กพช. เคาะมาตรการช่วยประชาชน ฝ่าวิกฤติราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ประชุมได้มีการพิจารณาสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและประเทศยูเครนที่ยังไม่มีข้อยุติ ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในตลาดโลกมีความผันผวนและปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูงจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของหลายประเทศทั่วโลก โดยทำให้เกิดการตึงตัวของอุปทานก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน
รวมถึงการอ่อนตัวของค่าเงินบาท ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบมาตรการบริหารจัดการพลังงานในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2565 อาทิ เช่น มาตรการตามแนวทางการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ ปี 2565 การจัดหาพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมาตรการขอความร่วมมือในการประหยัดพลังงานในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม และเร่งรัดการอนุมัติ/อนุญาตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวจะสามารถประมาณเทียบเท่าการลดการนำเข้า Spot LNG
ทั้งนี้ ที่ประชุม กพช. ได้มอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบมาตรการบริหารจัดการพลังงานฯ แต่ละมาตรการ ได้แก่ สำนักงาน กกพ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เร่งดำเนินการในมาตรการ โดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ซึ่งที่ประชุม กพช. ได้มอบหมายให้ สำนักงาน กกพ. ติดตามสถานการณ์ราคาพลังงาน
โดยเปรียบเทียบราคา Spot LNG นำเข้ากับราคาเชื้อเพลิงและต้นทุนในแต่ละมาตรการ เพื่อนำมาพิจารณาในการที่จะคงการใช้มาตรการที่มีความคุ้มค่าและเลิกใช้มาตรการที่ไม่มีความคุ้มค่าโดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อประชาชนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ หากสถานการณ์ราคาพลังงานเปลี่ยนแปลงไปอันจะส่งผลให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงการใช้มาตรการต่างๆ แล้ว ให้สำนักงาน กกพ. รายงานต่อคณะอนุกรรมการบริหารจัดการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน (คณะอนุกรรมการฯ) โดยเร็ว และที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) โดยคณะอนุกรรมการฯ ติดตามการดำเนินงานตามมาตรการบริหารจัดการพลังงานในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงาน ในช่วงเดือนตุลาคม 2565 – เดือนธันวาคม 2565 อย่างใกล้ชิด และรายงานต่อ กพช. ทราบต่อไป
นายกุลิศ กล่าวว่า ที่ประชุม กพช. ยังมีมติเห็นชอบแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้า สีเขียว (Utility Green Tariff) ในโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก โดยประกอบด้วย (1) อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่เดิมในระบบไฟฟ้า ซึ่งเป็นการนำใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ของโรงไฟฟ้าเดิมที่รัฐมีกรรมสิทธิ์มาให้บริการร่วมกับการให้บริการพลังงานไฟฟ้า และเป็นการให้บริการในลักษณะที่ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ต้องเจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้าและ REC ในการขอรับบริการ
โดยมีอัตราค่าบริการส่วนเพิ่ม (Premium) เพิ่มเติมจากอัตราค่าไฟฟ้าตามปกติที่ครอบคลุมต้นทุนค่า REC รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะกำหนดต่อไป (2) อัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเดิมในระบบไฟฟ้าทั้งของรัฐและเอกชน ซึ่งเป็นการให้บริการพลังงานไฟฟ้าและ REC ซึ่งมาจากแหล่งเดียวกัน โดยผู้ใช้ไฟฟ้าต้องเจาะจงกลุ่มโรงไฟฟ้า (Portfolio) ในการรับบริการ และอัตราค่าบริการกำหนดจากต้นทุนการให้บริการพลังงานไฟฟ้าและ REC ของแต่ละ Portfolio รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ตามที่ กกพ. จะกำหนดต่อไป ทั้งนี้ ในการกำหนดองค์ประกอบและโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียวทั้งสองรูปแบบ รวมถึงการจัดสรรต้นทุนการให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วไปที่ครอบคลุมต้นทุนสาธารณะ และวิธีการและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ กกพ. จะพิจารณากำกับดูแลภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ให้โปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่ม
นอกจากนี้ ที่ประชุม กพช. ยังมีมติเห็นชอบการทบทวนการกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ประเทศไทย ปี 2554-2558 โดยให้มีการปรับปรุงข้อความการนำส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าตามมาตรา 97(4) เพื่อการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีที่ใช้ในการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย จากเดิม
‘โดยเรียกเก็บจากผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าในอัตรา 0.5 สตางค์ต่อหน่วย’ เป็น ‘โดยเรียกเก็บจากผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าในอัตราไม่เกิน 0.5 สตางค์ต่อหน่วย’เพื่อให้ กกพ. สามารถกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าจากผู้รับใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าเป็น 0 บาทต่อหน่วยเป็นการชั่วคราว ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบภาระค่าไฟฟ้าต่อประชาชนจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน และเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วน
โค้งสุดท้ายกิจกรรม GPSC Greenovation Startup Sandbox การเฟ้นหาสุดยอด ‘นักพัฒนาธุรกิจรุ่นใหม่ด้านพลังงานไฟฟ้า’ Final Pitching Day ในวันเสาร์ที่ 5 พ.ย. นี้
หลัง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. จับมือกับ True Digital Park เปิดตัวโครงการ “GPSC Greenovation Startup Sandbox” เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากคนรุ่นใหม่เป็นอย่างดี โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้ร่วมกิจกรรมในโครงการเป็นระยะเวลา 5 เดือน เพื่อร่วมออกไอเดียพัฒนานวัตกรรมขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมมี Mentor ที่จะคอยช่วยแนะนำการสร้างนวัตกรรมเพื่อพลังงานยั่งยืนตลอดโครงการ ภายใต้โจทย์ “เราจะพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นได้อย่างไร โดยใช้นวัตกรรมพลังงานสะอาดที่คุณสามารถเข้าถึงได้?” เพื่อคัดเลือก 15 ทีมที่ได้ผ่านเข้าไปสู่รอบกิจกรรมการแข่งขันแก้ปัญหา Business Ideas Challenge โดยทุกทีมที่เข้ารอบจะมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรม Workshop สุดเข้มข้น พร้อมรับคำปรึกษา การขัดเกลาและต่อยอดไอเดียจากผู้เชี่ยวชาญ และล่าสุดเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของโครงการ ที่ได้ 3 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบ “GPSC Greenovation Startup Sandbox Program” รับเงินทุนทีมละ 150,000 บาท ในการนำไปต่อยอดพัฒนาไอเดียธุรกิจ สู่เวทีเส้นชัย การเฟ้นหาสุดยอด “นักพัฒนาธุรกิจรุ่นใหม่ด้านพลังงานไฟฟ้า” ในรอบตัดสินครั้งสุดท้าย Final Pitching Day ได้แก่
1. ทีม ควายงาน
สร้าง “BuffBox” เครื่องมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นต้นแบบ ที่สามารถเอามาดัดแปลงเพื่อใช้กับอุปกรณ์เดิมที่มีอยู่ของเกษตรกร เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรรายย่อย และลดรายจ่ายค่าเชื้อเพลิง อีกทั้งยังลดการปล่อย CO2 อีกด้วย
2. ทีม Onecharge
ร่วมมือกับพันธมิตร ขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า สะดวกต่อผู้ขับขี่เดินทางไกล สามารถชาร์จในสถานที่ต่างๆ ได้ และกำลังขยายการติดตั้งให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
3. ทีม Electron+
เจ้าของไอเดีย FTE Cooling in Auto Motive ที่ช่วยลดอุณหภูมิภายในรถยนต์ไฟฟ้าแบบเฉพาะจุด ทำงานร่วมกับโซลาร์เซลล์ ทำให้ลดการใช้น้ำยาแอร์ นับเป็นเทคโนโลยีการทำความเย็นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยประหยัดพลังงาน ส่งผลให้ driving range ของรถ EV เพิ่มขึ้น
เตรียมตัวเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายสำหรับโครงการ “GPSC Greenovation Startup Sandbox” กิจกรรม Final Pitching Day การนำเสนอไอเดียและแผนปฏิบัติการครั้งสุดท้าย พร้อมการตัดสินโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทชั้นนำด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน ในวันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายนนี้ เวลา 13.00 - 16.30 น. ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 6 ตึกเพกาซัส ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมลุ้นติดตามผลการตัดสินทีมสุดยอดผู้นำที่จะมาเปลี่ยนโลกสิ่งแวดล้อม ด้วยนวัตกรรมการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืน ผ่านทาง https://www.facebook.com/gpscthofficial และ https://www.facebook.com/TrueDigitalPark
A11177
เจาะ ‘ตลาดไฟฟ้าเสรี’ โอกาสของผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟในบริบทใหม่
แนวคิด “ตลาดไฟฟ้าเสรี” หรือ Merchant Power Market ได้ถูกหยิบยกมาพูดถึงในวงกว้างมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยมีคำถามจากผู้บริโภคเกิดขึ้นมากมายว่าเหตุใดประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฯลฯ ถึงได้เป็นตลาดไฟฟ้าเสรี มีขั้นตอนหรือระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่าน จากตลาดไฟฟ้าที่มีผู้ซื้อไฟรายเดียว (Single Buyer Market) ไปสู่ตลาดไฟฟ้าเสรีอย่างไร รวมถึงผู้บริโภคหรือผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละกลุ่มจะต้องมีการปรับตัวอย่างไร การใช้ไฟในตลาดไฟฟ้าเสรีนั้นค่าไฟถูกกว่าจริงหรือ และที่สำคัญคือผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์อะไรเมื่ออยู่ในตลาดไฟฟ้าเสรี
ดร.กิรณ ลิมปพยอม ซีอีโอ บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ กล่าวว่า “จากประสบการณ์ของบ้านปู เพาเวอร์ ที่ดำเนินธุรกิจไฟฟ้ามากว่า 20 ปีในหลากหลายประเทศ ได้เห็นมุมมองการใช้ไฟในตลาดหลากหลายรูปแบบ ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบที่เป็นตลาดไฟฟ้าที่มีผู้ซื้อไฟรายเดียวไปสู่ตลาดไฟฟ้าเสรีนั้น ใช้ระยะเวลาแตกต่างกันตามบริบทของแต่ละประเทศ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับนโยบายด้านพลังงาน ความต้องการใช้ไฟฟ้า ประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า รายได้ประชากรต่อหัว ฯลฯ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค โดยจะต้องตอบโจทย์ทั้งทางด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้า มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
เส้นทางความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาดไฟฟ้าเสรี
ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าแต่ละประเทศมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาดไฟฟ้าเสรีแล้วหรือยัง สามารถพิจารณาได้จาก 1) มีจำนวนผู้ประกอบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในตลาดที่มากพอให้ผู้บริโภคได้เลือก 2) ผู้ผลิตไฟฟ้าในตลาดไม่มีรายใดมีอิทธิพลเหนือตลาดหรือสามารถกำหนดราคาได้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาค่าไฟเกิดมาจากการแข่งขันที่เป็นธรรมตามกลไกตลาด 3) มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบซื้อขายไฟฟ้า เพื่อให้รองรับกับตลาดไฟฟ้าเสรี และ 4) มีแผนนโยบายในการเปลี่ยนผ่านอย่างชัดเจน ด้วยปัจจัยที่กล่าวไป ส่งผลให้แต่ละประเทศใช้ระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาดไฟฟ้าเสรีที่แตกต่างกันไป
ในประเทศญี่ปุ่นใช้เวลาประมาณ 15-16 ปี ถึงสามารถเปลี่ยนผ่านได้อย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปี 2016 เริ่มจากการเปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้ไฟฟ้าปริมาณมากอย่างโรงงานอุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน สามารถเลือกซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟได้เอง จากนั้นจึงขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าขนาดกลาง เช่น โรงพยาบาล โรงงาน กิจการ SME และกลุ่มลูกค้าครัวเรือนหรือผู้บริโภครายย่อย ตามลำดับปริมาณการใช้ไฟ โดยมีการพัฒนาและเตรียมความพร้อมระบบต่างๆ เช่น รูปแบบสัญญาซื้อขาย ระบบการจัดส่ง ระบบการชำระเงิน ฯลฯ มารองรับการดำเนินงานของผู้ขายไฟอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภาครัฐยังคงทำหน้าที่ดูแลและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานอย่างเช่นระบบสายส่งอยู่ เพราะไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจสำหรับเอกชนในการสร้างสายส่งเพิ่มเติมโดยไม่มีความต้องการรองรับ
ขณะที่ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) เริ่มกระบวนการเปลี่ยนผ่านตั้งแต่ปี 1996 และเป็นตลาดไฟฟ้าเสรีสมบูรณ์ในปี 2009 โดยเริ่มจากภาครัฐวางกรอบนโยบายพร้อมทั้งแสดงเจตจำนงว่าจะมีการเปลี่ยนรูปแบบไปสู่ตลาดไฟฟ้าเสรีภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานตลาดไฟฟ้า ทั้งผู้ผลิต ผู้ดูแลระบบสายส่ง ผู้จำหน่ายและแจกจ่าย และผู้บริโภคที่ใช้ไฟฟ้า ได้เตรียมความพร้อม
“ต้นทุนพลังงาน” ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟ
ไม่ว่าจะอยู่ในตลาดไฟฟ้าแบบไหน ก็ต้องเผชิญกับการปรับค่าไฟขึ้นหรือลง ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนพลังงานในการผลิตไฟฟ้าที่ประกอบด้วย “ราคาเชื้อเพลิง” และ “ต้นทุนในการผลิตกระแสไฟฟ้า” ของแต่ละประเทศ โดยแบ่งผลกระทบออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะสั้น ได้แก่ ต้นทุนเชื้อเพลิง โดยเฉพาะน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติที่มีความผันผวน ส่วนระยะกลางหรือระยะยาว เป็นผลจากตัวเลขทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ เป็นต้น ซึ่งล้วนส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในส่วนของค่าแรงหรืออุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการก่อสร้างหรือปรับปรุง การดำเนินงานในอนาคต โดยแต่ละตลาดซื้อขายไฟฟ้าก็จะได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป
ในตลาดที่มีผู้ซื้อไฟรายเดียว ภาครัฐเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดจากผู้ผลิตไฟฟ้า โดยทำหน้าที่เป็นเจ้าของและควบคุมดูแลการดำเนินงานของระบบสายส่งและระบบจำหน่ายเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้บริโภค การปรับราคาค่าไฟอาจมาจากราคาเชื้อเพลิงและต้นทุนอื่นๆ โดยจะมีการเฉลี่ยต้นทุนจากตลาดโดยรวมในทุกพื้นที่ที่ ดูแลอยู่ การปรับราคาค่าไฟที่สะท้อนต้นทุนการผลิตมักจะทำได้ช้ากว่าระบบตลาดไฟฟ้าเสรีเพราะมักจะมีข้อจำกัดในการปรับราคาตามกลไกภาครัฐ แต่มีข้อดีคือ ภาครัฐสามารถควบคุมราคาไฟฟ้าที่จะส่งต่อไปยังผู้บริโภครายย่อยได้ สามารถแทรกแซงโดยการตรึงค่าไฟหรือให้การอุดหนุนอื่นๆ ในขณะที่อาจไม่สะท้อนภาพของการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนไป
ขณะที่ตลาดไฟฟ้าเสรี ซึ่งมีกลไกที่กำหนดการซื้อ-ขาย ผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้กับบริษัทเอกชนผ่านระบบตลาดขายส่งไฟฟ้า (Wholesale Market) โดยต้นทุนของผู้ผลิตเกิดจากต้นทุนพลังงาน (Energy cost) คิดเป็นต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วย ต้นทุนความหนาแน่นของการส่งไฟในระบบ (Congestion cost) ที่เฉลี่ยมาจากแต่ละพื้นที่ และต้นทุนการสูญเสียไปในระบบสายส่ง (Loss) จากการที่พลังงานไฟฟ้าบางส่วนสูญหายระหว่างการขนส่งในระบบ ต่อมาเมื่อนำไฟฟ้ามาจำหน่ายในตลาดค้าปลีก (Retail Market) ก็จะมีต้นทุนค่าการตลาด และค่าการกระจายไฟฟ้าไปยังผู้บริโภคเข้ามาด้วย ข้อดีคือ เอกชนที่แข่งขันกันในตลาดมักจะมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงได้ดี มีความเชี่ยวชาญ สามารถรักษาเสถียรภาพของราคาได้ระดับหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่ก็จะมีสัญญาซื้อ-ขายระยะยาว นอกจากนี้ กลไกราคายังมีประสิทธิภาพ เพราะมีการเปิดเผยราคาซื้อขาย ทำให้เอกชนสามารถแข่งขันกันได้ แต่มีอีกประเด็นที่ต้องคำนึงคือ หากต้นทุนการผลิตผันผวน อาจส่งผลให้ค่าไฟฟ้ารายย่อยผันผวนตามไปด้วย ราคาไฟในตลาดจะมีการขยับขึ้นหรือลงตามต้นทุนการผลิตที่แท้จริงอยู่เสมอ
ผู้บริโภคได้รับประโยชน์อย่างไรในตลาดไฟฟ้าเสรี
ในฝั่งของผู้บริโภคไฟฟ้ารายใหญ่ แน่นอนว่าได้ประโยชน์ด้านต้นทุน สามารถเข้าถึงแหล่งที่ให้ต้นทุนถูกที่สุด ขณะที่ลูกค้ารายย่อย ได้ประโยชน์จากการแข่งขันกันของผู้ผลิตและผู้ขายไฟที่ส่งผลให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดและแข่งขันกันออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการตลาดต่างๆ ซึ่งผู้บริโภคสามารถเลือกผู้ผลิตได้เหมือนเลือกผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถเลือกให้เหมาะกับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของตนเอง รวมทั้งเลือกได้ว่าจะเน้นใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งใด เป็นไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนหรือผลิตจากเชื้อเพลิงที่หาได้ภายในท้องถิ่น เพื่อให้ประโยชน์คืนกลับสู่ท้องถิ่นที่ตนเองอาศัยอยู่ได้สูงสุด ดังเช่นในญี่ปุ่นที่มีนโยบายภาษีท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นต้น
ธุรกิจซื้อขายไฟฟ้า (Energy Trading)
ในตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี แพลตฟอร์มซื้อ-ขายไฟฟ้า (Energy Trading) นับเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยบริหารความเสี่ยงหรือจัดการความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในระบบทั้งในฝั่งของผู้ผลิตไฟฟ้าและผู้บริโภค รวมถึงสร้างโอกาสในการทำกำไรเพิ่มขึ้น โดยเป็นแพลตฟอร์มซื้อ-ขายไฟฟ้าที่มีกระบวนการคล้ายกับการซื้อขายสินทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในตลาดขายส่งไฟฟ้า (Wholesale electricity market) มีประโยชน์ในการซื้อไฟฟ้าในราคาที่ต้องการหรือเป็นช่องทางทำกำไรจากส่วนต่างของราคาปัจจุบันและราคาในวันที่ส่งมอบ ผู้ที่มีบทบาทในตลาดนี้ ได้แก่ ผู้ผลิตไฟฟ้า สถาบันการเงิน และนักลงทุนรายใหญ่
สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้านั้น Energy Trading เป็นช่องทางที่ใช้เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าได้อย่างเสรีตามความสามารถในการแข่งขันของตนเอง โดยสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินเข้ามาช่วยลดความผันผวนของราคา ทำให้ผู้ผลิตสามารถประเมินรายรับได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยง ขณะที่นักลงทุนรายใหญ่จะหาโอกาสทำกำไรในขณะที่รอส่งมอบสินค้า รับความเสี่ยงด้านราคาและอัตราแลกเปลี่ยนโดยใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงเข้ามาช่วย อย่างไรก็ดี การมีตลาดซื้อขายไฟฟ้าก็ช่วยทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาจึงส่งผลดีต่อผู้บริโภคในทางอ้อมด้วย
สำหรับการเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบตลาดไฟฟ้าที่มีผู้ซื้อรายเดียวไปสู่ตลาดไฟฟ้าเสรีนั้น แน่นอนว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันในตลาดที่ทำให้ราคาค่าไฟโดยทั่วไปจะถูกลง อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคก็ต้องรับมือกับความผันผวนของราคาค่าไฟฟ้าที่มากขึ้นด้วย ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านจึงต้องใช้ระยะเวลาและมีกลไกในการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ในมุมของผู้บริโภคก็ต้องมีการศึกษารูปแบบการซื้อไฟฟ้าที่จะตอบโจทย์การใช้ไฟฟ้าของตนเองมากที่สุด ในมุมของผู้ขายก็ต้องนำเสนอรูปแบบการขายหรือมีกลยุทธ์การตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้า ในมุมของผู้ผลิตไฟฟ้าก็เช่นกัน ต้องมีความเข้าใจในเทรนด์พลังงานของโลกและความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าและสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว เพื่อสร้างประโยชน์และคุณค่าต่อคนทุกกลุ่มตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
(สามารถอ่านบทความ “ตลาดไฟฟ้าเสรี (Merchant Power Market) เทรนด์ที่น่าจับตาของธุรกิจพลังงานโลก” ย้อนหลัง ได้ที่ https://www.banpupower.com/activities/merchant-power-market/?lang=th)
แหล่งอ้างอิงข้อมูล
1. เว็บไซต์ของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น
www.enecho.meti.go.jp/en/category/electricity_and_gas/electric/electricity_liberalization/what/
2. เว็บไซต์ของงานบริการด้านวิทยาศาสตร์และความรู้ คณะกรรมาธิการยุโรป
https://ses.jrc.ec.europa.eu/evolving-electricity-markets-schemes
A11095
ชงกพช.ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบราคาพลังงาน พร้อมตรึงค่าไฟฟ้า ของขวัญปีใหม่’แพนเค้ก’ร่วมกระตุ้นคนไทยใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า
พลังงาน เตรียมชงกพช.เดือน พ.ย.นี้ ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบราคาพลังงานเป็นของขวัญปีใหม่มอบให้คนไทย พร้อมตรึงค่าไฟฟ้า งวดแรกปี 66 (ม.ค.-เม.ย.) อยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย แย้มดูแลผู้ใช้ฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย และ 500 หน่วยต่อไป กระทรวงต่างประเทศ คาดราคาพลังงานโลกยังขาขึ้น แนะคนไทยร่วมมือประหยัดสอดคล้องทิศทางโลก ขณะที่ ‘แพนเค้ก -เขมนิจ จามิกรณ์’ ร่วมกระตุ้นคนไทย ตระหนักใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า พร้อมแนะรัฐออกมาตรการกึ่งบังคับ สร้างส่วนร่วมช่วยชาติประเทศพลังาน
วันนี้ 27 ตุลาคม 2565 สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดเสวนาหาทางออก ฝ่าวิกฤติ ‘พลังงานโลก’ทางรอด ‘พลังงานไทย’ ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ ลาดพร้าว ห้องกรุงเทพ 2 โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมเสวนา นำโดยนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน นางสาวสมฤดี พู่พรอเนก รองอธิบดีกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ และนักแสดงชั้นนำ แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อวางแนวทางรับมือต่อวิกฤติที่เกิดขึ้น
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน บรรยายในหัวข้อ “ถอดบทเรียนวิกฤติพลังงานโลก สะเทือนถึงไทย” ว่า ประเทศไทยและทั่วโลก ต่างเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา และนำไปสู่มาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ ส่งผลให้การใช้พลังงานลดลง และผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลดลงอย่างมาก แต่แล้วเมื่อโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลงในช่วงปลายปี 2564 ความต้องการใช้น้ำมันก็กลับมาเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
และถูกซ้ำเติมจากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนก.พ.2565 ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับสูงขึ้นไปอีก 122-140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยน้ำมันดีเซล ทำสถิติสูงสุดไปแตะ 180 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในเดือนมี.ค.2565 น้ำมันดิบ แตะระดับ 145 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเบนซิน อยู่ที่ระดับ 160 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
โดยในช่วงวิกฤติดังกล่าวส่งผลให้ราคาพลังงานปรับขึ้นยกแพง ทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รัฐบาลจึงได้งัดมาตรการที่มีอยู่ออกมารับมือ ซึ่งในช่วงนั้นกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีเงินสะสมอยู่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ก็นำไปใช้อุดหนุนราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม(LPG) และอุดหนุนต่อเป็นเวลา 2 ปี ก่อนทยอยปรับขึ้นราคาถังขนาด 15 กิโลกรัม 15 บาทต่อถัง จนล่าสุด ราคาขายปลีกตรึงไว้อยู่ที่ 408 บาทต่อถัง จากต้นทุนที่แท้จริงควรปรับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 460 บาทต่อถัง
ด้านราคาน้ำมันดีเซล ประเทศไทยเอง ถือเป็นประเทศนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศเป็นหลัก แม้จะมีการผลิตน้ำมันจากแหล่งบนบกในประเทศได้เอง แต่ก็มีสัดส่วน อยู่ที่ 8% เท่านั้น ที่เหลือ 92% เป็นการการนำเข้า และส่วนใหญ่นำเข้าจากตะวันออกกลาง จึงต้องอ้างอิงราคาดูไบมา โดยในช่วงไตรมาส 1 ปี2565 ที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นไปทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทางกระทรวงการคลัง ก็ได้ออกมาตรการเมื่อวันที่ 17 ก.พ.25 65ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง 3 บาทต่อลิตร
ขณะที่กระทรวงพลังงาน ก็ได้ปรับลดสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซล จากบี 7 , บี20,บี10 เหลือแค่ บี5 ซึ่งในช่วงเวลานั้นเงินกองทุนน้ำมันฯ ยังไม่มีสถานะติดลบ ทางกลุ่มรถบรรทุกก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐตรึงราคาดีเซล รัฐบาลก็ได้แบ่งเงินจากกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาช่วยพยุงราคาไม่ให้เกิน 35 บาทต่อลิตร เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน จนปัจจุบัน กองทุนน้ำมันฯติดลบกว่า 1 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า สัดส่วน 70% ซึ่งเดิมมาจากแหล่งก๊าซฯในประเทศ ก็ต้องหันไปนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) จากต่างประเทศ หลังเกิดปัญหาเปลี่ยนผ่านการบริหารจัดการก๊าซฯแหล่งเอราวัณ ทำให้กำลังผลิตก๊าซฯ ลดลงเหลือประมาณ 200-300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งปัจจุบัน ปตท.สผ.ที่เป็นผู้บริหารจัดการแหล่งเอราวัณฯ ก็อยู่ระหว่างเร่งการผลิตก๊าซฯอย่างเต็มที่ และที่ผ่านมารัฐได้ให้ กฟผ.เข้าไปช่วยแบกรับภาระจากการชะลอปรับขึ้นค่าไฟฟ้าจนเป็นเงินกว่า 1 แสนล้านบาทแล้ว
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3-ไตรมาส 4 ปีนี้ ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 95-98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ น้ำมันดิบยังมีความต้องการใช้สูงขึ้น เพราะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวในต่างประเทศ ทำให้ราคาพลังงานในช่วงปลายปียังมีความเสี่ยงด้านราคา โดยประเมินว่า ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ราคาก๊าซ LNG จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 40-50 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ขณะที่ดูราคา spot LNG เดือน ธ.ค.นี้ คาดว่า จะอยู่ที่ 30 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู
ขณะที่ มอร์แกนสแตนเลย์ คาดการณ์ปี 2566 ราคาLNG จะอยู่ 39 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู และไตรมาส2 จะปรับขึ้นไปแตะ 50 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินของ กลุ่มปริซึม ปตท. (PTT PRISM) มองว่า จะอยู่ประมาณ 39 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ประเมินว่า หากราคาน้ำมันดิบในปี 2566 อยู่ที่ระดับ 100-110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยังเป็นระดับที่บริหารจัดการได้ เพราะปัจจุบัน กองทุนน้ำมันฯ ก็ใช้เงินเข้าไปพยุงราคาดีเซล ประมาณ 2-3 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกเกิน 35 บาทต่อลิตร จากก่อนหน้าที่ที่ต้องเข้าไปพยุงถึง 14 บาทต่อลิตร ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบแตะระดับ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายกุลิศ กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน ยังเตรียมดำเนินมาตรการพยุงอัตราค่าไฟฟ้าในไตรมาส 4 ปีนี้ ถึง ไตรมาส 1 ของปี 2566 ให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 4.72 บาทต่อหน่วย เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันที่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยหากราคา LNG สูงเกิน 25 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จะให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และโรงไฟฟ้าเอกชน หันไปใช้น้ำมันดีเซลเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าทดแทนก๊าซฯ ซึ่งคาดว่า จะใช้ดีเซล ประมาณ 200-300 ล้านลิตร
รวมถึงขยายระยะเวลาปลดระวางโรงไฟฟ้าแม่เมาะ(ถ่านหิน) โรงที่ 8 ที่จหมดอายุ 31 ธ.ค.2564 ให้ยืดอายุต่อไปอีก 2 ปี ทำให้มีกำลังผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเพิ่มประมาณ 300 เมกะวัตต์ ในอัตราประมาณ 2-3 บาทต่อหน่วย และยังมีแผนให้นำโรงไฟฟ้าแม่เมาะ โรงที่ 4 ที่ปลดระวางไปแล้ว กลับมาเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเข้าระบบอีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษา EIA คาดว่าจะมีความชัดเจนใน 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเข้าระบบอีก 200 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ จะต้องเร่งการผลิตก๊าซฯจากแหล่งในประเทศ ทั้งการเร่งเพิ่มกำลังผลิตก๊าซฯแหล่งเอราวัณ และเพิ่มการผลิตก๊าซฯแหล่งอื่นๆ ตลอดจนการจัดซื้อก๊าซฯจากเมียนมา เพิ่มเติมทั้งแหล่งซอติก้า และยาดานา รวมถึงซื้อก๊าซฯเพิ่มจากองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย หรือ MTJA อีกทั้งการรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากลาว เพิ่มเติม
รวมถึง ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) เพื่อลดการใช้น้ำมัน ซึ่งจากข้อมูลช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยอดซื้อรถอีวี เพิ่ม 223% หรือ อยู่ที่ 13,298 คัน ซึ่งบอร์ดอีวี ก็อยู่ระหว่างจัดทำมาตรการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ เพื่อลดต้นทุนรถอีวี ให้ประชาชนเข้าถึงรถอีวี ได้ง่ายขึ้น รวมถึงดูแลเรื่องของการจัดทำระบบชาร์จไฟฟ้าที่บ้านเพื่ออำนวยความสะดวก
ขณะเดียวกัน 3 การไฟฟ้า คือ กฟผ.,กฟน.และกฟภ. ก็ได้เร่งประสานงานจัดทำเรื่องข้อมูลเชื่อมโยงการใช้แอพลิเคชันรองรับการใช้งานรถอีวีที่หลากหลายยี่ห้อ ให้สามารถเชื่อมฐานข้อมูลทั้งระบบ และในช่วงกลางปี 2566 กฟผ.จะเริ่มจัดทำระบบชำระค่าบริการชาร์จไฟฟ้าของรถอีวีที่ชำระร่วมกันได้
นอกจากนี้ กระทรวงพลังงาน ยังเร่งส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เข้าสู่ระบบตามแผนพีดีพี ฉบับใหม่ รวมกว่า 10,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ฯ ถึง 6,000 เมกะวัตต์ และมีโซลาร์ลอยน้ำในเขื่อนของ กฟผ.อีกประมาณ 2,700 เมกะวัตต์ แม้ว่า กฟผ.จะมีศักยภาพทำได้ถึง 10,000 เมกะวัตต์ใน 20 ปี ตลอดจนพื้นที่เหมืองแม่เมาะของ กฟผ. ที่หากใน 20ปีข้างหน้า เลิกใช้โรงไฟฟ้าถ่านหิน ก็ยังมีศักยภาพที่จะทำโซลาร์ฟาร์มได้อีก ทำให้ต่อไป กฟผ.จะกลายเป็นผู้ลงทุนพลังงานสะอาด
รวมถึงรัฐยังเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานลมอีก 5 เท่า เป็น 1,500 เมกะวัตต์ และรับซื้อไฟฟ้าจากขยะด้วย ดังนั้น การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่จะเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 เมกะวัตต์ในอนาคต ภาครัฐจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบส่งไฟฟ้าให้ทันสมัย ทำเรื่องสมาร์ทกริด และสมาร์ทมิเตอร์ ให้พร้อมรองรับเรื่องของพลังงานหมุนเวียน และรถอีวี ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
รวมถึง ยังต้องดำเนินการเรื่องของเทคโนโลยีพลังงานใหม่ๆ เช่น ระบบกักเก็บคาร์บอน CCS และ CCUS ตลอดจนการทำเรื่องของกรีนไฮโดรเจน และในการประชุม APEC 2022 ในเดือน พ.ย.นี้ ประเทศไทยจะมีการลงนาม MOU กับต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เข้ามาทำเรื่องของ CCUS รถอีวี ไฮโดรเจน และการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน เป็นต้น
“กระทรวงพลังงาน เตรียมจัดทำของขวัญปีใหม่ให้คนไทย โดยจะเสนอในการประชุม กพช.เดือน พ.ย.นี้ พิจารณาทั้งเรื่องของ LPG และค่าไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งในส่วนของค่าไฟ ยังจะดูกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย และ 500 หน่วยต่อ รวมถึงจะมีมาตรการเสริมสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วไปด้วย”
สำหรับ ความคืบหน้าการกู้เงินของกองทุนน้ำมันฯ หลังจากกระทรวงการคลัง ได้เข้ามาค้ำประกันเงินกู้ วงเงิน 150,000 ล้านบาท ตามกำหนดระยะเวลา 1ปี (6 ต.ค.65-5ต.ค.66) นั้น ทาง สกนช.อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดการใช้เงิน และแผนชำระหนี้มาเสนอ คาดว่า จะออกประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินร่วมเสนอเงินกู้ได้ต้นเดือนพ.ย.นี้ และน่าจะได้รับเงินกู้ก้อนแรกในเดือน พ.ย.นี้
เบื้องต้น แผนเงินกู้ จะเป็นการทยอยกู้เงิน 12 งวด โดย 1-2 งวดแรก วงเงินอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท งวดต่อไปวงเงิน 20,000 ล้านบาท แต่จะต้องกู้เงินให้เสร็จตามระยะเวลาเงื่อนไข 1 ปี แต่ในส่วนของการชำระเงินกู้ยังดำเนินการไปต่อเนื่อง ซึ่งในอดีตที่เคยกู้เงิน 70,000 ล้านบาท จะใช้เวลาชำระคืนประมาณ 3-4 ปี
นายกุลิศ ยังกำชับว่า ภาครัฐได้งัดมาตรการเข้ามาดูแลผลกระทบราคาพลังงานอย่างเต็มที่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญคือ คนไทยทุกคนจะต้องตระหนักถึงการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า และต้องเริ่มเรื่องการประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง เพราะ ค่าไฟฟ้า จะไม่ใช่ของถูกอีกต่อไป ดังนั้น กลุ่มบ้านอยู่อาศัย ก็ต้องเริ่มการประหยัดอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น แอร์ และขยายสู่ระดับสาธารณะ เช่น ญี่ปุ่น ที่เปิดแอร์ 28 องศาในอาคาร เป็นต้น แต่ที่สำคัญสถานประกอบการขนาดใหญ่ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงงาน ที่มีสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าปริมาณสูงจะต้องมุ่งเรื่องการประหยักพลังงานอย่างจริงจัง ก็จะช่วยประเทศประหยัดต้นทุนนำเข้าเชื้อเพลิงลงได้
นางสาวสมฤดี พู่พรอเนก รองอธิบดีกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ความขัดแย้งของรัสเซีย และยูเครน ที่เกินเวลายาวนานมากว่า 8 เดือน และน่าจะยังยืดเยื้อต่อไปอีกนั้น ทำให้เกิดวิกฤติพลังงานไปทั่วโลก โดยทำให้อุปทานลดลง และราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลกระทบต่อเนื่องให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ในระดับสูง และกระทบภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก เพราะรัสเซีย เป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 2 ของโลก และส่งออกก๊าซธรรมชาติ อันดับ 1 ของโลก
สำหรับ ในส่วนของสหภาพยุโรป (อียู) ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน เพราะพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากยุโรปในส่วนส่วนสูงมาก โดยนำเข้าก๊าซธรรมชาติ สัดส่วน 40% น้ำมัน 27% และถ่านหิน 46% คิดเป็นมูลค่า 3,714 ล้านบาท ส่งผลให้ยูโรปต้องออกกฎหมาย และมาตรการต่างๆ เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย
“พลังงานเป็นเรื่องสำคัญมากของยุโรป โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว อียูจึงต้องออกกฎหมาย และมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยลดผลกระทบให้กับประชาชน และลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียให้ได้ โดยตั้งเป้าหมายลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียให้ได้ 2 ใน 3 ภายในปีนี้ ล่าสุดเหลือการนำเข้าเพียง 20% แล้ว ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน
และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในยุโรปให้ได้ 45% ภายในปี 2573 รวมถึงแสวงแหล่งพลังงานจากที่อื่น เพิ่มการสำรองก๊าซธรรมชาติให้ได้ 80% ล่าสุดสำรองเพิ่มได้มากกว่า 85% แล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชน เพื่อลดผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น เช่น ช่วยเหลือค่าไฟฟ้า กำหนดเพดานราคา เป็นต้น”
สำหรับ ประเทศไทย การแก้ปัญหา และรับมือผลกระทบให้กับประชาชน คล้ายๆ กับของอียู แต่โดยส่วนตัว ต้องการให้คนไทย ประหยัดการใช้พลังงาน ไฟฟ้าอย่างจริงจังมากกว่านี้ ส่วนการที่รัฐบาลช่วยเรื่องาคาพลังงาน เป็นสิ่งที่ดี แต่โดยส่วนตัว อยากให้ภาครัฐ พิจารณาราคาที่จะช่วยเหลือให้เหมาะสมกว่านี้ เพราะ[JP1] การให้ประชาชนยังต้องจ่ายค่าไฟฟ้า หรือน้ำมันในราคาต่ำเกินไป เพราะรัฐอุดหนุน อาจไม่ได้ตระหนักถึงการประหยัดอย่างจริงจัง เพราะยังรู้สึกว่า ยังสามารถจ่ายได้
นอกจากนี้ ภาครัฐอาจหาพันธมิตรประเทศต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาวิกฤติพลังงาน และดึงคนไทยมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา และประหยัดอย่างจริงจัง เพราะไม่ว่ารัฐจะหามาตรการช่วยเหลืออย่างไร แต่หากคนไทยไม่ตระหนักถึงการประหยัด หรือใช้อย่างรู้คุณค่าอย่างจริงจัง รัฐบาลช่วยเหลือเท่าไรก็ไม่เพียงพอ
ดร.เขมนิจ จามิกรณ์ (แพนเค้ก) นักแสดงชั้นนำ กล่าวในหัวข้อ ‘ประหยัดพลังงานสไตล์ซุปเปอร์โมเดลรักษ์โลก’ว่า ในฐานประชาชนผู้ใช้พลังงาน ก็ได้รับผลกระทบจากอัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้น และที่บ้านก็มีสมาชิกอยู่รวมกันหลายคน ดังนั้น ในช่วงที่อยู่บ้านพร้อมกันหลายคนก็จะเกิดการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แต่ละครัวเรือนก็ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับรายจ่ายค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
โดยมองว่า การประหยัดพลังงาน ต้องเริ่มจาก ‘ตัวเรา’ และสมาชิกในบ้านต้องร่วมกันประหยัดพลังงาน ลดการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเท่าที่จำเป็น กำชับคนในบ้านให้ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อเลิกใช้งานแล้ว ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อย เช่น การเปิด-ปิดตู้เย็นให้น้อยลง หันไปออกกำลังกายนอกสถานที่เพื่อลดการใช้ไฟในบ้าน น้องหมา ก็เคยอยู่ห้องแอร์ตอลด ก็ใช้พัดลมแทนในช่วงที่อากาศไม่ร้อนมาก
“ตอนนี้ ต้อง mindset สมาชิกในครอบครัว ติดป้ายกระดาษไว้เลย เตือนสมาชิกในบ้าน ให้ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า เท่าที่จำเป็น และการได้มาฟังข้อมูลวันนี้ ทำให้รู้ว่า สถานการณ์พลังงานหนักกว่าที่คิด ยากกว่าที่คิด เราไม่ได้อยู่ในสาขาวิชาชีพนี้ พอฟังแล้ว ต้องกลับไปตื่นตัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และพร้อมสนับสนุนทุกโครงการของรัฐ เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงาน และปรับตัวเองให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป”
ส่วนเรื่องของรถอีวี ก็อยากมีรถใช้บ้าง พยายามปรับการใช้ชีวิตให้เข้ากับโลกใหม่ๆมากขึ้น แต่ยังมีคำถามว่า จำนวนรถ และสถานีชาร์จมีเพียงพอรองรับการใช้งานเต็มรูปแบบหรือไม่
นิสสันร่วมมือ กฟผ. ศึกษาโครงการแปลงพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Vehicle to Grid) เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
• ครั้งแรกกับการทดลองการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สมรรถนะสูงของรถยนต์ไฟฟ้า
• ประสบการณ์ใหม่สำหรับผู้ใช้นิสสัน ลีฟ ในประเทศไทย ให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีการจัดการพลังงานรูปแบบใหม่
• ขยายผลโครงการ Blue Switch ของนิสสัน สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในไทย
นิสสัน ประเทศไทย สนับสนุนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในโครงการความร่วมมือและการศึกษาแนวทางการจ่ายไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากรถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้า หรือ Vehicle-to-Grid (V2G) เป็นครั้งแรกในประเทศ รวมถึงการควบคุมระบบโดยศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ
ภายใต้โครงการความร่วมมือดังกล่าว นิสสัน ประเทศไทย จะร่วมมือกับ กฟผ. ศึกษาและทดสอบเทคโนโลยี Vehicle to Grid (V2G) โดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าของรถยนต์ นิสสัน ลีฟ (Nissan LEAF) รถยนต์ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้า 100% ที่ใช้เทคโนโลยีการชาร์จไฟแบบสองทาง (Bidirectional charge) ซี่งจะเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการใช้ระบบชาร์จไฟแบบสองทาง และมีนิสสัน ลีฟเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ใช้งานระบบดังกล่าวจริง
โดยในพิธี ได้รับเกียรติจาก ฯพณฯคาซูยะ นาชิดะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดี และ ดร. ศิริ จิระพงษ์พันธ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการความร่วมมือระหว่าง บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กับ กฟผ. นำร่องศึกษาการแปลงพลังงานระหว่างยานยนต์ไฟฟ้ากับระบบไฟฟ้า (Vehicle-to-Grid หรือ V2G) และการควบคุมกำลังไฟฟ้าจากศูนย์ควบคุมกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บริหารทั้งสองหน่วยงาน ณ ห้องออดิทอเรียม อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี
ความร่วมมือกับ กฟผ. ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบลู สวิตช์ (Blue Switch) ที่นิสสันจัดทำขึ้น เพื่อสนับสนุนให้สังคมไทยเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีความยืดหยุ่น โดยอาศัยเทคโนโลยีพิเศษในรถยนต์นิสสัน ลีฟซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเป็นแค่ยานพาหนะ และยังจะสนับสนุนโครงการพัฒนาเชิงสังคม เช่น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (ecotourism) และการบรรเทาภัยพิบัติในยามวิกฤต
อิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน นิสสัน ประเทศไทย เปิดเผยว่า “นิสสันดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศไทยมานานถึง 70 ปี เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของนิสสัน”
“นิสสัน ประเทศไทย ขอขอบคุณ กฟผ. ที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตร และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ทุกภาคส่วนของสังคมไทย พร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutral) ต่อไปในอนาคต และนิสสันจะยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศไทยและทั่วภูมิภาค เพื่อช่วยกันทำให้สังคม และโลกของเรา มีความยั่งยืน และสะอาดมากขึ้น”
ก่อนหน้านี้ นิสสันได้ประกาศ Ambition 2030 ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ระยะยาวในการพัฒนายานยนต์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในกิจกรรมที่จะบรรลุวิสัยทัศน์นี้ คือ โครงการ บลู สวิตช์ ซึ่งได้เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนมกราคม 2565 โดยนิสสันได้ร่วมมือกับภาครัฐและองค์กรพันธมิตรหลายแห่งในการศึกษาแนวทางที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์ในด้านอื่นๆ มากยิ่งขึ้น
นิสสัน ลีฟ เป็นหนึ่งในรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่มีจำหน่ายในประเทศไทย และมีเทคโนโลยี bi-ditrctional charger ที่ทำให้สามารถใช้รถยนต์ไฟฟ้าชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันของเราได้หลากหลายมากขึ้น เทคโนโลยีชาร์จไฟแบบสองทางนี้ ทำให้เจ้าของรถยนต์สามารถชาร์จไฟจากระบบไฟบ้านเข้าสู่รถยนต์นิสสัน ลีฟ รวมทั้งยังสามารถส่งพลังงานไฟฟ้าจากรถยนต์ของตนเองคืนกลับไปยังโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟผ.ได้ ผ่านเครื่องอัดประจุไฟฟ้าแบบสองทิศทางสำหรับบ้านเครื่องแรกของโลก รุ่น Quasar จากแบรนด์ Wallbox ซึ่งเป็นผู้นำด้านเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและระบบบริหารจัดการพลังงานสุดอัจฉริยะระดับโลก ที่นำเข้าและให้บริการหลังการขายโดยบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ทำให้สามารถใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานสำหรับการใช้งานภายในบ้านและการใช้งานเชิงพาณิชย์ได้ ในกรณีที่เกิดเหตุภัยพิบัติที่ทำให้ไฟฟ้าดับในชุมชน ก็สามารถใช้นิสสัน ลีฟ เป็นแหล่งพลังงานสำรองได้ นอกจากนี้ ระบบชาร์จไฟฟ้าสองทางในนิสสัน ลีฟ ยังสามารถจ่ายพลังงานสำรองกลับเข้าสู่โครงข่ายไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัยในช่วงพีคหรือช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดได้ด้วย ด้วยแบตเตอรี่ขนาดความจุ 40 กิโลวัตต์ ทำให้นิสสัน ลีฟ สามารถจ่ายไฟฟ้าให้แก่หนึ่งครัวเรือนไทยขนาดทั่วไปได้ประมาณ 2-3 วัน
บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายในประเทศถือเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญของการผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2050 กฟผ. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ได้เตรียมความพร้อมของระบบไฟฟ้าและการบริหารจัดการพลังงานรองรับการใช้ EV ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงรองรับเทคโนโลยีการจ่ายไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ระบบไฟฟ้า (Vehicle-to-Grid หรือ V2G) โดย กฟผ. ได้พัฒนาออกแบบระบบ EGAT V2G & VPP ซึ่งเป็นระบบควบคุมการสั่งจ่ายไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ของรถอีวีหลายๆ คัน กลับเข้าสู่ระบบไฟฟ้าพร้อมกัน และส่งกำลังไฟฟ้าเสมือนนี้ให้ศูนย์ Demand Response Control Center (DRCC) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ กฟผ. ขานรับแนวคิดโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plant หรือ VPP) รองรับการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเหลือจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ระบบไฟฟ้าในอนาคต เพื่อเป็นระบบสำรองไฟฟ้าช่วยเสริมความมั่นคงไฟฟ้าของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในโครงการพัฒนาแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสมาร์ทกริดของประเทศไทย ระยะปานกลาง พ.ศ. 2565 – 2574 ภายใต้โครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงาน (ERC Sandbox) ระยะที่ 2 โดยความร่วมมือระหว่าง กฟผ. กับนิสสัน ประเทศไทย ในครั้งนี้ จะเป็นการขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการศึกษาเทคโนโลยี V2G ที่เหมาะสมกับประเทศไทย รวมถึงการนำข้อมูลมาใช้จัดทำข้อกำหนดและระเบียบปฏิบัติให้สอดรับกับแนวทางการใช้พลังงานรูปแบบใหม่ในอนาคตต่อไป
ปัจจุบัน นิสสันจำหน่ายรถยนต์ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้า 2 รุ่นในประเทศไทย ได้แก่ นิสสัน ลีฟ ซึ่งเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของโลกที่ออกสู่ตลาด ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และรถยนต์นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ซึ่งเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้า ที่นิสสันผลิตในประเทศไทย
ในฐานะผู้นำตลาดด้านยานยนต์ไฟฟ้า นิสสันได้เริ่มบุกเบิกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวนิสสัน ลีฟ เป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2553 นับจนถึงปัจจุบัน มีผู้ขับขี่ทั่วโลกที่หันมาใช้นิสสัน ลีฟมากกว่า 600,000 คัน คาดว่าผู้ขับขี่รถยนต์รุ่นนี้ทั่วโลกได้ใช้ นิสสัน ลีฟ ในการเดินทางเป็นระยะทางรวมแล้วกว่า 23,000 ล้านกิโลเมตร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยียานยนต์ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้าจากประเทศญี่ปุ่น
ผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิสสัน ประเทศไทย ได้ที่เว็บไซต์ https://nissan.co.th หรือ Facebook, Instagram, Twitter และ YouTube
A10985
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด