บลจ.ไทยพาณิชย์ เชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมเป็นนักวางแผนการลงทุนอิสระ
โอกาสสร้างรายได้ เพื่ออิสระภาพทางการเงินที่เร็วขึ้น
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งเดินหน้าขยายฐานนักวางแผนการลงทุนอิสระ (Independent Investment Planner : IIP) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการผู้แนะนำการวางแผนการลงทุนที่มีความรู้ความสามารถ สร้างความมั่นใจและเป็นที่ปรึกษาทางการเงินได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
โดยกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทฯ ต้องการเชิญชวนมาร่วมได้แก่ กลุ่มบุคคลทั่วไปที่ปัจจุบันไม่ได้สังกัดเป็นพนักงานประจำสถาบันการเงินใดๆ ยกเว้นบริษัทประกัน และกลุ่มบุคคลที่เกษียณแล้วหรือใกล้เกษียณเพียงมีใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุน Investment Consultant (IC) License หรือใบอนุญาตผู้วางแผนการลงทุน Investment Planner (IP) License ซึ่งอาจจะสนใจในรูปแบบทำงานคนเดียว หรือแบบทีมก็ได้เช่นกัน โดยผู้ที่สนใจแบบทีมนั้น สามารถสร้างทีมได้อย่างอิสระด้วยตนเองโดยไม่มีข้อจำกัดของจำนวนลูกทีมเพื่อเป็นการขยายฐานของทีมให้มีการเติบโตและแข็งแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสการเติบโตของรายได้ที่จะได้รับเพิ่มอีกทางหนึ่งจากลูกทีมอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นอาชีพที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ไม่จำกัดอายุหรือสาขาวิชาขอเพียงมีความสนใจในด้านการลงทุนก็สามารถการสร้ายรายได้อีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับ IIP จะมีหน้าที่ให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์การลงทุน รวมถึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนให้แก่นักลงทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน ซึ่งโดยหลักๆ แล้ว IIP จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีความกระตือรือร้น และมีไอเดียกลยุทธ์ทางการตลาดเป็นคุณสมบัติหลัก รวมถึงต้องมีการวางแผนงานอย่างมีระเบียบแบบแผนที่ดี เพราะจะต้องจัดการงานต่างๆ ด้วยตัวเองเป็นหลัก โดยนอกจากค่าตอบแทนที่ IIP สามารถสร้างรายได้เป็นอาชีพหลักหรือรายได้เสริมแล้ว แต่ถ้ามีความขยันรายได้อาจจะดีกว่าอาชีพประจำเพราะมีเวลาในการจัดสรรเวลา และพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ อีกเมื่อทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนด อาทิเช่น โปรแกรมศึกษางานทั้งในและต่างประเทศ, การฝึกอบรมทักษะต่างๆ, สิทธิพิเศษในการเข้าร่วมสัมมนากับ SCB Group และโอกาสในการเข้าร่วมชมกิจกรรมพิเศษอื่นๆ เป็นต้น อีกทั้ง บริษัทฯ ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญในการเพิ่มพูนทักษะความรู้ด้านการลงทุนเพื่อต่อยอดการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ลงทุน จึงได้จัดการอบรม/สัมมนาในด้านนี้อย่างสม่ำเสมอ
นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับนักวางแผนการลงทุนอิสระนั้น จะเน้นเรื่องการวางแผนการลงทุนให้กับนักลงทุนได้อย่างมีทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้มีความมั่งคั่งและมั่นคงทางการเงิน โดยบริษัทฯ จะมีทีมที่คอยสนับสนุนการขายอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูลกองทุน ข้อมูลภาพรวมเศรษฐกิจ หรือข้อมูลต่างๆ อีกทั้งยังมีเครื่องมือต่างและสื่อการขายเพื่อช่วยนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ลงทุนได้อย่างสะดวกและถูกต้องอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เปิดกว้างมากขึ้นสำหรับผู้ที่สนใจซึ่งนอกจากเป็นอาชีพอิสระทั้งในการทำงานที่เราสามารถกำหนดเวลาในการทำงานด้วยตัวเองแล้ว ยังมีอิสระในด้านความคิดที่สามารถกำหนดได้เองว่าต้องการทำอะไร มีแผนงานอะไรที่จะสร้างรายได้ให้เราเพิ่มขึ้น อีกทั้ง อาชีพนี้ยังสามารถสร้างรายได้เทียบเท่าอาชีพประจำได้ ไม่ว่าจะทำแบบเป็นรายได้หลักหรือรายได้เสริมด้วยส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมการขายในระดับบุคคล และยังสามารถเพิ่มรายได้อีกขั้นด้วยการสร้างเครือข่ายที่จะได้รับค่าธรรมเนียมส่วนเพิ่มระบบทีม ซึ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรามีอิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้นอีก
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-777-7777 กด 0 กด 6 หรือสนใจเข้าร่วมเป็นนักวางแผนการลงทุนอิสระได้ที่ https://scbam.info/2NQcihn
A4036
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
บลจ.กสิกรไทย เฮ! โชว์ผลงานกองทริกเกอร์หุ้นไทย กองทุน KTFT5 วิ่งเข้าเป้าหมาย 5%
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ บลจ.กสิกรไทย ได้เสนอขายกองทุนเปิดเค ไทย เฟล็กซิเบิ้ล ทริกเกอร์ 5 (KTFT5) ไปเมื่อวันที่ 13-15 พฤษภาคม 2558
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา กองทุน KTFT5 มีมูลค่าหน่วยลงทุนแตะที่ระดับ 10.7580 บาทต่อหน่วย โดยใช้ระยะเวลาบริหารประมาณ 11 เดือนนับจากวันจัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของกองทุนที่ระบุว่า บลจ.กสิกรไทยจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมดเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.70 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 5%
ดังนั้น บลจ.กสิกรไทยจึงรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมดในวันที่ 28 เมษายน 2559 และจะชำระเงินค่าขายคืนให้กับผู้ลงทุนในวันที่ 29 เมษายน 2559 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ได้มีการปรับตัวลดลง -5.8%
สำหรับ กองทุนเปิดเค ไทย เฟล็กซิเบิ้ล ทริกเกอร์ 5 (KTFT5) มีนโยบายเน้นการลงทุนในหุ้นไทย แต่สามารถลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝากได้ โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0%-100% ตามสภาวะตลาดที่เหมาะสมในแต่ละขณะ โดยกองทุนมีเป้าหมายผลตอบแทนของกองทุนอยู่ที่ 5%* ภายในระยะเวลา 1 ปี พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรับผลตอบแทน 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.20 บาท ต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 2.0% และครั้งที่ 2 จะรับซื้อคืนโดยอัตโนมัติเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.70 บาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนอีกประมาณ 3.0%* (หมายเหตุ: *เป็นเพียงเป้าหมายการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดเพื่อเลิกกองทุนเท่านั้น ไม่ใช่ตัวประมาณการหรือรับประกันอัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงอาจจะได้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่อ้างถึง)
ด้านมุมมองการลงทุนในหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ บลจ.กสิกรไทยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยในระยะสั้นจะยังคงได้รับแรงกดดันจากความผันผวนในตลาดโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศซึ่งต้องจับตามองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนได้มากน้อยเพียงใด ประกอบกับในช่วงเกือบ 4 เดือนแรกของปี 59 ที่ผ่านมา ตลาดได้มีการปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างมาก ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในรายกลุ่มอุตสาหกรรม ยังคงเน้นการลงทุนในกลุ่มที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตอย่างมั่นคง กลุ่มที่จ่ายเงินปันผลในระดับดีและกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐบาล อาทิ วัสดุและรับเหมาก่อสร้าง ขนส่งและท่องเที่ยว เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มที่สามารถขยายตัวได้ดี ทั้งนี้สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาว อาจอาศัยจังหวะในช่วงที่หุ้นปรับฐานลงมา โดยสามารถเข้าสะสมในหุ้นไทยเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาวได้
นางสาวธิดาศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า "บลจ.กสิกรไทยยังคงมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2559 ที่ระดับ 1,450 ด้วยอัตราส่วน Forward P/E ที่ประมาณ 15.5 เท่า โดยปัจจัยสนับสนุนหลักที่จะต้องติดตามคือการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาล และนโยบายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ ที่ยังเป็นความหวังที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป ส่วนปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศที่อาจสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง หนี้เสียในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ยังคงเพิ่มขึ้น ตัวเลขการส่งออกที่ชะลอลง รวมถึงปัญหาภัยแล้ง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศที่นักลงทุนต้องติดตาม คือ การปรับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน รวมถึงความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าเงินในสกุลหลักต่างๆ"
ทิสโก้ พิสูจน์ฝีมือบริหาร'กองทริกเกอร์'สุดแม่น คว้ากำไรหุ้นญี่ปุ่น 8% เตรียมหุ้นเกาหลีเสิร์ฟต่อเนื่อง
ทิสโก้ พิสูจน์ฝีมือสุดยอดกองทุนต่างประเทศ กองทริกเกอร์เข้าเป้าทุกสัปดาห์ ล่าสุด'เจแปน ทริกเกอร์'กองที่ 4 ถึงเป้า 8%หลังบริหารเพียงเดือนกว่า สะท้อนมุมมองแม่นยำ ทั้งหุ้น ‘เกาหลี-จีน- ไทย-ญี่ปุ่น’ ตบเท้าเข้าเป้าแล้ว 5 กองรวด เตรียมออก ‘เกาหลี ทริกเกอร์’กองที่ 3 ทำเงินให้ผู้ลงทุนต่อเนื่อง
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr.Saharat Chudsuwan, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า ทิสโก้ประสบความสำเร็จในการบริหารกองทริกเกอร์ฟันด์อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริหาร "กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% #4" เข้าเป้าหมายแล้ว หลังจากจัดตั้งกองทุนเมื่อ 29 เม.ย. ที่ผ่านมา โดย ณ วันที่ 19 มิ.ย. 57 กองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 8% โดย NAV อยู่ที่ 10.8086 บาทต่อหน่วย จึงเข้าเงื่อนไขเลิกกองทุนคืนเงินผู้ถือหน่วยได้ก่อนกำหนด โดยใช้ระยะเวลาเพียง 1 เดือนกว่าเท่านั้น
“ปัจจัยที่ทำให้เราบริหารกองเจแปนอิควิตี้ กองที่ 4 เข้าเป้าหมาย 8% ในเวลาเพียงเดือนกว่า มาจากมุมมองที่แม่นยำ และการจับจังหวะลงทุนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นความชำนาญเฉพาะตัวของทิสโก้ โดยในช่วงที่ออกกองทุน เรามองว่าสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าผลกำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตอย่างโดดเด่น และตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังมี Upside กว่า 30% ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจลงทุนมาก
ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามที่เราคาดไว้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Abenomics ได้ผล ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจต่างๆ ดีขึ้น ผลกำไรจากการดำเนินงานภาคเอกชนในไตรมาส 1 ขยายตัว 28.8% YoY และตลาดหุ้นญี่ปุ่นเริ่มเคลื่อนไหวแยกจากค่าเงินเยน หลังจากที่ปรับฐานลงมาก่อนหน้านี้จากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น โดยปัจจุบันดัชนี Nikkei ฟื้นตัวขึ้นจากระดับ 14,000 จุด ในเดือน เม.ย. สู่ระดับ 15,300 จุด (+9%) แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ทำให้สามารถบริหารกองทุนเข้าเป้าหมายก่อนกำหนด”นายสาห์รัช กล่าว
ผลงานดังกล่าวสะท้อนถึงความมืออาชีพของทิสโก้ ในการบริหารจัดการกองทุน โดยเฉพาะกองทริกเกอร์ โดยในปีนี้สามารถบริหารกองทริกเกอร์เข้าเป้าหมายไปแล้วถึง 5 กอง โดยก่อนหน้านี้ กองไทยทริกเกอร์ กองที่ 16 เข้าเป้า 8% โดยใช้เวลาเพียง 2 เดือนกว่า, กองเกาหลีทริกเกอร์ กองที่ 1 เข้าเป้า 8% โดยใช้เวลาเพียง 1 เดือนกว่า และในเดือนนี้ (มิ.ย.) เข้าเป้าทุกสัปดาห์ ถึง 3 กอง ได้แก่ กองไชน่าทริกเกอร์ กองที่ 12 และ 14 เข้าเป้า 8% โดยใช้เวลาเพียง 4 เดือน และ 3 เดือนตามลำดับ และล่าสุดคือ กองเจแปนทริกเกอร์ กองที่ 4 ดังกล่าว
“ผลงานทั้งหมดตอกย้ำมุมมองการลงทุนที่แม่นยำ และความเชี่ยวชาญในการจับจังหวะลงทุนที่เหมาะสมของทิสโก้ได้เป็นอย่างดี จึงสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายถึง 5 กองทุนรวดในปีนี้”
นายสาห์รัช กล่าวต่อไปว่า บลจ.ทิสโก้ มีแผนการออกกองทุนทริกเกอร์เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยจะออก“กองทุนเปิด ทิสโก้ เกาหลี อิควิตี้ ทริกเกอร์” กองที่ 3 ในเร็วๆ นี้ หลังจากที่เสนอขายมาแล้วถึง 2 กอง และได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างมาก โดยทิสโก้ยังคงมีมุมมองว่าเกาหลีใต้ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ เป็นกลุ่มที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก ขณะที่ราคาหุ้นยังถูก ตลาดหุ้นเกาหลีใต้จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจลงทุนอย่างต่อเนื่อง
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02 633 6000 กด 4
สื่อมวลชนสอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายนิเทศสัมพันธ์ บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป โทร.02 633 6906
บลจ.ธนชาต เสนอขายกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอายุ 3-6 เดือน กองทุน TFI6M57-TFIX-3M 5 TGOV3M4 ชูผลตอบแทน 1.95%- 3.00% ต่อปี
บลจ.ธนชาต ขอเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 6M57 กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ 3 เดือน 5 และกองทุนเปิด ธนชาตพันธบัตรรัฐคุ้มครองเงิน 3M4 ให้ผลตอบแทนประมาณ 1.95% - 3.00%ต่อปี เริ่มเสนอขายตั้งแต่ 21-28 เมษายนนี้
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองเป็นหลัก ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานหลายๆ ตัวที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคของภาคเอกชน การบริโภคภาคครัวเรือน การลงทุนภาครัฐ แต่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ โดยเฉพาะการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ตามเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะยังคงทรงตัว
ทั้งนี้ บลจ.ธนชาต จึงเพิ่มทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพักเงินและนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก แต่ต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ที่ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 6M57 (TFI6M57) อายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณ 3.00% เริ่มเสนอขายครั้งแรก (IPO) 23 – 28 เมษายน 2557 กองทุนจะเข้าไปลงทุนเงินฝาก Bank of China / China Construction Bank (Asia) สัดส่วน 22.00% เงินฝาก PT Bank CIMB Niaka Tbk (Indonesia) / PT Bank International Indonesia Tbk สัดส่วน 22.00% ตราสารหนี้ ที่ออกโดย Agricultual Bank of China / Industrial and Commercial Bank of China (Asia) สัดส่วน 24% หุ้นกู้ระยะสั้น บจ.โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) / บจ.ลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทย) สัดส่วน 22.00% ตั๋วแลกเงิน ของ บมจ.ราชธานีลิสซิ่ง / หุ้นกู้ระยะสั้น ของ บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง สัดส่วน 10.00% โดยประมาณค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 0.1220%
ส่วนกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ 3 เดือน 5 (TFIX-3M 5) อายุ 3 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณ 2.50% รับคำสั่งซื้อ - ขาย วันที่ 22 - 24 เมษายน 2557 กองทุนจะเข้าไปลงทุนในตั๋วแลกเงิน / เงินฝากประจำ ธ.อาคารสงเคราะห์ / เงินฝากประจำ ธ.ออมสิน สัดส่วน 24.00% ตั๋วแลกเงิน / เงินฝากประจำ ธ.ทิสโก้ / ธ.ธนชาต สัดส่วน 20.00% หุ้นกู้ระยะสั้น บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง / ตั๋วแลกเงิน บมจ.ราชธานีลิสซิ่งจำกัด สัดส่วน 24.00% ตั๋วแลกเงิน บมจ.อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส / บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) สัดส่วน 24.00% หุ้นกู้ระยะสั้น บจ.ลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทย) / บจ.โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) สัดส่วน 7.90% และเงินฝากธนาคารพาณิชย์ 0.10% โดยประมาณค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 0.2032%
และกองทุนเปิดธนชาตพันธบัตรรัฐคุ้มครองเงินต้น 3M4 (TGOV3M4) อายุ 3 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณ 1.95% รับคำสั่งซื้อ - ขาย วันที่ 21-28 เมษายน 2557 กองทุนจะเข้าไปลงทุนในพันธบัตรภาครัฐ สัดส่วน 81.00% และตั๋วแลกเงิน / เงินฝากประจำ ธ.ทิสโก้ / เงินฝากประจำ ธ.ออมสิน สัดส่วน 19.00% โดยประมาณค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 0.1897%
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมขอรับหนังสือชี้ชวนได้ในวันและเวลาทำการเสนอขายที่ บลจ.ธนชาต โทรศัพท์ 0-2126-8399 กด 0 หรือธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร. 1770 หรือผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ บลจ.ธนชาต แต่งตั้ง www.thanachartfund.com
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
บลจ.กสิกรไทย ชวนลงทุนบอนด์สั้น 3-6 เดือน ล็อกอัตราผลตอบแทน 2.8 - 3% ต่อปี
บลจ.กสิกรไทย คาดแนวโน้มดอกเบี้ยทรงตัวระดับต่ำ แนะผู้ลงทุนพักเงินระยะสั้น พร้อมเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 3-6 เดือน ชูผลตอบแทนสูง 2.80%-3.00% ต่อปี เสนอขายวันที่ 22-28 เมษายนนี้
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อนานกว่า 5 เดือน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และส่งผลต่อตัวเลขภาคการบริโภคและการลงทุนที่ชะลอตัวลง
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องที่ 2.00% หากสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ ดังนั้น เพื่อสอดรับกับสถานการณ์ดังกล่าว บลจ.กสิกรไทย จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนที่ต้องการออมเงินระยะสั้น สามารถเลือกพักเงินกับกองทุนตราสารหนี้อายุโครงการประมาณ 3-6 เดือน เพื่อล็อกอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการฝากเงินประจำ และเพื่อรอดูความชัดเจนของทิศทางเศรษฐกิจ โดยในระหว่างวันที่ 22-28 เมษายน 2557
บลจ.กสิกรไทย จะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีจี (KFF6MBG) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอส (KEFF6MS) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.00% ต่อปี และในวันที่ 22-23 เมษายน 2557 จะเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน โอ (KEFF3MO) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.90% ต่อปี โดยทุกกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี
นายชัชชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF3MO จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก PT Bank Danamon Indonesia Tbk เงินฝาก PT Bank Permata Tbk, ประเทศอินโดนีเชีย และตราสารหนี้ Garanti Bank, ประเทศตุรกี รวมด้วยตราสารหนี้ประเทศไทยของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด และตั๋วแลกเงินของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) ด้านกองทุน KEFF6MS เบื้องต้นจะเข้าลงทุนในเงินฝาก PT Bank Permata Tbk, ประเทศอินโดนีเชีย เงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี รวมด้วยตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd. และตราสารหนี้ China Construction Bank (Asia) Corporation, ประเทศฮ่องกง นอกจากนี้ยังลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศ บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีจี (KFF6MBG) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุน โดยกองทุนดังกล่าวเบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ตราสารหนี้ Agricultural Bank of China และตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง รวมทั้งยังลงทุนเพิ่มเติมในตั๋วแลกเงิน บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ สำหรับกองทุน KFF6MBG ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
นอกจากนี้เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในระหว่างวันที่ 22-28 เมษายน 2557 บลจ.กสิกรไทยยังเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีคิว (KPPTF3MDQ) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารภายในประเทศ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.00% ต่อปี
ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KFF6MBG, กองทุน KEFF3MO, กองทุน KEFF6MS และกองทุน KPPTF3MDQ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด