงานภายใต้แนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) โดยให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการพัฒนา Green Innovation ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะเปลี่ยนขยะที่ไม่มีมูลค่า สู่สิ่งของที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ด้วยการรีไซเคิลถุงดำจากการเพาะกล้าไม้ ให้เป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล หรือ Post-Consumer Recycled Resin (PCR) เพื่อนำไปขึ้นรูปเป็นสิ่งของต่างๆ เช่น กระถางต้นไม้ ถังขยะ เป็นต้น ทั้งนี้ SCGC มีการเชื่อมโยงพาร์ทเนอร์ด้านต่างๆ ในห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการรีไซเคิลแบบระบบปิด (Closed-loop Recycling) ช่วยส่งเสริมการจัดการขยะพลาสติกตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อขยายการรีไซเคิลแบบระบบปิดนี้ไปยังองค์กรอื่นๆ ต่อไปในอนาคต เพื่อช่วยลดปริมาณขยะสะสมในประเทศ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืนต่อไป
ผู้สนใจสามารถติดตามนวัตกรรมและข่าวสารอื่นๆ ของเอสซีจีได้ที่ https://www.scg.com/esg / https://scgnewschannel.com / Facebook: scgnewschannel / Twitter: @scgnewschannel หรือ Line@: @scgnewschannel
A11612
โตโยต้า เปิดศูนย์การเรียนรู้โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ แห่งที่ 6 บริษัท ลัลณ์ลลิลไบโอเทค จำกัด จ.สระบุรี ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหัวเชื้อเพาะเห็ด พร้อมบรรลุเป้าหมายการเปิดศูนย์การเรียนรู้ฯครอบคลุมทั้ง 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ
คุณสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด คุณศิริวรรณ บุญวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โตโยต้าสระบุรี จำกัด และคุณอภิศักดิ์ แซ่หลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลัลณ์ลลิลไบโอเทค จำกัด ร่วมเปิด “ศูนย์การเรียนรู้โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ แห่งที่ 6” ณ บริษัท ลัลณ์ลลิลไบโอเทค จำกัด จังหวัดสระบุรี เมื่อวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา
“ศูนย์การเรียนรู้โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” เป็นกิจกรรมในโครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ที่ได้นำปัจจัยแห่งความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ได้แก่ วิถีโตโยต้า ระบบการผลิตแบบโตโยต้า และปรัชญาลูกค้าเป็นที่หนึ่ง มาถ่ายทอดให้แก่วิสาหกิจชุมชน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย ให้สามารถดำเนินธุรกิจด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับทิศทางการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โครงการ “โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการปรับปรุงธุรกิจชุมชนต่างๆ และมีส่วนช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้ มีการพัฒนาและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในด้านต่างๆ อาทิ เช่น ประสิทธิผลในการผลิต คุณภาพสินค้า และต้นทุนสินค้าคงคลัง เป็นต้น
บริษัท ลัลณ์ลลิลไบโอเทค จำกัด จังหวัดสระบุรี เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหัวเชื้อเห็ดมากกว่า 20 สายพันธุ์รวมทั้งจำหน่ายอุปกรณ์เพาะเห็ดให้แก่บรรดาเกษตรกรต่างๆ บริหารงานโดยคุณอภิศักดิ์ แซ่หลี ธุรกิจฯได้เข้าร่วมกิจกรรมการ ไคเซ็นภายใต้โครงการโตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ ในปี พ.ศ. 2562 ภายใต้ความร่วมมือกับ บริษัท โตโยต้าสระบุรี จำกัด โดยโตโยต้าได้ส่งเจ้าหน้าที่ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านระบบการผลิตแบบโตโยต้าและหลักการไคเซ็น (การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง) เข้าไปช่วยเหลือธุรกิจชุมชนในลักษณะของการเป็น “พี่เลี้ยงทางธุรกิจ” โดยร่วมศึกษาถึงสาเหตุของปัญหา พร้อมนำองค์ความรู้ของโตโยต้าเข้าไปถ่ายทอดและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทและความพร้อมของธุรกิจ เพื่อช่วยแก้ปัญหาและให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างมืออาชีพ สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม สร้างการจ้างงานในท้องถิ่น และสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน
บริษัท ลัลณ์ลลิลไบโอเทค จำกัด ได้นำองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจของโตโยต้ามาปรับปรุงการดำเนินงานของธุรกิจตนเอง ดังนี้
1.) การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต (Productivity)
โดยการออกแบบการจัดวางไลน์การผลิตใหม่ในขั้นตอนของการกรอกข้าวฟ่าง โดยเปลี่ยนจากการทำงานเป็นจุดๆ มาเป็นการทำงานแบบต่อเนื่อง พนักงานไม่ต้องเดิน และไม่ต้องยกของ ลดเวลาที่สูญเสียไปจากการเคลื่อนที่ ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น มีการใช้อุปกรณ์ทดแทนการทำงานของคน เช่นนำระบบกลไกคาราคุริ (Simple automation) มาออกแบบรางเลื่อนเพื่อขนย้ายสินค้าได้ง่ายขึ้น ลดเวลาในการขนย้าย นอกจากนี้ยังได้เปลี่ยนถาดเหล็กบรรจุขวดแก้วที่มีน้ำหนักมากมาเป็นถาดตะกร้าพลาสติกซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าและใช้พื้นที่ในการเก็บน้อยกว่าเดิม รวมทั้งราคาถูกกว่า ทำให้ทำงานสะดวกขึ้น อีกทั้งมีการปรับขนาดถาดสไลด์ Dolly ให้เหมาะสมกับการทำงาน ทำให้น้ำหนักลดลงและใช้คนจำนวนน้อยลงในการเคลื่อนย้าย ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยลดเวลาโดยรวมที่ใช้ในกระบวนการทำงาน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตจาก 44% เป็น 79% ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 2,000 ขวดต่อวัน สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 364,000 บาทต่อเดือน
2.) การควบคุมคุณภาพของสินค้า (Quality)
ลดของเสียลงโดยการเจาะรูที่ฝาครอบขวดและเพิ่มขนาดรูที่กล่องบรรจุภัณฑ์เพื่อให้อากาศถ่ายเทหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ทำให้สามารถลดปริมาณของเสียลงได้ 67% คิดเป็นมูลค่า 9,450 บาทต่อเดือน
3.) การส่งมอบสินค้า (Delivery)
มีการจัดทำบอร์ดควบคุมการส่งมอบสามารถตรวจสอบจำนวนการส่งมอบของลูกค้าแต่ละรายและวางแผนการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ตามวันเวลาที่ตกลงกันไว้ ส่งผลให้ธุรกิจสามารถส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลา 100%
4.) การจัดการสินค้าคงคลัง (Stock management)
มีการปรับระดับสต็อกวัตถุดิบลงให้สอดคล้องกับความจำเป็นในการผลิตในแต่ละเดือน และวางแผนผลิตหัวเชื้อเห็ดตามยอดการผลิตต่อเดือนประมาณ 5,000-7,000 ขวด/วัน ซึ่งหมายถึงใช้ข้าวฟ่างผลิต 16 ตัน/เดือน โดยลดต้นทุนที่เคยใช้ในการสั่งซื้อต่อครั้งจาก 1.3 ล้านบาท เหลือเพียง 144,000 บาท ทำให้มีทุนหมุนเวียนในธุรกิจเพิ่มขึ้นมากกว่า 1ล้านบาท ลดการสูญเสียที่เกิดขึ้นในสต็อก และลดพื้นที่จัดเก็บลงได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์
5.) นวัตกรรมใหม่ที่ต่อยอดเพิ่มมาจากการไคเซน
• การใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแทนขวดแก้ว ตลอด 30 ปีของการเพาะเห็ด ลัลณ์ลลิลใช้ขวดโซดามาบรรจุเชื้อเห็ดเพราะหาง่ายและแข็งแรง แต่ปัจจุบันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป การค้าขายออนไลน์เป็นที่นิยมมากขึ้น การขนส่งกลายมาเป็นตัวแปรสำคัญของธุรกิจเพราะค่าขนส่งคิดตามน้ำหนักของสินค้า บริษัทจึงได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีน้ำหนักเบา โดยเปลี่ยนมาใช้ขวดพลาสติกที่มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ทำให้ตัดเชื้อมาลงขวดได้ง่ายขึ้น น้ำหนักเบาเพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง ลูกค้าก็ใช้ง่าย และตัวพลาสติกก็สามารถนำมาใช้ซ้ำได้อีกด้วย
• การผลิตเชื้อเห็ดเหลว เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นมาใช้กับขวดพลาสติก การผลิตหัวเชื้อต้องเลี้ยงเชื้อบนอาหารวุ้น PDA แล้วตัดชิ้นออกมาเพื่อบรรจุลงไปในขวด ซึ่งการตัดและใส่ขวดชิ้นหนึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน ลัลณ์ลลิลจึงพัฒนาตัววุ้นให้กลายเป็นเชื้อน้ำ แล้วก็ใช้เข็มฉีดยาดูดขึ้นมาเพื่อบรรจุลงขวด ลดเวลาในการผลิตและเพิ่มความสะดวกของลูกค้าในการใช้งานมากขึ้น
โตโยต้าได้ส่งมอบโครงการแก่ บริษัท ลัลณ์ลลิลไบโอเทค จำกัด ภายหลังการปรับปรุงเสร็จสิ้นเมื่อ พ.ศ. 2562 และได้ติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง พบว่าบริษัท ลัลณ์ลลิลไบโอเทค จำกัด ยังคงรักษาประสิทธิภาพของการดำเนินงาน สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปปรับปรุงต่อยอดธุรกิจได้ด้วยตนเองตามหลักวิถีโตโยต้าอย่างต่อเนื่อง ขยายผลการสร้างมาตรฐานการดำเนินงานจนสามารถลดต้นทุนและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงบริหารงานได้ด้วยตนเองอย่างมืออาชีพ สามารถส่งมอบงานได้ตรงเวลา 100% ดังนั้น โตโยต้า และบริษัท ลัลณ์ลลิลไบโอเทค จำกัด จึงได้จัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์ แห่งที่ 6” ต่อจากศูนย์การเรียนรู้ 5 แห่งแรก ที่กาญจนบุรี ขอนแก่น เชียงราย สงขลา และชลบุรี เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ในการปรับปรุงธุรกิจแก่วิสาหกิจชุมชนในภาคกลางต่อไป
ทั้งนี้ โตโยต้าได้เปิด “ศูนย์การเรียนรู้โตโยต้า ธุรกิจชุมชนพัฒน์” ครอบคลุมพื้นที่ครบทั้ง 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานภายใต้พันธกิจใหม่ของบริษัทฯในโอกาสการดำเนินงานในประเทศไทยครบรอบ 60 ปี เพื่อขับเคลื่อนความสุขสู่ผู้คนและส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนของสังคมภายใต้ “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยโตโยต้ามุ่งหวังให้ศูนย์การเรียนรู้ฯทั้ง 6 แห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนในประเทศไทย ผ่านการถ่ายทอดแนวความรู้ในการปรับปรุงธุรกิจ ส่งเสริมให้เกิดสังคมแห่งการแบ่งปันความรู้ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กลุ่มธุรกิจชุมชนทั่วประเทศ สามารถนำไปต่อยอดในการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองและสร้างเสถียรภาพแก่เศรษฐกิจของประเทศต่อไป
A11596
‘GULF Sparks Smiles มอบรอยยิ้มสดใสให้ชุมชน’ เดินหน้าออกหน่วยที่ 2 ประจำปี 65 มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน ส่งเสริมการรักษาสุขภาพช่องปากอย่างยั่งยืน
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ กัลฟ์ ร่วมกับ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินโครงการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ “GULF Sparks Smiles มอบรอยยิ้มสดใสให้ชุมชน” ปี 2565 ต่อเนื่องเป็นหน่วยที่ 2 โดยจัดขึ้นที่ ชุมชนเคหะฉลองกรุง แขวงลำผักชี เขตหนองจอก กทม. หลังจากได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากชุมชนและประชาชนที่ได้เข้ารับบริการจากโครงการฯ ที่ได้จัดขึ้นเป็นปีแรกเมื่อปี 2563 เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาทางทันตกรรมที่มีประสิทธิภาพท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และในปี 2565 นี้ ที่ได้ออกหน่วยครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 19 ต.ค.65 ณ ชุมชนการเคหะธนบุรีโครงการ1ส่วน1 เขตบางขุนเทียน กทม.
โดยหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ของโครงการ “GULF Sparks Smiles มอบรอยยิ้มสดใสให้ชุมชน” จะให้บริการตรวจรักษาปัญหาสุขภาพช่องปากในเบื้องต้น อาทิ อุดฟัน ถอนฟัน ขูดหินปูน เคลือบฟลูออไรด์ เอ็กซเรย์ และผ่าฟันคุด ซึ่งจะสามารถให้บริการผู้ป่วยได้ 150-200 คน/วัน นอกจากนี้ทางทีมทันตแพทย์ จากคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาสาสมัครจากกัลฟ์ ได้ให้ความรู้เรื่องทันตสุขศึกษากับประชาชน เพื่อที่ประชาชนที่มาเข้ารับบริการจะได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการรักษาสุขภาพฟันเพื่อนำไปปฏิบัติและบอกต่อกับคนอื่นๆ ต่อไปได้ เพื่อป้องกันโรคทางสุขภาพช่องปากอย่างยั่งยืน
ทพญ. พัณณ์ชิตา เหรียญรักวงศ์ ทันตแพทย์ประจำศูนย์บริการสาธารณสุขลำผักชี เขตหนองจอก กทม. กล่าวว่า ทางกัลฟ์ได้ประสานมาว่าต้องการที่จะให้บริการทางทันตกรรมกับพื้นที่ห่างไกล และขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเข้าถึงการรักษาทางทันตกรรมที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง ซึ่งพื้นที่เขตหนองจอกนั้นเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ มีประชากรกว่า 200,000 คน และสถานที่ให้บริการด้านสาธารณสุขหลักๆ ของรัฐมีเพียง 2 ที่ และบุคลากรทางการแพทย์มีน้อย รวมถึงการทำฟันให้ประชาชนแต่ละรายค่อนข้างใช้เวลานาน จึงเป็นข้อจำกัดในการเข้ารับบริการทางทันตแพทย์ของคนในชุมชน การที่กัลฟ์ร่วมกับคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่รักษาทางทันตกรรมให้กับชุมชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการฯ ที่เข้าถึงประชาชนและพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ
พล.ท.หญิง พันธุ์ทิพย์ รักษาเสรี ทันตแพทย์อาสาในโครงการหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ กล่าวเพิ่มเติมว่า การยับยั้งปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันเป็นสิ่งที่เราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยตนเอง โดยควรจะแปรงฟันทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 เวลา และแปรงฟันให้ถูกวิธีตามระยะเวลาที่เหมาะสม ประมาณ 2-3 นาที และควรตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอทุก 6 เดือน โดยทางคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และกัลฟ์ ก็มีความมุ่งมั่นว่าโครงการหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่นี้ที่จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องทันตสุขศึกษา และช่วยขยายผลให้เกิดการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันอย่างยั่งยืนได้ต่อไป
ในส่วนของการจัดหาพื้นที่ในการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่นั้น ได้รับข้อมูลจากสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยให้การรักษาสามารถไปถึงยังพื้นที่ชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง โดยปีนี้จะมีการออกหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ “GULF Sparks Smiles มอบรอยยิ้มสดใสให้ชุมชน” ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้าย จะจัดขึ้นในวันที่ 23 พ.ย.65 ณ วัดทิพพาวาส เขตลาดกระบัง ผู้ที่สนใจสามารถมาลงทะเบียน walk-in ได้ในเวลา 08.00 – 09.00 น. โดยรับจำนวนจำกัดเท่านั้น สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ https://www.facebook.com/GulfSPARK.TH/
A11575
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด