คณบดีการท่องเที่ยวและการโรงแรม DPU เผย ไฮซีซั่น ปี 65 ท่องเที่ยวฟื้นเร็ว ส่งผลให้ขาดแคลนแรงงานด้านนี้จำนวนมาก
คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ร่วมกับ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) จัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมเพื่อเพิ่มคุณภาพการฝึกงานแบบสหกิจศึกษา (Cooperative and Work Integrated Education หรือ CWIE) โดยมี ผศ.ดร.มณฑกานติ ชุบชูวงศ์ คณบดีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เป็นประธานในพิธีเปิด และได้รับเกียรติจากนายธวัช ทองอินทร์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และนายกฤตย บุญไทย ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การศึกษาและแรงงานสัมพันธ์ภาครัฐ จาก Central Restaurant Group หรือ CRG มาให้ความรู้และแนวทางการฝึกงานในระดับผู้ช่วยผู้จัดการร้าน ในเครือ CRG ซึ่งมีจำนวนกว่า 19 แบรนด์ ณ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ผศ.ดร.มณฑกานติ ชุบชูวงศ์ คณบดีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) กล่าวว่า CRG ได้มาแนะแนวทางการฝึกงาน ระดับผู้ช่วยผู้จัดการร้านอาหาร เพื่อให้นักศึกษาเก็บเกี่ยวความรู้และพิจารณาเข้ารับการฝึกงานในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่สายอาชีพใน Restaurant มา Recruit นักศึกษาฝึกงานที่มหาวิทยาลัย เนื่องจากที่ผ่านมาจะเป็นสายอาชีพในเครือโรงแรมทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งนี้ จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนักรวมถึงภาคการศึกษาด้วย นักเรียนหลายคนที่เคยตัดสินใจเรียนสายท่องเที่ยวและการโรงแรมต้องเปลี่ยนไปเรียนสายอาชีพอื่น ด้วยกลัวความไม่แน่นอนของสถานการณ์โรคระบาด ทำให้ยอดนักศึกษาที่มาสมัครเรียนในช่วงโควิด-19 ลดลง
คณบดีคณะการท่องเที่ยวฯ DPU กล่าวอีกว่า ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้ช่วงไฮซีซั่นของปีนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ Booking โรงแรมล่วงหน้าจำนวนมาก ส่งผลให้หลายโรงแรมต้องการพนักงานจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ในส่วนของการรับนักศึกษาฝึกงาน หลายโรงแรมได้มีการเข้ามาติดต่อกับคณะฯ เพื่อวางแผนในการเตรียมนักศึกษาให้มีความพร้อมก่อนการฝึกงาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการทำงานในช่วงหลังโควิด-19 ซึ่งมีสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากเดิม แต่ต้องยอมรับว่าความต้องการบุคลากรด้านบริการในขณะนี้กำลังเพิ่มมากขึ้น และกำลังเป็นที่ต้องการของทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะโรงแรมแถบยุโรปรวมไปถึงธุรกิจเรือสำราญ ซึ่งต้องการนักศึกษาฝึกงานด้านบริการในโรงแรมและในเรือจำนวนมาก
ผศ.ดร.มณฑกานติ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย ทำให้โรงแรมต่างๆ ขาดแคลนพนักงาน ทั้งนี้จากผลสำรวจ ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่พักแรม เดือนกันยายน 2565 โดยสมาคมโรงแรมไทย (THA) ได้สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการโรงแรมจำนวน 96 แห่ง พบว่า ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่ 77% ยังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานระดับปฏิบัติการ เช่น พนักงานเสิร์ฟ พนักงานทำความสะอาด หรือคิดเป็น 65% ของผู้ตอบแบบสำรวจ รองลงมา คือ ระดับหัวหน้างาน 31% สำหรับนโยบายการบริหารจัดการปัญหาขาดแคลนแรงงานใน 1-3 เดือนข้างหน้า โรงแรมส่วนใหญ่เน้นปรับตัวด้วยการจ้างพนักงาน Part time เพิ่ม 54% รองลงมา คือ เน้นเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานเดิม เช่น ฝึกอบรม หมุนเวียนงาน และทำงานหลายหน้าที่ 49%
“ขณะนี้ตลาดแรงงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก ส่วนนักศึกษาที่จบออกไปปีนี้ จำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดแรงงาน ดังนั้น จึงอยากให้นักศึกษาทุกคนรักษาโอกาสของตัวเองไว้ ต้องเรียนรู้งานให้เร็ว และเข้าใจทักษะไอทีให้มาก โดยเฉพาะทักษะความเป็นผู้ประกอบการที่ฝังอยู่ใน DNA ของเด็ก DPU ทุกคน ต้องนำมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ และที่สำคัญ Skill ที่เด็กการท่องเที่ยวและการโรงแรมต้องมี คือ ภาษาอังกฤษ และโปรแกรมที่ช่วยในการออกแบบ อย่างเช่น Photoshop Canva เพราะในการฝึกงานต้องใช้ภาษาอังกฤษ และต้องทำโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมด้วย” ผศ.ดร.มณฑกานติ กล่าวในตอนท้าย
A11473
นักศึกษา SIT มจธ. ใช้ AI ทำนายแคลอรี่อาหารจากภาพถ่ายด้วยแอป ‘ฟู้ด อิน ทัช’
เพราะพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนเปลี่ยนไปตามกระแสของโลกดิจิทัล ทำให้การเข้ามาของ AI (Artificial Intelligence) หรือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ มีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม นอกจาก AI ช่วยในการวิเคราะห์วางแผนการตลาดและถือเป็นช่องทางหนึ่งในการสื่อสารระหว่างเจ้าของธุรกิจและผู้บริโภคด้วย
นางสาวสุกัญญา ชินวิชา (ฝ้าย) และนายธีรภัทร เนียมหอม (ไปซ์) นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวถึงการแข่งขันโครงการ Super AI Engineer Season 2 ซึ่งทั้งคู่ได้รับรางวัลเหรียญทอง ประเภทบุคคล ว่า เป็นโครงการที่พัฒนาบุคลากรทางด้าน AI เพื่อเป็นแนวทางในการประกอบธุรกิจในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันค่อนข้างสูง ซึ่งโครงการดังกล่าวมีการฝึกอบรมในรูปแบบ Online และ Onsite โดยเน้นการฝึกปฏิบัติจริง ผู้อบรมจะได้ความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ตั้งแต่ระดับพื้นฐานถึงระดับสูง สามารถนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมไปต่อยอด แก้ปัญหา ออกแบบ วิจัย ทั้งเชิงวิชาการและเชิงธุรกิจ
ทั้งนี้ กิจกรรมในโครงการแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้ ช่วงที่ 1 อบรมพื้นฐานและทฤษฎีด้าน AI แบบ Self-learning โดยเรียนผ่านระบบ Online ช่วงที่ 2 อบรมหลักสูตร AI ขั้นสูง เป็นการเข้าค่ายอบรมเชิงปฏิบัติการทั้ง Online และ Onsite โดยเน้นเสริมทักษะการวางแผน, การออกแบบ, การวิเคราะห์, การสร้างระบบ และ ซอฟต์สกิล ทำงานกลุ่มและเดี่ยว เพื่อเสริมความรู้ความสามารถ และเพิ่มประสบการณ์ การแก้ปัญหาด้าน AI จากโจทย์จริงขององค์กร โดยเน้นทักษะ 5 ด้าน ได้แก่ การประมวลผลภาพ, การประมวลผลสัญญาณ,การประมวลผลและการเข้าใจภาษาธรรมชาติ, การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, อินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่งและหุ่นยนต์ ช่วงที่ 3 การทำงานสาขาปัญญาประดิษฐ์ในสถานประกอบการ ระยะเวลาอย่างน้อย 2 เดือน โดยทางโครงการจะจัดหา ติดต่อ ประสานงานกับองค์กรหรือสถานประกอบการต่างๆ เบื้องต้น ซึ่งการทำงานจะต้องเป็นโจทย์ทางด้านปัญญาประดิษฐ์
โดยทั้งคู่เลือกฝึกงานในบริษัท ทัชเทคโนโลยี จำกัด ใช้โจทย์ด้วยการจัดทำแอปพลิเคชันที่ใช้ชื่อว่า “ฟู้ด อิน ทัช” มีลักษณะการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน ภายใต้แนวคิด “นับแคลอรี่ในอาหารจานเราจากภาพถ่ายเราเอง” โดยเน้นภาพที่อาหารไทยเป็นหลัก
ธีรภัทร เล่าว่า แอปพลิเคชันดังกล่าวเป็นโจทย์ที่ทั้งคู่ทำร่วมกัน แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน ดังนี้ 1. การทำนายว่าอาหารในจานนั้นชื่ออะไร 2. การใช้ AI เข้ามาจับภาพวัตถุดิบในแต่ละส่วนของอาหาร 3. การนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลเพื่อหาปริมาตรและเทียบความหนาแน่นของน้ำหนัก
“ส่วนที่ผมทำหลังจากถ่ายภาพอาหารไปแล้วเป็นการหาวัตถุดิบในอาหาร จากนั้นนำ AI มาตอบให้ได้ว่าในจานนี้มีวัตถุดิบอะไรบ้าง เช่น มีไก่ ไข่ แตงกวา แล้วใช้ AI บอกว่าไข่อยู่ตรงไหนในภาพนึกภาพเหมือนเราระบายสี ตรงไหนคือไก่ตรงไหนคือไข่ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะเราต้องการหาไม่เพียงแค่วัตถุดิบที่เรากินเข้าไป แต่เราต้องหาว่าน้ำหนักของแต่ละวัตถุดิบมีกี่กรัม เพื่อจะมาคำนวณแคลอรี่ทางวิชาการ จากนั้นจึงส่งต่อไปยังการประมวลผลเพื่อคำนวณหาปริมาตรต่อไป”
สำหรับการนำข้อมูลมาประมวลผลเพื่อหาปริมาตรและเทียบความหนาแน่นของน้ำหนัก เป็นโจทย์ที่ สุกัญญา ต้องรับช่วงต่อ โดยเป็นการนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ทั้งการหาความลึกและสัดส่วนว่าอาหารแบบนี้ต้องทำนายอย่างไร ซึ่งสุกัญญายอมรับว่าอาหารไทยมีข้อมูลในอินเทอร์เน็ตน้อยมากไม่เพียงพอที่จะนำมาปรับใช้ได้มากนัก ซึ่งข้อจำกัดตรงนี้ทำให้ทีมงานต้องมีการปรับเปลี่ยนการทำงานในเรื่องข้อมูลอาหารไทยที่หลากหลายและนำไปสู่การต่อยอดการทำแอปพลิเคชันในอนาคต
“สำหรับการต่อยอดเราจะรวบรวมข้อมูลที่ทำมาทั้งหมดเพื่อเทรนด์ให้กับโมเดลในแอปพลิเคชัน ตรงนี้จะช่วยให้โมเดลฉลาดยิ่งขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาแอปพลิเคชันให้สามารถใช้งานในการหาค่าโภชนาการได้แม่นยำมากขึ้นโดยไม่จำกัดวัตถุดิบ ซึ่งคาดว่าภายในต้นปีหน้าจะสามารถพัฒนาต่อยอดระบบนี้ได้สำเร็จนำไปสู่การใช้งานจริง”
อย่างไรก็ตาม สุกัญญายังฝากทิ้งท้ายว่า ทักษะทางด้าน AI ถือเป็นทักษะเบื้องต้นที่ทุกคนควรเรียนรู้ ขณะเดียวกันการได้เข้าร่วมในโครงการนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่เป็นความท้าทายของเธอมาก เพราะเป็นการทำงานร่วมกับคนอื่น ได้เรียนรู้ถึงการวางแผนงานอย่างเป็นระบบ และการบริหารงานในลักษณะธุรกิจที่ต้องต่อยอด เช่นเดียวกับ ธีรภัทร ที่ระบุว่า ปัจจุบันเทคนิคทางด้าน AI สามารถตอบโจทย์ธุรกิจในด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ประสบการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์นอกห้องเรียนที่คุ้มค่ามาก หากมีการต่อยอดหรือศึกษาเพิ่มเติมในอนาคตจะมีการพัฒนาระบบที่มีศักยภาพยิ่งขึ้น
A11419
เทคโนโลยีการจัดการฝูงชนเบียดอัด (Crowd Management) และพาชีวิตรอดปลอดภัย...ไม่ซ้ำรอยอิแทวอน
หลังยุคโควิด ประเทศไทยและทั่วโลกกำลังก้าวย่างสู่ช่วงเทศกาลประเพณีและงานรื่นเริงเฉลิมฉลองของประชาชน และยังเป็นช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สนามบินสุวรรณภูมิแน่นขนัดด้วยนักท่องเที่ยวขาเข้าที่มุ่งมาเที่ยวไทย เวลานี้มองทางไหนก็เต็มไปด้วยสีสันมีชีวิตชีวาของโรงแรม ร้านค้าและกิจกรรม ส่งสัญญาณความคึกคักทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว
นับจากนี้ต่อจากเทศกาลลอยกระทง เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เทศกาลตรุษจีน วาเลนไทน์ จนถึงงานประเพณีสงกรานต์ รวมทั้งการจัดอีเว้นท์ขนาดใหญ่กำลังจะกลับมา เช่น คอนเสิร์ตขนาดใหญ่ เทศกาลดนตรี การจัดแข่งขันกีฬา เนื่องจากประเทศไทยเป็นจุดหมายทางการตลาดและฐานแฟนคลับของศิลปินและนักกีฬานานาประเทศ ยังไม่รวมงานประเพณีท้องถิ่น จึงมีคำถามว่า เราจะจัดการฝูงชนให้ปลอดภัยอย่างไร? คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล มีข้อเสนอแนะ เพื่อมิให้ซ้ำรอยโศกนาฏกรรมอิแทวอน ในเกาหลีใต้ที่เป็นข่าวสะเทือนใจคนทั่วโลก
ผศ.ดร.วรากร เจริญสุข และ ดร.สุพรรณ ทิพย์ทิพากร
ผศ.ดร.วรากร เจริญสุข รักษาการหัวหน้าภาควิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล กล่าวว่า งานรื่นเริงฉลอง Halloween คืนวันที่ 29 ตุลาคม 2565 ในย่านบันเทิง ‘อิแทวอน’ ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งได้ผ่อนคลายมาตรการไม่บังคับสวมหน้ากากอนามัยครั้งแรกหลังจากระยะ 2 ปีของวิกฤติโควิด-19 ทำให้ผู้คนกว่า 1 แสนคน ทะลักเข้าสู่ย่านอิแทวอน และกลายเป็นฝูงชนเบียดอัด ที่เรียกว่า Crowd Crush หรือ Crowd Surge บริเวณจุดที่เกิดเหตุที่สามแยกในซอยแคบซึ่งเป็นทางลาด กว้างเพียง 4 เมตร ยาว 40 เมตร ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินอิแทวอน แรงผลักดันของฝูงชนทำให้ผู้ประสบเหตุถูกเบียดอัดแขน ขา ร่างล็อคติดแน่นจากการล้มทับกันเป็นโดมิโน เสียชีวิตกว่า 150 ราย จากภาวะขาดออกซิเจนโดยทรวงอกถูกกดทับ (Compressive Asphyxia) หรืออัดกำแพงทำให้ทรวงอกขยายไม่ได้จึงหายใจเข้าออกไม่ได้ ไม่ใช่การตายจากวิ่งหนีเหยียบทับกัน (Stampede)
ข้อแนะนำสำหรับผู้มางานอีเว้นท์ขนาดใหญ่
• สังเกตและจดจำทางเข้า-ออกมีกี่ทาง และจุดอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสรอด เช่น พื้นที่สูงที่สามารถปีนได้ นึกถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมนั้นเสมอ
• หากรู้สึกไม่ปลอดภัย ให้หาทางถอยออกจากเหตุการณ์นั้น ไม่ดันทุรังเดินหน้าต่อ ซึ่งอาจจะทำให้ถลำและหนีออกมาไม่ได้
• เมื่อรู้สึกว่าคนเริ่มแน่น จนเราไม่สามารถยกมือขึ้นจากข้างลำตัวมาแตะที่ใบหน้าเราเองได้ เป็นตัวบ่งชี้ว่าเสี่ยงที่จะเกิด Crowd Crushได้ ยิ่งหากมีการดันก็จะล้มทับต่อกันเป็นโดมิโนได้
• ให้มีสติเสมอ อย่าเมามายจนเกินไป และไม่ตื่นตระหนก
• ในฝูงชนที่เริ่มแน่น ให้ยืนแยกขาออกห่างอย่างมั่นคง ยกแขนขึ้นในท่าตั้งการ์ดของนักมวยเพื่อให้มีช่องว่างด้านข้างตัวและด้านหน้าทรวงอกป้องกันแรงปะทะ เพื่อให้กล้ามเนื้อกระบังลมและปอดยังทำงานได้
• เลี่ยงหิ้วของพะรุงพะรัง ในช่วงวิกฤติให้รักษาชีวิตสำคัญกว่าสิ่งของที่ตกพื้น หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณกำแพง รั้ว หรือเสา เพราะอาจโดนแรงอัดอย่างรุนแรงได้
• อย่าสวนแรงฝูงชนที่ถาโถม หรือพุ่งไปด้านหน้าตรงๆ เพราะอาจถูกแรงกระทำให้ล้มได้ วิธีที่ถูกต้องคือ เคลื่อนที่เป็นแนวทแยงเฉียงออกจากศูนย์กลางของแรงไปด้านข้าง
• เคลื่อนไหวและล้มให้ถูกวิธี เมื่อล้มลงอย่าแผ่ตัวนอนคว่ำ หรือนอนหงายเพราะน้ำหนักอีกหลายคนที่อาจจะทับตัวเราจะอัดอวัยวะร่างกายจนทำงานไม่ได้ โดยให้นอนตะแคงงอเข่าในท่าคุดคู้ มือป้องศีรษะให้ศอกกับเข่าติดกัน เพื่อป้องกันการกระแทกและยังพอมีช่องว่างให้หายใจ
ด้าน ดร.สุพรรณ ทิพย์ทิพากร หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แม้เป็นงานที่ไม่มีเจ้าภาพผู้จัดงาน แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้น นายกเทศมนตรีท้องถิ่นหรือผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นย่อมปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ หลักการในการจัดการฝูงชน (Crowd Management) ตามมาตรฐานสากลของ National Fire Protection Association (NFPA)’s 101 Life Safety Code กำหนดนิยาม ‘ความหนาแน่นของสถานที่’ (Congestion) จะเกิดขึ้นเมื่อมีปริมาณคนตั้งแต่ 2 คนต่อตารางเมตร หากมีมากกว่า 6 คนต่อตารางเมตร ก็เสี่ยงที่จะเกิดฝูงชนเบียดอัด Crowd Crush ได้ดังในเหตุการณ์ที่อิแทวอน
ดังนั้นผู้จัดงาน หน่วยงานท้องถิ่น/ จังหวัดจะต้องมีการวางแผนปฏิบัติการ ร่วมกัน กำหนดหน้าที่ให้ชัดเจนและวางบุคลากรเจ้าหน้าที่สำหรับอำนวยความสะดวกและควบคุมความสงบเรียบร้อยของฝูงชน (Crowd Manager) ในอัตราส่วน 250 คนต่อเจ้าหน้าที่ 1 นาย หรือกรณีผู้มางานกว่า 100,000 คนในงาน จะต้องมีเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 400 คน แต่ช่วงเกิดเหตุในอิแทวอน คืนนั้นมีตำรวจเพียง 137 นาย ซึ่งมุ่งระวังเพียงปัญหาอาชญากรรม และยาเสพติด โดยไม่ได้เตรียมพร้อมการควบคุมฝูงชน หรือจำกัดจำนวนและทิศทางคนที่จะเข้าไปยังจุดเสี่ยงแต่อย่างใด
ข้อแนะนำแก่ผู้จัดงาน ควรเตรียมความพร้อม ดังนี้
1. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) ก่อนงานต้องมีการวิเคราะห์คาดการณ์เพื่อเตรียมงานล่วงหน้า สำรวจภูมิทัศน์และจุดที่อาจเกิดความเสี่ยงของอุบัติเหตุ, การเตรียมทางเข้า-ออกหลักและทางออกฉุกเฉิน, การติดตั้งป้ายสัญญาณภาษาต่างๆ, การให้ความรู้เรื่องการ CPR ที่ถูกต้อง, การเตรียมเจ้าหน้าที่คอยควบคุมจำนวนคนที่บริเวณจุดเสี่ยง ซึ่งสามารถประเมินจากข้อมูลในอดีตโดยอาจบวกเพิ่มเนื่องจากสถานการณ์โควิดเริ่มผ่อนคลาย
2. แผนรับมือเหตุฉุกเฉิน (Emergency Plan) เหตุฉุกเฉินต้องมีแผนรองรับและไม่ให้คนในฝูงชนเกิดแตกตื่นโกลาหล, การแจ้งเตือนเช่น Line Alert เตือนเหตุหรือข่าวสารฉุกเฉินเพื่อประชาชนรับทราบอย่างทันท่วงที ไม่เดินไปยังจุดที่เสี่ยง การแจ้งเตือนไม่ให้คนที่มาใหม่เข้าไปเติมอีก เพื่อลดความหนาแน่น
3. เลือกใช้เทคโนโลยีในการจัดการฝูงชน Crowd Management อย่างเหมาะสม ทั้งระบบ Security และ Monitor เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ IoT ระแวดระวังเหตุ เช่น ให้ผู้มาร่วมงานดาวน์โหลด Application ของงานหรือลงทะเบียนทราบประวัติสุขภาพของแต่ละคนล่วงหน้า, การจัดที่นั่งแบบระบุหมายเลขและโซน จะลดการวิ่งกรูของฝูงชนเข้าเพื่อแย่งชิงที่นั่งดีๆ ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุได้, การผูก tag/RFID ที่ข้อมือทุกคนที่เข้าร่วมงานเพื่อสามารถระบุตำแหน่ง และสามารถวัดปริมาณความหนาแน่นของแต่ละพื้นที่ไม่ให้เกินจุดปลอดภัย, การตรวจว่าจุดใดมีคนหนาแน่นเกินขีดอันตรายอาจตรวจสอบได้จากข้อมูลเครือข่ายมือถือ คล้ายการดูข้อมูลรถติดจาก Google Map ประชาชนมักมี Smart Phone ติดตัว ในงานอีเว้นท์ซึ่งไม่มีเจ้าภาพ ทางท้องถิ่นหรือจังหวัดอาจใช้ Application ของท้องถิ่นนั้นให้ข้อมูลของอีเว้นท์ แจ้งแผนที่ที่คนแน่นเกินขีดจำกัด, การแสดงภาพ CCTV, ภาพจากโดรน แบบ Real-Time บริเวณงานและวิเคราะห์จุดเสี่ยง
4. ควรจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุฉุกเฉิน (Emergency/Safety Commander) จากทีมที่มีประสบการณ์ มีความรู้ มีอำนาจเต็มในการควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัย จะทำให้เกิดการประสานงานและทำงานที่ถูกหลักวิชาการ การรอเจ้าหน้าที่รายงานขึ้นไปเพื่อให้นายกหรือผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการลงมาอาจไม่ทันการณ์และอาจไม่มีความรู้ประสบการณ์ในการควบคุมสถานการณ์เพื่อความปลอดภัยที่ถูกต้อง
5. เตรียมความพร้อมของหน่วยรถพยาบาล เครื่องมือแพทย์ เครื่องมือดับเพลิง เจ้าหน้าที่คอยควบคุม และประสานงานระหว่างประชาชน สมาคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความปลอดภัย ลดต้นเหตุของอุบัติภัย ที่นำมาซึ่งความสูญเสียที่เรียกคืนมาไม่ได้
A11352
Q&A ถาม-ตอบ โค้งสุดท้าย ก่อนลงสนามจริงกับสหพัฒน์แอดมิชชั่น ครั้งที่ 25
สหพัฒน์แอดมิชชั่น ครั้งที่ 25 โครงการจัดทบทวนความรู้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายให้นักเรียนก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) โดยผลิตภัณฑ์ มาม่า บิสชิน มองต์เฟลอ ริชเชส และมูลนิธิ ดร.เทียม โชควัฒนา จัดขึ้น เพื่อติดอาวุธเด็กไทยให้พร้อมก่อนลงสนามสอบจริง เชิญชวนน้องๆ นักเรียนชั้น ม.6 เข้าร่วมกิจกรรม “Q&A ถาม-ตอบ โค้งสุดท้าย ก่อนลงสนามสอบจริง” คุยเข้มข้นเป็นกันเองเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับ DEK66 เป็นครั้งสุดท้ายก่อนลงสนามสอบจริงกับทุกประเด็น TCAS66 อาทิ ถาม-ตอบเรื่องแนวทางการสอบ รู้ระบบสอบ TCAS66 รูปแบบข้อสอบ เก็งแนวข้อสอบ เตรียมตัวเข้าสอบโค้งสุดท้ายสำหรับ DEK66 เทคนิคการจัดอันดับ Admission วิธีคำนวณคะแนนที่ใช้ยื่น และอีกมากมายข้อสงสัยของเหล่า DEK66
พบกับพี่ๆ ติวเตอร์ขั้นเทพ ที่จะมาร่วมกันตอบคำถามไขข้อข้องใจแบบหมดเปลือกทั้ง 5 คน : พี่น็อต TCASter ดร.ธีระยุทธ บุญมา / พี่ปั้น SmartMathPro อ.ปวรุตม์ ธีรบุษยเวศย์ / พี่วิเวียน OnDemand อ.นพ.วีรวัช เอนกจำนงค์พร / ครูพี่หนู อ.กฤติกา ปาลกะวงศ์ / ครูพี่วิน เตรียมโดม อ.นาวิน แซ่โค้ว ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2565 เวลา 10.00-12.00 น. โดยถ่ายทอดสัญญาณสดทาง FB: Sahapat Admission
A11338
ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ จับมือ 55 สถาบันการศึกษาจากอินโดนีเซีย-ฟิลิปปินส์ ร่วมพัฒนาการศึกษาระดับนานาชาติ
ผศ.ดร.ศิริเดช คำสุพรหม ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายภาคีสัมพันธ์ และ คณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) หรือ DPU เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) นำโดย ดร.ดาริกา ลัทธพิพัฒน์ อธิการบดีและคณะผู้บริหาร ร่วมกับ สมาคมชุมชนมุสลิมอาเซียน (Associate of Muslim Community in ASEAN: AMCA) ได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติภายใต้หัวข้อ “Challenges of Community Development in Disruption Era” พร้อมกันนี้ ได้มีพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับสถาบันการศึกษาจากประเทศอินโดนีเซีย จำนวน 55 แห่ง และประเทศเวียดนาม กัมพูชา และลาว เพื่อร่วมกันพัฒนาการศึกษาในระดับนานาชาติให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งพัฒนาการศึกษาเพื่อสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน โดยภายในงานมีผู้บริหารของสถาบันการศึกษาพันธมิตรเข้าร่วมงานกว่า 100 คน และภายใต้การร่วมมือดังกล่าว ยังเป็นการร่วมฉลองครบรอบ 55 ปี ของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
คณบดี CIBA กล่าวด้วยว่า ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ นอกจากพัฒนาหลักสูตรทางการศึกษาร่วมกันระหว่าง DPU และ มหาวิทยาลัยจากอินโดนีเซียและประเทศ CLMV อีกกว่า 20 แห่งแล้ว ยังถือเป็นการเปิดตลาดการศึกษาให้กับนักศึกษาชาวมุสลิมของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย โดยเบื้องต้นมหาวิทยาลัยจากอินโดนีเซียเสนอทุนเรียนฟรีตลอดหลักสูตรในระดับปริญญาโทให้กับนักศึกษาของ DPU ขณะเดียวกัน DPU ก็พร้อมรับนักศึกษามุสลิมจากเครือข่ายพันธมิตร โดยทาง CIBA มีหลักสูตรนานาชาติในหลายสาขาวิชา โอกาสนี้ ถือเป็นการขยายตลาดการศึกษาไปยังกลุ่มนักศึกษามุสลิม ซึ่งนับเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ และยังถือเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้ประเทศอีกด้วย
“การบุกตลาดการศึกษาไปยังประเทศอินโดนีเซียและกลุ่มประเทศอาเซียน หรือ CLMV นับเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ซึ่งมีมหาวิทยาลัยอยู่จำนวนมาก และมีบางแห่งเสนอให้ทุนเรียนฟรี 100% ในระดับปริญญาโทให้กับนักศึกษาเรา ขณะเดียวกันเบื้องต้นเราตั้งเป้านักศึกษาจากอินโดนีเซียมาเรียนกับเราอย่างน้อยปีละ 100 คน” คณบดี CIBA กล่าวในตอนท้าย
A11301
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด