สอวช. ร่วมภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์ เปิดตัว SynBio Roadmap ยกระดับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ หวังผลิตสตาร์ทอัพยูนิคอร์นรายใหม่ในไทย
ดร.กาญจนา วานิชกร รองผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวเปิดงาน SynBio Forum 2022 “SynBio for Sustainable Development Goals” ชีววิทยาสังเคราะห์เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 จัดขึ้น ณ ห้องประชุม SD-601 ชั้น 6 อาคารสราญวิทย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผ่านระบบออนไลน์
ดร.กาญจนา กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของหน่วยงานร่วมทั้ง 17 หน่วยงาน จากภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคการศึกษาของไทย ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาคมด้านเทคโนโลยีชีวภาพและแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพ ที่จะนำไปสู่แนวทางการสร้างความร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาคไปจนถึงระดับนานาชาติ และเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาวาระที่สำคัญนี้ ภาคีเครือข่ายชีววิทยาสังเคราะห์ หรือ SynBio Consortium จึงได้จัดทำร่างแผนที่นำทางการพัฒนาชีววิทยาสังเคราะห์ในระยะเวลา 8 ปี (พ.ศ. 2565 – 2573) เพื่อกำหนดกรอบความร่วมมือและเป้าหมายในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีในประเทศไทยและระดับภูมิภาค นอกจากนี้ยังเป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของชีววิทยาสังเคราะห์ที่จะมาเป็นอนาคตของอุตสาหกรรมไทย ซึ่งวิสัยทัศน์ของแผนที่นำทางนี้คือ “ชีววิทยาสังเคราะห์สร้างเศรษฐกิจใหม่และขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (Bio-Circular-Green Economy Model)
สำหรับศักยภาพของชีววิทยาสังเคราะห์และเทคโนโลยีชีวภาพในประเทศไทย ดร.กาญจนา กล่าวว่า มีการคาดการณ์ถึงตลาดชีววิทยาสังเคราะห์ของโลกว่าจะอยู่ที่ 30.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี พ.ศ. 2569 ทำให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในหลายประเทศ อาทิ จีน เดนมาร์ก เยอรมนี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา หันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนและการพัฒนากำลังคนในด้านนี้มากขึ้น ชีววิทยาสังเคราะห์จึงถือว่าเป็นความหวังใหม่ของประเทศไทย ที่นอกจากจะตอบโจทย์ในด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นแนวทางที่ช่วยในการแก้ไขปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าทางการเกษตร การค้นพบตัวยาชนิดใหม่ หรือแนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยอยู่ในพื้นที่ที่มีความหลายหลากทางชีวภาพ 1 ใน 36 แห่งทั่วโลก ที่มีความได้เปรียบในแง่ของทรัพยากรธรรมชาติ จึงถือเป็นโอกาสของเราที่จะนำเทคโนโลยีใหม่นี้ มาใช้เพื่อปลดล็อกศักยภาพ และสร้างโอกาสที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ในอนาคต (New S-curve) ตัวอย่างของสินค้าที่ใช้นวัตกรรมด้านชีววิทยาสังเคราะห์เข้าไปช่วยในการผลิตและมีการลงทุนในประเทศไทยแล้ว เช่น การผลิตสารให้ความหวานจากหญ้าหวาน, การผลิตวัคซีน mRNA ในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ, เส้นใยคุณภาพสูงจากโปรตีน, การใช้จุลินทรีย์ทดแทนสารเคมีในกระบวนการบำบัดของเสีย ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้มีสารเคมีรั่วไหลออกไปให้เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ดร.กาญจนา ยังได้ให้ข้อมูลถึงแนวทางการพัฒนาด้านการศึกษาในประเทศไทย ที่มีนักวิจัยและมหาวิทยาลัยได้พัฒนาหลักสูตร รวมถึงมีความพยายามร่วมกันที่จะหาแนวทางส่งเสริมการพัฒนาทักษะหรือสร้างทักษะใหม่ (Upskill/Reskill) ในการพัฒนากำลังแรงงาน เพื่อสนับสนุนการลงทุน จากข้อมูลพบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 44 จาก 141 ประเทศทั่วโลกที่มีการจัดอันดับการเผยแพร่บทความวิชาการด้านชีววิทยาสังเคราะห์ และผลงานส่วนใหญ่ยังอยู่เพียงในห้องปฏิบัติการเท่านั้น จึงเป็นอีกความท้าทายที่จะต้องมองหาแนวทางนำเอาต้นแบบและงานวิจัยไปใช้ประโยชน์จริง รวมถึงนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะความร่วมมือในการสร้างความเข้มแข็งแบบสามประสาน (Triple Helix) ระหว่างมหาวิทยาลัย ภาคอุตสาหกรรม และภาครัฐ โดยมีความมุ่งหวังว่าความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างให้เกิดสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (DeepTech Startup) และยูนิคอร์นตัวใหม่ ให้กับประเทศไทยได้
สำหรับบทบาทของกระทรวง อว. ได้ริเริ่มแนวคิดเศรษฐกิจบีซีจี โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ และเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย จึงได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ขึ้น และอุตสาหกรรมใหม่อย่างชีววิทยาสังเคราะห์ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน ด้านการสนับสนุนการให้สิทธิประโยชน์และแนวทางความร่วมมือ ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (The Board of Investment of Thailand: BOI) ได้จัดให้มีการส่งเสริมการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยสิทธิประโยชน์จะแตกต่างไปตามความเข้มข้นของกิจกรรม เช่น หากมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อนก็จะได้สิทธิประโยชน์ขั้นสูงสุด เป็นต้น
นอกจากนี้ ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลได้มีการลงทุนพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor of Innovation (EECi) ที่มีการสนับสนุนในแง่ของสิ่งอำนวยความสะดวก การมีเมืองนวัตกรรมชีวภาพ หรือ Biopolis และมีแพลตฟอร์มความร่วมมือทั้งระดับมหาวิทยาลัยสู่ระดับธุรกิจ และระดับธุรกิจกับธุรกิจ ที่เชื่อมโยงกันทั้งในประเทศและในระดับโลกด้วย และเร็วๆ นี้ จะมีการร่วมทุนระหว่างกลุ่มพันธมิตรในหน่วยรับจ้างพัฒนาและผลิตระดับอุตสาหกรรม (Contract Development and Manufacturing Organization: CDMO) ถือเป็นแพลตฟอร์มการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่จึงเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ ในงานยังได้มีการเปิดเวทีอภิปรายในหัวข้อ ชีววิทยาสังเคราะห์และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน “แนวทางการเชื่อมโยงชีววิทยาสังเคราะห์ของโลกกับเศรษฐกิจไทย” (SynBio and SDGs “How to Link Global SynBio with Thai Economy”) และการจัดกิจกรรมระดมความเห็นกลุ่มย่อย 5 แผนงานหลัก ในการใช้ชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและบีซีจี โดยแบ่งเป็น 1) การผลักดันงานวิจัยออกสู่เชิงพาณิชย์และพัฒนาสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีขั้นสูง (Research to Market & DeepTech Startup Development) 2) โครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม (RDI Infrastructure) 3) กฎหมายและระเบียบโดยทั่วไป (General Legal & Regulation) 4) การลงทุนและการให้ทุนสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์ (Investment & Strategic Funding) และ 5) สถาบันการศึกษาด้านชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนากำลังคน (SynBio Academy (Manpower) )
A11613
งานเปิดโครงการ Partnership for Action on Green Economy ในประเทศไทย (PAGE in Thailand Launch Event) จัดโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO)
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในงานเปิดโครงการ Partnership for Action on Green Economy หรือ PAGE ในประเทศไทย จัดโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ณ ห้องเลอ คองคอร์ด บอลรูม ชั้น 2 โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา รวมทั้งถ่ายทอดสดผ่านโปรแกรม Zoom Cloud Meetings และ Facebook ของ PAGE Thailand สำหรับการจัดงานเปิดโครงการฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำโครงการ PAGE (ประเทศไทย) พร้อมทั้งเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการวางนโยบาย การปฏิบัติและการลงทุนเพื่อเศรษฐกิจสีเขียวในภาคส่วนต่างๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นพันธมิตรความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียว อีกทั้งใช้งานเปิดตัวฯ ดังกล่าวเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และมุมมองของแต่ละภาคส่วน ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่สนับสนุน ไม่ซ้ำซ้อน และแบ่งปันบทบาทหน้าที่และความร่วมมือในการปฏิบัติการให้เกิดเศรษฐกิจสีเขียวแบบบูรณาการ (Inclusive Green Economy; IGE) ได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเป็นเวทีในการนำเสนอผลการดำเนินงานในของโครงการ PAGE (ประเทศไทย) ในระยะที่ผ่านมา ได้แก่ การศึกษา Stocktaking ด้านเศรษฐกิจสีเขียว การศึกษาประเมินความต้องการด้านการเสริมสร้างศักยภาพด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจสีเขียว (Green Recovery Learning Needs Assessment) และแผนงานการศึกษาประเมินการใช้งบประมาณโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจสีเขียว (Green Recovery Assessment) ภายใต้งบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิดวงเงิน 4 แสนล้านบาท เป็นต้น
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวระหว่างการร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฯ ว่ารัฐบาลไทยยินดีเป็นอย่างยิ่งในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Partnership for Action on Green Economy โดยรัฐบาลมีนโยบายให้ความสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งด้ำนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ที่มีความมุ่งหวังในการปรับเปลี่ยนไทยไปสู่โฉมหน้าใหม่ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 โดย 1 ใน 5 เป้าหมายที่สำคัญคือ การสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ ซึ่งมุ่งเน้นเรื่องการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดรับกับเศรษฐกิจสีเขียว นอกจากนั้นรัฐบาลไทยยังมีนโยบายการใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ควบคู่กับแผนพัฒนาฯ 13 โดยโมเดลฯ ดังกล่าว ทำหน้าที่บูรณาการการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน จากระดับชุมชนไปถึงโครงการลงทุนขนาดใหญ่ สร้างความสมดุลเป็นธรรมและมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดคือการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) สำหรับการเปิดตัวโครงการ PAGE ในวันนี้ยังเป็นโอกาสอันดี ที่ผู้กำหนดนโยบายในภาคส่วนต่างๆ จะได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความเห็นเพื่อร่วมกันผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวแบบบูรณาการในทุกมิติ รวมถึงการใช้เศรษฐกิจสีเขียวในกิจกรรมการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยในเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ดร. วิชญายุทธ บุญชิต ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการ PAGE ในประเทศไทย และรองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวระหว่างช่วงการแถลงข่าวแก่สื่อมวลชน ว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลัก ซึ่งจะทำงานโดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่แสดงความจำนงค์เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมวิชาการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย มูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการที่จะขับเคลื่อนการดำเนินการด้านเศรษฐกิจสีเขียวอย่างบูรณาการใน 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) การลดการปล่อยคาร์บอนและมลพิษ (2) การส่งเสริมการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (3) การป้องกันการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ (4) การเพิ่มงานที่มีคุณค่า (5) การกระจายรายได้และความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรม เพื่อที่จะนำพาประเทศไปสู่การการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งตอบโจทย์ความท้าทาย 3 ข้อที่มนุษยชาติเผชิญอยู่ในปัจจุบัน คือ ด้านความยากจนถาวร ด้านการกระจายความมั่งคั่งที่ไม่เสมอภาค และการก้าวข้ามขีดจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการพัฒนาและสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความเท่าเทียมและเสมอภาคทางสังคม
เพื่อเป็นการขับเคลื่อนโครงการ PAGE ในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเป้าหมาย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการ PAGE ขึ้น โดยในการดำเนินงานในปี 2565 คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ได้ให้ความเห็นชอบกรอบการดำเนินงานซึ่งประกอบด้วย 4 กิจกรรมหลัก ได้แก่ (1) กิจกรรมการศึกษาการจัดทำระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ (ETS) เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย (2) กิจกรรมการพัฒนากลไกด้านการเงินสำหรับการจัดการขยะชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อสนับสนุนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของประเทศ (3) กิจกรรมสร้างขีดความสามารถที่จำเป็นในด้านเศรษฐกิจสีเขียวผ่านการสร้างความรู้ พัฒนาและจัดการฝึกอบรมที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องกลไก ETS โมเดลเศรษฐกิจ BCG ในภาคเกษตรและการสร้างงานสีเขียว และ (4) กิจกรรมการให้ความรู้และการสื่อสารเพื่อสร้างการตระหนักรู้ระดับชาติและระดับภูมิภาค งานเปิดตัวแนะนำโครงการ PAGE ประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะสื่อสารให้แก่ประชาชนและสังคมได้รับทราบว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังดำเนินการขับเคลื่อนเข้าสู่การพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจสีเขียวภายใต้โครงการความร่วมมือของ PAGE ซึ่งมีความสอดคล้องและเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนโยบาย BCG
ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการ PAGE ในประเทศไทย ใคร่ขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เข้ามีส่วนร่วมผลักดัน และขับเคลื่อนการดำเนินการด้านเศรษฐกิจสีเขียวอย่างบูรณาการด้วยกัน เพื่อให้ประเทศเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยความเท่าเทียมเสมอภาค และมีทรัพยากรคงอยู่เหลือไว้สำหรับคนรุ่นถัดไป
นางศุกร์สิริ แจ่มสุข รองผู้แทนประจำภูมิภาค องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักดำเนินโครงการ PAGE ในประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานสหประชาชาติพันธมิตรในโครงการอีก 4 หน่วยงานได้แก่ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ และสถาบันการฝึกอบรมและการวิจัยแห่งสหประชาชาติ ร่วมสนับสนุนด้านเทคนิคจากความชำนาญและประสบการณ์ระหว่างประเทศ ทั้งด้านการพัฒนาสังคมคาร์บอนต่ำ การส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว แรงงานสีเขียว การเงินและการพัฒนาสีเขียว รวมถึงการฝึกอบรมและวิจัยร่วมกับหน่วยงานระหว่างประเทศต่างๆ
ปัจจุบันโครงการมีสมาชิกทั้งสิ้น 22 ประเทศ ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ PAGE เป็นประเทศที่ 20 ในปี 2562 และเริ่มดำเนินการโครงการระยะเริ่มต้น (Inception phase) ในเดือนมีนาคม 2563 ก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 โดยมีระยะเวลาดำเนินระยะปฏิบัติการทั้งสิ้น 3 ปี ด้วยงบประมาณสนับสนุนประมาณหนึ่งล้านเหรียญสหรัฐ การดำเนินการระยะในระยะเริ่มต้นของโครงการได้สนับสนุน ได้แก่ การศึกษารวบรวมข้อมูลประเมินสถานะความพร้อมด้านเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศ (Green Economy Stocktaking) การประเมินการใช้งบฟื้นฟูเศรษฐกิจสีเขียวจากสถานการณ์โควิด (Green Recovery Assessment) และการประเมินความต้องการการเสริมสร้างศักยภาพด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจสีเขียว (Green Recovery Learning Needs Assessment)
พันธมิตรในโครงการสหประชาชาติทั้ง 5 หน่วยงาน มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมดำเนินงานกับประเทศไทย ด้วยความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่จะนำเศรษฐกิจสีเขียวมาสู่การปฏิบัติ สร้างสังคมคาร์บอนต่ำ วิเคราะห์และปรับปรุงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการผลิตด้วยเทคโนโลยีสะอาด จูงใจให้เกิดการบริโภคที่คำนึงถึงสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้การจัดงานเปิดโครงการฯ และแถลงข่าวในครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการ Partnership for Action on Green Economy (PAGE) ในประเทศไทยเพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวอย่างบูรณาการ โดยในงานฯ มีผู้บริหารหน่วยงานราชการ หน่วยงานท้องถิ่น ผู้บริหารหน่วยงานเอกชน สถาบันการศึกษา ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการกำหนดนโยบาย สื่อมวลชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานในรูปแบบ Onsite มากกว่า 120 คนและ Online มากกว่า 200 คน
A11588
‘เอมันนี่’ บุกภาคเหนือ ร่วมงาน ‘Money Expo Chiangmai 2022’
บัตรกดเงินสด “เอมันนี่” เร่งเครื่องขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัด พร้อมร่วมออกบูธในงาน “มหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 17” (Money Expo Chiangmai 2022) ยกทัพโปรโมชันสินเชื่อส่วนบุคคลแบบจัดเต็ม! ร่วมกระตุ้นตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลภาคเหนือให้คึกคัก ตั้งแต่วันนี้ – 13 พฤศจิกายน 2565 ณ บูธ P1 ชั้น 1 เชียงใหม่ ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต
นายซูสุมุ อิโตะ (Mr.Susumu Ito) ผู้บริหารสายงานการขายและศูนย์ปฏิบัติการ บริษัท ไอร่า แอนด์ ไอฟุล จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการบัตรกดเงินสด “เอมันนี่” (A money) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A money บัดดี้เรื่องเงิน” เปิดเผยว่า สำหรับงาน Money Expo เป็นงานมหกรรมการเงินการลงทุนครบวงจรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งการที่บริษัทฯ เข้าร่วมงาน “มหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 17” ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งในแผนการเดินหน้าขยายฐานลูกค้าและพบปะนักลงทุนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ที่มักจะได้รับเลือกให้เป็นจุดหมายในการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงปลายปี ทำให้การจับจ่ายใช้สอยมีความคึกคักเป็นพิเศษ และถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้ามากระตุ้นตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลเช่นกัน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มศักยภาพและความคล่องตัว เสริมภาพลักษณ์ สร้างการเติบโตและความยั่งยืนของบริษัทฯ ในระยะยาวอีกด้วย
สำหรับโปรโมชันสินเชื่อส่วนบุคคลจากบัตรกดเงินสดเอมันนี่ มีแบบจัดเต็มถึง 2 ต่อด้วยกัน ต่อที่ 1 เมื่อสมัครและยื่นเอกสารครบถ้วน รับทันที! บัตรของขวัญเทสโก้ โลตัส มูลค่าสูงสุด 200 บาท ต่อที่ 2 เมื่อได้รับอนุมัติและเบิกถอนเงินสดภายในวันที่ 30 พ.ย.2565 ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป และมียอดเงินต้นคงค้างจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2565 รับ กระเป๋าเดินทางล้อลาก ขนาด 18 นิ้ว มูลค่า 1,980 บาท เพิ่มอีกด้วย!
พบกับโปรโมชั่นดีๆ จากบัตรกดเงินสดเอมันนี่ได้ตั้งแต่วันนี้ - 13 พฤศจิกายน 2565 ณ บูธ P1 ภายในงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 17 ชั้น 1 เชียงใหม่ ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ โทร.0-2004-5000 หรือติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวบัตรกดเงินสด A money ได้ที่ www.Amoney.co.th และ Facebook: A money Thailand
A11562
บ้านปู และ สถาบัน ChangeFusion ชวนร่วมงาน ‘2022 Impact Day: Maximize the Impact ผนึกเครือข่าย ขยายพลัง SE’ 18 พฤศจิกายนนี้ ที่สามย่าน มิตรทาวน์
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ร่วมกับสถาบัน ChangeFusion องค์กรไม่แสวงผลกำไรภายใต้มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ขอเชิญชวนผู้ประกอบการและผู้สนใจในกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) เข้าร่วมงาน “2022 Impact Day: Maximize the Impact ผนึกเครือข่าย ขยายพลัง SE” ภายใต้โครงการพลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม (Banpu Champions for Change: BC4C) ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบกิจการเพื่อสังคม มุ่งขยายพลังความคิดเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจและนักลงทุน สู่เป้าหมายในการสร้าง SE Ecosystem ไทยที่ยั่งยืน
ภายในงานจะได้พบกับกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ดังนี้
• รับฟังไอเดียจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกิจการเพื่อสังคม กับการเสวนาในหัวข้อ “Maximize the Impact ผนึกเครือข่าย ขยายพลัง SE”
• ร่วมลุ้นกับการประกาศผล 3 ทีมผู้ชนะโครงการพลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม รุ่นที่ 11 และการนำเสนอจากทั้ง 3 กิจการเพื่อสังคม
• ชมการแสดงและแฟชั่นโชว์พิเศษจาก SE ที่มาในคอนเซ็ปต์ “UNIVERSAL FASHION - The Impact of Unlimited Possibilities”
• แลกเปลี่ยนมุมมองทางกิจการเพื่อสังคมกับ “คุณศานนท์ หวังสร้างบุญ” รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หนึ่งในนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมและผู้ประกอบการ SE ในหัวข้อ “โอกาสการขยายผลกิจการเพื่อสังคมสู่ระดับเมือง ต่อยอด SE ไทยให้แข็งแกร่ง”
• เลือกซื้อสินค้าและบริการจากกิจการเพื่อสังคมกว่า 20 ร้านค้า ใน Maximize the Market ตลาดสินค้าและบริการคุณภาพที่ผนึกเครือข่ายจากเหล่าผู้ประกอบการเพื่อสังคม อาทิ A-Chieve, Moreloop, Young Happy, Heartist, Folkcharm, Vanta และอีกมากมาย
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวมีกำหนดจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565 เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ ลานกิจกรรม (บริเวณหน้า KFC) ชั้น G สามย่านมิตรทาวน์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ (รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสามย่าน ทางออก 2) โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมล่วงหน้าได้ที่ https://forms.gle/G2Zx2VF5xziLeW526 พร้อมรับบัตรกำนัลแทนเงินสดเพื่อใช้จ่ายภายในงาน (จำกัดเพียง 50 ท่านแรกเท่านั้น) ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ www.facebook.com/banpuchampions หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 087-075-4815 หรือ [email protected]
A11542
ผู้นำธุรกิจมั่นใจข้อเสนอสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) ชี้แนวทางและโอกาสฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยชัดเจน
ผู้นำภาคเอกชนขานรับแนวทางเร่งฟื้นตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค จากการประชุมสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Business Advisory Council - ABAC) ประชุมครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองฮาลอง ประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะประเด็นด้านการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนซึ่งจะเปิดโอกาสใหม่ในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างชัดเจน
ในการประชุมประจำไตรมาสของสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 3 ที่ประชุมได้สรุปข้อเสนอแนะ 5 ประเด็นหลักที่จะรวบรวมเสนอในการประชุมเอเปคปลายปีนี้ ได้แก่ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Economic Integration) ที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม, การสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (Digital), การเสริมสร้างแนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืนของ MSMEs (MSME and Inclusiveness), การส่งเสริมระบบอาหารที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น การนำ BCG โมเดลมาปรับใช้ ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การลดคาร์บอน (Sustainability) และการดำเนินการตามมาตรการเศรษฐกิจมหภาค การคลัง และการเงิน เพื่อเร่งการฟื้นตัว (Finance and Economics)
ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ผลสรุปจากที่ประชุมเอแบคครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าภาคเอกชนทั่วเอเชียแปซิฟิกมีความเห็นไปในทางเดียวกันและมีแนวทางที่ชัดเจน คือ ต้องการเดินหน้าออกจากผลกระทบจากโรคระบาด COVID-19 และมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยสามารถอยู่ร่วมกับโรคให้ได้ เพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้โดยเร็ว แม้ว่าจะยังคงมีความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
“ความท้าทายสำคัญในอนาคต คือ ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจจะต้องเกิดขึ้น แต่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าครั้งก่อนแน่นอน เพราะครั้งนี้เกิดจากภาวะเงินเฟ้อที่เป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันเท่านั้น แต่พื้นฐานทางเศรษฐกิจยังดี ไม่ต้องแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างเช่นครั้งก่อน นอกจากนี้ การรวมตัวของภาคเอกชนที่มุ่งมั่นจะร่วมกันก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจ และการที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าข้อเสนอทั้ง 5 ข้อของสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความยั่งยืน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การส่งเสริม MSMEs จะเปิดโอกาสทางเศรฐกิจ รวมถึงการสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจให้กับภูมิภาคต่อไป” ดร. กอบศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังมองว่า ความยั่งยืน จะเป็นประเด็นหลักที่จะสร้างโอกาสและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ดร.ชญาน์ จันทวสุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืนองค์กร บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความยั่งยืน ไม่ได้เป็นเรื่องที่อยู่ไกล เป็นเรื่องที่เราต้องทำทันที สำหรับประเทศไทย ภาครัฐได้สนับสนุนเรื่อง BCG หรือ Bio-Circular-Green มาใช้ ถือเป็นโอกาสดีที่จะใช้จุดแข็งของประเทศ ภาคการเกษตรสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ 7-8% ของจีดีพี แต่ที่ผ่านมามีการเพิ่มมูลค่าค่อนข้างน้อย จึงยังมีโอกาสอีกมาก ส่วน circular economy ซึ่งเราได้เริ่มทำแล้วถ้าขยายผลต่อไปจะเป็นประโยชน์มาก และเรื่องของ Green ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และ Net zero ในปี 2065 เป้าหมายที่ชัดเจนเหล่านี้ถือเป็นโอกาสทั้งสิ้น”
แม้ว่าหลายองค์กรจะกังวลว่า การพัฒนา หรือการลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่จะสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ และเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กรได้มากกว่า ซึ่ง ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า มีการประมาณการว่าหากองค์กรต่างๆ ให้มาให้ความสนใจเรื่อง BCG มากขึ้น ประเทศไทยจะสามารถยกระดับ BCG จากปัจจุบันประมาณ 20% ของจีดีพีเป็น 25% ของจีดีพีได้ในอนาคต ในทางกลับกันหากองค์กรต่างๆ ไม่ลงทุนใน BCG แล้ว ในอนาคตองค์กรเหล่านี้และประเทศไทยจะมีต้นทุนมากกว่าประเทศอื่นๆ
ดร.ชญาน์ กล่าวเสริมว่า ความสำเร็จในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน เดินหน้าไปด้วยกัน องค์กรขนาดเล็กเองก็สนใจที่จะปรับเปลี่ยนและหันมาให้ความสำคัญกับ BCG มากขึ้น เป็นโอกาสที่องค์กรขนาดใหญ่จะให้ความร่วมมือ ให้คำแนะนำ และความช่วยเหลือ เพื่อช่วยให้องค์กรขนาดเล็กก้าวไปข้างหน้าได้ เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ อันเป็นแนวทางที่ทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งหมด
“ทุกฝ่ายต่างก็มองเห็นโอกาส แต่กฎเกณฑ์บางอย่างไม่เอื้อให้มีการปรับเปลี่ยนได้เร็ว จึงจำเป็นที่ภาคเอกชนต้องลงมือทำ และเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนคือทั้ง 5 แนวทางที่สภาที่ปรึกษาธุรกิจของเอเปคได้นำเสนอในการประชุมนี้” ดร. กอบศักดิ์กล่าวสรุป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.abac2022.org
A11491
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด