CPF รับรางวัล ‘UN Women 2022 Thailand WEPs Awards’ ตอกย้ำต้นแบบองค์กรส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 “UN Women 2022 Thailand WEPs Awards” ในสาขาสถานที่ทำงานที่มีความเท่าเทียมทางเพศ จาก องค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ หรือ UN Women สะท้อนความโดดเด่นของบริษัทฯ ที่บริหารจัดการด้านความเสมอภาคทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมการเคารพความแตกต่างหลากหลาย และการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมอย่างต่อเนื่อง โดยมี นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ รับรางวัลในงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
นางสาวพิมลรัตน์ กล่าวว่า การได้รับรางวัล “UN Women 2022 Thailand WEPs Awards” ในสาขาสถานที่ทำงานที่มีความเท่าเทียมทางเพศ จาก UN Women เป็นผลจากการดำเนินงานและมีการปฏิบัติด้านความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้นโยบาย Diversity and Inclusion (D&I) เสริมสร้างวัฒนธรรมและบรรยากาศการทำงานแบบมีส่วนร่วม ยอมรับและเคารพในความแตกต่างของพนักงานในองค์กร โดยเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคน ทุกระดับ ทุกรุ่น ได้สามารถพัฒนาตนเองและก้าวสู่ความเป็นผู้นำอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ
“ซีพีเอฟ ภูมิใจมากที่ได้รับรางวัลครั้งนี้ เป็นรางวัลที่ยกย่ององค์กรธุรกิจที่มีแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ เป็นสิ่งที่ช่วยสะท้อนผลสำเร็จของบริษัทฯ ในการขับเคลื่อนความเท่าเทียมทางเพศและหลักการเสริมสร้างศักยภาพสตรีตลอดทั่วทั้งองค์กร โดยบริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าความแตกต่างจะช่วยสร้างสรรค์คุณค่าและเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายการเป็น “ครัวของโลก” บนพื้นฐานของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเติบโตยั่งยืนไปพร้อมกัน ซึ่งตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (UN SDGs)” นางสาวพิมลรัตน์กล่าว
บริษัทฯ แสดงจุดยืนในเรื่องของการส่งเสริมความหลากหลายในองค์กรวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม ความเสมอภาค การบริหารความหลากหลาย และยอมรับความแตกต่าง ผ่านการบริหารงานด้านทรัพยากรบุคคลขององค์กร และริเริ่มโครงการในรูปแบบต่างๆ อาทิ การบริหารค่าตอบแทนและให้โอกาสความก้าวหน้าแก่พนักงานอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ การปรับปรุงสวัสดิการที่ยืดหยุ่นตามความหลากหลายของพนักงาน การพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ผ่านโครงการเถ้าแก่โดยเปิดเวทีให้ลงมือทำธุรกิจจริง การจัดตั้งชมรมที่เปิดโอกาสให้พนักงานร่วมคิดและจัดกิจกรรมตามความสนใจ รวมไปถึงการจัดตั้งชมรม LGBTQ+ การจัดห้องให้นมบุตรที่ถูกสุขอนามัยในสถานประกอบการ เป็นต้น ทั้งนี้ ช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข ก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมคู่กับองค์กร โดยซีพีเอฟยังได้นำหลักการนี้ไปใช้กับกิจการในต่างประเทศ และได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ส่งเสริมให้คู่ค้าธุรกิจตลอดจนเกษตรกรในห่วงโซ่อุปทาน ดำเนินงานบนพื้นฐานเรื่องความเท่าเทียมและการยอมรับความแตกต่างหลากหลาย เพื่อร่วมยกระดับห่วงโซ่อุปทานอาหารสู่มาตรฐานสากล
การประกาศรางวัล UN Women 2022 Thailand WEPs Awards ในปีนี้ มีองค์กรธุรกิจชั้นนำที่มีการดำเนินการเพื่อความเท่าเทียมทางเพศกว่า 500 บริษัทจาก 19 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสมัครเข้าร่วมรับการคัดเลือก
ในปีนี้ ซีพีเอฟ ยังได้รับรางวัลด้านสิทธิมนุษยชนจากองค์กรระดับประเทศและระดับภูมิภาค อาทิ รางวัล “องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ระดับดีเด่น ประจำปี 2565 ประเภทองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ (Human Rights Award 2022) จากกระทรวงยุติธรรม และรางวัล HR Asia Best Companies to work for in Asia 2022 หรือ รางวัลองค์กรดีเด่นที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ในปี 2022 จากนิตยสาร HR Asia และคว้ารางวัลสูงสุดระดับ Gold ด้านสิทธิมนุษยชน ใน “รายงานความยั่งยืนยอดเยี่ยมระดับเอเชีย” จากเวที ASRA 2021 อีกด้วย
A11275
เอสซีจี รับรางวัล UN Women 2022 Thailand WEPs Awards จากโครงการ ‘พลังชุมชน’ สร้างอาชีพแก้จนกว่า 10,000 ราย
เอสซีจี โดย นางจันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน นางวีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการสำนักงาน Enterprise Brand Management รับรางวัล UN Women 2022 Thailand Women’s Empowerment Principles (WEPs) Awards สาขาการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศผ่านกิจกรรมชุมชนและอุตสาหกรรม จากโครงการ “พลังชุมชน” ที่สร้างอาชีพเสริมรายได้ให้ชุมชน ด้วยการให้ความรู้คู่คุณธรรม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ให้พึ่งพาตนเอง ลดเหลื่อมล้ำ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม สอดคล้องกับกลยุทธ์ ESG 4 Plus “มุ่ง Net Zero - Go Green - Lean เหลื่อมล้ำ - ย้ำร่วมมือ” Plus เชื่อมั่น โปร่งใส ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวจัดขึ้นโดยองค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) เพื่อเชิดชูเกียรติองค์กรที่มีแนวปฎิบัติที่ดีตามหลักการเสริมสร้างศักยภาพสตรีและส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในภาคธุรกิจ
เอสซีจีริเริ่มโครงการ “พลังชุมชน” ตั้งแต่ปี 2561 ผู้เข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เรียนรู้และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขยายการค้าขาย จนประสบความสำเร็จด้านการบริหารธุรกิจ สามารถปลดหนี้ สร้างรายได้มั่นคง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า ทั้งเกิดเป็นเครือข่ายแบ่งปันความรู้ ส่งต่อแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงอีกหลายคนเชื่อมั่นในศักยภาพตนเอง ปัจจุบัน มีผู้หญิงร่วมโครงการกว่า 400 คน จาก 14 จังหวัด สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์กว่า 850 รายการ และส่งต่อความรู้ให้ชุมชนอื่นๆ ได้อีก 10,200 คน ทั้งนี้ เอสซีจีตั้งเป้าลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 50,000 คน ภายในปี 2573
ตัวอย่างผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จและพัฒนาตนเองตามแนวคิด พลังหญิงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (Women Empowerment) จากโครงการดังกล่าว ได้แก่ เกศรินทร์ กลิ่นฟุ้ง จ.ลำปาง สร้างสรรค์ขนมคุกกี้ไส้สับปะรดเป็นรูปไก่ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของลำปาง และได้เสริฟให้ผู้นำเวทีการประชุม APEC 2022 Thailand ฟ้าเสรี ประพันธา จ.อุบลราชธานี เพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตรท้องถิ่น เช่น แปรรูปเม็ดกระบกหรืออัลมอนต์ป่าเมืองไทยให้มีหลายรสชาติ นำสมุนไพรพื้นบ้านมาทำเป็นน้ำพริกขายออนไลน์ทั่วประเทศ ปัจจุบันเป็นประธานบริษัท ไร่นาฟ้าเอ็นดู จำกัด มีรายได้เฉลี่ยกว่า 100,000 บาทต่อเดือน มัจฉา สุดเต้ จ.อุบลราชธานี แปรรูปก๋วยจั๊บเส้นสด อาหารพื้นถิ่นของอุบลราชธานี ให้มี 20 รสชาติ ผ่านมาตรฐาน อย. จำหน่ายทั่วทุกภาค เสาวลักษณ์ ทองก๊วย คนพิการที่ต้องใช้ชีวิตบนรถเข็น แต่ไม่ยอมแพ้ ทำช็อคโกแกต สร้างแบรนด์ AsLi และเป็นครูสอนอาชีพให้คนพิการ สร้างแรงบันดาลใจให้มีพลังลุกขึ้นสู้
โครงการพลังชุมชน เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้หญิงพัฒนาศักยภาพของตนเอง ก้าวข้อจำกัดต่างๆ มีอาชีพ สร้างรายได้ และลุกขึ้นมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโต ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ ESG 4 Plus ของเอสซีจี “มุ่ง Net Zero 2050 – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ” ยึดหลักเชื่อมั่น โปร่งใส ที่มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตสังคมให้ดีขึ้น
A11273
โครงการปลอดภัยและยุติธรรม UN WOMEN กระตุ้นเอกชนออกนโยบายต่อต้านความรุนแรง
เผยสถิติ 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั่วโลกถูกกระทำรุนแรง หญิงไทย 44% ถูกกระทำจากคนในครอบครัว ส่วนแรงงานหญิงข้ามชาติถูกทอดทิ้งในสถานการณ์โควิด-19 โครงการปลอดภัยและยุติธรรม (Safe and Fair) UN WOMEN-ILO กระตุ้นภาคเอกชนตื่นตัวออกนโยบายต่อต้านความรุนแรง และมาตรฐานปฏิบัติต่อสตรีในที่ทำงาน ตามอนุสัญญา CEDAW และ ILO 190 รวมถึงเข้าร่วมประกวด WEP Awards เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ
นักศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ได้จัดงานสัมมนา “The Era of Equality?” ถึงยุคแห่งความเท่าเทียม? เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนักรู้ในเรื่องสิทธิเสรีภาพของผู้หญิง ความเสมอภาคและความเท่าเทียม โดยได้วิทยากรรับเชิญจากโครงการปลอดภัยและยุติธรรม นำโดย UN WOMEN ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปและสหประชาชาติ ผ่านการทำงานของ UN Women, ILO และ UNODC มาร่วมพูดคุยภายในงาน
กรวิไล เทพพันธ์กุลงาม นักวิเคราะห์โครงการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง โครงการปลอดภัยและยุติธรรม (Safe and Fair) องค์กรเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN WOMEN) กล่าวว่า สถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิงทั่วโลกร้ายแรงกว่าที่คิดกันมาก 1 ใน 3 ผู้หญิงทั่วโลกเคยประสบความรุนแรงในชีวิต สำหรับประเทศไทย 44% ถูกกระทำความรุนแรงจากคนในครอบครัวหรือจากคนที่ตนรู้จัก โดยกรณีการถูกล่วงละเมิดนั้น 87% ของผู้หญิงที่ถูกข่มขืนอาจจะไม่ได้ขอความช่วยเหลือใดๆ เลย โดยสาเหตุของความรุนแรงเกิดจากความมีอคติต่อผู้หญิง และระบบปิตาธิปไตยที่ผู้ชายเป็นผู้กุมอำนาจหลัก และสำหรับแรงงานหญิงข้ามชาติยิ่งไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือเพราะอคติต่อแรงงานข้ามชาติและสถานภาพการเข้าเมือง
“ความรุนแรงต่อผู้หญิง เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ผู้หญิงที่ประสบความรุนแรงมักไม่กล้าขอความช่วยเหลือ แต่สำหรับแรงงานหญิงข้ามชาติ ยิ่งประสบความยากลำบาก เพราะอคติของเจ้าหน้าที่และนายจ้างที่มีต่อแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 แรงงานข้ามชาติมักมีสถานภาพที่ด้อยกว่า บางคนอาจไม่มีสถานภาพเข้าเมืองที่ถูกต้อง แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นภาคีในอนุสัญญา ILO 190 แต่ประเทศไทยเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบซึ่ง (CEDAW) จึงต้องยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงทุกคน โดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าด้วยเหตุที่เป็นแรงงานข้ามชาติหรือมีสถานภาพใดก็ตาม”
“ในส่วนของเอกชน อาจจะเริ่มต้นจากการอบรมนักเรียน นักศึกษา อบรมพนักงานในบริษัทฯ ให้ตระหนักถึงเรื่องการใช้ความรุนแรง ขณะที่ภาคเอกชนควรมีส่วนร่วมในการผลักดันนโยบายการยุติความรุนแรงในที่งานและออกระเบียบปฏิบัติที่มีความเท่าเทียม มีกลไกรับเรื่องร้องทุกข์ และช่วยเหลือผู้เสียหายจากความรุนแรง โครงการ Safe and Fair ได้ฝึกอบรมเยาวชนและนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2563 ให้มีความรู้ (knowledge) ความปรารถนา (desire) และความสามารถ (capacity) ที่จะยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงรวมถึงแรงงานหญิงข้ามชาติ อันจะนำไปสู่โลกของการพัฒนาหลังจาก COVID-19 และการไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลังตามกรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)” กรวิไล กล่าว
มณฑิรา นาควิเชียร เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ด้านการสื่อสารองค์กร และพัฒนาสัมพันธ์ UN Women สำนักงานภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า ความรุนแรงต่อเพศหญิงเกิดจากรากเหง้าของความไม่เท่าเทียม แต่สถานการณ์ปัจจุบันยังมีส่วนส่งเสริมความรุนแรงให้มากขึ้น ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาวะสงคราม และความขัดแย้งต่างๆ ขณะที่สื่อมวลชนเองก็มีบทบาทส่งเสริมให้เกิดการเหยียดเพศ เหมารวมด้วยการฉายภาพซ้ำ ตอกย้ำอคติทางเพศ เช่น ละครที่ยกผู้ชายเป็นผู้กุมอำนาจ มีผู้หญิงเป็นบริวาร เช่น ผู้หญิงเป็นคนใช้ ทำงานในครัว หรือดูแลคนแก่ ผู้ป่วย หรือเป็นเพียงเครื่องสนองอารมณ์ทางเพศ อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนในปัจจุบันก็ได้ตระหนักถึงเรื่องความรุนแรงทางเพศมากขึ้น เช่น กรณีการนำผู้เสียหายมาออกสื่อ ทำการประชาสัมพันธ์เพื่อเหตุผลทางการเมือง โดยสื่อมวลชนเริ่มตระหนักเรื่องสิทธิของผู้เสียหาย และมีแนวโน้มเสนอเนื้อหาข่าวโดยปิดลับข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายมากขึ้น มุ่งเน้นการเสนอข่าวผู้กระทำผิด หรือติดตามความคืบหน้าของคดีในกระบวนการยุติธรรมมากกว่ามุ่งเสนอข้อมูลผู้เสียหาย ดังเช่น ปรากฏการณ์ #MetooThailand ล่าสุด ที่สื่อและสาธารณชนร่วมกันประณามการกระทำ และตรวจสอบจริยธรรมผู้กระทำผิดที่อาจมีอิทธิพล โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เป็นต้น แต่ทั้งนี้ ยังมีช่องว่างให้มีกระบวนการพัฒนาความรู้ความเข้าใจในการรายงานข่าว และนำเสนอข่าวในกองบรรณาธิการที่มีความอ่อนไหวทางเพศ (gender lens) ในประเทศไทย
“ปัจจุบัน UN WOMEN กำลังผลักดันแนวทางการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศผ่าน รางวัล Women’s Empowerment Principles Awards (WEPs Awards) ซึ่งมีบริษัทไทยหลายแห่งที่ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดการคัดเลือกรางวัลระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกนี้ จึงอยากเชิญชวนให้ธุรกิจไทยเข้าร่วมประกวดหรือร่วมประกาศสัตยาบรรณในการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ เพื่อให้ผู้หญิงมีพื้นที่ในสังคมเพิ่มมากขึ้น” มณฑิรา กล่าวเสริมในประเด็นการทำงานผลักดันนโยบายความเสมอภาคทางเพศในกลุ่มภาคีภาคเอกชน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุดา สุวรรณาภิรมย์ ประธานหลักสูตรฯ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา กล่าวว่า งานสัมมนา “The Era of Equality” ถึงยุคแห่งความเท่าเทียม? เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรฯ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักคึกษาได้ฝึกปฏิบัติและได้ความรู้จากวิทยากร ซึ่ง “ความเท่าเทียม” เป็นเรื่องสำคัญที่สังคมไทยต้องตระหนักรู้ เข้าใจปัญหาและร่วมกันหาทางแก้ไข เพื่อให้ผู้หญิงในสังคมไทยได้รับความเสมอภาคที่เท่าเทียมกับผู้ชาย มีความปลอดภัย และได้รับโอกาสต่างๆ ที่เท่าเทียมกัน จึงหวังว่างานสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันให้สังคมไทย เกิดความตระหนักรู้ และให้ความสำคัญกับผู้หญิงมากขึ้น
A5782
99 พรรษา สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเป็นพระเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 และ 9 และทรงเป็นสมเด็จพระปิตุจฉาในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
ประสูติเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เป็นพระธิดาพระองค์แรกในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระนามแรกประสูติตามที่โรงพยาบาลตั้งถวายคือ May Songkla ซึ่งเป็นเดือนประสูติ ต่อมาเมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามว่า หม่อมเจ้ากัลยาณิวัฒนา ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณิวัฒนา ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้รับประกาศเฉลิมพระเกียรติยศขึ้นเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
ในวโรกาสสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงเจริญพระชันษาครบ 6 รอบ ในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการสถาปนา เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ทรงสำเร็จการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี จากมหาวิทยาลัยโลซานน์ ทรงได้รับ Diplôme de Chimiste A ขณะที่ทรงศึกษาที่คณะวิทยาศาสตร์นั้น ยังทรงศึกษาหลักสูตรสังคมศาสตร์ Diplôme de Sciences Sociales Pédagogiques อันประกอบด้วยวิชาต่างๆ ในสาขาวิชาการศึกษา วรรณคดี ปรัชญา และจิตวิทยาด้วย
ตลอดชนมชีพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายเพื่อแบ่งเบาพระราชภาระพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยทรงรับโครงการต่างๆ ไว้ในพระอุปถัมภ์มากมาย ทั้งทางด้านการศึกษา สังคมสงเคราะห์ การแพทย์และสาธารณสุข การต่างประเทศ ศาสนาและอื่นๆ
ทรงมีความสนพระทัยงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขเป็นพิเศษ ด้วยทรงมีพระดำริว่า ปัญหาสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลเป็นเรื่องสำคัญ จึงทรงรับสืบทอดงานทางด้านนี้ต่อจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี คือ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) หรือ หมอกระเป๋าเขียวที่ชาวบ้านเรียกกัน
ทรงเป็นประธานมูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงก่อตั้งขึ้นร่วมกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยทรงลงพระนามขอจดทะเบียนก่อตั้งมูลนิธิด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งได้พระราชทานเงินทุนประเดิมร่วมกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีในการก่อตั้งอีกด้วย มูลนิธิขาเทียมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำขาเทียมให้แก่ผู้พิการขาขาดที่ยากไร้ในชนบทโดยไม่คิดมูลค่า และค้นคว้า วิจัย พัฒนาชิ้นส่วนขาเทียมจากวัสดุภายในประเทศเพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ อันเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ในประเทศและลดมูลค่าการขาดดุลการค้าลงด้วย และทรงดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิถันยรักษ์ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอีกด้วย
และทรงเป็นประธานมูลนิธิหม่อมเจ้าบุญจิราธร (ชุมพล) จุฑาธุช ซึ่งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการให้ทุนการศึกษาแพทย์ตามโครงการแพทย์ชนบท ให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาพยาบาลที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และให้ทุนการศึกษาสำหรับผู้ที่จะสมัครเป็นอาจารย์วิชาการพยาบาล
ในปี พ.ศ.2529 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงรับ “กองทุนหมอเจ้าฟ้า” ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไว้ในพระอุปถัมภ์ และได้พระราชทานเงินจากทุนการกุศลสมเด็จย่า และทุนการศึกษา กว. สมทบเข้ากองทุนเป็นประจำทุกปีเสมอมามิได้ขาด เพื่อให้อาจารย์แพทย์ไปศึกษาฝึกอบรมยังต่างประเทศ และเป็นทุนอุดหนุนการศึกษาจัดสรรให้นักศึกษาที่เรียนดีแต่ขัดสนสำหรับนักศึกษาแพทย์และนักศึกษาอีก 5 คณะในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้แก่ คณะทันตแพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ เทคนิคการแพทย์ และสัตวแพทยศาสตร์
นอกจากนี้ ยังทรงรับมูลนิธิและกองทุนการกุศลต่างๆ ทางด้านสาธารณสุขไว้ในพระอุปถัมภ์อีกหลายหน่วยงาน ได้แก่ มูลนิธิโรคไตแห่งประเทศไทย กองทุนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเพื่อพัฒนาการพยาบาล ศิริราชมูลนิธิ มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ มูลนิธิช่วยการสาธารณสุข มูลนิธิส่งเสริมสวัสดิภาพสตรีและเยาวชน มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ มูลนิธิช่วยการสาธารณสุข สมาคมพยาบาลสาธารณสุขไทย มูลนิธิเพื่อโรงพยาบาลราชานุกูล มูลนิธิสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ มูลนิธิโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มูลนิธิโรงพยาบาลเลิดสิน
นอกจากนี้ เมื่อปี พ.ศ.2545 ยังโปรดเกล้าฯ ให้ทีมสัตวแพทย์ 4 คน จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามเสด็จไปออกหน่วยเคลื่อนที่กับ พอ.สว. เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาโรคสัตว์และการดูแลสัตว์เลี้ยงแก่ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ได้แก่ เชียงราย น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พะเยา และพิษณุโลก
เนื่องในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2566 จะเป็นวาระครบรอบ 100 ปี วันประสูติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประเทศไทยจึงได้เสนอพระนามให้องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ องค์การยูเนสโก (UNESCO) พิจารณาประกาศยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก เพราะพระองค์ทรงประกอบพระกรณียกิจนานัปการด้วยพระปณิธานแนวแน่ที่จะทำประโยชน์เพื่อประชาชนชาวไทย และสังคมโลก ทั้งยังทรงยึดมั่นในคุณค่าของมนุษย์ และศักยภาพของการพัฒนาจึงทรงอุปถัมภ์กิจการทั้งปวงที่เกี่ยวกับด้านการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ การแพทย์และการสาธารณสุข สังคมสงเคราะห์ ด้านสัมพันธไมตรี การสื่อสารและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนและพสกนิกรชาวไทย ซึ่งองค์การยูเนสโกได้พิจารณาแล้ว และมีประกาศรับรองพระนามให้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นบุคคลสำคัญของโลก เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ซึ่งทางรัฐบาลไทยจะร่วมมือกับภาคเอกชนจัดงานฉลองวาระดังกล่าวต่อไป
ตลอดระยะเวลา 84 ปี ที่ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายแก่ประเทศชาติ ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 99 พรรษา ขอเชิญปวงพสกนิกรชาวไทยได้ร่วมสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่ทรงพระกรณียกิจในด้านต่างๆ เพื่อความสุขแก่พสกนิกรชาวไทยทั่วไปทุกคน
A5120
ไทยพร้อมจัดการประชุม ‘สุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565’ พร้อมเน้นรูปแบบการประชุมแบบรักษ์โลก ‘Carbon Neutral’
ประธานการจัดงาน Global Summit of Women 2022 หรือ การประชุมสุดยอด ผู้นำสตรีโลก 2565 และคณะกรรมการการจัดงานฝ่ายไทย แถลงข่าวความพร้อมเตรียมจัดงาน ณ ไอคอนสยาม โดยประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมครั้งที่ 32 นับเป็นโอกาสอันดีในการแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและศักยภาพของไทยในการจัดประชุมระดับนานาชาติ และการเป็น “World Destination” หลังจากสถานการณ์การระบาดของโคโรนาไวรัส
การประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2022” (Global Summit of Women 2020) จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน 2565 ณ โรงแรม Centara Grand และ Bangkok Convention Centre กรุงเทพฯ ภายใต้ธีม: “Women: Creating Opportunities in the New Reality” โดยจะมีตัวแทนผู้นำสตรีจากภาครัฐและเอกชนจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุม เป็นโอกาสอันดีในการแสดงให้นานาประเทศได้เห็นถึงความพร้อมและศักยภาพของไทยในการเป็น “World Destination” ทั้งในด้านการจัดประชุมระดับนานาชาติ และการท่องเที่ยว ทั้งนี้เดิมประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปี 2563 แต่เนื่องจากการระบาดของโคโรนาไวรัส จึงเลื่อนมาเป็นเจ้าภาพในปี 2565
นางสาวไอรีน นาทิวิแดท (Irene Natividad) ประธานจัดการประชุมสุดยอดสตรีโลก 2022 กล่าวว่า ประเทศไทยนอกจากจะเป็นประเทศที่มีความงดงามและมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแล้ว ยังเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญและส่งเสริมบทบาทของสตรีในภาคธุรกิจและเศรษฐกิจ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
“ในฐานะประธานการจัดงานคณะทำงาน ดิฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มาจัดงานในประเทศไทย โดยคาดว่าจะผู้นำสตรีทั้งภาครัฐ ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติทั้งหญิงและชายจากทั่วโลกเดินทางมาร่วมประชุม สำหรับหัวข้อของการประชุมผู้นำสตรีในครั้งนี้ จะเน้นในเรื่องของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังจากการเผชิญกับวิกฤตโรคระบาด ซึ่งเป็นตัวเร่งสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ถูกนำมาปรับใช้ สร้างความเปลี่ยนแปลงและความเติบโตให้กับธุรกิจผ่านอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งผู้หญิงนั้นมีส่วนร่วมอย่างมาก และในขณะนี้บรรดาผู้นำทั้งผู้หญิงและผู้ชายจากทั่วโลก ตอบรับการเข้าร่วมประชุม ทั้งจากแอฟริกาใต้ เวียดนาม ฝรั่งเศส สเปน เม็กซิโก เยอรมนี และคาซัคสถาน เป็นต้น ซึ่งบรรดาผู้บริหารระดับสูงเหล่านี้ต่างตื่นเต้นที่จะเข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติครั้งแรกในรอบสองปี หลังจากทุกประเทศต่างเผชิญกับผลกระทบจากโควิด-19”
ประธานจัดการประชุมสุดยอดสตรีโลกย้ำว่าการประชุมผู้นำสตรีนี้จะเป็นเวทีที่ส่งเสริมความเท่าเทียมกันของผู้หญิงและผู้ชายในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และร่วมกันสร้างโอกาสใหม่หลังการเผชิญกับวิกฤติโรคระบาด พร้อมกันนี้ยังจะช่วยส่งเสริมเครือข่ายของความร่วมมือระหว่างประเทศ และเปลี่ยนประสบการณ์ ร่วมถึงการสร้างแรงบันดาลให้กับสตรีในการดำเนินธุรกิจในยุคหลังโควิด ไม่ว่าจะเป็นในฐานะพนักงาน เจ้าของธุรกิจ ผู้บริโภค หรือเป็นนักลงทุน โดยย้ำว่าผู้หญิงจะเป็นพลังที่สำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจที่ ซึ่งตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมานั้น ผู้หญิงมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการส่งเสริมเศรษฐกิจโลกให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานกรรมการจัดงานของไทย กล่าวว่า คณะกรรมการยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม ที่เป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่ของผู้นำสตรีในระดับนานาชาติ พร้อมตอกย้ำถึงความพร้อมในการจัดการประชุม ที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ร่วมประชุม นอกจากจะส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยแล้ว ยังตอกย้ำความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย
“การประชุมผู้นำสตรี 2022 ในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในด้านเศรษฐกิจของไทย ที่ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจต่อเนื่องและส่งเสริมการลงทุนใหม่ ดิฉันเชื่อมั่นว่าการประชุมนี้จะก่อเกิดพลังสตรี ส่งเสริมความร่วมมือของคนทุกภาคส่วน สร้างคนรุ่นใหม่ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจและเพื่อโลกที่ดีขึ้น โดยเนื้อหาตลอดการประชุมทั้ง 3 วัน จะทำให้เห็นภาพของโอกาสทางธุรกิจแห่งอนาคต และสร้างเครือข่ายการส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกัน”
นางกอบกาญจน์ ยังให้ความมั่นใจถึงมาตรการการดูแลและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาอย่างเข้มงวดในการประชุมครั้งนี้ พร้อมกล่าวเสริมด้วยว่าการประชุมยังมีความพิเศษ โดยเป็นการจัดแบบรักษ์โลก “Carbon Neutral” จะมีการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการประชุม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟฟ้า การเดินทางของผู้เข้าร่วมประชุม การจัดเลี้ยงอาหาร การบริหารขยะและของเสียภายในงาน นอกจากนี้ยังสนับสนุนกิจกรรมที่ทำให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจก ผ่านการทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอนเพิ่มเติม ด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศไทย นอกจากนี้ในการประชุมจะมีการนำเสนอสินค้าชุมชนท้องถิ่นจากทั่วประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นพัฒนาเป็นนักธุรกิจระดับนานาชาติ
นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงความพร้อมของประเทศ ในการเปิดประเทศรับคณะผู้นำสตรีการประชุมระดับนานาชาติ และนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
“การประชุมระดับโลกในประเทศไทยในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญ ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก หลังจากที่ต้องอยู่ในภาวะชะลอตัวของการท่องเที่ยวจากช่วงเวลาการระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจให้กับผู้นำสตรีที่เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 ซึ่งในปีนี้ ททท.กำหนดให้เป็นปี Visit Thailand Year 2022 : Amazing New Chapters ซึ่งในปัจจุบันผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากมีความสามารถในการหารายได้มากขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นกลุ่มตลาดที่มีศักยภาพสูงในแง่มุมของการท่องเที่ยว เพราะมีความมั่นใจและกล้าตัดสินใจในการเดินทาง”
นายศิริปกรณ์ เชื่อมั่นว่าการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลกในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จด้วยดี เนื่องจากความร่วมมือของหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ของไทย ที่ร่วมพลังในการจัดงานและนำเสนอศักยภาพของไทย ทั้งในด้านการท่องเที่ยว และความพร้อมในการรองรับลงทุน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็น Preferred Destination และ เป็น World Destination ได้เป็นอย่างดี
นางนิชาภา ยศวีร์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ กล่าวขอบคุณคณะกรรมการจัดงานประชุมที่เล็งเห็นศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นเวทีถ่ายทอดประเด็นสำคัญทางสังคมในระดับนานาชาติ แสดงถึงศักยภาพและความพร้อมในการจัดประชุมในระดับนานาชาติ
“งานประชุมผู้นำ สตรีโลก นับเป็นงานประชุมนานาชาติ หรือ Convention ระดับโลก ที่สนับสนุนบทบาทและสิทธิสตรีจากผู้นำสตรีบนเวทีระดับโลก ถ่ายทอดเป็นแรงบันดาลใจสู่ประชาคมโลกให้เล็งเห็นความสำคัญของ Gender Equality, Diversity and Inclusiveness ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ของไทย พร้อมกันนี้ในการประชุมที่จะมีสุดยอดผู้นำสตรจาก 60 ประเทศทั่วโลกมาร่วมประชุม จะตอกย้ำศักยภาพในการจัดประชุมระดับ World Class ของไทย และคาดว่างานในครั้งนี้จะสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศราว 80 ล้านบาท”
นางนิชาภา กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดอย่างต่อเนื่อง แต่อุตสาหกรรมไมซ์ หรือการจัดการประชุมของไทยก็ยังสามารถสร้างการกระจายรายได้ในประเทศได้กว่า 3 หมื่น 3 พันล้านบาท พร้อมยังสร้างงานสร้างอาชีพในตลาดแรงงานได้กว่า 46,000 ตำแหน่ง โดยในปีนี้ยังมีงานประชุมระดับนานาชาติอีกหลายงานที่จะจัดขึ้นในประเทศไทย รวมถึงงานประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค APEC Thailand 2022
สำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก หรือ Global Summit of Women เป็นเวทีระดับโลกที่มีความสำคัญ เชื่อมนักธุรกิจ นักวิชาชีพ ผู้บริหารทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสังคมจากทั่วโลก สร้างเครือข่ายความร่วมมือและแบ่งปันประสบการณ์เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกอย่างยั่งยืน โดยปีนี้ที่ประชุมให้ความสำคัญกับบทบาทของสตรีในการร่วมฟื้นเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อความความเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ทั้งรูปแบบการใช้ชีวิต รูปแบบการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ อย่างไรก็ตามในประชุมยังคงส่งเสริมความเท่าเทียมกันของผู้หญิงและผู้ชายในบทบาทของการดำเนินธุรกิจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของการประชุมตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมการประชุมระดับโลกที่สำคัญในครั้งนี้ สามารถดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ https://globewomen.org/globalsummit/
A4020
Government-SE Matching Day สวส. จัดกิจกรรมรัฐรวมพลังจับคู่ธุรกิจเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน ดึงวิสาหกิจเพื่อสังคมร่วมออกบูธกว่า 15 องค์กร สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) จัดกิจกรรม Government...
สภาพัฒ ฯ เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.8 เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ...
สศช.GDP ไตรมาส 4 ปี 64 ขยายตัว 1.9% รวมทั้งปี 64 ขยายตัว 1.6% คาดปี 65 ขยายตัว 3.5-4.5% สภาพัฒน์ แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( GDP) ไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2564 และแนวโน้มปี 2565...
ฟิทช์ เรทติ้งส์: เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ดีท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ฟิทช์ เรทติ้งส์ - กรุงเทพฯ - 18 ตุลาคม 2565: ในงานสัมมนาประจำปีของฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ที่จัดขึ้นในวันนี้...
' มองเศรษฐกิจโลก สะท้อนเศรษฐกิจไทย ' ในการจัดเสวนา 'Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม ’ ผมมีโอกาสร่วมเสวนาหัวข้อ ' มองเศรษฐกิจโลก สะท้อนเศรษฐกิจไทย '...
นายกรัฐมนตรี ปลื้ม FANC มอบใบเซอทิฟิเขท หลังเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล แก้ยาเสพติดแนวใหม่ รับปาก หนุนแก้อำนาจ ป.ป.ส.เป็นพนักงานสอบสวน-เพิ่มเครื่องมือ หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยา ชม ก.ยุติธรรม...
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด พร้อมรับใบเซอทิฟิเขท จากกลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศ หรือ FANC...
นายกฯ ติดตามงาน 'ขจัดความยากจน-พัฒนาคนทุกช่วงวัย' กำชับเร่งแก้ไขปัญหาความยากจนแบบ 'พุ่งเป้า' ตรงจุด ทันเวลา และเป็นรูปธรรม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามการดำเนินงาน...
บุกค้น 2 ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจำหน่ายสลากออนไลน์รายใหญ่ มีสลากขายเกินราคา 6.7 ล้านฉบับ เร่งขยายผล ตัดสิทธิ ยกเลิกโควตาตัวแทนจำหน่าย-ผู้มีสิทธิซื้อจอง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ...
DGA เร่งยกระดับนวัตกรรมภาครัฐโกอินเตอร์ อวดโฉมงานวิจัยสู่เวทีสากลผ่านงาน DGTi-Con 2022 สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมภาครัฐ DGTI-Con 2022...
ตัวแปลงสกุลเงินนี้ควบคุมดูแลระบบทำงานโดย Investing.com ประเทศไทย |
0 MTC มาตามนัด Q2/66 พอร์ตสินเชื่อแตะ 132,851 ลบ.เดินหน้าพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนเคียงคู่สังคมไทย เตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ อัตราดอกเบี้ย 4.25-4.80% คาดเสนอขายวันที่ 21-23 ส.ค.นี้ บมจ.เมืองไทย...
ALT โชว์ไตรมาส 2/66 กวาดรายได้ 396 ลบ . งานโซลาร์รูฟท็อป - บริการโครงข่ายรุ่งแนวโน้มโตต่อเนื่อง เอแอลที เทเลคอม โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 กวาดรายได้ 396 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 56.6%...
PSP พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ บิ๊กน้ำมันหล่อลื่น จ่อเข้าเทรด SET จับตา 'พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ (PSP)'เจ้าตลาดเบอร์หนึ่งธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นครบวงจรของไทยและอาเซียน เตรียมขายไอพีโอเข้าเทรด SET...
GSB ต้อนรับประธานกรรมการธนาคารออมสินคนใหม่ นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ ในนามคณะกรรมการธนาคารออมสิน และนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร...
สนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร พร้อมด้วยนายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (...
‘ ณัฐพล ’ ปลัดอุตฯ บูมเศรษฐกิจภาคใต้ฝั่งอันดามัน ผุดกระบี่โมเดล ยกระดับ 3 มิติอุตสาหกรรม สู่การกระจายรายได้เศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน ดร . ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม...
บอร์ด บสย. แต่งตั้ง ' เอด วิบูลย์เจริญ ' ประธาน บสย. คนใหม่ คณะกรรมการบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีมติแต่งตั้ง ‘เอด วิบูลย์เจริญ’ดำรงตำแหน่ง ประธาน บสย. มีผลตั้งแต่วันที่ 14...
ทีซีซีเทค ปลื้ม Enjoy to the Max 2 บรรลุตามเป้า ! ต่อยอดการยกระดับดิจิทัลขั้นสูงในองค์กร สิ้นสุดพิธีมอบรางวัลไปด้วยรอยยิ้มและความสุข สำหรับ “TCCtech X M365 Star Icon Stage” ภายใต้โครงการ Enjoy to...
รมว.เฮ้ง ส่ง ' โฆษก ' เยี่ยมกลุ่มบายศรีบึงกาฬ สร้างอาชีพเสริม รับนักท่องเที่ยวสายมู นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน...
ธพว . ร่วมพิธีทอดผ้าป่า กระทรวงการคลัง ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ( ธพว .) หรือ SME D Bank โดย นายศักดิ์สิทธิ์ ราชรักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส...
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด