ดีลอยท์ เผย ESG เป็นวาระขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กรอย่างยั่งยืน
ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยรายงานผลการสำรวจ Thailand ESG and Sustainability Survey Report 2022 พบว่า ESG มีความสำคัญต่อการพัฒนาภูมิทัศน์ทางธุรกิจมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เกิดการวางมาตรฐานในการวัดผลการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจตามหลักเกณฑ์ด้าน ESG นอกจากนี้ ความสนใจของนักลงทุนในบริษัทต่างๆ ที่มีการดำเนินการตามเป้าหมาย ESG อย่างจริงจังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
นายกษิติ เกตุสุริยงค์ Sustainability & Climate Leader ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ปัจจุบันประเด็นด้าน ESG หรือ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล กลายเป็นประเด็นหลักในการตัดสินใจในทางธุรกิจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง การประเมินความเสี่ยงและเปิดรับโอกาสที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้าน ESG ขององค์กร เพื่อปกป้องผลประโยชน์ระยะยาวของธุรกิจ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ผลการสำรวจของดีลอยท์ ประเทศไทย เผยให้เห็นความท้าทายหลายประการในการบูรณาการ ESG เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจตั้งแต่การประเมินความเสี่ยง การประหยัดต้นทุน ไปจนถึงการหาตลาด และโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ”
ดีลอยท์ ประเทศไทยได้ทำการสำรวจ Thailand ESG and Sustainability Survey Report 2022 กับผู้บริหารระดับ C-suite และผู้บริหารในระดับต่างๆ จากบริษัทชั้นนำของประเทศไทย จำนวน 106 บริษัท ครอบคลุมภาคอุตสาหกรรมหลัก เช่น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มวิทยาศาสตร์ชีวภาพและการแพทย์ และอื่นๆ ในระหว่างเดือนสิงหาคม – กันยายน 2565 โดยการสำรวจประเด็นด้าน ESG และความยั่งยืนของประเทศไทยในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อสะท้อนภาพธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในปัจจุบัน
โดยผลจากการสำรวจพบประเด็นสำคัญ 4 ประการ คือ
1) ESG ในองค์กร จากการสำรวจพบว่า ผู้นำส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับสร้างการตระหนักรู้ด้าน ESG ในองค์กร และการบูรณาการ ESG เข้ากับกลยุทธ์ขององค์กร โดยผู้บริหารระดับสูง (C-Level) มีแนวโน้มที่จะเน้นการรายงาน ESG ให้สอดคล้องกับกรอบการรายงานของ ‘56-1 One Report’ ที่ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการเปิดเผยข้อมูล โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจตามกรอบของ ESG นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 34 ให้ข้อมูลว่า บริษัทได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการด้านความยั่งยืนเพื่อกำกับดูแลและขับเคลื่อนวาระ ESG ในองค์กรแล้ว และบางบริษัทได้กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบด้าน ESG ให้กับคณะกรรมการบริหาร เพื่อผลักดันประเด็นความยั่งยืนของบริษัท ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการด้านนี้มากกว่าบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียน นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนมากเห็นว่า การดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทที่ดีขึ้นจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวก 3 ประการ ได้แก่ การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและลดต้นทุน ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และการบริหารความเสี่ยง
2) บทบาทของสายงานการเงินด้านความยั่งยืน จากการสำรวจพบว่า ร้อยละ 85 ของผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในสายงานบัญชีและการเงิน เห็นตรงกันว่า ความยั่งยืนมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในด้านการเงิน นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการจัดทำรายงานเกี่ยวกับตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรอบการรายงานมาตรฐาน โดยร้อยละ 19 มองว่าสายงานบัญชีและการเงินจะเป็นตัวขับเคลื่อนในการกำหนดและบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า สำหรับบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างเต็มที่โดยบูรณาการเข้าไปในกระบวนการจัดการประสิทธิภาพองค์กร นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและทรัพยากร เป็นอุตสาหกรรมอันดับต้นๆ ที่ได้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือสินเชื่อสีเขียวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยังมุ่งเน้นนวัตกรรมสำหรับเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอีกด้วย ซึ่งอาจเป็นผลจาก Social License to Operate ผลักดันให้ดำเนินการ เนื่องจากการดำเนินการของกลุ่มนี้อาจก่อผลกระทบทางลบทางสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่น
3) การรายงานความยั่งยืน จากการสำรวจของดีลอยท์ พบว่า ร้อยละ 51 ของผู้ตอบแบบสอบถามมีการจัดทำรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานด้าน ESG และมีตัวชี้วัดเป็นส่วนหนึ่งของการรายงานตามรอบการจัดทำรายงาน ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสำรวจกว่าหนึ่งในสี่ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้าน ESG แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณะ นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่า การขาดเทคโนโลยีสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ การขาดความสามารถและทักษะภายในองค์กร และการไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ เป็นข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำรายงานให้สมบูรณ์อย่างมีประสิทธิภาพตามข้อกำหนดด้านความยั่งยืน
4) ระบบ กระบวนการ และข้อมูล เกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมีความกังวลว่า องค์กรของตนไม่มีเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่จำเป็นเพียงพอต่อการดำเนินการตามข้อกำหนดใหม่ๆ ในการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ใช้แบบฟอร์ม spreadsheet ในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้าน ESG ของทั้งองค์กร อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับบางบริษัทที่มีกระบวนการดำเนินการหลายขั้นตอน ที่อาจส่งต่อเพื่อรวบรวมไว้ที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หรือมีกระบวนการรวบรวมข้อมูลการแยกจากกัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่จะรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน และอาจเกิดความผิดพลาดจากการทำงานของคนได้ นอกจากนี้ ผลสำรวจพบว่า บริษัทของผู้ตอบแบบสำรวจใช้กรอบการรายงานสากลที่พัฒนาโดย GRI (Global Reporting Initiative) เป็นมาตรฐานหลักในการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG และใช้กรอบตัวชี้วัด ESG ภายในองค์กร (Internal ESG KPI) มากำหนดโครงสร้างรูปแบบหลักสำหรับการรวบรวมข้อมูลในองค์กร
ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients and Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ตอนนี้เป็นเวลาที่ธุรกิจควรจะเริ่มบูรณาการ ESG ให้มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ กำหนดเป้าหมายและกระบวนการความยั่งยืนขององค์กรเพื่อดำเนินการด้าน ESG และเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ที่จะกลายเป็นข้อบังคับสำหรับองค์กรธุรกิจในการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม การดำเนินการบนพื้นฐานของความยั่งยืนจะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถก้าวผ่านสถานการณ์วิกฤติต่างๆ และปรับตัวให้พร้อมรับกับดิสรัปชั่นในอนาคต”
A11492
PwC เผยเกือบครึ่งของดีลส์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้ทำลายคุณค่า และ/หรือมีผลประกอบการด้อยกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม
PwC เผยรายงานล่าสุด พบการทำดีลส์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความซับซ้อนมากขึ้น หลังต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงและเป็นอุปสรรคต่อการทำดีลส์ให้ประสบความสำเร็จ อีกทั้งความสามารถในการสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งหลังการควบรวมกิจการ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ รายงาน “Delivering Deals in Disruption: Value Creation in Asia Pacific” ระบุว่า 41% ของผู้ซื้อ (Buyer) และ 63% ของผู้ขาย (Divestor) มีผลประกอบการต่ำกว่าคู่แข่ง ในช่วง 24 เดือนหลังการปิดดีล โดยพิจารณาจากผลตอบแทนรวมของผู้ถือหุ้นประจำปี (Total Shareholder Returns: TSR)
ในขณะเดียวกัน เอเชียแปซิฟิก ยังคงเป็นหนึ่งในภูมิภาคหลักที่ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของโลก ด้วยปัจจัยเชิงบวกหลายประการ เช่น การถ่ายโอนความมั่งคั่งระหว่างรุ่นที่กำลังขยายตัว การปรับภาคส่วนต่างๆ ให้มีความทันสมัย กระแสการค้าภายในภูมิภาคที่เติบโตขึ้น และการมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social and Governance: ESG) ซึ่งทั้งหมดล้วนกระตุ้นให้เกิดโอกาสในการสร้างมูลค่า (Value Creation) ผ่านการทำดีลส์
รายงานของ PwC ยังระบุว่า ไม่น่าแปลกใจที่กิจกรรมการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions: M&A) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.5 เท่าในช่วงระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญนี้ ได้รับแรงหนุนจากกองทุนไพรเวทอิควิตี้ (Private Equity: PE) หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ด้วยเงินรอลงทุนรวมกันมูลค่าถึงกว่า 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.3 ล้านล้านบาท) ในปี 2564
นาย เรย์มอนด์ ชาว ประธาน PwC ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า “นักทำดีลตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมากกว่าที่เดิมในการต้องส่งมอบคุณค่าให้กับกิจการท่ามกลางกระแสดิสรัปชัน แต่ด้วยโอกาสที่ยังมีอีกมากในการสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน การเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการทำดีลส์ จะช่วยปลดล็อคการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันให้เกิดขึ้นได้ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”
ทั้งนี้ ภูมิทัศน์ทางธุรกิจในปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการของการจัดทำดีลส์ในรูปแบบใหม่ผ่านการสร้างมูลค่าอย่างทั่วถึงและมีระเบียบวินัยที่ต้องฝังอยู่ตลอดวงจรชีวิตของการทำธุรกิจและต้องเชื่อมโยงกับกลยุทธ์ขององค์กร ซึ่งนักทำดีลที่เราสำรวจต่างเห็นด้วยกับมุมมองนี้
• มีเพียง 29% ของผู้ซื้อกิจการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเท่านั้นที่กล่าวว่า การสร้างมูลค่า ถือเป็นภารกิจสำคัญในวันแรก (วันปิดดีล) แม้ว่า 66% กล่าวว่า ที่จริงแล้วควรจะเป็นภารกิจสำคัญตั้งแต่ก่อนและหลังปิดดีล เมื่อมองย้อนกลับไป
• 94% ของดีลส์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากวิธีการสร้างมูลค่าอย่างเป็นทางการ หรือพิมพ์เขียวการควบรวมกิจการสูญเสียมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาซื้อ
นาย เดวิด บราวน์ หัวหน้าสายงานดีลส์ PwC ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า “เอเชียแปซิฟิก ถือเป็นภูมิภาคที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยตลาดยังเห็นการควบรวมกิจการในระดับที่น้อยกว่า และบริษัทส่วนใหญ่มีความพร้อมน้อยกว่า นี่จึงทำให้ธุรกิจมีโอกาสอีกมากที่จะสร้างมูลค่าให้กับกิจการผ่านการทำดีลส์ทั่วทั้งภูมิภาค”
เมื่อเป็นเช่นนี้ นักทำดีลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกควรทำอย่างไรต่อไป? ในช่วงที่ผ่านมามีการทำดีลเกิดขึ้นในหลากหลายรูปแบบทั้งการควบรวมกิจการเพื่อสร้างขนาด การตัดขายหน่วยธุรกิจบางส่วนออกซึ่งบริษัทแม่ขายส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของบริษัทลูกให้กับนักลงทุนภายนอก การควบรวมเพื่อใช้เป็นตัวเร่งสู่การเปลี่ยนแปลงและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และการขายหุ้นหรือทรัพย์สินบางส่วนของกิจการผ่าน trade sales เพื่อเป็นทุนให้กับการขยายตลาดเชิงกลยุทธ์ หรือการทำดีลเพื่อขจัดปัญหาทางธุรกิจที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ และข้อจำกัดเรื่อง supply chain เป็นต้น
ทั้งนี้ รายงานฉบับดังกล่าว ได้แนะนำหกข้อควรปฏิบัติเพื่อให้นักทำดีลได้ใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการสร้างมูลค่าที่ตอบโจทย์ความแตกต่างหลากหลายของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไว้ ดังต่อไปนี้
1. จัดลำดับความสำคัญของการสร้างมูลค่า โดยเชื่อมโยงเข้ากับกลยุทธ์ และฝังพิมพ์เขียวการควบรวมกิจการที่มีระเบียบวินัย เพื่อส่งเสริมการวางแผนที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
2. เน้นใช้จุดแข็งและความสามารถที่แตกต่าง
3. ทุ่มเทเวลาและความพยายามในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรม ธุรกิจ และแนวปฏิบัติของตลาดที่มีความแตกต่างกันไปเพื่อกำหนดกลยุทธ์ด้านบุคลากร
4. ค้นหาคุณค่าจากข้อมูลอย่างต่อเนื่องและควรดำเนินการตั้งแต่เนิ่นๆ
5. ปรับแก้เรื่อง ESG เพื่อเพิ่มมูลค่าธุรกิจ
6. ให้ความสำคัญกับการเตรียมการควบรวม (Integration) เพื่อลดความเสี่ยงที่จะไม่ได้มูลค่าเพิ่มที่คาดหวังจากการควบรวม
นางสาว ฉันทนุช โชติกพนิช หุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานดีลส์ บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ในส่วนของประเทศไทย ปัจจุบันเราเห็นหลายบริษัทเน้นความสำคัญของการสร้างมูลค่าตั้งแต่วันปิดดีลมากขึ้น ซึ่งไม่แตกต่างจากแนวโน้มของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยทีมพัฒนาธุรกิจ และทีมกลยุทธ์ขององค์กร ได้ผนึกกำลังในการทำงานร่วมกันมากขึ้นเพื่อสร้าง synergy และเข้ามามีส่วนร่วมในการทำดีลตั้งแต่ต้น รวมถึงมีการเตรียมความพร้อมก่อนทำการปิดดีลแต่ละดีล และมีการติดตามผลหลังจากปิดดีลไปแล้วเพื่อให้แน่ใจว่า ผู้ซื้อและผู้ขายจะได้รับสิ่งที่แต่ละฝ่ายคาดหวังหรือตั้งเป้าหมายไว้”
“ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันนักลงทุนรวมถึงสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อของไทย ยังให้ความสนใจนำแนวคิดด้าน ESG มาใช้ประกอบการพิจารณาการทำดีลมากขึ้น แต่การสูญเสียพนักงานที่มีทักษะความสามารถสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการปิดดีลไปแล้ว ยังคงเป็นความท้าทายหลักที่เราเจอเหมือนกันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค”
นางสาว ฉันทนุช กล่าวด้วยว่า ก่อนที่จะทำการปิดดีล ผู้ซื้อและผู้ขายควรมีการเตรียมการเพื่อบูรณาการระบบงานของกิจการภายหลังการควบรวม (Post-merger integration) ให้ครอบคลุม ซึ่งหมายรวมถึง การมีแผนการสื่อสารที่ชัดเจนกับผู้มีส่วนได้เสียของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้รับทราบถึงผลกระทบและทิศทางในอนาคตขององค์กรภายหลังการควบรวมกัน
A11205
ปัจจัยกดดันมาตรฐานความซื่อสัตย์ขององค์กรให้อยู่ในจุดเสี่ยง
• ข้อมูลจากรายงาน EY Global Integrity Report ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยกดดันการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมที่เพิ่มขึ้นในประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่
• 62% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าการรักษามาตรฐานความซื่อสัตย์ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองเป็นเรื่องที่ท้าท้ายสำหรับองค์กร
• สภาวะตลาดถดถอย (36%) และผลการดำเนินงานทางการเงินที่ลดลง (31%) เป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมขององค์กรในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
ข้อมูลจากรายงาน 2022 EY Global Integrity Report - Emerging Markets Perspective: “Is your organization upholding its integrity standards?” ชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานความซื่อสัตย์ขององค์กรในกลุ่มประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มของตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย อยู่ในจุดเสี่ยง อันเป็นผลมาจากปัจจัยกดดันใหม่ๆ ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
รายงานดังกล่าวได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของพนักงาน ผู้จัดการ และคณะกรรมการบริษัทกว่า 2,750 คนจาก 33 ประเทศในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทย พบว่าสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในปัจจุบันซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นภัยคุกคามต่อจริยธรรมทางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 62% กล่าวว่า การจะรักษามาตรฐานความซื่อสัตย์ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือในช่วงที่ตลาดเผชิญกับสภาวะยากลำบากเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับองค์กร และเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (46%) ให้ความเห็นว่าผลกระทบจากการแพร่ของโรคระบาดทำให้การดำเนินธุรกิจอย่างตรงไปตรงมาเป็นไปได้ยาก โดยปัจจัยความเสี่ยงที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมของบุคลากรในองค์กรมากที่สุด ได้แก่ สภาวะตลาดถดถอย (36%) ผลการดำเนินงานทางการเงินที่ลดลง (31%) และการลดลงของค่าตอบแทนพนักงาน (29%)
วิไลพร อิทธิวิรุฬห์ หุ้นส่วนสายงานบริการตรวจสอบและให้คำปรึกษาด้านการต่อต้านทุจริตในองค์กร อีวาย ประเทศไทย เปิดเผยว่า “องค์กรต่างๆ กำลังเผชิญกับความท้าทายมากมายที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการประพฤติผิดจรรยาบรรณ ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain disruption) และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ซึ่งต่างอยู่ระหว่างการหาทางฟื้นตัวจากผลกระทบจากการแพร่ของโรคระบาดทั่วโลกเช่นกัน”
ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นของพนักงานที่เต็มใจจะประนีประนอมในเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน โดย 52% ของคณะกรรมการบริษัท และ 47% ของผู้จัดการอาวุโส ยอมรับว่าในองค์กรของตนมีพนักงานในระดับผู้บริหารที่ยอมสละความซื่อสัตย์เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการเงินเพียงระยะสั้นๆ
“สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือพนักงานเป็นผู้กระทำการทุจริต ไม่ใช่ระบบหรือกระบวนการต่างๆ อย่างไรก็ตาม พนักงานมีแนวโน้มที่จะประพฤติตนด้วยความซื่อสัตย์มากขึ้นหากเข้าใจเหตุผลและวิถีในการดำเนินธุรกิจ แทนที่จะให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ผู้นำองค์กรจำเป็นต้องกำหนดจุดยืนที่ชัดเจนในการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพนักงาน มิเช่นนั้นแล้ว เราอาจจะเห็นจำนวนของรายงานการทุจริตและการแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” วิไลพรอธิบาย
ท่ามกลางปัจจัยกดดันต่อการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมในปัจจุบัน ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาในทางบวก โดย 97% ของผู้ตอบแบบสอบถาม (ประเทศไทย 99%) ยอมรับว่า ความซื่อสัตย์ขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญต่อความยั่งยืนของธุรกิจ และ 47% (ประเทศไทย 66%) เชื่อว่า องค์กรของตนมีการปรับปรุงมาตรฐานความซื่อสัตย์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ผลสำรวจในประเทศไทยยังแสดงให้เห็นว่า 87% ของผู้ตอบแบบสอบถามสามารถรายงานการกระทำผิดในองค์กรโดยปราศจากความกังวลหรือผลกระทบด้านลบที่อาจจะเกิดขึ้น และ 61% ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการไม่รายงานการกระทำผิด
“ธุรกิจจำนวนมากเริ่มให้ความสำคัญและสร้างรากฐานความซื่อสัตย์ในองค์กรผ่านการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับ และสื่อสารกับพนักงานให้เห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ การสร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนการปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมและให้รางวัลแก่ผู้ที่ปฏิบัติตามนโยบายสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจของพนักงาน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียต่อความสามารถขององค์กรในการสร้างมูลค่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” วิไลพรกล่าวปิดท้าย
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: ey.com/emergingmarketsreport2022
A10841
หนึ่งในสี่ของบริษัททั่วโลกถูกละเมิดข้อมูลเสียหายมูลค่ากว่า 1 ถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงสามปีที่ผ่านมา
สี่ในห้าขององค์กรทั่วโลกระบุว่า การเปิดเผยข้อมูลอาชญากรรมไซเบอร์ผ่านกลไกภาคบังคับที่สามารถเทียบเคียงได้และมีรูปแบบที่สอดคล้องกันถือเป็นสิ่งจำเป็น
PwC เผยรายงานผลสำรวจพบ หนึ่งในสี่ของบริษัททั่วโลกประสบกับการถูกละเมิดข้อมูล (Data breach) ที่สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 38 ถึง 763 ล้านบาท) หรือมากกว่า ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ขณะที่บริษัทในประเทศไทยส่วนใหญ่ ประสบกับภัยคุกคามจากมัลแวร์เรียกค่าไถ่มากที่สุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามเทคโนโลยีที่นำมาใช้
ทั้งนี้ รายงานผลสำรวจ 2023 Global Digital Trust Insights ของ PwC รวบรวมความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงจำนวนกว่า 3,500 ราย ใน 65 ประเทศพบว่า อัตราร้อยละของการละเมิดข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งในสามหรือ 34% สำหรับบริษัทที่ตอบแบบสำรวจในทวีปอเมริกาเหนือ ในขณะที่มีเพียง 14% ขององค์กรทั่วโลกที่รายงานว่า ไม่พบเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
แม้ว่าการโจมตีทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่องจะสร้างความเสียหายให้แก่ธุรกิจเป็นมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่น้อยกว่า 40% ของผู้บริหารที่ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า พวกเขาได้ดำเนินการลดความเสี่ยงทางไซเบอร์ให้กับหลายจุดสำคัญของธุรกิจอย่างครบถ้วน เช่น การจัดให้มีการทำงานทางไกล หรือแบบไฮบริด (38% กล่าวว่า มีการจัดการเพื่อลดความเสี่ยงทางไซเบอร์อย่างครบถ้วน) การประยุกต์ใช้ระบบคลาวด์ที่เพิ่มขึ้น (35%) การใช้งานอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things) ที่เพิ่มขึ้น (34%) การปรับระบบห่วงโซ่อุปทานสู่ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น (32%) และระบบปฏิบัติการหลังบ้าน (31%)
สำหรับผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการนั้น ความปลอดภัยทางไซเบอร์ของระบบห่วงโซ่อุปทานยังคงเป็นความกังวลหลักที่สำคัญ โดย 90% ของผู้ตอบแบบสำรวจ แสดงความกังวลเกี่ยวกับความสามารถขององค์กรในการต่อต้านการโจมตีทางไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบห่วงโซ่อุปทาน ขณะที่ 56% แสดงความกังวลเป็นอย่างมาก
สนับสนุนให้มีการเปิดเผยข้อมูลอาชญากรรมไซเบอร์ภาคบังคับ
ทั้งนี้ 79% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจระบุว่า การเปิดเผยข้อมูลอาชญากรรมไซเบอร์ผ่านกลไกภาคบังคับที่สามารถเทียบเคียงได้และสม่ำเสมอ ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสีย ขณะที่ 76% กล่าวว่า การเพิ่มการรายงานต่อนักลงทุน จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรและระบบนิเวศทั้งหมด ยิ่งไปกว่านี้ ผู้ตอบแบบสำรวจในอัตราร้อยละที่เท่ากันยังเห็นด้วยว่า รัฐบาลควรนำฐานความรู้จากการเปิดเผยข้อมูลทางไซเบอร์ภาคบังคับมาพัฒนาเทคนิคการป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ให้กับภาคเอกชน
แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่ของผู้ตอบแบบสำรวจ จะสนับสนุนให้มีการเปิดเผยข้อมูลอาชญากรรมทางไซเบอร์ภาคบังคับที่ชัดเจน แต่กลับมีผู้บริหารน้อยกว่าครึ่ง (42%) ที่มีความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่า องค์กรของตนจะสามารถให้ข้อมูลที่ต้องการเกี่ยวกับเนื้อหาและเหตุการณ์สำคัญภายในระยะเวลาการรายงานที่กำหนด นอกจากนี้ องค์กรส่วนใหญ่ยังคงมีความลังเลในการแลกเปลี่ยนข้อมูลมากเกินไป โดย 70% กล่าวว่า การแบ่งปันข้อมูลสาธารณะมากขึ้น อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงและนำไปสู่การสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน
นาย ฌอน จอยซ์ หัวหน้ากลุ่มลูกค้าความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวทั่วโลก บริษัท PwC ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “การละเมิดข้อมูล ถือเป็นภัยคุกคามที่แพร่หลายในโลกดิจิทัลทุกวันนี้ โดยในขณะที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มระดับความถี่และความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ แนวทางแบบองค์รวมด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ได้กลายมาเป็นภารกิจสำคัญสูงสุดของฝ่ายบริหารและคณะกรรมการ ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ต้องเร่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการป้องกันทางไซเบอร์ รวมไปถึงหน่วยงานกำกับดูแลที่เพิ่มแรงกดดันให้ภาคเอกชนต้องปรับปรุงความสามารถในการตั้งรับต่อภัยคุกคาม และสร้างความไว้วางใจจากสาธารณชน ซึ่งผลสำรวจของเราสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ภาครัฐและเอกชนยังคงต้องร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อจัดการกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความซับซ้อน โดยบริษัทต่างๆ ได้เรียกร้องให้มีการแบ่งปันข้อมูล และความโปร่งใสเพิ่มขึ้น รวมไปถึงมีรูปแบบของการเปิดเผยข้อมูลตามข้อกำหนดหรือข้อบังคับของเหตุการณ์ทางไซเบอร์ที่สอดคล้องกัน”
องค์กรส่วนใหญ่ เดินหน้าเพิ่มงบลงทุนด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์
รายงานของ PwC พบว่า องค์กรทั่วโลกยังคงเดินหน้าเพิ่มงบลงทุนด้านไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง โดย 69% ของผู้บริหารที่ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า ได้เพิ่มงบประมาณด้านไซเบอร์ในปีนี้ ขณะที่ 65% มีแผนที่จะขยายการลงทุนในด้านนี้มากขึ้นในปีหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่ถือเป็นภารกิจสำคัญสูงสุดของการวางแผนตั้งรับ (Resilience planning) ขององค์กร ทั้งนี้ ข้อมูลจากรายงานผลสำรวจฉบับนี้ยังชี้ด้วยว่า ภัยพิบัติจากการจู่โจมทางไซเบอร์นั้น ถูกจัดอันดับให้เป็นภัยคุกคามที่มีความร้ายแรงกว่าภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย หรือวิกฤตสุขภาพ
นอกจากนี้ ความกังวลเรื่องภัยไซเบอร์ยังได้ขยายวงกว้างไปสู่ทีมบริหารขององค์กร ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer: CEO) ส่วนใหญ่ กำลังวางแผนในการเพิ่มการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในปีหน้า โดย 52% กล่าวว่า พวกเขาจะขับเคลื่อนแผนงานที่สำคัญเพื่อปรับปรุงศักยภาพด้านไซเบอร์ขององค์กร ขณะที่ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (Chief Financial Officer: CFO) อีกจำนวนมาก ก็มีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีไซเบอร์ (39%) กลยุทธ์และการประสานงานกับฝ่ายวิศวกรรมและฝ่ายปฏิบัติงาน (37%) รวมถึงการเพิ่มพูนทักษะและว่าจ้างผู้มีความชำนาญด้านไซเบอร์ (36%)
ด้วยเหตุนี้ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ จึงเป็นวาระสำคัญขององค์กร โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการละเมิดข้อมูลนั้น มีมูลค่ามากกว่าความเสียหายทางการเงินโดยตรง ซึ่งจากข้อมูลของรายงานผลสำรวจพบว่า ระดับของความเสียหายที่องค์กรประสบจากการถูกละเมิดทางไซเบอร์ หรือข้อมูลส่วนบุคคลในช่วงสามปีที่ผ่านมา หมายรวมถึง การต้องสูญเสียลูกค้า (27%) การสูญเสียข้อมูลลูกค้า (25%) และความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือแบรนด์ (23%) ด้วย
นาย ฌอน กล่าวต่อว่า “แม้ว่าองค์กรต่างๆ จะได้มีการดำเนินการเพื่อปรับปรุงระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ของตน แต่ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก ซึ่งสามปัจจัยที่องค์กรจำเป็นต้องมีเพื่อตามให้ทันการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลและช่วยสร้างความไว้วางใจจากสาธารณชน ได้แก่ การมีการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ การวางแผนความต่อเนื่องและฉุกเฉิน และการรายงานภายนอกที่ต้องชัดเจนและสม่ำเสมอ”
ด้านนาย พันธ์ศักดิ์ เสตเสถียร หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ในส่วนของประเทศไทย องค์กรกำลังเผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่มีมากขึ้น ซึ่งการโจมตีทางไซเบอร์ด้วยโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาให้เรียกค่าไถ่ข้อมูล (Ransomware) ถือเป็นภัยไซเบอร์ที่พบมากที่สุดในปีนี้
“แนวโน้มภัยไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นสิ่งที่กระตุ้นเตือนให้องค์กรไทยต้องหันมาพิจารณาการลงทุนด้านระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กร และผลกระทบด้านการเงิน โดยในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า ธุรกิจมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในรูปแบบของอีคอมเมิร์ซ โมบายแบงก์กิ้ง หรือแม้แต่การทำงานแบบ remote working ซึ่งพบว่า องค์กรส่วนมากมีการเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์มากกว่าในช่วง 2-3 ปีก่อน แต่การให้ความสำคัญและการลงทุนในการป้องกันนั้นยังคงไม่เพียงพอ และมักจะลงทุนระหว่าง หรือหลังจากเกิดภัยคุกคามดังกล่าวแล้ว” นาย พันธ์ศักดิ์ กล่าว
“นอกจากนี้ ธุรกิจควรต้องสร้างการตระหนักรู้ด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เบื้องต้นทั่วทั้งองค์กร ให้ครอบคลุมตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงพนักงาน และต้องมีผู้รับผิดชอบด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และระบบสารสนเทศต่างๆ และที่สำคัญจะต้องมีการสื่อสารถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับพนักงาน ตลอดจนการปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างโดยผู้บริหาร”
A10778
ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง ชี้ถึงโอกาสในการพัฒนาตลาด Private Debt ในประเทศไทย เพื่อช่วยเติมเต็มความต้องการทางการเงินของกลุ่มธุรกิจ และผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
การศึกษาใหม่โดยดีลอยท์ คอนซัลติ้ง (“ดีลอยท์”) ชี้ว่า Private Debt นั้นมีความสามารถในการช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินทุน (Financing Gap) ของภาคธุรกิจในประเทศไทย และตอบโจทย์ความต้องการด้านการลงทุนของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ในประเทศ ในการศึกษานี้ทาง ดีลอยท์ ยังได้ทำการศึกษาตลาด Private Debt ในประเทศต่างๆ และนำเสนอแนวทางการพัฒนากฎเกณฑ์ และแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถช่วยส่งเสริมการพัฒนาตลาด Private Debt ในประเทศไทยได้อีกด้วย
ตัวอย่างของแนวทางการพัฒนากฎเกณฑ์ที่สามารถช่วยส่งเสริมการพัฒนาตลาด Private Debt ในประเทศไทย ได้แก่
• การปรับปรุงและแก้ไขกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Private Debt ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อทำให้เกิดความชัดเจนแก่ผู้ประกอบการภายในประเทศที่ต้องการจัดตั้งกองทุน Private Debt ด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่ากองทุน Private Debt สามารถจัดตั้งขึ้นเพื่อระดมทุนจากนักลงทุนและทำการให้กู้ได้
• การปรับปรุงและแก้ไขกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับประเภทของนักลงทุนที่ได้รับอนุญาตให้ลงทุนใน Private Debt ให้มีความชัดเจนและเปิดกว้างมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนหลากหลายประเภทได้มีโอกาสลงทุนใน Private Debt
• การปรับปรุงและพัฒนาขั้นตอนการพิจารณคดีที่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้ให้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างแนวทางการปรับปรุงได้แก่ การกำหนดระยะเวลาในการพิจารณคดีที่ชัดเจน การส่งเสริมและเพิ่มอำนาจการระงับข้อพิพาททางเลือกนอกศาล เป็นต้น
“เนื่องจากประเทศไทยในปัจจุบันยังไม่มีข้อกำหนด หรือ แนวทางการกำกับดูแลอย่างชัดเจน ผู้ประกอบการในประเทศที่ต้องการจัดตั้งกองทุน Private Debt เพื่อระดมทุนจากนักลงทุนและให้กู้แก่บุคคลอื่นจึงเผชิญกับความไม่แน่นอนถึงขอบเขตของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทำให้การจัดตั้ง Private Debt ในรูปแบบของกองทุนในประเทศ (Local Fund) นั้นยังไม่มีความชัดเจนเท่าไหรนัก ในแง่ของกองทุน Private Debt จากต่างประเทศ (International Fund) เองก็ยังมีความกังวลที่จะให้กู้แก่บริษัทในประเทศไทย เนื่องด้วยการผิดนัดชำระหนี้มักจะเป็นคดีความที่อาจใช้ระยะเวลายาวนานหลายปีในการบังคับคดี” ดร.เมธินี จงสฤษดิ์หวัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าว “นอกจากนี้ นักลงทุนสถาบัน (Institutional Investor) จำนวนมากในประเทศไทย ยังไม่ได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลของตนให้ลงทุนใน Private Debt”
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยนั้น ธนาคารถือว่าเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่มีความสำคัญในตลาดสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทย แต่ธนาคารนั้นยังคงไม่สามารถตอบโจทย์หรือเข้าถึงลูกค้าบางกลุ่มได้ แม้ว่าในประเทศไทยจะมีผู้ให้บริการสินเชื่อทางเลือกรายอื่นในตลาด ผู้ให้บริการเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถที่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินทุน (Financing Gap) ของลูกค้าในประเทศได้อย่างสมบูรณ์นัก
“ในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในประเทศไทยนั้นจะมีการถือกำเนิดขึ้นของผู้ให้บริการกู้ยืมเงินออนไลน์ (Digital Lending Platform) ผู้ให้บริการเหล่านี้มักจะปล่อยเงินกู้ในวงเงินที่ต่ำ ในขณะเดียวกัน กองทุน Private Debt จากต่างประเทศ (International Fund) ที่เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยนั้นก็มักจะปล่อยเงินกู้ในวงเงินที่สูง และเน้นตอบสนองความต้องการของบริษัทขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดเกิดช่องว่างในตลาดจากบริษัทขนาดกลางที่มีความต้องการเงินทุนระหว่าง 10 – 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่ ผู้ให้บริการกู้ยืมเงินออนไลน์ (Digital Lending Platform) และ กองทุน Private Debt จากต่างประเทศ (International Fund) ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้กู้กลุ่มนี้ได้” ดร.เมธินี กล่าว “Private Debt ในรูปแบบของกองทุนในประเทศ (Local Fund) สามารถที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มช่องว่างในตลาดตรงนี้ได้”
สำหรับผู้กู้แล้ว ประโยชน์ของการใช้งาน Private Debt ได้แก่ เงื่อนไขในการกู้ยืมที่สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจ ระยะเวลาในการชำระเงินคืนที่ยาวนานกว่าปกติ ความรวดเร็วในการพิจารณาปล่อยเงินกู้โดยผู้ให้กู้ ความรวดเร็วในการได้รับเงินกู้ และหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการปล่อยกู้ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าธนาคาร เป็นต้น
สำหรับนักลงทุน ประโยชน์ของการลงทุนใน Private Debt ได้แก่ การกระจายความเสี่ยงการลงทุน (Portfolio Diversification) อัตราผลตอบแทนเมื่อเปรียบเทียบกับระดับความเสี่ยงที่สูงขึ้น (Risk-adjusted Returns) ซึ่งแลกมาด้วยสภาพคล่องที่ลดลง (หรือที่เรียกว่าผลตอบแทนจากการขาดสภาพคล่อง) อัตราผลตอบแทนที่มั่นคงและสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า และความผันผวนด้านราคาที่น้อยกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น
“ในด้านอุปสงค์ ผู้กู้มีความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการระบาดของโรค COVID-19 ส่วนในด้านอุปทาน นักลงทุนเองก็มองหาอัตราผลตอบแทนเมื่อเปรียบเทียบกับระดับความเสี่ยงที่สูงขึ้น (Risk-adjusted Returns) สาเหตุส่วนหนึ่งที่ Private Debt ได้รับความนิยมและเติบโตขึ้นทั่วโลกเป็นเพราะ Private Debt สามารถตอบสนองความต้องการของผู้กู้และนักลงทุนได้” เคนเนท เทย์ ผู้อำนวยการ บริษัท ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าว
“Private Debt นั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป อีกทั้งยังเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มประเทศในทวีปเอเชีย อย่างไรก็ตาม ตลาด Private Debt ในประเทศไทยยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังมีขนาดเล็ก โดยเฉพาะเมื่อเราพูดถึง Private Debt ในรูปแบบที่ถูกจัดการโดยผู้จัดการกองทุน ภายใต้โครงสร้าง GP/LP” จอร์จ เกา ผู้จัดการ บริษัท ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าว
ผลการศึกษานี้อ้างอิงข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาด Private Debt ไม่ว่าจะเป็น กองทุน Private Debt (Private Debt Fund) นักลงทุนสถาบัน ผู้กู้ และหน่วยงานกำกับดูแลมากกว่า 20 ราย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมไปถึงอ้างอิงผลการวิจัยจากสถาบันต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ในแง่ของวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้นั้น ดีลอยท์จัดทำการศึกษานี้เพื่อทำความเข้าใจถึงโอกาสและความท้าทายในการพัฒนาตลาด Private Debt (ซึ่งหมายถึงการให้เงินกู้โดยผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคารในภาคเอกชน) ในประเทศไทย เพื่อช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินทุน (Financing Gap) ของภาคธุรกิจ และตอบโจทย์ความต้องการด้านการลงทุนของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ สำหรับการศึกษานี้ ดีลอยท์ได้เน้นการศึกษาไปที่ Private Debt ในรูปแบบที่ถูกจัดการโดยผู้จัดการกองทุน หรือที่เรียกว่า กองทุน Private Debt (Private Debt Fund) ซึ่งผู้เกี่ยวข้องกับกองทุน Private Debt ประกอบไปด้วย Limited Partner (LPs) หมายถึงนักลงทุนประเภทต่างๆ และ General Partner (GPs) หมายถึง ตัวกองทุนซึ่งทำหน้าที่ระดมทุนจากนักลงทุน (LPs) และนำเงินเหล่านั้นไปให้กู้ในลำดับต่อไป
ความท้าทายที่สำคัญในการพัฒนาตลาด Private Debt ในประเทศไทยตามที่ระบุไว้ในรายงาน ได้แก่ ข้อจำกัดทางด้านกฎเกณฑ์ที่ส่งผลต่อการพัฒนาตลาด Private Debt ในประเทศไทย ความพร้อมของตลาดและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนในไทยจำนวนมากรวมไปถึงหน่วยงานกำกับดูแลการลงทุนในประเทศไทยยังไม่ทราบถึงสินทรัพย์ในกลุ่ม Private Debt และบทบาทของ Private Debt ในการช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุน) และ ความไม่สมมาตรของข้อมูลซึ่งเกิดมาจากการที่ผู้ให้บริการสินเชื่อทางเลือกนั้นประสบปัญหาในการเข้าถึงข้อมูลของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และบริษัทที่ไม่ได้ทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
“ประเทศไทยสามารถที่จะเรียนรู้และถอดบทเรียนจากตลาดในต่างประเทศถึงวิธีการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ Private Debt หรือในรูปแบบผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปและมีความซับซ้อนยิ่งขึ้นของกลุ่มธุรกิจและนักลงทุน” ดร.เมธินี กล่าว
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ https://www2.deloitte.com/sg/en/pages/human-capital/articles/private-debt-feasibility-study.html?nc=42
A10459
Government-SE Matching Day สวส. จัดกิจกรรมรัฐรวมพลังจับคู่ธุรกิจเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน ดึงวิสาหกิจเพื่อสังคมร่วมออกบูธกว่า 15 องค์กร สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) จัดกิจกรรม Government...
สภาพัฒ ฯ เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.8 เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ...
สศช.GDP ไตรมาส 4 ปี 64 ขยายตัว 1.9% รวมทั้งปี 64 ขยายตัว 1.6% คาดปี 65 ขยายตัว 3.5-4.5% สภาพัฒน์ แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( GDP) ไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2564 และแนวโน้มปี 2565...
ฟิทช์ เรทติ้งส์: เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ดีท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ฟิทช์ เรทติ้งส์ - กรุงเทพฯ - 18 ตุลาคม 2565: ในงานสัมมนาประจำปีของฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ที่จัดขึ้นในวันนี้...
' มองเศรษฐกิจโลก สะท้อนเศรษฐกิจไทย ' ในการจัดเสวนา 'Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม ’ ผมมีโอกาสร่วมเสวนาหัวข้อ ' มองเศรษฐกิจโลก สะท้อนเศรษฐกิจไทย '...
นายกรัฐมนตรี ปลื้ม FANC มอบใบเซอทิฟิเขท หลังเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล แก้ยาเสพติดแนวใหม่ รับปาก หนุนแก้อำนาจ ป.ป.ส.เป็นพนักงานสอบสวน-เพิ่มเครื่องมือ หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยา ชม ก.ยุติธรรม...
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด พร้อมรับใบเซอทิฟิเขท จากกลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศ หรือ FANC...
นายกฯ ติดตามงาน 'ขจัดความยากจน-พัฒนาคนทุกช่วงวัย' กำชับเร่งแก้ไขปัญหาความยากจนแบบ 'พุ่งเป้า' ตรงจุด ทันเวลา และเป็นรูปธรรม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามการดำเนินงาน...
บุกค้น 2 ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจำหน่ายสลากออนไลน์รายใหญ่ มีสลากขายเกินราคา 6.7 ล้านฉบับ เร่งขยายผล ตัดสิทธิ ยกเลิกโควตาตัวแทนจำหน่าย-ผู้มีสิทธิซื้อจอง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ...
DGA เร่งยกระดับนวัตกรรมภาครัฐโกอินเตอร์ อวดโฉมงานวิจัยสู่เวทีสากลผ่านงาน DGTi-Con 2022 สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมภาครัฐ DGTI-Con 2022...
ตัวแปลงสกุลเงินนี้ควบคุมดูแลระบบทำงานโดย Investing.com ประเทศไทย |
0 MTC มาตามนัด Q2/66 พอร์ตสินเชื่อแตะ 132,851 ลบ.เดินหน้าพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนเคียงคู่สังคมไทย เตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ อัตราดอกเบี้ย 4.25-4.80% คาดเสนอขายวันที่ 21-23 ส.ค.นี้ บมจ.เมืองไทย...
ALT โชว์ไตรมาส 2/66 กวาดรายได้ 396 ลบ . งานโซลาร์รูฟท็อป - บริการโครงข่ายรุ่งแนวโน้มโตต่อเนื่อง เอแอลที เทเลคอม โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 กวาดรายได้ 396 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 56.6%...
PSP พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ บิ๊กน้ำมันหล่อลื่น จ่อเข้าเทรด SET จับตา 'พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ (PSP)'เจ้าตลาดเบอร์หนึ่งธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นครบวงจรของไทยและอาเซียน เตรียมขายไอพีโอเข้าเทรด SET...
GSB ต้อนรับประธานกรรมการธนาคารออมสินคนใหม่ นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ ในนามคณะกรรมการธนาคารออมสิน และนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร...
สนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร พร้อมด้วยนายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (...
‘ ณัฐพล ’ ปลัดอุตฯ บูมเศรษฐกิจภาคใต้ฝั่งอันดามัน ผุดกระบี่โมเดล ยกระดับ 3 มิติอุตสาหกรรม สู่การกระจายรายได้เศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน ดร . ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม...
บอร์ด บสย. แต่งตั้ง ' เอด วิบูลย์เจริญ ' ประธาน บสย. คนใหม่ คณะกรรมการบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีมติแต่งตั้ง ‘เอด วิบูลย์เจริญ’ดำรงตำแหน่ง ประธาน บสย. มีผลตั้งแต่วันที่ 14...
ทีซีซีเทค ปลื้ม Enjoy to the Max 2 บรรลุตามเป้า ! ต่อยอดการยกระดับดิจิทัลขั้นสูงในองค์กร สิ้นสุดพิธีมอบรางวัลไปด้วยรอยยิ้มและความสุข สำหรับ “TCCtech X M365 Star Icon Stage” ภายใต้โครงการ Enjoy to...
รมว.เฮ้ง ส่ง ' โฆษก ' เยี่ยมกลุ่มบายศรีบึงกาฬ สร้างอาชีพเสริม รับนักท่องเที่ยวสายมู นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน...
ธพว . ร่วมพิธีทอดผ้าป่า กระทรวงการคลัง ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ( ธพว .) หรือ SME D Bank โดย นายศักดิ์สิทธิ์ ราชรักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส...
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด