พีระพันธุ์ ลุยถก สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย หาช่องแก้อุปสรรคธุรกิจ หวังปลดล็อกกฎหมาย หนุนโตอย่างมีโอกาสและเท่าเทียมในตลาดการแข่งขัน
'พีระพันธุ์' ควง 'ดวงฤทธิ์'ประชุมร่วมกับผู้บริหารสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ขอฟังข้อเสนอ นำไปเป็นแนวทางช่วยแก้ไขอุปสรรคการดำเนินธุรกิจ หลังพบผู้ประกอบการประสบปัญหาขาดโอกาสและไม่เท่าเทียมกลุ่มทุนใหญ่ในการได้รับการสนับสนุน ทั้งจากภาครัฐ และสถาบันการเงิน ติดเงื่อนไขทางกฎหมาย ทำให้เข้าไม่ถึงแหล่งทุน การผ่อนผันชำระหนี้ หรือการฟื้นฟูกิจการ ชี้ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ร่างกฎหมายช่วยไว้แล้วหลายฉบับ รอเพียงได้โอกาสเสนอในสภาฯ ทำได้ทันทีไม่ต้องเสียเวลาเขียนใหม่
ที่ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย (The Federation Thai SME) ถนนประชาชื่น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย รศ.พิเศษ ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง กรรมการบริหารพรรค เดินทางไปร่วมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยมีนายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และผู้บริหารสมาพันธ์ร่วมประชุมพูดคุยและบรรยายให้ข้อมูล
นายแสงชัย กล่าวว่า กลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นธุรกิจเอสเอ็มอี ถือว่าเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพราะมีจำนวนมาก ทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากตามไปด้วยตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กที่มีแรงงานตั้งแต่ 1-2 คนไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการจ้างแรงงานถึง 300 – 400 คน ดังนั้น จึงถือว่า มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานราก
แต่ที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ประสบปัญหามากมายแม้ว่าจะเคยมีการสนับสนุนจากทางภาครัฐ แต่ส่วนใหญ่เป็นการช่วยเหลือแบบไม่ยั่งยืน ทำให้ผู้ประกอบการต้องดิ้นรนกันเอง หลายปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะการเข้าไม่ถึงการสนับสนุนของภาครัฐจนกลายเป็นความเหลื่อมล้ำที่สร้างความลำบากให้กับผู้ประกอบการ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจใหญ่มีโอกาสและช่องทางในการดำเนินธุรกิจมากกว่า
ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวต่อว่า สิ่งที่สมาพันธ์ฯ ได้รับข้อร้องเรียนจากสมาชิกผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีหลายประเด็น หลักๆ คือเรื่องของการเข้าถึงแหล่งทุนในการประกอบธุรกิจ เนื่องจากมีข้อกำหนดและเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถเข้ากฎเกณฑ์ของธนาคาร หรือกองทุนต่างๆ จนต้องหันไปใช้หนี้นอกระบบกลายเป็นภาระที่ไม่สามารถรับได้ ส่งผลมาถึงเรื่องความสามารถของการชำระหนี้ และยิ่งเมื่อได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงโรคโควิด 19 หรือปัจจัยเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ก็ยิ่งซ้ำเติมผู้ประกอบการมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีประเด็นปัญหาอื่นๆ อีก อาทิ ขาดโอกาสทำพลังงานทางเลือกอื่นๆ แทนการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ซึ่งปัจจุบันโอกาสส่วนใหญ่อยู่ที่ทุนขนาดใหญ่เท่านั้น
ขอให้เพิ่มการส่งเสริมนวตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเอสเอ็มอี ให้มีโอกาสเติบโตในตลาดโลก โดยหน่วยงานด้านการพัฒนา และหน่วยงานทางการเงินควรทำงานร่วมกันเพื่ออำนวยความสะดวกกับเอสเอ็มอี รวมทั้งควรมีการปรับปรุงกฎหมาย ลดข้อจำกัดต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง และขอให้พิจารณาอัตราภาษีที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างทุนขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี เป็นต้น
ด้านนายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ในการมาร่วมพูดคุยกับกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในวันนี้ เพราะต้องการรับทราบข้อมูล ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งได้รับทราบข้อมูลหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ ตนจะได้นำกลับไปเร่งหาแนวทางในการให้การทำงานเพื่อช่วยเหลือแก้ไข ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถยืนหยัดทำธุรกิจไปได้
ซึ่งจากที่ฟังข้อมูลก็พบว่าประเด็นปัญหาสำคัญส่วนหนึ่งอยู่ที่เรื่องของข้อจำกัดหลายอย่างที่เกิดจากเงื่อนไขทางกฎหมาย ที่มีกฎเกณฑ์ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ รวมไปถึงความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มทุนธุรกิจขนาดใหญ่ กับกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ตรงกับแนวทางการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติอยู่แล้ว ที่มุ่งหวังจะแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ชัดเจนต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม
“ทุกอย่างอยู่ที่กฎหมาย เพราะทุกประเทศในโลกในระบอบประชาธิปไตยต้องใช้กฎหมาย และกฎหมายคือตัวที่จะทำให้ประเทศเจริญหรือไม่เจริญ ไม่ใช่ผมเป็นนักกฎหมายแล้วบ้ากฎหมาย แต่ผมเห็นแบบนั้นจริงๆ เพราะว่านักเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ต่างๆ ที่คิดอะไรขึ้นมา แต่สุดท้ายถ้ากฎหมายไม่แก้ให้ตามที่คิดก็ทำไม่ได้ หรือถ้าแก้มาไม่ตรงกับตามที่คิด ก็ผิดอีก
ทุกอย่างต้องบริหารให้ตรงกับกฎเกณฑ์กติกา ผมเชื่อว่าถ้าเราปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคหลายอย่าง จะทำให้สังคม กิจการต่างๆ ไปได้ดี สำคัญคือคนเขียนกฎหมายต้องเข้าใจ และต้องไม่เขียนกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่ต้องเขียนเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง”นายพีระพันธุ์ กล่าว
นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า ตนเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในตลอดช่วงเวลาที่ทำงานมากว่า 30 ปี จนถึงวันนี้ที่ได้มาทำพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคก็มีแนวทางที่ต้องการจะแก้ไขปัญหาของสังคมทุกเรื่อง ตั้งแต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ชาวบ้านธรรมดา และผู้ด้อยโอกาสอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงในสังคม ซึ่งตอนนี้ทางพรรคเองได้ทำงานอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการร่างกฎหมาย และปรับปรุงแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ หลายกฎหมายได้ร่างเสร็จ ความตั้งใจของพรรคคือพร้อมที่จะเสนอกฎหมายเข้าสภาทันที ไม่ต้องรอการเขียนกฎหมายอีกรอเพียงการมืโอกาสเสนอเข้าไปรับรองในสภาฯ เท่านั้น
“ผมเชื่อว่า ทุกอย่างในบ้านเมืองเราปลดล็อกได้ด้วยกฎหมาย เพราะฉะนั้นผมจะรับแนวทางข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบเพื่อที่จะให้กลุ่มเอสเอ็มอีมีโอกาสเติบโต และเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และช่วยพัฒนาประเทศให้เติบโตต่อไปได้ อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่เชื่อในการเป็นที่หนึ่งในประเทศไทยคนเดียว แต่ผมอยากให้ทุกคนเป็นที่หนึ่งได้อย่างเท่าเทียมกัน”นายพีระพันธุ์ กล่าว
พีระพันธุ์ พร้อมทำหน้าที่ 'ผู้นำประเทศ'ย้ำนักการเมืองที่ประชาชนไว้ใจต้องทำงานได้ทุกตำแหน่ง
พีระพันธุ์ เผย พร้อมทำหน้าที่ 'ผู้นำประเทศ'ถ้าประชาชนมั่นใจและให้โอกาสเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติ ย้ำการที่เข้ามาอยู่ในวงการการเมืองต้องพร้อมทำได้ในทุกตำแหน่ง ระบุการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาครั้งนี้มุ่งเป็นพรรคหลักเท่านั้น ชี้เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำมุ่งเน้นเรื่องปากท้อง ราคาน้ำมัน และความเท่าเทียมทางการศึกษา
เมื่อวันที่ 8 ส.ค.นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงเรื่องเร่งด่วนที่พรรคเตรียมแนวทางการทำงานไว้ หากได้รับโอกาสเข้าไปทำงานให้กับประชาชนว่า เรื่องแรก คือเรื่องการดำรงชีวิตของประชาชน ซึ่งประกอบไปด้วย เรื่องปากท้อง ค่าครองชีพ การดูแลครอบครัวของพี่น้องประชาชน รวมถึงเรื่องลูกหลานจะได้รับการศึกษาหรือเรียนอย่างไร
นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่สอง คือการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ ราคาน้ำมัน พลังงานสำรอง เรื่องที่สาม คือการสร้างโอกาสในการศึกษาที่ต้องเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน เพราะที่ผ่านมาพ่อแม่ต้องมากังวลเรื่องการเรียนของลูก โดยเฉพาะการฝากเด็กเข้าเรียน ซึ่งอนาคตของเด็กเหล่านี้ ทำไมต้องมาอยู่ที่เรื่องการเงินของครอบครัว ตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็นและเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข
“นั่นคือ สิ่งที่ผมและพรรครวมไทยสร้างชาติ เห็นว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องรีบทำ ถ้าเรามีอำนาจทางการเมืองที่จะเข้าไปทำได้ก็อยากรีบทำทันที เพราะประชาชนเขาเดือดร้อน เขารอไม่ได้ ผมไม่อยากเสียเวลากับการเล่นการเมือง การถกเถียงกันของนักการเมืองเป็นเรื่องที่ประชาชนเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วยเลย สู้เอาเวลาไปหาทางช่วยเหลือประชาชนจะดีกว่า” นายพีระพันธุ์ กล่าว
หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังกล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกตั้งขึ้นมาเป็นพรรคกระแสรองนั้น ตนคิดว่าถ้าใครที่ตั้งพรรคมาแล้ว คิดแค่จะมาเป็นพรรคกระแสรองเท่านั้น ก็อยู่บ้านไปดีกว่า อย่าคิดมาทำพรรคการเมืองเลย หากคิดจะทำพรรคแล้ว ต้องทำให้พรรคเป็นพรรคการเมืองหลักให้ได้ ตนคิดว่าหากทำพรรคแล้วไม่ได้คิดจะเป็นพรรคการเมืองหลัก นั่นคือไม่ได้คิดจะทำอะไร ก็แค่รอโอกาสไปร่วมเป็นรัฐบาลแล้วจะขอเป็นนั่นเป็นนี่ ซึ่งการคิดแบบนี้ไม่ใช่แนวคิดของพรรครวมไทยสร้างชาติ
“ส่วนที่คนมาถามผมว่า จะสนับสนุนใครเป็นนายกฯ ผมขอตอบตรงนี้ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เพราะเลือกตั้งมายังไม่รู้เลยว่าผมจะอยู่ฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล แล้วผมจะมาพูดได้ยังไงว่าจะสนับสนุนใคร แล้ววันนั้นใครจะเป็นฝ่ายชนะเลือกตั้งก็ยังไม่ทราบ แล้วจะมาพูดว่าผมสนับสนุนคนนั้นคนนี้มันพูดไม่ได้หรอก ยังไม่ถึงเวลา ผมว่าความจริงเรื่องอย่างนี้ก็รู้กันอยู่ เมื่อมันถึงเวลาวันนั้นค่อยว่ากัน เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันวันนี้ ถ้าพูดวันนี้ พอถึงเวลาจริงเขาบอกว่าเขาไม่เอาแล้วเขาเบื่อ เขาไม่เล่นต่อแล้ว เราจะทำยังไง ของแบบนี้ไว้ถึงเวลาจริงๆ แล้วค่อยว่ากัน” นายพีระพันธุ์ ย้ำ
ต่อข้อถามที่ว่า โอกาสที่ นายพีระพันธุ์ จะได้เป็นนายกฯ คนต่อไปหรือไม่นั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การที่ตนได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และที่ทุกคนเข้ามาทำงานการเมือง ต้องพร้อมที่จะทำงานทุกตำแหน่งอยู่แล้ว ไม่ได้อยู่ที่ตน อยู่ที่ประชาชน ถ้าประชาชนมั่นใจเชื่อว่าตนทำได้ เขาให้โอกาสตน ตนก็ต้องทำได้ในตำแหน่งนั้น การเข้ามาอยู่ในวงการการเมืองก็ต้องพร้อมที่จะทำให้ได้ในทุกตำแหน่ง
“การเมืองนี่เป็นเรื่องประหลาด ไม่ใช่ว่าเรียนกฎหมายต้องทำงานกฎหมาย เรียนหมอจะต้องทำงานหมอ เห็นไหมครับท่านรัฐมนตรีสาธารณสุขวันนี้จบหมอหรือเปล่า ทำไมท่านยังทำได้ เพราะท่านเป็นนักการเมือง ท่านก็ต้องพร้อมจะเป็น เพราะฉะนั้นผมเรียนกฎหมายก็ไม่ได้แปลว่า ถ้าไม่ใช่กฎหมายผมจะทำไม่เป็น ผมเป็นนักการเมือง ผมต้องทำได้ในทุกตำแหน่งหน้าที่ แต่การจะทำตรงไหนอยู่ที่ประชาชนจะให้โอกาสผมแค่ไหน ถ้าประชาชนมั่นใจว่าผมทำตำแหน่งผู้นำประเทศได้ ก็ขอให้เลือกพรรครวมไทยสร้างชาติ ผมก็เป็นได้” นายพีระพันธุ์ กล่าวในตอนท้าย
ฟิทช์ คงอันดับคุณภาพการจัดการการลงทุนภายในประเทศ บลจ.ไทยพาณิชย์ที่ ‘Excellent(tha)’
ฟิทช์ เรทติ้งส์ – กรุงเทพฯ– 19 กรกฎาคม 2565 : บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับคุณภาพการจัดการการลงทุนภายในประเทศ (National Investment Management Quality Rating) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) ที่ ‘Excellent(tha)’ แนวโน้มอันดับคุณภาพการจัดการการลงทุนมีเสถียรภาพ
ปัจจัยสนับสนุนอันดับคุณภาพการจัดการการลงทุนภายในประเทศ
อันดับคุณภาพการจัดการการลงทุนภายในประเทศของ SCBAM มีพื้นฐานมาจากคะแนนของปัจจัยต่างๆในการจัดอันดับดังนี้
กระบวนการการลงทุน: Strong
บุคลากรและระบบในการจัดการการลงทุน: Excellent
การบริหารจัดการและการควบคุมความเสี่ยง: Excellent
บริษัทและการบริการลูกค้า: Excellent
ผลการดำเนินงานจากการบริหารจัดการการลงทุน: Consistent
อันดับคุณภาพการจัดการการลงทุนเป็นการจัดอันดับในเชิงคุณภาพ โดยที่ฟิทช์จะประเมินความสามารถของบริษัทจัดการกองทุนในด้านการบริหารจัดการการลงทุนและปฏิบัติการการลงทุน บริษัทจัดการกองทุนจะถูกจัดอันดับในระดับต่างๆแบ่งเป็น ‘Excellent’ ‘Strong’ ‘Proficient’ ‘Adequate’ หรือ ‘Weak’
โดยเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่นักลงทุนสถาบันภายในประเทศใช้ในการพิจารณาบริษัทจัดการกองทุน บริษัทจัดการกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับคุณภาพการจัดการ การลงทุนภายในประเทศที่ระดับ ‘Excellent(tha)’แสดงถึงการที่บริษัทมีการจัดการด้านการปฏิบัติการและการลงทุนที่ฟิทช์ คิดว่า โดดเด่นกว่ามาตรฐานที่นักลงทุนสถาบันภายในประเทศใช้ในการพิจารณาบริษัทจัดการกองทุน
กระบวนการการลงทุน
ฟิทช์ มองว่า SCBAM มีกระบวนการการลงทุนที่ดีในการบริหารกองทุนที่หลากหลาย บริษัทมีการวิเคราะห์การลงทุน ในเชิงลึกและเลือกลงทุนอย่างมีระบบ และมีระบบการประเมินผลการดำเนินงานของการลงทุนที่บันทึกไว้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
นอกจากนี้ บริษัทมีการใช้เครื่องมือเชิงปริมาณ (quantitative tools) และปัจจัยเชิงคุณภาพ (qualitative factors) เพื่อสนับสนุนวัตถุประสงค์การลงทุนและกระบวนการการลงทุน ผู้จัดการการลงทุนของบริษัทยังคงใช้เทคโนโลยี machine learning อย่างต่อเนื่อง ซึ่งครอบคลุมทั้งกองทุนตราสารทุนภายในประเทศและต่างประเทศ
บุคลากรและระบบในการจัดการการลงทุน
ฟิทช์ เชื่อว่า SCBAM มีบุคลากรในการจัดการการลงทุนที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก ผู้จัดการการลงทุนของบริษัทมีประสบการณ์ ทำงานผสมผสานกันตามความเหมาะสมในแต่ละสินทรัพย์ที่ลงทุน มีการพัฒนาระบบ machine learning และนำมาใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง น่าจะช่วยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของกองทุนปรับตัวดีขึ้นในระยะยาว ผู้จัดการการลงทุนอาวุโสส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทเป็นระยะเวลานาน แม้ว่าในปี 2564
บริษัทมีอัตราการลาออกของพนักงานในฝ่ายงานการลงทุนในระดับสูง แต่มีการสรรหาพนักงานเข้ามาแทนได้ทันการณ์ นอกจากนี้ พนักงานใหม่ที่เข้ามาแทนยังมีประสบการณ์และมีจำนวนเหมาะสมกับปริมาณงานของบริษัท ความเสี่ยงจากการพึ่งพาบุคลากรคนใดคนหนึ่งมากเกินไปของบริษัทนั้นมีไม่มากนัก จากการที่มีทีมบุคลากรในระดับอาวุโสที่ค่อนข้าง มีเสถียรภาพ นอกจากนี้ บริษัทมีการแยกความรับผิดชอบการบริหารจัดการการลงทุนอย่างชัดเจนและการแบ่งทีมตามสายงานอย่างชัดเจน
ระบบงานของฝ่ายลงทุน (front office) มีความเชื่อมต่อกันผ่านระบบอัตโนมัติ รวมทั้งมีความพร้อมในการปรับปรุงและบำรุงรักษาระบบอย่างสม่ำเสมอ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับการลงทุนที่หลากหลายของบริษัท บุคลากรในการจัดการการลงทุนมีแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจลงทุนที่หลากหลาย ฟิทช์มองว่า SCBAM มีบุคคลากรและทรัพยากรด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับการจัดการการลงทุน
การบริหารจัดการและการควบคุมความเสี่ยง
บริษัทแม่ของ SCBAM ซึ่งคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB; ‘AA+(tha)’/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) เป็นผู้กำหนดนโยบายบริหารความเสี่ยงโดยรวมของกลุ่ม แต่ได้มีการกระจายอำนาจ (decentralise) การบริหารความเสี่ยงให้กับบริษัทลูกในกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายงานกำกับและควบคุม (compliance) ยังคงรวมศูนย์ (centralized) อยู่ที่ SCB เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างอิสระในสถานะบุคคลที่สาม
แม้ฝ่ายบริหารความเสี่ยงของ SCBAM จะยังคงมีความอิสระ จากบุคลากรสายงานการจัดการการลงทุน แต่ทั้ง 2 สายงานยังคงทำงานรวมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อความสอดคล้องและผสานการดำเนินงานด้านการบริหารความเสี่ยง (integrated) ทีมบริหารความเสี่ยงใช้ระบบที่เป็นมาตรฐานสากลสำหรับการประเมินความเสี่ยงและการทดสอบภาวะวิกฤต
บริษัทและการบริการลูกค้า
SCBAM มีการดำเนินกิจการมาอย่างยาวนานในประเทศไทย โดยบริษัทจัดตั้งขึ้นในปี 2535 บริษัทมีเครือข่ายทางธุรกิจ (franchise) ที่แข็งแกร่งในธุรกิจบริหารจัดการกองทุน โดยมีผลิตภัณฑ์กองทุนที่มีความหลากหลายในด้านนโยบายการลงทุน
และมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ที่ 1.7 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 บริษัทยังคงมีการเพิ่มสัดส่วนกองทุนประเภทจัดสรรเงินลงทุนไปลงในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ (asset allocation funds) ขึ้นต่อเนื่อง เพื่อช่วยสนับสนุนเครือข่ายธุรกิจกองทุนรวมของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามกองทุนตลาดเงินและตราสารหนี้ยังคงคิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่า 60% ของ AUM สำหรับกองทุนรวม (ไม่รวมกองอสังหาริมทรัพย์และกองโครงสร้างพื้นฐาน)
SCBAM ยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 27% ณ สิ้นเดือน ธันวาคม 2564 และมี AUM เพิ่มขึ้น 6.7% แสดงถึงเครือข่ายทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ (high net worth)
นอกจากนี้ ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ที่ 13.1% การรายงานข้อมูลต่อผู้ถือหน่วยลงทุนสำหรับกองทุนรวม กองทุน ส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สอดคล้องกับเกณฑ์และมาตรฐานของอุตสาหกรรม
ผลการดำเนินงานจากการบริหารจัดการการลงทุน
ผลการดำเนินงานของกองทุนภายใต้การบริหารของ SCBAM อยู่ในระดับที่สม่ำเสมอเมื่อเทียบกับบริษัทจัดการกองทุนอื่นๆในประเทศไทย ซึ่งวัดจากผลการดำเนินงานของกองทุนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงเป็นเกณฑ์ (risk-adjusted performance)
ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งมีสัดส่วนที่มากที่สุดของสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (assets under management; AUM) มีผลการดำเนินงานของกองทุนอยู่ในระดับที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับกองทุนตราสารหนี้อื่นๆในอุตสาหกรรม สำหรับ กองทุนหุ้นและกองทุนประเภทจัดสรรเงินลงทุนไปลงในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ (asset allocation funds) ผลการดำเนินการโดยรวมสอดคล้องกับกองทุนประเภทเดียวกันที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทอื่นๆ เช่นกัน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
SCBAM เป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มี AUM ขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 19.0% ณ สิ้นปี 2564 บริษัทยังเป็นบริษัทลูกที่สำคัญของ SCB ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาด ที่ 14.6% ในด้านสินทรัพย์ ณ สิ้นปี 2564
ปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่ออันดับคุณภาพการจัดการการลงทุนในอนาคต
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับคุณภาพการจัดการการลงทุน (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
เนื่องจากอันดับคุณภาพการจัดการการลงทุนปัจจุบันอยู่ในอันดับที่สูงที่สุดแล้ว การปรับเพิ่มอันดับจึงไม่น่าจะเกิดขึ้น
กระบวนการลงทุนที่มีความสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง อาจจะส่งผลให้มีการปรับเพิ่มอันดับคะแนนด้านกระบวนการลงทุนเป็น ‘Excellent’
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับคุณภาพการจัดการการลงทุน (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
อันดับคุณภาพการจัดการการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้หากเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางลบอย่างมีนัยสำคัญกับ 5 ปัจจัยหลัก (pillars) ที่ใช้ในการจัดอันดับคุณภาพการจัดการการลงทุน ซึ่งได้แก่ กระบวนการการลงทุน บุคลากรและระบบในการจัดการการลงทุน การบริหารจัดการและการควบคุมความเสี่ยง ผลการดำเนินงานจากการบริหารจัดการการลงทุน และบริษัทและการบริการลูกค้า การปรับลดคะแนนสำหรับปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับคุณภาพการจัดการการลงทุน
เนื่องจากบริษัทมีความเชื่อมโยงที่ใกล้ชิดกับบริษัทแม่ ซึ่งคือ SCB ที่ได้ให้การสนับสนุนบริษัทด้านการดำเนินงาน การเงิน การอนุมัติและให้ความเห็นชอบในนโยบายต่างๆ ทั้งยังมีการพึ่งพาช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัทแม่ ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นของ SCB ในบริษัทอย่างเป็นสาระสำคัญ และส่งผลกระทบให้ระดับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ปรับตัวลดลง เหตุการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้มีการทบทวนการประเมินอันดับคุณภาพการจัดการการลงทุนใหม่
ติดต่อ:
Primary Analyst
กุลรัตน์ ลีลานิรมล
Associate Director
+662 108 0154
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ชั้น 17 อาคารปาร์คเวนเชอร์
เลขที่ 57 ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน
กรุงเทพ 10330
Secondary Analyst
เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล
Senior Director
+662 108 0158
Committee Chairperson
Abis Soetan
Director
+44 203 530 1311
ข้อมูลเปิดเผย: บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ถือหุ้นรายละ 10% ในบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ไม่มีผู้ถือหุ้นใดนอกเหนือจากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัดแห่งประเทศอังกฤษที่มีส่วนในการดำเนินงานและการจัดอันดับที่จัดทำโดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้จาก www.fitchratings.com
ฟิทช์ คงอันดับเครดิตของธนาคารกรุงไทยที่ 'BBB+' และ 'AAA(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
ฟิทช์ เรทติ้งส์ - กรุงเทพฯ/สิงคโปร์ - 27 กรกฎาคม 2565: ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ที่ 'BBB+' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ฟิทช์ได้ประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นที่ ‘F1’ อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล (Government Support Rating: GSR) ที่ 'bbb+' และอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินที่ 'bbb-'
รายละเอียดอันดับเครดิตทั้งหมดได้แสดงไว้ในส่วนท้าย
ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
ปัจจัยสนับสนุนจากรัฐบาล: อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว มีปัจจัยสนับสนุนมาจากอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล (GSR) ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังของฟิทช์ต่อความสามารถ (BBB+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ/F1) และโอกาสที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ (extraordinary support) แก่ KTB ในกรณีที่มีความจำเป็น
ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตภายในประเทศยังพิจารณาเปรียบเทียบกับอันดับเครดิตของบริษัทไทยรายอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศด้วย อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'AAA(tha)' สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ต่ำที่สุดภายในประเทศเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับอันดับเครดิตของบริษัทไทยรายอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ
แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพยังสอดคล้องกับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยและอยู่บนสมมุติฐานของฟิทช์ว่าโอกาสในการให้การสนับสนุนไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น
ความสำคัญในเชิงระบบต่อเศรษฐกิจไทย: อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลของ KTB พิจารณาจากสถานะของธนาคารในการเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญในเชิงระบบต่อประเทศไทย และยังป็นธนาคารพาณิชย์แห่งเดียวที่ภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่
ดังนั้น ฟิทช์จึงพิจารณาให้อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลที่ 'bbb+' ซึ่งอยู่สูงกว่าธนาคารอื่นที่มีความสำคัญในเชิงระบบในประเทศไทย (D-SIBs) อยู่ 1 อันดับ อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลยังพิจารณาถึงความสามารถในการให้การสนับสนุนแก่ธนาคาร ซึ่งบ่งชี้ได้จากอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของประเทศไทย
ฟิทช์ เชื่อว่า ความยืดหยุ่นทางการเงินของประเทศไทยเทียบกับอันดับเครดิตของประเทศ ยังคงอยู่ในระดับสูงและเพียงพอในการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อสนับสนุนภาคธนาคาร ในกรณีที่จำเป็น KTB เป็นหนึ่งในธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของประเทศไทย มีเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่งและเครือข่ายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศและถูกกำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในหกธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศไทย
ความสำคัญในเชิงกลยุทธ์: ฟิทช์ เชื่อว่า การถือหุ้นใน KTB ของรัฐบาล เป็นการลงทุนในเชิงกลยุทธ์ระยะยาว นอกจากนี้ธนาคารยังมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการคลัง และมีหน้าที่สำคัญในการบริหารเงินสดให้แก่หน่วยงานราชการต่างๆ และตลอดหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยภาครัฐกระจายเงินช่วยเหลือตามโครงการช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ผ่านแอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์และสาขาของธนาคาร
สภาพแวดล้อมในการดำเนินงานฟื้นตัวจากผลกระทบโรคระบาด: สภาพแวดล้อมในการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานของภาคธนาคารไทย โดยฟิทช์คาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) จะอยู่ที่ 3.2% ในปี 2565 และ 4.5% ในปี 2566 อันดับคะแนนด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ ‘bbb’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ โดยมีคะแนนตามเกณฑ์มาตรฐานอยู่ในกลุ่ม ‘bb’
แต่ฟิทช์ มีการปรับเพิ่มอันดับคะแนนโดยใช้ปัจจัยด้าน ‘อันดับเครดิตของประเทศ’ รัฐบาลมีความสามารถและความตั้งใจที่จะช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมทางธุรกิจและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งสังเกตได้จากมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ในช่วงโรคระบาดโควิด
มีเครือข่ายธุรกิจในประเทศที่แข็งแรง: อันดับคะแนนด้านโครงสร้างธุรกิจของ KTB ที่ 'bbb' พิจารณาจากขนาดธุรกิจของธนาคารและเครือข่ายทางธุรกิจที่เป็นหนึ่งในธนาคารขนาดใหญ่ของประเทศไทย เช่นเดียวกับธนาคารในกลุ่มที่มีความสำคัญในเชิงระบบอื่นๆ KTB เป็นธนาคารพาณิชย์แบบครบวงจร (universal banking) และมีกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างหลากหลาย การเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งกับรัฐบาลของ KTB ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของฐานเงินฝาก และยังช่วยสนับสนุนธนาคารในการเพิ่มกลุ่มลูกค้ารายย่อยในช่วงผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด
ยังคงมีแรงกดดันจากคุณภาพของสินทรัพย์: อันดับคะแนนด้านคุณภาพของสินทรัพย์ของ KTB อยู่ที่ 'bb+' พิจารณาจากมุมมองของฟิทช์ว่าจะยังคงมีแรงกดดันต่อเนื่องในอนาคต เนื่องจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจน่าจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างช้าจากภาวะโรคระบาด อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 4.2% ณ สิ้นเดือน มีนาคม 2565 จาก 4.9% ณ สิ้นปี 2564 ซึ่งบางส่วนเป็นผลมาจากการขยายตัวของสินเชื่อที่สูง
ทั้งนี้ ฟิทช์ คาดว่า อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยในช่วงปี 2565-2566 ทั้งนี้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมของ KTB ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 3.6% แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบในเชิงลบน่าจะถูกบรรเทาลงได้จากอัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (loan loss absorption buffers) ที่ 159%
ความสามารถในการทำกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีความท้าทายรออยู่: ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ฟิทช์ยังคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อสินทรัพย์เสี่ยงเฉลี่ย 4 ปี (ค่าเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลัง ปี 2561-2564 อยู่ที่ 1.6%) น่าจะยังคงอยู่ต่ำกว่าธนาคารขนาดใหญ่อื่น ผลประกอบการของ KTB อาจได้รับการสนับสนุนในระยะสั้นจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิต (credit impairment charge) และการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยของสภาวะทางเศรษฐกิจ
แต่อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรที่ 'bb+' ยังพิจารณาจากความคาดการณ์ของฟิทช์ว่าแนวโน้มในการทำกำไรจะยังขึ้นอยู่กับความผันผวนและผลกระทบจากวัฎจักรของเศรษฐกิจ
ฐานะเงินกองทุนที่สูงขึ้นและมั่นคง: อันดับคะแนนด้านฐานะเงินกองทุนของ KTB ได้รับการปรับเพิ่มอันดับขึ้นเป็น ‘bbb’ จาก ‘bbb-’ เพื่อสะท้อนถึงการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่สูงกว่า 15% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ฟิทช์ เชื่อว่า การปรับตัวดังกล่าวจะยังคงต่อเนื่อง เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นและการเติบโตของสินเชื่อในระดับปานกลาง จะไม่ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อฐานะของเงินกองทุน ดังนั้น ฐานะเงินกองทุนของ KTB จะช่วยเป็นกันชนในการรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น ความเสี่ยงด้านสินทรัพย์
สภาพคล่องและเงินทุนที่แข็งแกร่ง: เงินกองทุนของ KTB ได้รับการสนับสนุนจากการที่ธนาคารมีฐานเงินฝากที่มีเสถียรภาพในสัดส่วนที่สูง เครือข่ายธุรกิจด้านเงินฝากจากหน่วยงานภาครัฐและความเชื่อมั่นของผู้ฝากเงินจากการที่ธนาคารมีความสัมพันธ์กับรัฐบาล KTB มีสัดส่วนของเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ที่ค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 80% ของเงินฝากทั้งหมดในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงเครือข่ายธุรกรรมธนาคารที่แข็งแกร่ง
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน):
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวอาจถูกปรับลดอันดับหากอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลมีการปรับลดลง อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวยังพิจารณาถึงโครงสร้างเครดิตของธนาคารที่มีปัจจัยสนันสนุนจากรัฐบาล เทียบกับธนาคารและบริษัทอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ
การปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นอาจเกิดขึ้นได้ หากอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวถูกปรับลดอันดับ
การปรับลดอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลของ KTB อาจเกิดขึ้นได้ หากความสามารถที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนแก่ธนาคารปรับตัวด้อยลง ซึ่งสะท้อนได้จากการปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย นอกจากนี้อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลของ KTB อาจถูกปรับลดอันดับได้
ในกรณีที่มีการปรับลดลงของแนวโน้มในการให้การสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น การลดลงอย่างมีนัยสำคัญของระดับความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ พร้อมทั้งการลดลงของระดับความสัมพันธ์กับรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตามฟิทช์มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นถึงระยะปานกลาง
อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ KTB อาจถูกปรับลดลงเป็น 'bb+' หากฐานะทางการเงินของธนาคารปรับตัวด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งชี้ถึงการที่ธนาคารมีความสามารถในการรองรับความเสี่ยงที่ลดลง ซึ่งอาจสะท้อนได้จากโครงสร้างของธุรกิจที่อ่อนแอ่กว่าที่คาดการณ์ และไม่สามารถรักษาความสามารถในการสร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงวัฏจักรของธุรกิจ
ซึ่งอาจแสดงได้จากการปรับตัวลดลงของอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET 1) ที่ต่ำกว่า 13 % เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง (ณ สิ้นเดือน มีนาคม 2565 อยู่ที่ 15.6%) และการลดลงของอัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อหนี้สินด้อยคุณภาพที่ต่ำกว่า 100% ควบคู่ไปกับอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมที่สูงกว่า 6% อย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน):
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลจะส่งผลกระทบในทิศทางเดียวกันต่ออันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว
อันดับเครดิตภายในประเทศของ KTB ไม่มีโอกาสปรับเพิ่มอีกแล้ว เนื่องจากเป็นอันดับเครดิตสูงสุดแล้ว
อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลพิจารณาจากอันดับเครดิตของประเทศไทย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกจะเกิดขึ้นได้จากการปรับตัวดีขึ้นของอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของประเทศไทย ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการให้การสนับสนุนแก่ KTB ที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ต้องพิจารณาสมมุติฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มการให้ความสนับสนุนด้วยว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ณ ระดับอันดับเครดิตของประเทศที่สูงขึ้น
เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างช้า การปรับเพิ่มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินนั้นมีค่อนข้างจำกัดในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม การปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการหารายได้จะนำไปสู่การปรับอันดับเครดิตในเชิงบวก ตัวอย่างเช่น การมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมที่น้อยกว่า 3.5% อย่างต่อเนื่อง (ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 4.2%) และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่สูงกว่า 2.5% เป็นเวลาต่อเนื่อง (ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 1.5%) ควบคู่ไปกับการรักษาฐานะเงินทุนที่แข็งแกร่ง
ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต: อันดับเครดิตตราสารหนี้และอันดับเครดิตอื่นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
ห้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ KTB ที่ 'AAA(tha)' ได้รับการจัดอันดับเครดิตให้อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศ เพื่อสะท้อนถึงภาระผูกพันที่ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของธนาคาร
ห้นกู้ด้อยสิทธิ
หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามเกณฑ์บาเซล 3 ได้รับการจัดอันดับต่ำกว่าอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของธนาคารอยู่ 2 อันดับ ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ในการจัดอันดับของฟิทช์เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของการขาดทุนจากการชำระคืนเงินกู้ (loss severity risk) ที่มากกว่าเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ที่ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน
สถานะด้อยสิทธิของตราสารไม่มีคุณสมบัติรองรับผลขาดทุนระหว่างการดำเนินกิจการ (going-concern loss absorption) เช่น คุณสมบัติของการยกเลิกหรือการเลื่อนจ่ายดอกเบี้ย จึงไม่ได้มีการปรับลดอันดับเครดิตเพิ่มเติมสำหรับความเสี่ยงที่ผู้ถือหุ้นกู้จะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดการณ์ (non-performance risk)
ฟิทช์ ใช้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวจากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เป็นอันดับเครดิตอ้างอิงของหุ้นกู้ดังกล่าว เนื่องจากฟิทช์เชื่อว่ารัฐบาลจะให้การสนับสนุนแก่ KTB ก่อนที่จะถึงจุดที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต: อันดับเครดิตตราสารหนี้และอันดับเครดิตอื่นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน):
การปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวจะส่งผลในทิศทางเดียวกันกับอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและด้อยสิทธิของธนาคาร
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน):
อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ของ KTB ไม่มีโอกาสปรับขึ้นได้อีก เนื่องจากอันดับเครดิตอ้างอิง ซึ่งก็คือ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวอยู่ในระดับที่สูงสุดของอันดับเครดิตภายในประเทศแล้ว
อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิอาจถูกปรับเพิ่มอันดับได้หากความเสี่ยงของการขาดทุนจากการชำระคืนเงินกู้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ถือหุ้นกู้ไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดการณ์ นั้นอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งน่าจะมีความเหมาะสมมากกว่าที่จะปรับลดอันดับลงเพียง 1 อันดับ จากอันดับเครดิตอ้างอิง จากระดับปัจจุบันที่ 2 อันดับ แต่อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ไม่คาดการณ์ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระยะสั้น
การปรับคะแนนของปัจจัยในการพิจารณาอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน
อันดับคะแนนที่ให้แก่ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ 'bbb' อยู่สูงกว่าคะแนนตามเกณฑ์ที่อยู่ในกลุ่ม 'bb' เนื่องจากการปรับเพิ่มคะแนนด้วยปัจจัยด้าน 'อันดับเครดิตของประเทศ'
อันดับคะแนนที่ให้แก่ปัจจัยด้านรายได้และอัตรากำไรที่ ‘bb+’ อยู่ต่ำกว่าคะแนนตามเกณฑ์ที่อยู่ในกลุ่ม 'bbb' เนื่องจากการปรับลดคะแนนด้วยปัจจัยด้าน 'ความผันผวนของความสามารถในการทำกำไร'
อันดับเครดิตที่มีความเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตอื่น
อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว และอันดับเครดิตภายในประเทศของ KTB มีความเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย
การพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
KTB มีระดับคะแนนด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)ที่ระดับ 4 สำหรับความสัมพันธ์ของโครงสร้างธรรมาภิบาล (Governance Structure) เนื่องจากการถือหุ้นโดยรัฐบาลในธนาคารและมีโอกาสที่ภาครัฐจะมีอิทธิพลต่อการกำกับดูแลกิจการและความเสี่ยง (risk governance) และโครงสร้างทางการเงินของธนาคาร ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบทางลบต่อโครงสร้างเครดิตและสัมพันธ์ต่ออันดับเครดิตเช่นเดียวกับปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิตอื่น
หากไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนนี้ แสดงว่าธนาคารมีระดับคะแนนความสัมพันธ์ของ ESG ต่ออันดับเครดิต ไม่เกินระดับ 3 ซึ่งหมายความว่าปัจจัยด้าน ESG จะไม่ส่งผลกระทบหรืออาจมีผลกระทบในระดับที่น้อยมากต่ออันดับเครดิตของธนาคาร ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยจากลักษณะของธุรกิจหรือจากการบริหารจัดการของธนาคารก็ตาม รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดมีดังนี้สาหรับรายละเอียดเพิ่มเติมหาได้จาก www.fitchratings.com/esg
รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดมีดังนี้
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F1’
- อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับเครดิตที่ ‘bbb-’
- อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล คงอันดับเครดิตที่ 'bbb+'
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับเครดิตที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับเครดิตที่ ‘F1+(tha)’
- อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน คงอันดับเครดิตที่ ‘BBB+’
- อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน คงอันดับเครดิตที่ ‘AAA(tha)’
- อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 (ตามเกณฑ์บาเซล 3) คงอันดับเครดิตที่ ‘AA(tha)’
- อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน คงอันดับเครดิตที่ ‘F1+(tha)’
ติดต่อ
อาลฎา สุขะการผดุง
Associate Director
Primary Rating Analysts
อันดับเครดิตภายในประเทศ
+662 108 0163
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จากัด
อาคารปาร์คเวนเชอร์ ชั้น 17
57 ถนน วิทยุ ลุมพินี
ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
Tania Gold
Senior Director
Primary Rating Analysts
อันดับเครดิตสากล
+65 6796 7224
Fitch Ratings Singapore Pte Ltd
One Raffles Quay #22-11, South Tower
Singapore 048583
อาลฎา สุขะการผดุง
Associate Director
Secondary Rating Analysts
อันดับเครดิตสากล
+662 108 0163
พชร ศรายุทธ
Director
Secondary Rating Analysts
อันดับเครดิตภายในประเทศ
+662 108 0152
Committee Chairperson
Jonathan Cornish
Managing Director
+852 2263 9901
ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้จาก www.fitchratings.com
พีระพันธุ์ ประเดิมลงพื้นที่ห้วยขวาง-ดินแดง หลังรับตำแหน่งหัวหน้า 'พรรครวมไทยสร้างชาติ' ระบุนายกฯ ห่วงทุกคน สั่งช่วยเหลือเต็มที่อย่างเท่าเทียม
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ประเดิมงานแรกหลังรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค 'รวมไทยสร้างชาติ' ลงพื้นที่เยี่ยมชุมชน ดินแดง-ห้วยขวาง พร้อมนำหน่วยงานเกี่ยวข้องบรรเทาเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจ – น้ำท่วม ระบุนายกฯ “ตู่” ฝากบอก คิดถึงและห่วงทุกคน เร่งให้ช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชนโดยเร็ว หลังพบมีคนร้องเรียนขอความช่วยเหลือผ่านสำนักนายกฯ กว่า 2 แสนเรื่อง
วันที่ 5 สิงหาคม 2565 เวลา 15.00 น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วยนางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นางอนงค์ เพชรทัต สก.เขตดินแดง ลงพื้นที่ห้วยขวาง ดินแดง เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากเหตุฝนตกหนัก และผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำในขณะนี้ โดยระหว่างการลงพื้นที่นายพีระพันธุ์ และคณะได้พูดคุยกับประชาชน สอบถามถึงความเดือดร้อนและปัญหาที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ พบว่าปัญหาส่วนใหญ่เป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจ การทำมาหากินที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 และภาวะเศรษฐกิจโลก
รวมถึงปัญหาเฉพาะหน้าเช่น น้ำท่วมขัง เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางไปประกอบอาชีพประจำวัน และการทำมาหากิน และทำให้ยานพาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ได้สั่งการให้ทีมงาน ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้ามาช่วยเหลือแก้ปัญหา อาทิ ทหารจากกองทัพบก,วิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อบริการซ่อมบำรุงและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ ให้ใช้งานได้ตามปกติ พร้อมซ่อมบำรุงเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมขัง และมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงจัดให้มีทีมช่างตัดผมมาบริการ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว
นายพีระพันธุ์ กล่าวในระหว่างลงพื้นที่ว่า เนื่องจากตอนนี้มีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ทำให้มีภารกิจเยอะมาแต่ก็ได้พยายามทำงานแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชนให้ได้โดยเร็ว จึงทำให้ไม่ได้ลงพื้นที่ดินแดง ห้วยขวางมาระยะหนึ่งแล้ว แต่โชคดีที่ได้นางอนงค์ เพชรทัต สก.เขตดินแดง และทีมงานมาช่วยงานประสานข้อมูลเกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ร่วมกับทีมงานเดิม ทำให้มีทีมที่จะมาช่วยกันเสริมการทำงานมากขึ้น โดยทราบว่าในช่วงโควิดที่ผ่านมาหลายคนประสบความยากลำบาก จึงได้จัดหน่วยงานเพื่อมาให้ความช่วยเหลือในวันนี้
“นายกฯ เองท่านก็ฝากความคิดถึง ดูแลเป็นห่วงทุกคน และท่านได้ตั้งให้ผมเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติงานของราชการเพื่อคอยดูแลความเดือดร้อนของประชาชนโดยตรง ปรากฏว่าคนที่เดือดร้อน มีทั่วประเทศยื่นคำร้องไปถึงท่านนายกฯ จำนวนเกือบสองแสนกว่าเรื่อง แต่เรื่องไปกองอยู่ที่สำนักนายกฯ ท่านก็เลยให้ผมช่วยมาเคลียร์ปัญหาเร่งรัด ช่วยแก้กรณีหนักๆ ก่อน ผมก็เลยดำเนินการตอนนี้อยู่ วันนี้ก็เป็นการดีที่ได้มาช่วยเหลือคนกรุงเทพฯด้วย แม้จะมีหน่วยงานอื่นทำ แต่ถ้าเราไม่ช่วยกันมันก็ไม่เพียงพอ ถ้าช่วยกันคนละไม้ละมือมันก็จะช่วยให้ภาระของพี่น้องประชาชนเบาลง” นายพีระพันธุ์กล่าว
นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ตนอยากจะบอกว่าปัญหาบ้านเมืองทางเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยประเทศเดียว แต่เป็นผลสืบเนื่องมาตั้งแต่ก่อนโรคระบาด จนมาถึงเรื่องสงครามยูเครน รัสเซีย จึงส่งผลกระทบไปหมด ยากที่จะฟื้นขึ้นได้โดยเร็วแต่สิ่งที่นายกฯ และรัฐบาลอยากจะเร่งทำให้ดีที่สุดคือช่วยประชาชน ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ผ่านช่วงวิกฤติตรงนี้ไปให้ได้ ซึ่งรัฐบาลเองก็พร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือดูแลในส่วนต่างๆ ที่อยู่ในกรอบอำนาจของหน่วยราชการทำได้ ดังนั้นกิจกรรที่เกิดขึ้นเช่นในวันนี้ ถือเป็นกิจกรรมที่จะช่วยแบ่งเบาภาระ ลดทอนค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน เพื่อให้สามารถฟ่าฟันปัญหาช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในขณะนี้ไปด้วยกัน
“ผมเป็นผู้แทนในเขตนี้มานาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 รวมแล้วก็ 26 ปี ผมไม่เคยทิ้งไปไหน และได้คนมาช่วยงานกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นถ้าพวกเราสามัคคีปรองดองกัน ทำงานเพื่อประโยชน์เป้าหมายของบ้านเมือง พี่น้องประชาชน ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระได้ เราไม่สามารถที่จะแก้ได้หมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาได้บ้าง จึงอยากฝากพี่น้องชุมชนดินแดง ห้วยขวางขอให้อยู่กันอย่างปรองดอง สามัคคี ชุมชนจะสงบ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกหลานที่จะโตขึ้นมา” นายพีระพันธุ์กล่าว
ทั้งนี้ ในระหว่างการลงพื้นที่ดังกล่าวได้มีตัวแทนชาวชุมชนดินแดง ห้วยขวาง นำดอกไม้มามอบให้กับนายพีระพันธุ์ ก่อนที่นายพีระพันธุ์และทีมงานจะเดินพบปะพูดคุยกับประชาชนที่เดินทางมารับบริการ โดยส่วนใหญ่ระบุว่าเป็นกิจกรรมที่ดีที่มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเข้ามาช่วยเหลือ แก้ปัญหาความเดือดร้อนในขณะนี้ โดยเฉพาะการเห็นความสำคัญกับประชาชนในทุกระดับที่เท่าเทียมกันทำให้สามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปได้ในช่วงนี้
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด