ท่องเที่ยวชุมชนในอีอีซี และ Business Matching EEC Local Wisdom
ดร.ธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สายงานพื้นที่และชุมชนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกล่าวแสดงแนวทางการพัฒนาชุมชนในเขตพื้นทิอีอีซี ภายในงานแสดงผลงานการท่องเที่ยวชุมชนในอีอีซี และ Business Matching ‘EEC Local Wisdom’ ภายใต้โครงการฝึกอบรมระยะสั้นเพื่อยกระดับทักษะบุคลากรภาคการท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวชุมชน โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งจัดงานขึ้นที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยบูรพาเมื่อเร็วๆ นี้
EEC แผนแม่บทขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ(Wellness Tourism)
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นการจัดทำแผนแม่บทในการดำเนินงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ(Wellness Tourism) ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.อภิชาต ทองอยู่ ที่ปรึกษาพิเศษด้านการพัฒนาการศึกษาบุคลากรและพื้นที่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวเปิดงานและให้ข้อมูลถึงยุทธศาสตร์ครั้งนี้ที่มีการทำงานล่วงหน้ามาร่วมครึ่งปี มีความสำคัญมากต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน ไปสู่ภาพรวมของเศรษฐกิจระดับประเทศ
จึงได้กำหนดหมุดหมาย 11 เมือง ที่เราจะเร่งยกระดับขึ้นมา เริ่มมาตั้งแต่บางแสน บางพระ ศรีราชา พัทยา บางเสร่ พลูตาหลวง แสมสาร พลา บ้านฉาง ตะพง เพ ซึ่งถือเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่ผสมผสานอัตลักษณ์ท้องถิ่นและการท่องเที่ยวชุมชนเข้าด้วยกัน ที่พร้อมเตรียมการยกระดับความเจริญด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การคมนาคม โลจิสติกส์ อันจะนำไปสู่ทิศทางที่เรียกว่าสมาร์ทซิตี้ ต่อจากนั้นได้รับเกียรติจาก ดร.งามเนตร เอี่ยมนาคะ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการพิเศษ กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ร่วมบรรยายข้อมูลที่เป็นประโยชน์
ซึ่งได้กล่าวถึงคำว่า Wellness Tourism ก้าวไปเกินกว่าคำความเฮลท์ หรือสุขภาพไปไกลมาก ถือเป็นเทรนด์กระแสโลก และเป็นโอกาสที่แข็งแรงมากของประเทศไทย ดังนั้น EEC Wellness Corridor นอกจากจะมีความหลากหลายของมิติในภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม ความมั่งคั่งทางธุรกิจของพื้นที่นี้แล้ว ยังมีจุดแข็งในเรื่องของนโยบายที่เข้มแข็ง พร้อมสอดรับกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ถือเป็นการกระจายโอกาสทางการพัฒนาชัดเจน ต่อไปเศรษฐกิจสุขภาพจะเป็นวาลูเชนของระบบเศรษฐกิจหลักของประเทศไทยที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยกลไกการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
ปิดท้ายด้วย ดร.ธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สายงานพื้นที่และชุมชนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวสรุปการจัดงาน พร้อมร่วมรับฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมประชุมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับแผนแม่บทร่วม 50 คนอันจะนำไปสู่การจัดทำแผนแม่บทในการดำเนินงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) เพื่อประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตามแนวทางแผนแม่บทต่อไป
อีอีซี จับมือ ม.บูรพา เปิดศูนย์พัฒนาธุรกิจชุมชน EEC Incubation Center เสริมศักยภาพวิสาหกิจชุมชนโอทอปนวัตวิถี ผู้ประกอบการรายย่อย และพ่อค้าแม่ขายในพื้นที่อีอีซีโดยการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมสมัยใหม่ เพิ่มขีดความสามารถการผลิต การขาย พร้อมจัดหาแหล่งทุนพัฒนาสินค้าและผลผลิตชุมชน ได้ตรงใจผู้ซื้อ สร้างรายได้กับผู้ค้ารายย่อย ยกระดับคุณภาพชีวิตคนอีอีซี
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซีร่วมกับมหาวิทยาลัยบูรพา แถลงข่าว เปิดศูนย์พัฒนาธุรกิจชุมชน EEC Incubation Center โดยมีนายธัชพล กาญจนกุล รองเลขาธิการสายงานพื้นที่และชุมชน และ นายอภิชาติ ทองอยู่ ที่ปรึกษาพิเศษพัฒนาการศึกษา บุคลากรและพื้นที่ สกพอ. ร่วมเป็นประธาน ในงานมีการจัดเสวนาพิเศษ โดย ผศ.ดร.ณยศ คุรุกิจโกศล รองอธิการบดีฝ่ายกิจการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ม.บูรพา และ พล.ต.อัชฌา บุญกระพือ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนภาคตะวันออก จ.ฉะเชิงเทรา เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาสินค้าและบริการ การตลาด การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจชุมชน และความต้องการองค์ความรู้จากวิสาหกิจชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการผลิต การขาย สร้างรายได้ให้ชุมชนในเวลาอันสั้น ช่วยสร้างเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนให้เข้มแข็งในเวลาที่รวดเร็วขึ้น
นายธัชพล กาญจนกุล รองเลขาธิการฯ อีอีซี กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์พัฒนาธุรกิจชุมชน EEC Incubation Center เป็นความร่วมมือระหว่าง อีอีซี และ มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อเป็นสถานที่จัดการบ่มเพาะอบรมให้ความรู้ และติดตามให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องแก่วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่อีอีซี ให้ได้รับองค์ความรู้มีทักษะในการประกอบการเพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การท่องเที่ยว และการบริการต่างๆ บนพื้นฐานของการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาปรับใช้ พร้อมกันนี้ได้ประสานสถาบันการเงิน เพื่อสนับสนุนและเสริมความมั่นใจให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งสร้างช่องทางการตลาดใหม่ๆ ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้นสินค้ามีคุณภาพและมาตราฐานเป็นที่ต้องการของตลาด พ่อค้าแม่ขาย ขายสินค้าได้มากขึ้น โดยมีสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้ามาสนับสนุนกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจุดเด่นของ ศูนย์พัฒนาธุรกิจชุมชน EEC Incubation Center เป็นศูนย์พัฒนาเสริมสร้างองค์ความรู้ ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่อีอีซี อีกทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ที่มีประสบการณ์ และเป็นกลุ่มธุรกิจในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอด ขีดความสามารถการผลิต และเพิ่มคุณภาพได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีกระบวนการในการบ่มเพาะและเสริมสร้างธุรกิจให้กับผู้ประกอบการได้ต่อยอดและบริหารจัดการสินค้า การเพิ่มประสิทธิภาพ การทำแผนธุรกิจและวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน การเพิ่มด้านเทคนิคความรู้ สร้างทักษะบุคลากร ผ่านการฝึกอบรม การนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาปรับใช้
โดยเน้นการเรียนรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ซึ่งมหาวิทยาลัยบูรพา และ สวทช. จะร่วมให้องค์ความรู้ผ่านการจัดกิจกรรม และในห้องเรียนที่มีความพร้อมสามารถลงมือปฏิบัติได้จริง และการติดตามสนับสนุนในพื้นที่ โดยมีตัวอย่างรายวิชา เช่น ด้านการบริหารธุรกิจ การเรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้า การบริหารการตลาด และการปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการ ด้านการพัฒนาผู้ประกอบการ หลักสูตรมาตรฐานผู้ประกอบการโรงแรม ผู้ประกอบการ Homestay รวมไปถึงหลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การผลิตสินค้าที่ตรวจสอบแหล่งตั้งต้นวัตถุดิบได้ การขยายพันธุ์พืชมูลค่าสูงโดยใช้นวัตกรรม เป็นต้น
“ปัจจุบันศูนย์พัฒนาธุรกิจชุมชน EEC Incubation Center ได้นำร่องกระบวนการให้ความรู้เสริมสร้างประสบการณ์ทางธุรกิจแก่วิสาหกิจชุมชนต้นแบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ประสบผลสำเร็จในพื้นที่อีอีซี จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ ซอสทัย ผู้ประกอบการชุมชนโอทอป ฉะเชิงเทรา กาแฟมะพร้าว วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวตำบลตะเคียนเตี้ย ภาชนะกาบหมาก วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านไผ่ เรือนเรียน วิสาหกิจชุมชนนครเนื่องเขต และไม้กฤษณา วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรผลิตไม้กฤษณา ซึ่งจะได้ขยายผลและต่อยอดให้ผู้ประกอบการชุมชนสามารถแข่งขันทางธุรกิจได้ในระดับประเทศ พร้อมก้าวไปสู่ระดับภูมิภาค เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่อีอีซีต่อเนื่อง ยกระดับคุณภาพชีวิตระดับครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน” นายรัชพล กล่าวเสริมท้าย
ทั้งวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการโอทอปนวัตวิถี และผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ อีอีซี สามารถติดต่อสอบถาม และสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่สำนักบริหารพื้นที่และชุมชน สำนักคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โทร. 02 033 8000 อีเมล์ [email protected]
นายกฯ ยินดีนักลงทุนญี่ปุ่นเชื่อมั่นศักยภาพ EEC เร่งเดินหน้าความพร้อมขยายความร่วมมือด้านการลงทุนเพิ่ม
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่นักลงทุนชาวญี่ปุ่นเชื่อมั่นในศักยภาพของ EEC และความพร้อมในการสร้างความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ มุ่งพัฒนาการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพต่อไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นอันดับ 1 ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจากภาพรวมการลงทุนชาวญี่ปุ่นในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) พบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นที่ได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI (Board of Investment) ในปี 2564 มีมูลค่ารวม 19,445 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2565 มีมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมฯ แก่นักลงทุนญี่ปุ่นรวม 3,240 ล้านบาท
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถานเอกอัครทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยพบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นยังให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จากศักยภาพการเติบโตของไทย ทั้งยังได้เปรียบด้านพื้นที่ยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียน มีต้นทุนจากสภาพแวดล้อม ทรัพยากรมนุษย์ สะดวกต่อการลงทุนเพิ่มและพร้อมพัฒนาในอุตสาหกรรมใหม่ สอดคล้องกับที่ นักลงทุนญี่ปุ่น กล่าวถึง EEC ว่ามีศักยภาพ เหมาะสมแก่การลงทุนแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งภายหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และการเปิดประเทศของไทย มีการติดต่อเจรจาธุรกิจระหว่างกันทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ( เลขาฯ EEC) และ ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Sumitomo Mitsui Banking Corporation: SMBC) หนึ่งในสถาบันการเงินที่มีเครือข่ายนักลงทุนมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ได้ร่วมกันลงนามบันทึกเข้าใจ (MOU) สร้างความร่วมมือเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างนักลงทุนไทย-ญี่ปุ่น สนับสนุนการลงทุนจากนักลงทุนญี่ปุ่นในพื้นที่ EEC
โดยธนาคาร SMBC จะร่วมมือกับ EEC ในการให้ข้อมูลและ สนับสนุนทางการเงินแก่นักลงทุนญี่ปุ่นและชาติอื่นที่มีความต้องการขยายความต้องการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อผลักดันความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและภาคการผลิต ฟื้นฟูภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศจากโควิด-19 และสานต่อการพัฒนาความเชื่อมโยงด้านห่วงโซ่อุปทาน ในฐานะที่ไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตและส่งออกที่สำคัญของญี่ปุ่นในอาเซียน
“นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมมือกันพัฒนาศักยภาพ และขีดความสามารถของ EEC เพื่อมาตรฐานด้านอุตสาหกรรมใหม่ที่น่าสนใจ อุตสาหกรรม New S-Curve ต่อเนื่อง เสริมต่อความได้เปรียบด้านพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ต่อยอดกับการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ตลอดจนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสิ่งแวดล้อม สามารถสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดให้แก่นักลงทุนชาวญี่ปุ่น พร้อมกำชับถึงความสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจ BCG อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน” นายธนกรฯ กล่าว
ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา ระยอง-พัทยา และ เอไอเอส ผนึกกำลังต่อเนื่อง พัฒนา Smart Terminal นำร่องเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา ระยอง-พัทยา ร่วมกับ เอไอเอส นำเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนา Smart Terminal เพื่อสนับสนุนการพัฒนา ระบบคมนาคมขนส่ง ด้วยนวัตกรรมใหม่ ต่อเนื่อง ช่วยเสริมการพัฒนาให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติเชิงพาณิชย์ที่ทันสมัย ในช่วงก่อนการสร้างและเปิดใช้อาคาร 3 ให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ลำดับแห่งที่ 3 ของกรุงเทพมหานครในอนาคต ที่จะเชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารและสินค้ากับสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ตามแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) หนึ่งในแผนยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้นโยบาย Thailand 4.0
โดยล่าสุดได้มีการลงนาม MOU ความร่วมมือต่อเนื่องในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาและเสริมขีดความสามารถของท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อยกระดับสู่ Smart Terminal อย่างเต็มรูปแบบ ตอบสนองกับนโยบายของภาครัฐ ในการเป็นประตูหน้าด่านในการเปิดประเทศ ส่งเสริมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขนส่ง คมนาคม ให้แข็งแกร่ง โดยได้รับเกียรติจาก พลเรือเอกวรพล ทองปรีชา ผู้อำนวยการ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา และคุณศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ กลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส ร่วมลงนาม
พลเรือเอก วรพล ทองปรีชา ผู้อำนวยการ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา กล่าวว่า “การท่าฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือกับภาคเอกชนในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่สร้างสรรค์ด้วยคนไทย เข้ามายกระดับการให้บริการและการบริหาร ท่ากาศยานอู่ตะเภาให้ทันสมัย เป็นอาคารผู้โดยสารอัจฉริยะ หรือ Smart Terminal อันสอดคล้องตามแนวนโยบายดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) ของรัฐบาล ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล เพื่อช่วยต่อยอดท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินพาณิชย์แห่งที่ 3 ของกรุงเทพมหานคร ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารกับสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเป็น Aviation Hub ในภูมิภาคนี้”
“ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่าง การท่าอากาศยานอู่ตะเภาฯ และ เอไอเอส เป็นไปอย่างดียิ่ง ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่สร้างสรรค์ด้วยขีดความสามารถของคนไทยเข้ามายกระดับการให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกและมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้แก่ผู้ใช้บริการท่าอากาศยาน รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพการบริหารอาคาร ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ดังนั้นแม้ว่าจะประสบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในช่วงที่ผ่านมา เกิดการชะลอตัวของการเดินทางทางอากาศ แต่การทำงานร่วมกันในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่เคยหยุด อันถือว่าเป็นการช่วยทำให้เราได้มีโอกาสเตรียมความพร้อมได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นในโอกาสของการลงนาม MOU เพื่อทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องในครั้งนี้ เท่ากับเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ของทั้ง 2 หน่วยงานเข้าด้วยกันในการสร้างความมั่นคง แข็งแกร่งของอุตสาหกรรมการบิน ที่ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการเปิดประตูเศรษฐกิจของประเทศ และเมื่อผนวกรวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานหลักด้านดิจิทัลจากเอไอเอสแล้ว ก็เชื่อมั่นได้ว่า จะเป็นการทำให้พื้นที่แห่งนี้มีศักยภาพที่เต็มเปี่ยมในการรองรับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในภาคตะวันออกตามแผนงานของประเทศได้อย่างแน่นอน”
ด้าน นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ กลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล - Digital Life Service Provider นอกเหนือจากมอบบริการด้านสื่อสารที่ดีที่สุดแก่คนไทยแล้ว สิ่งที่เราให้ความสำคัญคือ การพัฒนาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านดิจิทัลอย่างเต็มศักยภาพเพื่อสนับสนุนความแข็งแกร่งของประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเอไอเอส ภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากการท่าอากาศยานอู่ตะเภาฯ ที่ให้โอกาสเราเข้ามามีส่วนร่วมในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเพื่อยกระดับการให้บริการ และการบริหารจัดการ อาคารผู้โดยสาร ของท่าอากาศยานอู่ตะเภาอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง”
“Smart Airport Terminal เป็นรูปแบบของการร่วมกันศึกษาและทดลองใช้เทคโนโลยี 5G และ หุ่นยนต์ AI เพื่อยกระดับการให้บริการท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ให้เป็นอาคารผู้โดยสารอัจฉริยะ รวมไปถึงการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ ตลอดจน Application ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวและบุคลากรของการท่าอากาศยาน เพื่อให้สถานที่แห่งนี้พร้อมก้าวสู่ Smart Airport Terminal จากนวัตกรรมดิจิทัลที่ทันสมัยล่าสุดให้กับภาคธุรกิจการบินของไทยต่อไป”
A8581
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด