Government-SE Matching Day สวส. จัดกิจกรรมรัฐรวมพลังจับคู่ธุรกิจเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน ดึงวิสาหกิจเพื่อสังคมร่วมออกบูธกว่า 15 องค์กร
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) จัดกิจกรรม Government SE Matching Day : รัฐรวมพลังจับคู่ธุรกิจเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ผ่านการเปิดโอกาสจับคู่วิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อเกิดการพบปะกัน และส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการระหว่างหน่วยงานของรัฐและวิสาหกิจเพื่อสังคม
โดยภายในงาน ประกอบด้วย บรรยายพิเศษในหัวข้อ สิทธิประโยชน์ตามมาตรการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุสำหรับวิสาหกิจเพื่อสังคม และเสวนาในหัวข้อ รัฐรวมพลังจับคู่ธุรกิจเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังมีบูธจากวิสาหกิจชุมชนกว่า 15 องค์กร และบริการให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิสาหกิจเพื่อสังคม โดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
นางนภา เศรษฐกร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เผยว่า “ในฐานะองค์กรสำคัญของสังคมไทยในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่เป็นธรรมและยั่งยืนผ่านกลไกวิสาหกิจเพื่อสังคม และเครือข่ายผู้ประกอบการสังคมที่หลากหลายและมีคุณภาพ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการขึ้นทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคม และดำเนินแผนงาน โครงการสนับสนุนและให้สิทธิประโยชน์ตามมาตรการต่างๆ ของรัฐที่จะเกิดขึ้น จากผลการสำรวจ จึงพบว่าความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการของภาครัฐ มีความยินดีที่จะซื้อหรือจัดจ้างกับวิสาหกิจเพื่อสังคม กว่า 63.3 % โดยมีประเภทสินค้าและบริการที่ภาครัฐต้องการซื้อกับวิสาหกิจเพื่อสังคม กว่า 30 รายการ
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ สวส. จึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสในการสร้างการรับรู้และส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐและผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคม เปิดโอกาสให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการจากวิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดและเครือข่ายทางการค้าตามกฎกระทรวง โดยกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2564
โดยสาระสำคัญของกฎกระทรวงฯ กำหนดให้พัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุนครอบคลุมถึงผลิตผล ชิ้นงาน หรือบริการที่ผลิตหรือจัดทำขึ้นจากวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่ได้จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมพ.ศ. ๒๕๖๒ โดยวิธีเฉพาะเจาะจง หรือหากหน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะจัดซื้อจัดจ้าง โดยวิธีเฉพาะเจาะจงสามารถใช้วิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปหรือวิธีคัดเลือกได้
ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ สวส. จึงได้จัดกิจกรรม “Government-SE Matching Day : รัฐรวมพลังจับคู่ธุรกิจเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน” ขึ้น เพื่อให้เกิดการพบปะกัน และส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการระหว่างหน่วยงานของรัฐและวิสาหกิจเพื่อสังคม รวมถึงการสร้างสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2565
และแผนยุทธศาสตร์สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2566 – 2570 ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องที่สามารถใช้สำหรับการบริหารจัดการของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งจะนำไปสู่การส่งเสริมและสนับสนุนกิจการเพื่อสังคมให้พัฒนาเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้อย่างมีเอกภาพและเป็นรูปธรรม
สภาพัฒฯ เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.8
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขอแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2565
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 2.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.8 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2565 ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี 2564 ร้อยละ 1.1 (QoQ_SA)
ด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกบริการขยายตัวเร่งขึ้นการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัว ขณะที่การส่งออกสินค้าชะลอตัว และการลงทุนภาครัฐปรับตัวลดลง การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 3.9 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 0.4 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น รวมทั้งการปรับตัวดีขึ้นของฐานรายได้ในระบบเศรษฐกิจและการดำเนินมาตรการของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้จ่ายภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นในทุกหมวด การใช้จ่ายหมวดบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.6 ในไตรมาสก่อนหน้า
ตามการกลับมาขยายตัวของการใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร และกลุ่มนันทนาการและวัฒนธรรม การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 4.1 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายกลุ่มไฟฟ้า และก๊าซฯกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และกลุ่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์และยาสูบ การใช้จ่ายหมวดสินค้ากึ่งคงทนขยายตัวร้อยละ 0.4 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.8 ในไตรมาสก่อนหน้าตามการขยายตัวเร่งขึ้นของการใช้จ่ายกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า
และการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 3.8 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 5.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการกลับมาขยายตัวในเกณฑ์สูงของการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาสนี้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 37.3 จากระดับ 38.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของภาระค่าครองชีพท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ขยายตัวร้อยละ 4.6 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 8.1 ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยรายจ่ายการโอนเพื่อสวัสดิการทางสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาดขยายตัวสูงร้อยละ 74.5 ตามการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19ส่วนค่าตอบแทนแรงงาน (ค่าจ้าง เงินเดือน) และค่าซื้อสินค้าและบริการลดลงร้อยละ 2.6 และร้อยละ 3.8 ตามลำดับ สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 20.6 (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 35.5 ในไตรมาสก่อนหน้าแต่สูงกว่าร้อยละ 19.6 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ 0.8 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.2 ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 2.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือร้อยละ 5.4 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลงร้อยละ 8.0 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 0.7 ในไตรมาสก่อนหน้า
ขณะที่การลงทุนภาครัฐลดลงร้อยละ 4.7 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 1.7 ในไตรมาสก่อนหน้าตามการลดลงของทั้งการลงทุนรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจร้อยละ 6.5 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับสำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 15.1 (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 16.0 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 14.3 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน)
ในด้านภาคการค้าต่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 73,288 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 14.6 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 21.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณและราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 และร้อยละ 4.0 เทียบกับร้อยละ 16.9 และร้อยละ 3.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามลำดับกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี (ร้อยละ 18.7) เครื่องจักรและอุปกรณ์(ร้อยละ 5.7) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ร้อยละ 3.5) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 15.1) เครื่องปรับอากาศ (ร้อยละ 5.6) อาหารสัตว์ (ร้อยละ 26.3) ข้าว (ร้อยละ 19.3) ยางพารา (ร้อยละ 6.2) และน้ำตาล (ร้อยละ 180.9) เป็นต้น
กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง เช่น รถยนต์นั่ง (ร้อยละ 49.1) รถกระบะ (ร้อยละ 28.9) ผลิตภัณฑ์ยาง (ลดลงร้อยละ 25.0) และทุเรียน (ลดลงร้อยละ 48.2) เป็นต้น การส่งออกสินค้าไปยังตลาดส่งออกหลักยังคงขยายตัวในอัตราชะลอลง ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดออสเตรเลียลดลงเมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 9.7 และเมื่อคิดในรูปของเงินบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 25.1 ส่วนการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 64,135 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 20.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยราคาและปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.3 และร้อยละ 4.6 ตามลำดับ ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 9.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (302.4 พันล้านบาท)
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ มูลค่าการส่งออกของประเทศ และอัตราเงินเฟ้อของประเทศต่าง ๆ
(%YoY) GDP มูลค่าการส่งออกสินค้า อัตราเงินเฟ้อ
2563 2564 2565 2563 2564 2565 2564 2565 สูงสุดในรอบ (เดือน)
ทั้งปี Q4 ทั้งปี Q1 ทั้งปี Q4 ทั้งปี Q1 ทั้งปี Q1 ก.พ. มี.ค. เม.ย.
สหรัฐฯ -3.4 5.5 5.7 3.6 -13.5 23.1 23.3 18.8 4.7 6.3 7.9 8.5 8.3 4831/
ยูโรโซน -6.4 4.7 5.4 5.0 -7.1 7.5 17.9 10.42/ 3.9 6.1 5.9 7.4 7.5 303
สหราชอาณาจักร -9.3 6.6 7.4 8.7 -12.2 10.1 9.8 9.3 2.6 6.2 6.2 7.0 - 3601/
ออสเตรเลีย3/ -2.2 4.2 4.7 - -7.4 27.0 37.3 22.3 2.6 5.1 - - - -
ญี่ปุ่น -4.5 0.4 1.6 - -9.1 6.4 17.9 4.4 2.9 0.9 0.9 1.2 - 411/
จีน 2.2 4.0 8.1 4.8 4.0 22.7 29.7 15.6 -0.2 1.1 0.9 1.5 2.1 5
อินเดีย -6.6 5.4 8.3 - -14.8 41.0 43.1 23.8 0.9 6.3 6.1 7.0 - 171/
เกาหลีใต้ -0.9 4.2 4.0 3.1 -5.5 24.5 25.7 18.3 5.1 3.8 3.7 4.1 4.8 162
ไต้หวัน 3.4 4.9 6.4 3.1 4.9 26.0 29.3 23.5 2.5 2.8 2.3 3.3 3.4 116
ฮ่องกง -6.5 4.7 6.3 -4.0 -0.5 23.2 26.0 2.8 2.0 1.5 1.6 1.7 - 31/
สิงคโปร์ -4.1 6.1 7.6 3.4 -4.1 25.9 22.1 17.1 1.6 4.6 4.3 5.4 - 1231/
อินโดนีเซีย -2.1 5.0 3.7 5.0 -2.7 45.6 41.9 35.3 2.3 2.3 2.1 2.6 3.5 52
มาเลเซีย -5.5 3.6 3.1 5.0 -2.3 26.5 27.4 18.6 1.6 2.2 2.2 2.2 - -
ฟิลิปปินส์ -9.5 7.8 5.7 8.3 -8.1 5.2 14.5 9.8 2.5 3.4 3.0 4.0 4.9 40
เวียดนาม 2.9 5.2 2.6 5.0 6.9 19.0 18.9 13.3 3.9 1.9 1.4 2.4 2.6 8
ที่มา: CEIC รวบรวมโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หมายเหตุ: 1/ ข้อมูลเดือนมีนาคม 2565 2/ ข้อมูลถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 3/ อัตราเงินเฟ้อของออสเตรเลียเป็นรายไตรมาส
ด้านการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงกลับมาขยายตัว สาขาขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวเร่งขึ้น ขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สาขาการขายส่ง ขายปลีก และการซ่อมฯ และสาขาการไฟฟ้าและก๊าซฯ ชะลอตัว และสาขาการก่อสร้างลดลงต่อเนื่อง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.1 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.6 ในไตรมาสก่อนหน้า
ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.3 อ้อยเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.1 กลุ่มไม้ผลเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.3 และยางพาราเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลง อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลงร้อยละ 5.5และมันสำปะหลังลดลงร้อยละ 1.6 และหมวดประมงกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 9 ไตรมาส ร้อยละ 2.5
ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ร้อยละ 2.3 ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 4.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะราคาสุกรเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.6ราคาปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.1 ราคาไก่เนื้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.2 ราคาอ้อยเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6และราคายางพาราเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส ร้อยละ 9.3สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยเป็นผลจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ชะลอตัวจากการขยายตัวร้อยละ 4.0 ในไตรมาสก่อนหน้าและดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ชะลอตัวจากการขยายตัวร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะเดียวกัน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 0.2
เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 6.6 ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 66.35 สูงกว่าร้อยละ 64.51 ในไตรมาสก่อนหน้า และใกล้เคียงกับร้อยละ 66.32 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม (ร้อยละ 14.1) การผลิตยานยนต์ (ร้อยละ 3.0) การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 7.3)การผลิตน้ำตาล (ร้อยละ 10.4)
และการผลิตมอลต์และสุราที่ทำจากข้าวมอลต์ (ร้อยละ 22.8) เป็นต้นดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (ลดลงร้อยละ 13.0) การผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน (ลดลงร้อยละ 9.4) การผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีต ปูนซีเมนต์และปูนปลาสเตอร์ (ลดลงร้อยละ 4.7) การผลิตเครื่องจักรอื่นๆ ที่ใช้งานทั่วไป (ลดลงร้อยละ 6.7)และการผลิตอาหารสัตว์สำเร็จรูป (ลดลงร้อยละ 4.9) เป็นต้น
สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 34.1 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 4.9 ในไตรมาสก่อนหน้าและเป็นการกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส ตามการกลับมาขยายตัวของการท่องเที่ยวภายในประเทศ และการขยายตัวในเกณฑ์สูงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยในไตรมาสนี้มีรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 0.144 ล้านล้านบาท ขยายตัวครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาส ร้อยละ 63.8 เป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของภาครัฐ ความคืบหน้าในการกระจายวัคซีน
และการดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่วนนักท่องเที่ยวต่างประเทศมีจำนวน 497,693 คน เทียบกับ 20,172 คนในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการกลับมาดำเนินมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบแล้วแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ (Test & Go) ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการเดินทางออกนอกประเทศของหลายประเทศทั่วโลกสำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 36.15 สูงกว่าร้อยละ 26.25 ในไตรมาสก่อนหน้า
และสูงกว่าร้อยละ 16.15 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 2.9 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.0 ในไตรมาสก่อนหน้าตามการปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และการขยายตัวต่อเนื่องของกิจกรรมการผลิตและการส่งออก สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 4.6 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.2 ในไตรมาสก่อนหน้า
ตามการขยายตัวของบริการขนส่งทางอากาศและการกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาสของบริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียง สำหรับบริการสนับสนุนการขนส่งและบริการไปรษณีย์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สาขาการไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ และระบบปรับอากาศ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 2.0 เทียบกับร้อยละ 2.1ในไตรมาสก่อนหน้า โดยกิจกรรมการผลิตไฟฟ้าขยายตัวเร่งขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ ในขณะที่กิจกรรมโรงแยกก๊าซปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.53 ต่ำกว่าร้อยละ 1.64 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่าร้อยละ 1.96 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.7และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.4 สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (5.3 หมื่นล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 1.2 ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 อยู่ที่ 2.42 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 มีมูลค่าทั้งสิ้น 9,951,962.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.6 ของ GDP
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2565
เศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.5 - 3.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. จะขยายตัวร้อยละ 7.3 การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 3.9 และร้อยละ 3.5 ตามลำดับ ขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 3.4 ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 4.2 - 5.2 และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มขาดดุลร้อยละ 1.5 ของ GDPรายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2565 ในด้านต่างๆ มีดังนี้
และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะลดลงร้อยละ 0.2 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.2 ในปี 2564 และเท่ากับการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับการคงสมมติฐานอัตราการเบิกจ่ายงบประจำภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565ที่ร้อยละ 98 ของวงเงินงบประมาณ รวมทั้งการเบิกจ่ายภายใต้ของแผนงานและโครงการที่ได้รับการอนุมัติภายใต้พระราชกำหนดเงินกู้ฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท
สอดคล้องกับการปรับลดสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ขณะที่การส่งออกบริการมีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าการประมาณการครั้งที่ผ่านมาตามการปรับเพิ่มสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เมื่อรวมกับการส่งออกสินค้าทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ 8.3 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 8.9 ในการประมาณการครั้งก่อน และร้อยละ 10.4 ในปี 2564
ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2565
การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี 2565 ควรให้ความสำคัญกับ (1) การรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน โดย (i) การติดตาม เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 (ii) การดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือน (iii) การดูแลกลไกตลาดเพื่อให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต และ (iv) การดูแลกลุ่มที่มีความเปราะบางต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า (2) การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง โดย
(i) การส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ (ii) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง (iii) การพิจารณามาตรการสินเชื่อและมาตรการอื่นๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถกลับมาประกอบธุรกิจ และ (iv) การยกระดับศักยภาพและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและยั่งยืน (3) การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้า โดย (i) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าสำคัญไปยังตลาดหลักและการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน (ii) การพัฒนาสินค้าส่งออกให้มีคุณภาพและมาตรฐาน (iii) การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และการเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ และ (iv)การปกป้องความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต(4) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
โดย (i) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการลงทุนจริง (ii) การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ(iii) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุก (iv) การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ (v) การลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่สำคัญๆ และ (vi) การพัฒนากำลังแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับกับอุตสาหกรรมที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้มข้น
(5) การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (6) การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดย (i) การบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสมเพื่อเตรียมการรองรับฤดูกาลเพาะปลูก และ (ii) การบรรเทาผลกระทบจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรเพิ่มขึ้น และ (7) การติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 17 พฤษภาคม 2565
ตารางที่ 1 GDP ด้านการผลิต
หน่วย: ร้อยละ 2563 2564 2563 2564 2565
ทั้งปี ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1
ภาคเกษตร -3.5 1.0 -8.3 -3.5 -1.6 -0.2 1.0 2.1 2.2 -0.6 4.1
ภาคนอกเกษตร -6.4 1.6 -1.7 -13.0 -6.7 -4.7 -2.6 8.3 -0.3 2.0 2.0
การผลิตอุตสาหกรรม -5.6 4.9 -2.7 -14.5 -5.0 -0.4 1.1 17.0 -0.9 3.8 1.9
ภาคบริการ -6.7 0.7 -1.5 -12.5 -7.2 -5.9 -3.8 5.3 0.3 1.7 2.9
การก่อสร้าง 1.3 2.7 -10.4 6.8 9.4 -0.9 13.5 3.1 -4.2 -0.8 -5.5
การขายส่ง การขายปลีกฯ -3.2 1.7 4.5 -10.1 -5.7 -3.1 -2.4 5.0 2.7 3.0 2.9
การขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า -22.9 -2.9 -9.4 -38.8 -23.9 -21.0 -16.9 10.3 -1.4 3.2 4.6
ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร -37.5 -14.4 -24.4 -53.3 -39.8 -34.0 -36.8 16.4 -19.0 -4.9 34.1
ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 1.1 5.6 1.4 0.4 0.6 1.8 4.5 5.6 6.8 5.3 5.9
การเงิน 5.1 5.7 6.9 3.8 3.7 6.3 6.4 5.9 6.1 4.4 1.5
GDP -6.2 1.5 -2.2 -12.3 -6.4 -4.2 -2.4 7.7 -0.2 1.8 2.2
GDP_SA (QoQ) -1.6 -9.3 7.1 0.02 0.5 0.1 -0.9 1.8 1.1ที่มา: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตารางที่ 2 ด้านการใช้จ่าย
หน่วย: ร้อยละ 2563 2564 2563 2564 2565
ทั้งปี ทั้งปี Q1 Q2 Q3 Q4 Q1 Q2 Q3 Q4 Q1
การบริโภคภาคเอกชน -1.0 0.3 2.7 -6.6 -0.6 0.8 -0.3 4.7 -3.2 0.4 3.9
การอุปโภคภาครัฐบาล 1.4 3.2 -2.4 1.5 3.7 2.4 2.2 1.0 1.5 8.1 4.6
การลงทุนรวม -4.8 3.4 -6.4 -7.7 -2.6 -2.5 7.3 7.4 -0.4 -0.2 0.8
ภาคเอกชน -8.2 3.3 -5.2 -14.4 -10.4 -3.2 3.1 9.2 2.6 -0.8 2.9
ภาครัฐ 5.1 3.8 -9.6 12.0 17.0 0.0 19.8 3.4 -6.2 1.7 -4.7
การส่งออก -19.7 10.4 -5.9 -28.0 -23.5 -21.7 -10.3 28.4 12.3 17.6 12.0
สินค้า -5.8 14.9 1.9 -16.0 -7.4 -1.4 2.9 30.8 12.0 16.6 10.2
บริการ -61.3 -23.1 -27.7 -69.4 -74.4 -76.2 -62.3 4.8 14.7 28.8 30.7
การนำเข้า -14.1 17.9 -3.4 -23.6 -20.8 -8.4 1.0 28.7 29.5 16.4 6.7
สินค้า -10.6 18.3 -1.0 -19.7 -17.4 -3.8 4.6 29.9 28.0 14.0 4.4
บริการ -27.8 16.0 -12.4 -38.2 -34.6 -26.4 -13.4 23.6 37.1 28.1 15.4
GDP -6.2 1.5 -2.2 -12.3 -6.4 -4.2 -2.4 7.7 -0.2 1.8 2.2
ที่มา: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตารางที่ 3 ประมาณการเศรษฐกิจ ปี 25651
ข้อมูลจริง ประมาณการ
ปี 2562 ปี 2563 ปี 2564 ปี 2565
ณ 21 ก.พ. 65 ณ 17 พ.ค. 65
GDP (ณ ราคาประจำปี: พันล้านบาท) 16,892.4 15,636.9 16,178.7 17,102.1 17,355.6
รายได้ต่อหัว (บาทต่อคนต่อปี) 243,705.2 224,962.4 232,160.1 244,838.2 248,468.1
GDP (ณ ราคาประจำปี: พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 544.1 499.7 505.5 523.0 513.5
รายได้ต่อหัว (ดอลลาร์ สรอ. ต่อหัวต่อปี) 7,849.6 7,188.4 7,254.3 7,487.4 7,351.1
อัตราการขยายตัวของ GDP (CVM, %) 2.2 -6.2 1.5 3.5 - 4.5 2.5 - 3.5
การลงทุนรวม (CVM, %)2/ 2.0 -4.8 3.4 4.0 3.5
ภาคเอกชน (CVM, %) 2.6 -8.2 3.3 3.8 3.5
ภาครัฐ (CVM, %) 0.1 5.1 3.8 4.6 3.4
การบริโภคภาคเอกชน (CVM, %) 4.0 -1.0 0.3 4.5 3.9
การอุปโภคภาครัฐบาล (CVM, %) 1.6 1.4 3.2 -0.2 -0.2
ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการ (ปริมาณ, %) -3.0 -19.7 10.4 8.9 8.3
มูลค่าการส่งออกสินค้า (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 242.7 227.0 269.6 282.9 289.2
อัตราการขยายตัว (มูลค่า, %)3/ -3.3 -6.5 18.8 4.9 7.3
อัตราการขยายตัว (ปริมาณ, %)3/ -3.7 -5.8 15.1 3.9 3.5
ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการ (ปริมาณ, %) -5.2 -14.1 17.9 4.0 5.1
มูลค่าการนำเข้าสินค้า (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 216.0 186.1 229.6 243.2 254.6
อัตราการขยายตัว (มูลค่า, %)3/ -5.6 -13.8 23.4 5.9 10.9
อัตราการขยายตัว (ปริมาณ, %)3/ -5.8 -10.5 18.3 4.4 3.4
ดุลการค้า (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 26.7 40.9 40.0 39.7 34.6
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 38.0 21.2 -10.6 7.7 -7.6
ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP (%) 7.0 4.2 -2.1 1.5 -1.5
เงินเฟ้อ (%)
ดัชนีราคาผู้บริโภค 0.7 -0.8 1.2 1.5 - 2.5 4.2 - 5.2
GDP Deflator 1.0 -1.3 1.9 1.2 - 2.2 3.8 - 4.8
More Articles
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565
สศช.GDP ไตรมาส 4 ปี 64 ขยายตัว 1.9% รวมทั้งปี 64 ขยายตัว 1.6% คาดปี 65 ขยายตัว 3.5-4.5%
สภาพัฒน์ แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2564 และแนวโน้มปี 2565
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ขอแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2564 และแนวโน้มปี 2565 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2564
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 1.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.2 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2564 ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี 2564 ร้อยละ 1.8 (%QoQ_SA) รวมทั้งปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 1.6 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 6.2 ในปี 2563
ด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าและบริการ และการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวเร่งขึ้น การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐกลับมาขยายตัว ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 0.3 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 3.2 ในไตรมาสก่อนหน้าตามการคลี่คลายลงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐซึ่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 3.7 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ การใช้จ่ายหมวดบริการลดลงร้อยละ 1.7 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 5.4ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวเร่งขึ้นในกลุ่มบริการสุขภาพ และกลุ่มการเช่าที่อยู่อาศัย การใช้น้ำประปา ไฟฟ้าและพลังงาน ขณะที่การใช้จ่ายกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร และกลุ่มนันทนาการและวัฒนธรรมลดลงในอัตราที่ชะลอลง การใช้จ่ายหมวดสินค้ากึ่งคงทนลดลงร้อยละ 0.8 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 6.5ในไตรมาสก่อนหน้า
ตามการกลับมาขยายตัวของการใช้จ่ายหมวดเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่ง และกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า และการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 5.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 13.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการซื้อยานพาหนะลดลงในอัตราที่ชะลอลง การปรับตัวดีขึ้นของการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสนี้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจากระดับ 34.9 ในไตรมาสก่อนหน้าเป็นระดับ 38.9 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 8.1 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 11.4 และการโอนเพื่อสวัสดิการทางสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาดขยายตัวสูงร้อยละ 38.5 ตามการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาโรคโควิด-19 ส่วนอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำอยู่ที่ร้อยละ 35.5 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 23.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่าร้อยละ 32.3 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) การลงทุนรวม ลดลงร้อยละ 0.2 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 0.4 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 1.7 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 6.2 ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยเป็นผลจากการขยายตัวในเกณฑ์สูงของการลงทุนรัฐบาลร้อยละ 11.6 ขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 15.9 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 16.0 (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 24.0 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าร้อยละ 12.1 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน) ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 0.9 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือลดลงร้อยละ 0.9 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนการลงทุนในหมวดการก่อสร้างลดลงร้อยละ 0.9 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 0.7 ในไตรมาสก่อนหน้า
ในด้านภาคการค้าต่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 70,543 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 21.3 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 15.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 และราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ร้อยละ 7.1) รถยนต์นั่ง (ร้อยละ 25.7) รถกระบะ (ร้อยละ 55.4) เครื่องปรับอากาศ (ร้อยละ 25.8) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 28.7) เคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 51.7) อาหารสัตว์ (ร้อยละ 25.8) ข้าว (ร้อยละ 13.2) ยางพารา (ร้อยละ 31.4) มันสำปะหลัง (ร้อยละ 56.2) และน้ำตาล (ร้อยละ 85.2) เป็นต้น สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 15.1) และปลากระป๋องและปลาแปรรูป (ร้อยละ 2.4) เป็นต้น
การส่งออกสินค้าไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่ขยายตัวต่อเนื่อง เมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 20.8 และเมื่อคิดในรูปของเงินบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 32.2 ส่วนการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 59,666 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.6 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 31.8 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณและราคานำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.0 และร้อยละ 5.7 ตามลำดับ ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 10.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (362.7 พันล้านบาท)
ด้านการผลิต สาขาการผลิตอุตสาหกรรม สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และสาขาไฟฟ้า ก๊าซฯ กลับมาขยายตัว สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมฯ ขยายตัวต่อเนื่อง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงชะลอตัว ส่วนสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการก่อสร้างลดลง สาขาการผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวในเกณฑ์ดีร้อยละ 3.8 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า และการปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมร้อยละ 4.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.2 ในไตรมาสก่อนหน้า
โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 ขยายตัวร้อยละ 4.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.6 ในไตรมาสก่อนหน้า และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 8.1 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 6.1 ในไตรมาสก่อนหน้า
และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 4.3 ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการใช้กำลังการผลิตในไตรมาสนี้เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 65.43 สูงกว่าร้อยละ 59.34 ในไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่าร้อยละ 63.77 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 15.8) การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม (ร้อยละ 8.6) การผลิตปุ๋ยเคมีและสารประกอบไนโตรเจน (ร้อยละ 98.7) และการผลิตยานยนต์ (ร้อยละ 4.4) เป็นต้น
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (ลดลงร้อยละ 10.1) การผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบ (ลดลงร้อยละ 42.8) การผลิตจักรยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 15.4) และการผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือน (ลดลงร้อยละ 12.3) เป็นต้น สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ขยายตัวร้อยละ 3.2 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของบริการขนส่งทางอากาศและการขยายตัวต่อเนื่องของบริการขนส่งทางน้ำ
ในขณะที่บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียงปรับตัวลดลง สำหรับบริการสนับสนุนการขนส่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 7.5 และบริการไปรษณีย์ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 14.8 สอดคล้องกับการขยายตัวของรายรับผู้ประกอบการ สาขาไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำและระบบปรับอากาศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 2.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการใช้จ่ายภาคครัวเรือน
ในขณะที่กิจกรรมโรงแยกก๊าซปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 2.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และการปรับตัวดีขึ้นของกิจกรรมการผลิต สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ขยายตัวร้อยละ 0.7 ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของผลผลิตหมวดปศุสัตว์ หมวดประมง และข้าวเปลือก เป็นสำคัญ
โดยผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญที่ลดลง เช่น สุกร (ลดลงร้อยละ 22.7) กุ้งขาวแวนนาไม (ลดลงร้อยละ 18.7) และข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 2.5) เป็นต้น ขณะที่ผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น อ้อย (ร้อยละ 99.5) ปาล์มน้ำมัน (ร้อยละ 26.8) และกลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 3.8) เป็นต้น ดัชนีราคาสินค้าเกษตรลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 4.5ตามการลดลงของดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญ ๆ เช่น ข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 16.6) กลุ่มไม้ผล (ลดลงร้อยละ 24.9) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 7.2) และสุกร (ลดลงร้อยละ 2.3) เป็นต้น ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น อ้อย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.4) ปาล์มน้ำมัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.0) มันสำปะหลัง (เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.9) ไก่เนื้อ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5) เป็นต้น
ดัชนี รายได้เกษตรกรโดยรวมลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 4.7 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงร้อยละ 4.9 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 19.0 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของการท่องเที่ยวในประเทศและการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยในไตรมาสนี้มีรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย 0.084 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 47.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 91.5 ในไตรมาสก่อนหน้า
สอดคล้องกับการคลี่คลายลงของสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐ ความคืบหน้าในการกระจายวัคซีน และการดำเนินมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมีจำนวน 342,024 คน เพิ่มขึ้นจากฐานต่ำอย่างมีนัยสำคัญ โดยเป็นผลจากการดำเนินนโยบายเปิดประเทศแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ (Test & Go) และการผ่อนคลายมาตรการเดินทางของหลายประเทศ อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 26.25 สูงกว่าร้อยละ 5.46 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ต่ำกว่าร้อยละ 32.49 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.64 ต่ำกว่าร้อยละ 2.25 ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่าร้อยละ 1.86 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.4 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.3 สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 2.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.(7.0 หมื่นล้านบาท) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ 2.46 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 มีมูลค่าทั้งสิ้น 9,644,256.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 59.6 ของ GDP
เศรษฐกิจไทย ปี 2564
เศรษฐกิจไทยปี 2564 ขยายตัวร้อยละ 1.6 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 6.2 ในปี 2563 ด้านการใช้จ่าย มูลค่าการส่งออกสินค้า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8 ร้อยละ 0.3 และร้อยละ 3.4 ตามลำดับ ด้านการผลิต สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง สาขาการผลิตอุตสาหกรรม และสาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมฯ ขยายตัวร้อยละ 1.4 ร้อยละ 4.9 และร้อยละ 1.7 ตามลำดับ ขณะที่สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการขนส่งฯ ลดลงร้อยละ 14.4 และร้อยละ 2.9 ตามลำดับ รวมทั้งปี 2564 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท (5.06 แสนล้านดอลลาร์ สรอ.) ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวของคนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 232,176.0 บาทต่อคนต่อปี (7,255.5 ดอลลาร์ สรอ. ต่อคนต่อปี)
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.2 และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ 2.2 ของ GDP
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2565
เศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 3.5 – 4.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญประกอบด้วย (1) การปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ (2) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (3) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า และ (4) แรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. จะขยายตัวร้อยละ 4.9 การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.5 และร้อยละ 3.8 ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.6 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5 – 2.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลร้อยละ 1.5 ของ GDP
รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2565 ในด้านต่างๆ มีดังนี้
1.การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.5 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 0.3 ในปี 2564 และเป็นการปรับเพิ่มจากร้อยละ 4.3ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับการลดลงในความรุนแรงของผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะลดลงร้อยละ 0.2 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.2 ในปี 2564 และเป็นการปรับลดจากการขยายตัวร้อยละ 0.3 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา ตามการลดลงของกรอบวงเงินรายจ่ายประจำภายใต้กรอบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 เมื่อเทียบกับกรอบในปีงบประมาณ 2565 รวมทั้งการปรับองค์ประกอบให้สอดคล้องกับแผนงานและโครงการที่ได้รับการอนุมัติภายใต้พระราชกำหนดเงินกู้ฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท
ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2565
การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี 2565 ควรให้ความสำคัญกับ (1) การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศให้อยู่ในวงจำกัด (2) การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลภาคเศรษฐกิจที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว โดย (i) การเร่งรัดติดตามมาตรการต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และมาตรการเสริมสภาพคล่องเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงและในสาขาเศรษฐกิจที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว (ii) การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการเพื่อช่วยเหลือแรงงานเพิ่มเติม และ (iii) การเร่งรัดมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ภาคธุรกิจ(3) การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภายในประเทศ
โดย (i) การติดตามและประเมินผลมาตรการต่างๆ ที่ดำเนินการไปแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (ii) การดูแลกลไกตลาดเพื่อแก้ไขและบรรเทาผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า รวมทั้งผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และ (iii) การพิจารณาการใช้จ่ายภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 และ 2566 โดยให้ความสำคัญมากขึ้นกับโครงการลงทุนที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างงานสร้างอาชีพในระดับชุมชน เพื่อรองรับแรงงานย้ายกลับภูมิลำเนา
(4) การดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือน โดยให้ความสำคัญกับมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการจูงใจในการชำระหนี้และบรรเทาภาระหนี้สินที่สำคัญ (5) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า โดย (i) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าสำคัญไปยังตลาดหลัก ควบคู่กับการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพและการสนับสนุนการค้าชายแดน (ii) การพัฒนาสินค้าส่งออกให้มีคุณภาพและมาตรฐาน (iii) การแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อระบบการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ (iv) การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา
และ (v) การปกป้องความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต (6) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดย (i) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการลงทุนจริง (ii) การแก้ไขปัญหาที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ (iii) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุก (iv) การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ
รวมถึงขับเคลื่อนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละภูมิภาค (v) การลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่สำคัญ และ (vi) การพัฒนากำลังแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (7) การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (8) การติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของภาคเศรษฐกิจต่างประเทศ และ (9) การขับเคลื่อนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สนับสนุนการกระจายรายได้ และปรับตัวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ดัน (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) คาดประกาศใช้ภายใน ต.ค. 65
วันายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 1/2565 ณ ทำเนียบรัฐบาล สาระสำคัญของการประชุม สรุปดังนี้
นายกฯ กล่าวชื่นชมการจัดทำ (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 โดยการทำงานตามแผนพัฒนาฯ นั้น ภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ประชาสังคม ต้องร่วมมือกันทั้งหมด เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนได้สำเร็จ
คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบเรื่องสำคัญ 2 เรื่อง ประกอบด้วย
1.เห็นชอบหลักการ แนวทาง และการดำเนินการปรับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ โดยหลักการการปรับแผนแม่บทฯ เป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ. การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 10 วรรค 4 บัญญัติให้ในกรณีที่คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเห็นว่ามีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บท ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศ
2.เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) ซึ่งเป็นแผนระดับที่ 2 ที่ระบุทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาประเทศที่ครอบคลุมเฉพาะประเด็นการพัฒนาประเทศที่มีลำดับความสำคัญสูง
. โดยจะดำเนินการเสนอต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภาและนำทูลขึ้นเกล้าฯ คาดว่าจะประกาศใช้แผนฯ ได้ภายในเดือน ต.ค. 65
นายกฯ เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานศึกษาและทำความเข้าใจแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เพื่อสามารถเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องสู่แผนระดับ 3 ของหน่วยงานในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน และสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณแบบพุ่งเป้า/บูรณาการให้เกิดการขับเคลื่อนในระดับประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
อ่านเพิ่มเติม คลิก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51757
#ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19
สภาพัฒน์ เปิดเวทีระดมความคิดเห็นประชาชนต่อร่างแผนฯ 13 ทั่วประเทศ
สภาพัฒน์เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณชนและภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วนทั่วประเทศต่อ “ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570)” ปลายเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2564 เพื่อร่วมปรับปรุงร่างแผนฯ 13 ให้มีความสมบูรณ์ สอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ และสามารถตอบสนองความต้องการของแต่ละภาคส่วนได้อย่างแท้จริง ก่อนประกาศใช้ในเดือนตุลาคม 2565
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) อยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2565) ซึ่งจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2565 ทั้งนี้ สศช. ได้ยกร่างแผนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้กำหนดจัดประชุมระดมความเห็นต่อร่างแผนฯ 13 ในระดับกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มทั่วประเทศ และเฉพาะกลุ่มในส่วนกลาง ทั้งกลุ่มภาคราชการ ภาคเอกชน ภาควิชาการ อดีตผู้บริหาร สศช. ผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน และสื่อมวลชน ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2564
เพื่อร่วมกันแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ทั้งในระดับภาพรวม ได้แก่ เป้าหมาย กลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ และแนวทางหลักในร่างแผนฯ และระดับหมุดหมาย ได้แก่ เป้าหมาย ตัวชี้วัดและกลยุทธ์ในแต่ละหมุดหมาย ให้มีความสมบูรณ์ สอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ และตอบสนองความต้องการของแต่ละภาคส่วนได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ สศช. ยังได้จัดให้มีช่องทางออนไลน์ให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่อร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ตั้งแต่บัดนี้จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2564 ได้ทาง เว็บไซต์ สศช. www.nesdc.go.th, Facebook สภาพัฒน์, Email: [email protected] และ ตู้ ปณ.49 ปทฝ.หลานหลวง กรุงเทพฯ 10102
เลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า ร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ยังคงน้อมนำ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มากำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเป็นหลักนำทางในการขับเคลื่อนแผน ตลอดจนยึดโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (Sustainable Development Goals: SDGs) ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโต สังคมก้าวหน้า ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลในระยะยาว มีเป้าหมายหลักของการพัฒนาในระยะ 5 ปีของแผนรวม 5 เป้าหมาย ได้แก่ (1) การปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (2) การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ (3) การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม (4) การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน และ (5) การเสริมสร้างความสามารถของประเทศ
ในการรับมือกับความเสี่ยงและการเปลี่ยนแปลง ภายใต้บริบทโลกใหม่ เพื่อถ่ายทอดเป้าหมายหลักไปสู่ภาพของการขับเคลื่อนที่ชัดเจนในลักษณะของวาระการพัฒนา (Agenda) ที่เอื้อให้เกิดการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วนในการผลักดันการพัฒนาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม แผนฯ 13 จึงได้กำหนดหมุดหมายการพัฒนา จำนวน 13 ประการ โดยแบ่งเป็น 4 มิติ ได้แก่
เลขาธิการฯ กล่าวในตอนท้ายว่า ภายหลังการระดมความเห็นในครั้งนี้ สศช. จะนำความคิดเห็นที่ได้จากการประชุมมาประมวลและปรับปรุงร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ให้มีความครบถ้วน สมบูรณ์ยิ่งขึ้นแล้วนำเสนอต่อสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หลังจากนั้นจะเสนอร่างดังกล่าวต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้แผนฯ อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2565 ต่อไป
สำหรับ การระดมความคิดเห็นในพื้นที่ 18 กลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย ภาคกลางปริมณฑล จัดที่จังหวัดนครปฐม ภาคกลางตอนบน จัดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาคกลางตอนล่าง 1 จัดที่จังหวัดกาญจนบุรีภาคกลางตอนล่าง 2 จัดที่จังหวัดเพชรบุรี ภาคเหนือตอนบน 1 จัดที่จังหวัดลำพูน ลำปาง และเชียงใหม่ ภาคเหนือตอนบน 2 จัดที่จังหวัดพะเยา เชียงราย และน่าน ภาคเหนือตอนล่าง 1 จัดที่จังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ภาคเหนือตอนล่าง 2 จัดที่จังหวัดนครสวรรค์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 จัดที่จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 จัดที่จังหวัดศรีสะเกษ ภาคตะวันออก 1 จัดที่จังหวัดชลบุรี ภาคตะวันออก 2 จัดที่จังหวัดสระแก้ว ส่วนกลุ่มจังหวัดที่จัดประชุมออนไลน์ ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ภาคใต้ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน แพร่ และตาก
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด