ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บบส. สุขุมวิท’ ที่ ‘AA+’ และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท ที่ ‘AA+’ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) ที่ระดับ ‘AA+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 2.5 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 7 ปี ของบริษัทที่ระดับ ‘AA+’ด้วยเช่นกัน
โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งที่มีต่อสถานะของ บสส. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความสำคัญ (Importance) กับภาครัฐในระดับ ‘สำคัญมาก’ (Very Important) และมีความสัมพันธ์ (Linkage) กับ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) ในระดับ’สูงสุด’ (Integral) โดยกองทุนฯ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ทั้งนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าความสัมพันธ์และบทบาทที่แข็งแกร่งมีนัยที่บ่งบอกถึงแนวโน้มที่มีความเป็นไปได้สูงที่ บสส. น่าจะได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนฯ ในยามจำเป็น
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
กองทุนฯ ถือหุ้นทั้งหมดและมีบทบาทในการควบคุมดูแล
ทริสเรทติ้ง คงการประเมินความสัมพันธ์ของ บสส. กับกองทุนฯ อยู่ในระดับ ‘สูงสุด’ (Integral) จาก’เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ’ ของทริสเรทติ้ง เนื่องจากกองทุนฯ เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดและมีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของ บสส. การที่กองทุนฯ ถือหุ้นทั้งหมดใน บสส. ทำให้นโยบายในการดำเนินงานต่างๆ ของบริษัท
ซึ่งรวมไปถึงนโยบายและทิศทางในการดำเนินธุรกิจและนโยบายทางการเงินถูกกำหนดและกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดโดยคณะกรรมการบริษัทผ่านการประชุมของคณะกรรมการทุกเดือนและทุกไตรมาสกับทางกองทุนฯ ทั้งนี้ นอกจากบริษัทจะมีกรรมการบริษัทที่มาจากกองทุนฯ แล้วนั้น
คณะกรรมการของบริษัทยังประกอบด้วยตัวแทนจาก ธปท. กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่น ๆ ของภาครัฐ ซึ่งเน้นย้ำถึงความใกล้ชิดระหว่างบริษัทและภาครัฐ อีกทั้ง นโยบายการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายทางการเงินของบริษัทยังมุ่งเน้นที่เสถียรภาพทางธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าผลกำไรอีกด้วย
มีบทบาทเชิงนโยบายที่สำคัญในการเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐ
ความสัมพันธ์และความสำคัญของบริษัทต่อกองทุนฯ และ ธปท. ได้รับการสนับสนุนจากบทบาทของบริษัทในการเป็นตัวแทนของ ธปท. ในการดำเนินนโยบายที่สำคัญของธนาคารกลาง โดย บสส. ทำหน้าที่สำคัญในฐานะเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐเพียงแห่งเดียวซึ่งมีหน้าที่ในการเป็นหน่วยงานของรัฐในการช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินโดยการเข้าซื้อสินเชื่อด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินต่างๆ
โดยบทบาทหน้าที่ของ บสส. เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่สำคัญในการรับมือกับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้นมากในระบบธนาคารพาณิชย์ บทบาทนโยบายของบริษัทใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมสินเชื่อด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินโดยเน้นในการปรับโครงสร้างหนี้
นอกจากการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพแล้ว บสส. ยังมีบทบาทที่เด่นชัดอีกบทบาทหนึ่ง คือการเป็นตัวกลางในการดำเนิน “โครงการคลินิกแก้หนี้” ซึ่งริเริ่มโดย ธปท. เพื่อส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้โดยสมัครใจสำหรับลูกหนี้รายย่อยที่ประสบปัญหาในการชำระคืนหนี้และเพื่อให้สถาบันการเงินได้รับชำระหนี้คืนมากขึ้น ในปี 2564 โครงการคลินิกแก้หนี้ได้ผ่อนปรนขยับวัน Cut-off Date สำหรับผู้กลับมาเข้าร่วมโครงการอีกครั้ง (Re-entry Applicant) ขยายอายุผู้เข้าร่วมเป็น 70 ปี และผ่อนปรนการพิจารณาเอกสารแสดงรายได้ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงโครงการได้มากยิ่งขึ้น
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 โครงการคลินิกแก้หนี้มีจำนวนลูกหนี้ภายใต้โครงการเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยอยู่ที่ประมาณ 23,000 รายจากประมาณ 11,000 รายในปี 2563 และ 3,000 รายในปี 2562 ทั้งนี้ ภาระหนี้เงินต้นสะสมรวมของลูกหนี้ภายใต้โครงการอยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2.5 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 และ 760 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้ภายใต้โครงการอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบทบาทหน้าที่ของ บสส. ในการช่วยให้ ธปท. บรรลุเป้าหมาย
ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า บสส. มีโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากกองทุนฯ ในยามวิกฤติ แม้ว่า บริษัทจะไม่ได้รับการสนับสนุนที่เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนจากกองทุนฯ นอกเหนือไปจากเงินกู้ยืมผ่านตราสารหนี้ที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยจากกองทุนฯ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท
แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่ากองทุนฯ ให้การสนับสนุนทางการเงินโดยอ้อมให้แก่บริษัทผ่านการกำหนดตารางการชำระคืนหนี้ที่ทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้ โดยกองทุนฯ ได้กำหนดการชำระคืนหนี้ของบริษัทที่ 1.5 พันล้านบาทต่อปี
โดยเมื่อเทียบเงินจำนวนดังกล่าวกับกระแสเงินสดรับของบริษัทในแต่ละปีที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในอดีตและ 5 พันล้านบาทในปี 2564 แล้ว จะเห็นว่าบริษัทสามารถเก็บเงินสดรับจากการดำเนินงานมาใช้สำหรับการขยายธุรกิจได้
ทั้งนี้ การชำระคืนหนี้ในปี 2562-2564 ปีละ 1.5 พันล้านบาทนั้นเป็นจำนวนที่ลดลงจากการชำระคืนที่ประมาณ 5 พันล้านบาทในปี 2560 เนื่องจากกองทุนฯ มีนโยบายที่ต้องการให้ บสส. เสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมกับการคาดการณ์ของสินเชื่อด้อยคุณภาพที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อจำกัดในเชิงกฎระเบียบหรือนโยบายใดๆ ที่จะห้ามมิให้กองทุนฯ ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ บสส. ในกรณีจำเป็น และทริสเรทติ้งยังมีมุมมองว่าการผิดนัดชำระหนี้ของ บสส. อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของกองทุนฯ ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นของ บสส.
เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง
บสส. ถือว่า เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในแง่ของขนาดของสินทรัพย์รวมเมื่อเทียบกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ทั้งสิ้น 62 แห่งในอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของไทย โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพของ บสส. ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่รับโอนมาจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) และ บริษัท บริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด (บสพ.) ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา
บสส. ได้ทำการซื้อสินเชื่อด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในจำนวนที่เพิ่มขึ้นตามแนวนโยบายของกองทุนฯ เพื่อให้ บสส. ยังคงดำเนินการต่อและรักษาขนาดของสินเชื่อด้อยคุณภาพเอาไว้ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 สินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิในอดีตคิดเป็น 33% และสินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิที่ซื้อเข้ามาคิดเป็น 67%
บริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (บสก. ได้รับอันดับเครดิต’A-/Stable’ จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งมีขนาดสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 1.26 แสนล้านบาท ทั้งนี้ สินทรัพย์รวมของทั้ง บสก. และ บสส. คิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของสินทรัพย์รวมของทั้งอุตสาหกรรมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
โดยเมื่อเทียบสินทรัพย์ของบริษัทกับขนาดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบการเงินที่มีจำนวนมากกว่า 5 แสนล้านบาท และความช่วยเหลือที่ได้รับจากกองทุนฯ ทริสเรทติ้งมองว่าบทบาทในฐานะบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐเพียงแห่งเดียวซึ่งมีหน้าที่ในการเป็นหน่วยงานของรัฐในการช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินไม่สามารถทดแทนได้โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ ในระยะสั้นถึงปานกลาง
ภาระหนี้อยู่ในระดับต่ำ
กองทุนฯ กำกับดูแลระดับภาระหนี้ของบริษัทจากสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (ไม่รวมเงินกู้ยืมที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยจากกองทุนฯ) เทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น โดยบริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.31 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 จาก 0.36 เท่า ณ สิ้นปี 2564
โดยถ้ารวมเงินกู้ยืมที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยจากกองทุนฯ บริษัทมีภาระหนี้ของบริษัทจากสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.6 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 ทั้งนี้ หุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 2.5 พันล้านบาทจะเป็นแหล่งเงินทุนที่ช่วยในการขยายการลงทุนซื้อสินทรัพย์ของบริษัทในช่วงต้นปี 2566
หากคิดรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่กำลังจะออกอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.8 เท่า (ยังไม่รวมการจ่ายคืนหนี้สิน) ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมมาลงทุนซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
แหล่งเงินทุนจากเงินสดรับชำระหนี้และวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
บสส. มีแหล่งเงินทุนเช่นเดียวกันกับบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ โดยมีเงินสดรับชำระหนี้จากลูกหนี้สินเชื่อและวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่างๆ เป็นแหล่งเงินทุนหลักสำหรับการขยายธุรกิจ โดยในปี 2563 บริษัทมีกระแสเงินสดรับจากทั้งพอร์ตสินเชื่อด้อยคุณภาพและพอร์ตทรัพย์สินรอการขายลดลงอย่างมากที่ 8.3 พันล้านบาท
จากประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงก่อนปี 2563 จากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) โดยกระแสเงินสดรับของบริษัทลดลงต่อเนื่องในปี 2564 เป็น 5.5 พันล้านบาทจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการจำหน่ายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
กระแสเงินสดรับของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 จากทั้งพอร์ตสินเชื่อด้อยคุณภาพและพอร์ตทรัพย์สินรอการขายยังคงอ่อนแอลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่ากระแสเงินสดรับของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2566 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแต่ยังคงมีแรงกดดันอยู่
ซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องพึ่งพาการกู้ยืมมากยิ่งขึ้นสำหรับการลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพและทำให้ระดับหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ในด้านวงเงินกู้ยืมที่มีกับสถาบันการเงิน บริษัทมีวงเงินทั้งสิ้น 1.07 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 โดย 38% ของวงเงินดังกล่าวยังไม่ถูกเบิกใช้
เป็นโอกาสทางธุรกิจของบริษัทบริหารสินทรัพย์จากการที่หนี้เสียปรับตัวเพิ่มขึ้น
การระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจของไทย ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมยังคงอ่อนแอถึงแม้ว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือมากมายจาก ธปท. เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบก็ตาม
หนี้เสียจากสถาบันการเงินซึ่งรวมทั้งสถาบันการเงินของไทยและต่างชาติตลอดจนบริษัทเงินทุนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.3 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 จาก 4.65 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 ทริสเรทติ้งคาดว่าสถาบันการเงินจะทยอยจำหน่ายหนี้เสียออกมาเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นวิธีหนึ่งในการลดหนี้เสียของสถาบันการเงินต่างๆ
หลังจากที่มาตรการช่วยเหลือสิ้นสุดลงในปี 2564 ซึ่งเห็นได้จากการริเริ่มของ ธปท. ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินกับบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อแก้ปัญหาหนี้เสีย วิธีดังกล่าวจะเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่จะซื้อสินทรัพย์และเพิ่มรายได้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการจัดเก็บหนี้ที่ช้าลงในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอนี้จะยังคงเป็นปัจจัยท้าทายที่สำคัญสำหรับทุกฝ่าย
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า บสส. จะยังคงสถานะในการเป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐและจะรักษาความสัมพันธ์ระดับ’สูงสุด’และบทบาทในระดับ ‘สำคัญมาก’ต่อทั้งกองทุนฯ และธปท. เอาไว้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของ บสส. อาจมีการเปลี่ยนแปลงหากมุมมองของทริสเรทติ้งทั้งในด้านของระดับความสัมพันธ์ และความสำคัญของ บสส. ที่มีต่อกองทุนฯ และ ธปท. นั้นเปลี่ยนแปลงไป
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ, 30 กรกฎาคม 2563
บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM)
อันดับเครดิตองค์กร: |
AA+ |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 7 ปี |
AA+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Web
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 4.5 พันล้านบาท ‘บบส.กรุงเทพพาณิชย์’ที่ ‘A-‘ แนวโน้ม’Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’
พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4.5 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 8 ปี ของบริษัทที่ระดับ ‘A-‘ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระคืนหนี้ ใช้ในการดำเนินกิจการ รวมไปถึงการขยายธุรกิจ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานและความเป็นผู้นำในตลาดบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงระดับการก่อหนี้และความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับปานกลางของบริษัท
รวมถึงการมีแหล่งเงินทุนที่กระจายตัวด้วย อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนลงบางส่วนจากความเสี่ยงระดับมหภาคและความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินทรัพย์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการทางการเงินของบริษัทได้หากไม่มีการควบคุมที่ดี
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความเชี่ยวชาญของบริษัทในการตั้งราคาซื้อขายสินทรัพย์ ตลอดจนกลยุทธ์ในการเลือกลงทุน และการกระจายตัวของประเภทสินทรัพย์และสถานที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นปัจจัยที่ช่วยลดทอนความเสี่ยงดังกล่าวลงได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับ ครึ่งแรกของปี 2565 ผลประกอบการของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดไว้เล็กน้อยเป็นผลจากการปรับลดลงของเงินสดจัดเก็บจากธุรกิจการบริหารทรัพย์สินรอการขาย (Non-performing Asset -- NPA) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 1.14 พันล้านบาท เนื่องจากธุรกิจบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-performing Loans – NPL) ที่ปรับตัวดีขึ้นช่วยลดผลกระทบจากรายได้ที่ปรับตัวลดลงของธุรกิจการบริหารทรัพย์สินรอการขาย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เงินสดจัดเก็บรวมมีปริมาณเท่าเดิมเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
โดยเงินสดจัดเก็บจากธุรกิจบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพปรับตัวดีขึ้น 11% และเงินสดจัดเก็บจากธุรกิจการบริหารทรัพย์สินรอการขายปรับตัวลดลง 16% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทริสเรทติ้ง คาดว่า เงินสดจัดเก็บจากธุรกิจบริหารทรัพย์สินรอการขายจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2565
ทริสเรทติ้ง ยังคงมีมุมมองในทิศทางบวกในธุรกิจบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2565 เป็นต้นไป ถึงแม้ว่าจะยังคงมีความกังวลในด้านเศรษฐกิจต่างๆ รวมไปถึง อัตราเงินเฟ้อในระดับสูง ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่า พัฒนาการที่ดีในด้านการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน และการยกเลิกมาตรการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศไทยจะช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีขึ้นในปี 2566
ในขณะเดียวกัน อุปทานสินเชื่อด้อยคุณภาพในครึ่งแรกของปี 2565 ที่นำมาประมูลขายปรับเพิ่มขึ้น 59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทำให้บริษัทมีการลงทุนที่ขยายตัวดีขึ้นในครึ่งแรกของปี 2565 แต่ยังคงมีปริมาณต่ำกว่าในช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด 19
โดยในครึ่งแรกของปี 2565 บริษัทใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นจำนวน 2.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 266% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อุปทานสินเชื่อด้อยคุณภาพที่สถาบันการเงินนำมาประมูลขายมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการสิ้นสุดของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
โดยทริสเรทติ้ง คาดว่า จะมีปริมาณสินเชื่อด้อยคุณภาพมากยิ่งขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนซื้อสินทรัพย์ของบริษัทในครึ่งหลังของปี 2565 และปี 2566
อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจต้องเผชิญกับความท้าทายจากแรงกดดันจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากต้นทุนทางการเงินเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายหลักของบริษัท และมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นจะค่อยๆ ทยอยรับรู้เนื่องจากเงินกู้ของบริษัทส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ระยะยาว ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2565 บริษัทมีหุ้นกู้ 14.7% ต่อหุ้นกู้รวมทั้งหมดที่จะหมดอายุภายในปี 2566 บริษัทมีการขายหุ้นกู้ไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 1.28 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ต้นปี 2565
ทั้งนี้ หุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 4.5 พันล้านบาทจะเป็นแหล่งเงินทุนที่ช่วยในการขยายการลงทุนซื้อสินทรัพย์ของบริษัทในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 หากคิดรวมหุ้นกู้ชุดใหม่ที่กำลังจะออกอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.1 เท่า จาก 2.0 เท่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 (ยังไม่รวมการจ่ายคืนหนี้สิน)
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้ง ว่า บริษัทจะยังคงรักษาผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ และระดับการก่อหนี้ยังอยู่ในระดับปานกลาง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากผลประกอบการทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมั่นคงและอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากสถานะในการก่อหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการขยายธุรกิจเชิงรุก
โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงเกินกว่า 2.75 เท่าอย่างต่อเนื่อง หรือผลประกอบการทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างต่อเนื่องจนทำให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.5% ในระยะเวลาหนึ่ง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563
บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A- |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
BAM234A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A- |
BAM235A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,050 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A- |
BAM239A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A- |
BAM23DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A- |
BAM244A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A- |
BAM244B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,750 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A- |
BAM246A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A- |
BAM247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A- |
BAM24DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A- |
BAM251A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,845 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A- |
BAM256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 370 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A- |
BAM259A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A- |
BAM25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,370 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A- |
BAM264A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A- |
BAM267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 405 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A- |
BAM26DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A- |
BAM274A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,545 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A- |
BAM276A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A- |
BAM279A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A- |
BAM284A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
A- |
BAM286A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
A- |
BAM28DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
A- |
BAM294A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,065 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 |
A- |
BAM297A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 |
A- |
BAM304A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 |
A- |
BAM307A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,050 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 |
A- |
BAM30NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 580 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 |
A- |
BAM317A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 |
A- |
BAM324A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,140 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 |
A- |
BAM347A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2577 |
A- |
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 4,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 8 ปี |
A- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2565 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
SAM ชูบทบาท AMC ภาครัฐ โรดโชว์หุ้นกู้ TRIS ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่ AA+
SAM บริษัทบริหารสินทรัพย์ของคนไทย ชูบทบาท AMC ภาครัฐ เดินสายโรดโชว์เสนอขายหุ้นกู้นักลงทุนสถาบันในวงเงินประมาณ 2.5 พันล้านบาท หลัง TRIS ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่ AA+
นายธรัฐพร เตชะกิจขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า SAM เดินสายโรดโชว์เสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 7 ปี ผ่านระบบออนไลน์ (Virtual Roadshow) เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ที่กำลังมองหาโอกาสเข้าลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพ ซึ่งการจัดโรดโชว์ดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีนักลงทุนสนใจเข้าร่วมรับฟังข้อมูลจำนวนมาก สะท้อนความเชื่อมั่นที่มีต่อ SAM โดยมีธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ดังกล่าว และจะนำเสนอขายช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้
นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS RATING)ประกาศการจัดอันดับเครดิตองค์กร SAM บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ที่ระดับ AA+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’หรือ’คงที่’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่ปี 2563 โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของ SAM ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความสำคัญ (Importance) กับภาครัฐในระดับ ‘สำคัญมาก’ (Very Important) และมีความสัมพันธ์ (Linkage) ในระดับ ‘สูงสุด’ (Integral) กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) จาก ‘เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ’
โดยความสัมพันธ์และความสำคัญของ SAM ที่มีต่อกองทุนฯ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับการสนับสนุนจากบทบาทในการเป็นตัวแทนของ ธปท. ในการดำเนินนโยบายที่สำคัญในฐานะบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐเพียงแห่งเดียวที่มีหน้าที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินด้วยการเข้าซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่สำคัญในการรับมือกับหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นมากในระบบสถาบันการเงินผ่านการปรับโครงสร้างหนี้
นอกจากนี้ SAM ยังมีบทบาทที่เด่นชัดอีกบทบาทหนึ่งคือ การเป็นหน่วยงานกลางในการดำเนินการ 'โครงการคลินิกแก้หนี้' ซึ่งริเริ่มโดย ธปท. เพื่อส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้โดยสมัครใจสำหรับลูกค้ารายย่อยที่เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันอีกด้วย
นายธรัฐพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ภารกิจหลักของ SAM ในฐานะเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ภาครัฐที่เป็นเครื่องมือสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ มีบทบาทสำคัญและเป็นหนึ่งวงล้อฟันเฟืองหลักในการแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สิน ดูแลยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยมากว่า 20 ปี เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่กำลังเดือดร้อนและประสบปัญหาด้านเครดิต
ทั้งนี้ ปรัชญาการดำเนินธุรกิจของ SAM นำหลักคิดจากโครงการในพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ‘โครงการแก้มลิง’ ที่เปรียบเสมือนการดูดซับหนี้เสียของประเทศมาเก็บไว้ในบ่อพัก ‘บ้าน SAM’และบำบัดหนี้เสียเหล่านั้น ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ และบริหารสินทรัพย์เหล่านั้นให้มีคุณภาพผ่าน ‘กังหันน้ำชัยพัฒนา’ เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจและประสบปัญหาด้านเครดิต ให้สามารถกลับมาพลิกฟื้น อยู่รอด อยู่ได้ อยู่เติบโต อยู่ยั่งยืนอย่างมีคุณภาพ อันจะส่งผลต่อความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
แกรนด์ ยูนิตี้ พลิกโฉมอสังหาริมทรัพย์ไทย เทียบชั้นมหานครระดับโลก กับโครงการ ‘อนิล สาทร 12’ (ANIL Sathorn 12) คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรีที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยด้วย WELL BUILDING STANDARD แห่งแรกในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“อนิล สาทร 12” (ANIL Sathorn 12) คอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี หนึ่งในโครงการที่พักอาศัยที่ดีที่สุดแห่งการตอบโจทย์ความต้องการในทุกแง่มุมของชีวิต ภายใต้แนวคิด “Luxury Redefined” นิยามใหม่ของที่พักอาศัย-คุณภาพชีวิตที่ดีในระดับสากล บนทำเลใจกลางย่านสาทร ติดรถไฟฟ้า BTS สถานีเซนต์หลุยส์แบบ 0 เมตร พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัย สะท้อนปัจจัยของความสุขที่ยั่งยืน 7 ประการ กับการเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่การันตีมาตรฐานความเป็นอยู่ระดับโลกด้วย WELL Building Standard เสร็จสมบูรณ์ พร้อมเป็นเจ้าของแล้ววันนี้
นางสาวทัดดาว จิระสวัสดิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด หรือ GRAND UNITY - “Makes Sense.” กล่าวว่า โครงการ “อนิล สาทร 12” (ANIL Sathorn 12) เป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรีโครงการแรกจากแกรนด์ ยูนิตี้ ที่บรรจงสร้างสรรค์เพื่อมอบความเป็นที่สุดแห่งการตอบโจทย์ความต้องการในทุกแง่มุมของชีวิต ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Luxury Redefined” ที่ตั้งใจสื่อสารความ ‘Luxury’ หรือ ‘ความหรูหรา’ ในมุมที่แตกต่าง ด้วยความเชื่อที่ว่า “Health is Wealth” โดยคำนึงถึงสุขภาพที่ดีรอบด้านเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน และ “ความเป็น-อยู่-ดี” ของผู้อยู่อาศัย เพื่อให้ได้สัมผัสชีวิตที่สมบูรณ์แบบรอบด้าน เหนือระดับในทุกรายละเอียด เพียบพร้อมไปด้วยคุณค่าของคุณภาพชีวิตที่เป็นแก่นแท้ของที่พักอาศัย
“เรามีความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการ “อนิล สาทร 12” (ANIL Sathorn 12) ให้มีความแตกต่างจากโครงการอื่นๆ ของแกรนด์ ยูนิตี้ และโดดเด่นยิ่งกว่าที่พักอาศัยอื่นๆ ในไทย โดยนำมาตรฐานความเป็นอยู่ระดับโลกที่ใส่ใจสุขภาพการใช้ชีวิตภายในอาคารอย่าง WELL Building Standard มาใช้ในโครงการ เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดี พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยอย่างยั่งยืน และใส่ใจในทุกรายละเอียดให้สัมผัสได้จริง โดยคำนึงถึงความสำคัญของปัจจัยสุขภาพให้ครอบคลุมทั้ง 7 ชนิด ได้แก่ คุณภาพอากาศ (Air), คุณภาพน้ำดื่มน้ำใช้ (Water), สุขภาวะด้านอาหาร (Nourishment), สุขภาวะด้านแสงสว่าง (Light), สุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย (Fitness), ความสบาย (Comfort) และสุขภาวะทางจิตใจ (Mind) และจากการมุ่งมั่นพัฒนาในครั้งนี้ ทำให้ อนิล สาทร 12 ได้รับรางวัลการันตีการอยู่อาศัยด้วยสุขภาวะที่ดีอย่าง WELL Multifamily Residential Certified™ ระดับ Gold จาก IWBI หรือ International Well Being Institute ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ และองค์กรชั้นนำระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับรางวัลนี้
สำหรับโครงการ อนิล สาทร 12 (ANIL Sathorn 12) ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางย่านสาทร ซึ่งเป็นทำเลที่มีความเจริญทางธุรกิจ ถือว่าเป็น Real CBD หรือใจกลางเขตธุรกิจของกรุงเทพมหานครอย่างแท้จริง ด้วยระยะห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีเซนหลุยส์ เพียง 0 เมตร และความเจริญในด้านธุรกิจ สถานศึกษา สถานพยาบาล ระบบขนส่ง และแหล่งไลฟ์สไตล์ จึงทำให้ย่านสาทรเป็นทำเลศักยภาพที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในทุกวัน อีกทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยการคมนาคมที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ หรือจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว เนื่องจากตัวโครงการล้อมรอบด้วยถนนสายหลักทั้งถนนสาทร, ถนนสีลม และถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนสายหลักถึง 2 สาย ได้แก่ ทางด่วนเฉลิมมหานคร และทางด่วนศรีรัช
ในส่วนของการออกแบบ โครงการได้รับแรงบันดาลใจจากที่มาของชื่อ ANIL ซึ่งมีความหมายถึง“สายลม” จึงได้เลือกใช้เส้นสายที่บางเบา และซ้อนชั้นกันเหมือนแผ่นกระดาษ เพื่อช่วยสะท้อนถึงรูปลักษณ์ของ “สายลม” ที่เคลื่อนไหว ให้แสดงออกมาปรากฏต่อสายตาได้อย่างชัดเจนเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งทางโครงการยังได้มุ่งตอบสนองการใช้ชีวิตแบบ Active และ Passive ด้วยฟังก์ชันที่หลากหลาย ผ่านการออกแบบที่ลงลึกในทุกรายละเอียด และให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ทั้งภายใน ภายนอก และส่วนกลางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใจกลางเมือง แต่ยังคงความสงบ ผ่อนคลาย เป็นส่วนตัว ซึ่งส่งเสริม ความ ”เป็น-อยู่-ดี” หรือ Well-being แบบองค์รวมของผู้พักอาศัยในทุกตารางนิ้ว โดยตัวอาคารได้ออกแบบรูปลักษณ์ให้มีความร่วมสมัย และเลือกใช้วัสดุหินจริงจากธรรมชาติในการตกแต่งภายนอก เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยรับรู้ถึงความรู้สึกสงบ สุขุม และผ่อนคลาย รวมไปถึงพื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบให้มีความโปร่งโล่ง สบาย มีส่วนทึบน้อยที่สุด เพื่อลดการบดบังบรรยากาศโดยรอบ และอากาศถ่ายเทได้ดี อีกทั้งวัสดุและระบบอาคารที่เลือกใช้ รวมถึงการบริหารจัดการภายในโครงการ จะต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐาน WELL Building Standard ซึ่งเป็นมาตรฐานที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยให้ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมภายในอาคารที่ดีต่อสุขภาพ ในระดับเดียวกับอาคารที่พักอาศัยชั้นนำระดับโลก
นอกจากนี้ ยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและใส่ใจในเรื่องสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น Green Sanctuary สวนสีเขียวแสนสงบเคียงถนนสาทรสำหรับการพักผ่อน และสูดอากาศบริสุทธิ์ เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับชีวิต Ozone Sky Pool สระว่ายน้ำรูปทรงตัว L shape ระบบโอโซน ที่แยกออกเป็นสระเด็ก และสระผู้ใหญ่ Panoramic gym พื้นที่ออกกำลังกายท่ามกลางวิวอันสวยงามของใจกลางกรุงเทพมหานคร พร้อมแยกจุดออกกำลังกายออกเป็นส่วนๆ ทั้งจุด Cardio, Weight Training, Serene Zone, Pilates Zone และโซน Steam and Sauna AL FRESCO @ 12 ลานอเนกประสงค์สำหรับทำกิจกรรม ANIL Lounge เลาจน์ส่วนตัวสำหรับนั่งพักผ่อนแบบ Indoor ที่ดีทั้งระบบอากาศ ความสะดวกสบาย รวมถึงทัศนียภาพที่เปิดกว้าง Social Dining พื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้ให้สนุกสุดเหวี่ยงกับบรรยากาศดีๆ นอกจากนี้ยังออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเฉพาะสำหรับเด็กๆ อย่าง Kids Room และ Library ที่มาพร้อมโซน Private Study Room เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็ก อีกทั้งยังมีระบบ AUTO PARKING ที่รองรับพื้นที่จอดรถทั้งโครงการได้มากถึง 110% พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย ควบคุมการ เข้า - ออก โครงการด้วย Key Card Access และระบบ CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง
ซึ่งปัจจุบัน โครงการ อนิล สาทร 12 (ANIL Sathorn 12) สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้วที่ผ่านมาและสามารถกวาดยอดขายไปได้แล้วมูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาท ในฐานะโครงการที่อยู่อาศัยแห่งแรกที่ได้การรับรองจาก WELL Certified™ ระดับ GOLD ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าโครงการคุณภาพมาตรฐานระดับสากลนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย ทางทีมงานและผู้มีส่วนร่วมทุกๆ คนมีความภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้มีส่วนนำร่องในการพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานให้วงการอสังหาริมทรัพย์ในบ้านเราที่ได้การยอมรับจากผู้ซื้อทั่วโลกอยู่แล้ว ให้ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น” นางสาวทัดดาว กล่าว
ด้าน รศ.ดร.อรรจน์ เศรษฐบุตร อาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, รองประธานสถาบันอาคารเขียวไทย และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอฟริคัส จำกัด กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกในรอบ 10 - 20 ปีที่ผ่านมา เริ่มส่งผลกระทบทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาการจราจรติดขัด ปัญหามลพิษทางอากาศ จนส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะการก่อสร้าง หรือออกแบบอาคาร ที่เริ่มมีการสร้างหรือพัฒนาอาคารในลักษณะของ Green Building ที่จะสะท้อนถึงความใส่ใจ รับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมของผู้พัฒนา ซึ่ง WELL Building Standard ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานการออกแบบระดับโลกที่ได้รับความเชื่อถืออย่างมากในเรื่องการออกแบบอาคารเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้อยู่อาศัย และเป็นที่ยอมรับไปกว่า 125 ประเทศทั่วโลก ในทุกๆ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะสำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย
“มาตรฐาน WELL Building Standard ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยสถาบัน International WELL Building Institute™ (IWBI) ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ และองค์กรชั้นนำระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ให้ความสำคัญกับ “สุขภาวะ” ที่ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Well-being โดยมีความหมายครอบคลุมภาวะที่ “ร่างกาย” และ “จิตใจ” มีสุขภาพที่ดี รวมถึงภาวะที่บุคคลมีความมั่นคง อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และมีความปลอดภัยในชีวิต ทั้งยังมุ่งเน้นผู้คนเพื่อพัฒนาวัฒนธรรมด้านสุขภาพทั่วโลก โดยกำหนดมาตรฐานอาคารที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อาศัยภายในอาคาร เพื่อประเมินสุขภาวะที่ดีของผู้อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิดสำคัญ 7 ข้อ ได้แก่ คุณภาพอากาศ, คุณภาพน้ำดื่มน้ำใช้, สุขภาวะด้านอาหาร, สุขภาวะด้านแสงสว่าง, สุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย, ความสบาย และสุขภาวะทางจิตใจ
โดยมาตรฐานความเป็นอยู่ระดับโลก WELL Building Standard ที่โครงการอนิล สาทร 12 (ANIL Sathorn 12) นำมาใช้ เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดี และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยอย่างยั่งยืน ประกอบด้วยการคำนึงถึงปัจจัยสุขภาพสำคัญ 7 ชนิด ได้แก่
1. Air (คุณภาพอากาศ) : ดูแลคุณภาพอากาศที่บริสุทธิ์ ด้วย Active Ventilation Design ภายในส่วนกลางและส่วนพักอาศัย โดยใช้ระบบอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อเครื่องตรวจพบว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกินกำหนด จะระบายออกทันที เพื่อให้สมองและร่างกายรู้สึกสดชื่น และได้รับปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอตลอดเวลา อีกทั้งยังกรองอากาศผ่าน Filter ที่สามารถกรองฝุ่นที่ละเอียดกว่า PM 2.5 และไวรัสจากภายนอกได้อีกด้วย
2. Water (คุณภาพน้ำดื่มน้ำใช้) : ดูแลคุณภาพน้ำประปาให้สะอาด ปราศจากสารปนเปื้อนด้วยท่อไร้สารตะกั่ว (Lead-free piping) ทั้งยังติดตั้ง Filter สำหรับทุกห้องพักอาศัยในส่วนห้องครัว เพื่อควบคุมคุณภาพน้ำดื่มและน้ำใช้ให้กับผู้พักอาศัย ส่วนน้ำในสระว่ายน้ำทางโครงการก็เลือกใช้ระบบโอโซนบำบัดน้ำ ที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เร็วกว่าคลอรีนถึง 3,125 เท่า
3. Nourishment (สุขภาวะด้านอาหาร) : ห้องพักทุกห้องมาพร้อมอุปกรณ์ครัวคุณภาพ โดยเฉพาะเตาอบจะใช้ระบบ Steam Oven เพื่อรักษาคุณภาพและประโยชน์ของอาหาร พร้อม Built-in refrigerator ที่แสดงอุณหภูมิ เพื่อรักษาความสดใหม่ และป้องกันการปนเปื้อนจากแบคทีเรียได้ดีกว่า
4. Light (สุขภาวะด้านแสงสว่าง) : ดูแลคุณภาพแสง โดยโครงการได้ออกแบบแสงสว่างให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ใช้งาน เพื่อส่งเสริมวงจรการนอนหลับที่ประสิทธิภาพตามระบบนาฬิการ่างกาย รวมถึงติดตั้งเซนเซอร์เพื่อเปิดไฟนำทางไปห้องน้ำในตอนกลางคืน โดยไม่เกิดการรบกวนระหว่างการนอน
5. Fitness (สุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย) : อุปกรณ์ออกกำลังกายทุกชิ้นผ่านการคำนวนและกำหนดจำนวนอุปกรณ์ตามมาตรฐานการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ โดยเครื่องคาดิโอ (Cardiorespiratory Exercise Equipment) และเครื่องเสริมสร้างกล้ามเนื้อ (Muscle-strengthening Exercise Equipment) ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับจำนวนผู้พักอาศัยภายในโครงการ รวมถึงมีคอร์สออกกำลังกายจากมืออาชีพ ที่จะสลับเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้บริการ เพื่อให้ได้ทั้งออกกำลังกายและได้ความรู้ในการดูแลสุขภาพ
6. Comfort (ความสบาย) : พักผ่อนได้อย่างเงียบสงบแม้อยู่ใจกลางเมือง ด้วยการใช้ระบบชุดประตู และหน้าต่างกระจกอลูมิเนียมที่ป้องกันฝุ่น และเสียงรบกวนจากภายนอก ผ่อนคลายสบายตัวด้วยระบบปรับอากาศภายในที่สามารถควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และความเร็วลม รวมถึงระบบเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่ปราศจากเสียงและแสงรบกวน
7. Mind (สุขภาวะทางจิตใจ) : ดูแลสุขภาวะทางใจของผู้อยู่อาศัยในทุกช่องทาง ทั้งการออกแบบที่ผสมผสานพื้นที่ส่วนกลางให้เข้ากับธรรมชาติ และออกแบบพื้นที่ความสูงห้อง และช่องแสงเต็มกว่า 3 เมตร รวมถึง Art work บริเวณพื้นที่ส่วนกลาง ที่ได้จัดวาง Sculpture และ Art Wall ต่างๆ ภายในโครงการ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับทัศนียภาพที่ดี
นับว่าเป็นอีกหนึ่งมาตรฐานระดับสากล ที่สามารถช่วยยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้หันมาใส่ใจสุขภาวะของผู้อยู่อาศัยกันอย่างจริงจัง ซึ่งโครงการอนิล สาทร 12 (ANIL Sathorn 12) ถือเป็นโครงการนำร่องเรื่องมาตรฐาน WELL ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ทั้งยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าโครงการคุณภาพระดับมาตรฐานสากล สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย” รศ.ดร.อรรจน์ กล่าว
ทั้งนี้ โครงการ “อนิล สาทร 12” (ANIL Sathorn 12) เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรีสูง 42 ชั้น บนพื้นที่ 1-2-41.30 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 3,500 ล้านบาท มีห้องพักอาศัยจำนวน 222 ยูนิต แบ่งเป็น 5 รูปแบบ ประกอบไปด้วย ห้อง 1 BEDROOM ขนาด 45.00 – 46.00 ตร.ม., ห้อง 2 BEDROOM ขนาด 62.00 – 92.50 ตร.ม., ห้อง 2 BEDROOM PLUS ขนาด 111.00 – 114.50 ตร.ม., ห้อง 2 BEDROOM DUPLEX ขนาด 104.00 ตร.ม. และห้อง 3 BEDROOM ขนาด 109.50 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นเพียง 17.9 ล้านบาท* สำหรับห้อง
2 BEDROOM
ผู้ที่สนใจสามารถนัดหมายเข้าชมโครงการอย่างเป็นส่วนตัวล่วงหน้าได้ที่ โทร. 02-652-4000 หรือ LINEOA : @GrandUnity หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.grandunity.co.th
A11549
ครั้งแรก! 2 ผู้นำพร็อพเทคไทย ‘Think of Living - ดีดีพร็อพเพอร์ตี้’ ผนึกกำลัง ปลุกตลาดอสังหาฯ คึกคักส่งท้ายปีในงาน ‘Living Expo 2022’
งานรวมบ้าน-คอนโดฯ ใกล้รถไฟฟ้า และบ้านตากอากาศ กว่า 100 โครงการ
“Think of Living” เว็บไซต์รีวิวโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ผนึกกำลัง “ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty)” เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย สองบริษัทในเครือบริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด (NYSE: PGRU) บริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาฯ หรือพร็อพเทค (PropTech) ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศจัดงาน “Living Expo 2022” มหกรรมคอนโดฯ และบ้านครั้งยิ่งใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 24 ถึง 27 พฤศจิกายน ณ สยามพารากอน ยกขบวนที่อยู่อาศัยจากบรรดาผู้ประกอบการชั้นนำกว่า 100 โครงการในทำเลศักยภาพแนวรถไฟฟ้า เสริมทัพด้วยโครงการบ้านพักตากอากาศสุดหรู จัดโปรโมชั่นมากมายจากผู้ประกอบการหวังกระตุ้นการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
งาน “Living Expo 2022” ครั้งนี้จัดในคอนเซ็ปต์ “Anytime Anywhere” ที่นำประสบการณ์ซื้อขายอสังหาฯ ในบรรยากาศที่คุ้นเคยมาให้กับผู้สนใจและผู้เข้าชม ควบคู่ไปกับแบบ Virtual Living Expo ที่อำนวยความสะดวกและเชื่อมโยงให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการสามารถบรรลุเป้าหมายที่มีร่วมกันได้อย่างราบรื่น พิเศษสุดๆ กับหนังสือ “อยู่ได้ ไม่ใช่แค่ ได้อยู่” กูรูออฟไลน์ที่ให้คำแนะนำผู้ซื้อบ้านเพื่อยกระดับการเลือกที่อยู่อาศัยให้รองรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วิถีใหม่ (New Normal) ที่เทรนด์ความต้องการของคนหาบ้านเปลี่ยนไปหลังเผชิญการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 8,000 คน หรือเพิ่มขึ้น 50% จากครั้งก่อนหน้า
งาน “Living Expo 2022” นำผู้ซื้อและนักลงทุนให้กลับมาสู่บรรยากาศการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบปกติ โดยมีผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย อาทิ บริษัท เมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด, บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน), บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด, บริษัท โบทานิก้า เดอะ วัลเล่ย์ จำกัด, กลุ่มบริษัทบันยันไทยแลนด์, บริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด, บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน), บริษัท เทียนเฉิน อินเตอร์เนชั่นแนล พร็อพเพอร์ตี้ (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด, บริษัท ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด, บริษัท พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด, บริษัท ดิเอเจ้นท์ (พรอพเพอร์ตี้ เอ็กซ์เพิร์ท) จำกัด, บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ฯลฯ ที่พร้อมนำเสนอโครงการคอนโดฯ และบ้านคุณภาพในหลากหลายทำเลแนวรถไฟฟ้า BTS และ MRT ตอบโจทย์การเดินทางของชาวกรุงมาให้เลือกสรรกว่า 380 ยูนิตจากกว่า 80 โครงการ นอกจากนี้ ยังมีโครงการบ้านตากอากาศสุดหรูในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งตอบสนองเทรนด์การทำงานนอกออฟฟิศแบบ Work from Anywhere ที่ได้รับความนิยมในยุคโควิด-19 นี้ มาให้ผู้ที่วางแผนซื้อบ้านหลังที่สองได้จับจองเป็นเจ้าของอีกด้วย
นอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อได้เปรียบเทียบและรับข้อเสนอพิเศษของโครงการแล้ว ผู้ประกอบการก็สามารถเสนอขายโครงการไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรงเช่นกัน เพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายส่งท้ายปี 2565 ซึ่งถือเป็นช่วงโอกาสทองโค้งสุดท้ายที่ผู้บริโภคยังมีปัจจัยสนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยจากมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ของภาครัฐ ทั้งมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์-ค่าจดจำนอง และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะสิ้นสุดลงในปลายปี 2565 นี้
นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และหัวหน้าแผนกมาร์เก็ตเพลสประจำประเทศไทย (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) DDproperty ในฐานะผู้จัดงาน Living Expo 2022 กล่าวว่า “ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และยืดเยื้อในไทย ถือเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน เนื่องจากมีทิศทางการเติบโตแปรผันตามสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภค จึงถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ จนปัจจุบันที่ทุกคนมีภูมิต้านทานมากพอที่จะใช้ชีวิตตามปกติแบบ New Normal แล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะกลับมาจัดงานมหกรรมคอนโดฯ และบ้าน “Living Expo 2022” อีกครั้งในรอบ 3 ปี ซึ่งที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่ Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ สองบริษัทในเครือ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ได้ผนึกกำลังนำจุดแข็งด้านประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญในแวดวงอสังหาฯ มาทำให้งานครั้งนี้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น”
“งานดังกล่าวจะผสมผสานการส่งมอบประสบการณ์การซื้อขายที่อยู่อาศัยทั้งรูปแบบออฟไลน์ ณ หน้างาน และการเข้าร่วมงานออนไลน์ Virtual Living Expo by DDproperty x Think of Living โดยติดตามได้ทาง DDproperty Facebook Fanpage ตั้งแต่วันที่ 14-27 พฤศจิกายน 2565 ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการจับคู่ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคกับสินค้าในสต็อกของผู้ประกอบการให้มาบรรจบกัน รวมทั้งช่วยกระตุ้นการซื้อขายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาเติบโตอย่างคึกคัก แม้ปีนี้จะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบแผนการซื้อบ้านของผู้บริโภคบ้าง แต่เชื่อว่าผู้บริโภคมีการวางแผนและเตรียมพร้อมรับมืออย่างดี เห็นได้จากข้อมูลของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) เดือน ก.ย. 2565 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 44.6 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2565 ถือเป็นสัญญาณบวกสะท้อนให้เห็นทิศทางกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จะกลับสู่ตลาดมากขึ้น”
“ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า คุณสมบัติที่อยู่อาศัยที่สำคัญมากที่สุดเมื่อผู้บริโภคยังต้องอยู่ร่วมกับโควิด-19 นั้น มากกว่า 3 ใน 5 (64%) ต้องการบ้าน/คอนโดฯ ที่ตั้งอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ตามมาด้วยเดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ (63%) และต้องการพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น (61%) เพื่อรองรับวิถีชีวิตใหม่ที่มาพร้อมการเรียนและทำงานออนไลน์ นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับระบบระบายอากาศและแสงธรรมชาติ (59%) รวมไปถึงต้องการบ้าน/คอนโดฯ ที่มาพร้อมระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและรองรับ IoT อีกด้วย (36%) สะท้อนให้เห็นว่าการเข้ามาของโควิด-19 เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนหาบ้านยุคนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ และยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการออกแบบที่อยู่อาศัยรักษ์ธรรมชาติ หรือการนำเทคโนโลยีมายกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยให้ดีขึ้นอีกด้วย”
“เราพร้อมเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองร่วมขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ของบริษัทแม่ Think of Living และทำงานร่วมกับดีดีพร็อพเพอร์ตี้เพื่อยืนหยัดเป็นกูรูผู้ให้คำแนะนำด้านอสังหาฯ ที่ทุกคนไว้วางใจ และช่วยให้ทุกก้าวของการตัดสินใจบนเส้นทางอสังหาฯ ของคุณเป็นไปด้วยความราบรื่น และมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเนื้อหาเข้มข้นในหนังสือ Limited edition ของงานปีนี้ที่มาในคอนเซ็ปต์ "อยู่ได้ ไม่ใช่แค่ ได้อยู่" ถ่ายทอดแนวคิดในการเลือกสรรที่อยู่อาศัยยุคใหม่ พร้อมทั้งพลิกมุมมองเพื่อเปลี่ยนที่อยู่อาศัยเดิมของคุณให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ New Normal ให้ได้มากที่สุด เพราะเราเชื่อมั่นว่าชีวิตที่ดีเริ่มต้นได้ที่บ้าน และทุกคนสามารถสร้างได้”
งาน “Living Expo 2022” มหกรรมคอนโดฯ และบ้านทำเลสะดวกใกล้รถไฟฟ้า ภายใต้คอนเซปต์ “Anytime Anywhere” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 พฤศจิกายน 2565 ณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน เวลา 11:00 - 21:00 น. มาพร้อมกับหนังสือแจกฟรีสุดพิเศษ “อยู่ได้ ไม่ใช่แค่ ได้อยู่” คู่มือความรู้เพื่อคนรักบ้านยุค New Normal ที่จะชวนทุกคนมาเปลี่ยนชีวิตให้อยู่ง่าย และอยู่สบายทั้งกายและใจหลังยุคโควิด แหล่งความรู้ออฟไลน์ที่จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้ง่ายขึ้น หนังสือมีจำนวนจำกัด ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับหนังสือฟรี! ณ หน้างาน และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://thinkofliving.com/events
A11546
Government-SE Matching Day สวส. จัดกิจกรรมรัฐรวมพลังจับคู่ธุรกิจเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน ดึงวิสาหกิจเพื่อสังคมร่วมออกบูธกว่า 15 องค์กร สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) จัดกิจกรรม Government...
สภาพัฒ ฯ เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.8 เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ...
สศช.GDP ไตรมาส 4 ปี 64 ขยายตัว 1.9% รวมทั้งปี 64 ขยายตัว 1.6% คาดปี 65 ขยายตัว 3.5-4.5% สภาพัฒน์ แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( GDP) ไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2564 และแนวโน้มปี 2565...
ฟิทช์ เรทติ้งส์: เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ดีท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ฟิทช์ เรทติ้งส์ - กรุงเทพฯ - 18 ตุลาคม 2565: ในงานสัมมนาประจำปีของฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ที่จัดขึ้นในวันนี้...
' มองเศรษฐกิจโลก สะท้อนเศรษฐกิจไทย ' ในการจัดเสวนา 'Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม ’ ผมมีโอกาสร่วมเสวนาหัวข้อ ' มองเศรษฐกิจโลก สะท้อนเศรษฐกิจไทย '...
นายกรัฐมนตรี ปลื้ม FANC มอบใบเซอทิฟิเขท หลังเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล แก้ยาเสพติดแนวใหม่ รับปาก หนุนแก้อำนาจ ป.ป.ส.เป็นพนักงานสอบสวน-เพิ่มเครื่องมือ หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยา ชม ก.ยุติธรรม...
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด พร้อมรับใบเซอทิฟิเขท จากกลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศ หรือ FANC...
นายกฯ ติดตามงาน 'ขจัดความยากจน-พัฒนาคนทุกช่วงวัย' กำชับเร่งแก้ไขปัญหาความยากจนแบบ 'พุ่งเป้า' ตรงจุด ทันเวลา และเป็นรูปธรรม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามการดำเนินงาน...
บุกค้น 2 ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจำหน่ายสลากออนไลน์รายใหญ่ มีสลากขายเกินราคา 6.7 ล้านฉบับ เร่งขยายผล ตัดสิทธิ ยกเลิกโควตาตัวแทนจำหน่าย-ผู้มีสิทธิซื้อจอง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ...
DGA เร่งยกระดับนวัตกรรมภาครัฐโกอินเตอร์ อวดโฉมงานวิจัยสู่เวทีสากลผ่านงาน DGTi-Con 2022 สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมภาครัฐ DGTI-Con 2022...
ตัวแปลงสกุลเงินนี้ควบคุมดูแลระบบทำงานโดย Investing.com ประเทศไทย |
0 MTC มาตามนัด Q2/66 พอร์ตสินเชื่อแตะ 132,851 ลบ.เดินหน้าพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนเคียงคู่สังคมไทย เตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ อัตราดอกเบี้ย 4.25-4.80% คาดเสนอขายวันที่ 21-23 ส.ค.นี้ บมจ.เมืองไทย...
ALT โชว์ไตรมาส 2/66 กวาดรายได้ 396 ลบ . งานโซลาร์รูฟท็อป - บริการโครงข่ายรุ่งแนวโน้มโตต่อเนื่อง เอแอลที เทเลคอม โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 กวาดรายได้ 396 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 56.6%...
PSP พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ บิ๊กน้ำมันหล่อลื่น จ่อเข้าเทรด SET จับตา 'พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ (PSP)'เจ้าตลาดเบอร์หนึ่งธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นครบวงจรของไทยและอาเซียน เตรียมขายไอพีโอเข้าเทรด SET...
GSB ต้อนรับประธานกรรมการธนาคารออมสินคนใหม่ นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ ในนามคณะกรรมการธนาคารออมสิน และนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร...
สนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร พร้อมด้วยนายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (...
‘ ณัฐพล ’ ปลัดอุตฯ บูมเศรษฐกิจภาคใต้ฝั่งอันดามัน ผุดกระบี่โมเดล ยกระดับ 3 มิติอุตสาหกรรม สู่การกระจายรายได้เศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน ดร . ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม...
บอร์ด บสย. แต่งตั้ง ' เอด วิบูลย์เจริญ ' ประธาน บสย. คนใหม่ คณะกรรมการบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีมติแต่งตั้ง ‘เอด วิบูลย์เจริญ’ดำรงตำแหน่ง ประธาน บสย. มีผลตั้งแต่วันที่ 14...
ทีซีซีเทค ปลื้ม Enjoy to the Max 2 บรรลุตามเป้า ! ต่อยอดการยกระดับดิจิทัลขั้นสูงในองค์กร สิ้นสุดพิธีมอบรางวัลไปด้วยรอยยิ้มและความสุข สำหรับ “TCCtech X M365 Star Icon Stage” ภายใต้โครงการ Enjoy to...
รมว.เฮ้ง ส่ง ' โฆษก ' เยี่ยมกลุ่มบายศรีบึงกาฬ สร้างอาชีพเสริม รับนักท่องเที่ยวสายมู นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน...
ธพว . ร่วมพิธีทอดผ้าป่า กระทรวงการคลัง ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ( ธพว .) หรือ SME D Bank โดย นายศักดิ์สิทธิ์ ราชรักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส...
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด