สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จับมือ มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ประเทศไทย ดันยุวชนประชาธิปไตยสร้างสรรค์สื่อออนไลน์ พร้อมเปิดตัวรายการ ‘ถกวาไรตี้’ เพื่อหาทางออกประเด็นปัญหาของสังคม
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจับมือมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ประเทศไทย (Konrad Adenauer Stiftung) ดันยุวชนประชาธิปไตย ผลิตรายการ “ถกวาไรตี้” Talk show ที่จะนำประเด็นทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมาถกเถียงแนวทางการแก้ไขอย่างสร้างสรรค์ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านต่างๆ ผ่านยุวชนประชาธิปไตยเป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อเคลียร์...ทุกประเด็นร้อน ทุกข้อสงสัย เพื่อเป็นปากเป็นเสียงพร้อมหาคำตอบให้ประชาชนผ่านรายการ “ถกวาไรตี้” พร้อมเปิดตัวแขกรับเชิญ นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา พรรคภูมิใจไทย นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเลย พรรคเพื่อไทย นางสาวณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หมอแล็บแพนด้า นายภาคภูมิ เดชหัสดิน และนายพรทรัพย์ ฉัตรศิริสุข ยุวชนประชาธิปไตย รุ่นที่ 1/2548 ร่วมแถลงข่าว
นางสาวศุภพรรัตน์ สุขพุ่ม รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ นางนภาจรี จิวะนันทประวัติ ผู้จัดการอาวุโสด้านโครงการ ผู้แทนมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ประจำประเทศไทย แถลงข่าวเปิดตัวรายการเสวนาออนไลน์ ภายใต้ชื่อรายการ “ถกวาไรตี้” ในรูปแบบ Talk show/ Variety show ที่นำประเด็นทางสังคมมาให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมกันถกแถลง แสวงหาแนวทางการแก้ไขอย่างสร้างสรรค์ โดยกลุ่มเป้าหมายของรายการเป็นเยาวชนและประชาชนทั่วไป รายการดังกล่าวมีความยาวประมาณ 60 นาที เผยแพร่ผ่านช่องทาง Facebook Live เพจ “ยุวชนประชาธิปไตย รัฐสภา” มีกำหนดจัดทั้งสิ้นจำนวน 30 ครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ยุวชนประชาธิปไตยซึ่งเป็นเยาวชนที่ผ่านการร่วมอบรมหลักสูตรเข้มข้นด้านการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้มีพื้นที่แสดงศักยภาพในการสร้างสรรค์สื่อออนไลน์ ผ่านการจัดเสวนา โดยแต่ละครั้งจะมีวิทยากรรับเชิญประกอบด้วยสมาชิกรัฐสภา และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในประเด็นปัญหาที่กำลังเป็นที่สนใจของสังคม ร่วมเป็นวิทยากร และยุวชนประชาธิปไตยเป็นผู้ดำเนินรายการ
สำหรับยุวชนประชาธิปไตยผู้ร่วมผลิตรายการเป็นผลผลิตของผู้ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการยุวชนประชาธิปไตยที่จัดขึ้นโดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ปี ๒๕๖๕ จนถึงปัจจุบัน เป็นเครือข่ายของรัฐสภาที่ทำหน้าที่สื่อบุคคล จำนวนกว่า ๕,๐๐๐ คนทั่วประเทศ ซึ่งเยาวชนดังกล่าวได้รับการปลูกฝังความรู้และทัศนคติที่ดีด้านการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระบวนการทางนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เยาวชนได้ตระหนักในหน้าที่ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย และการดำเนินชีวิตตามวิถีประชาธิปไตย ซึ่งการที่ยุวชนประชาธิปไตยได้ร่วมผลิตรายการดังกล่าว จะทำให้เยาวชนได้ฝึกฝนประสบการณ์ผ่านการปฏิบัติงานจริง และสร้างพื้นที่การมีส่วนร่วมระหว่างสมาชิกรัฐสภากับเยาวชนและสังคมในประเด็นต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกันตามครรลองของวิถีประชาธิปไตย
ทั้งนี้ ท่านสามารถติดตามชมรายการที่เป็นแนวคิดริเริ่มของยุวชนประชาธิปไตยได้ในรายการ “ถกวาไรตี้” เป็นประจำทุกวันพฤหัสบดี เวลา 19.30-20.30 น. เริ่มออกอากาศ 22 กันยายน 2565 เป็นต้นไป ผ่านช่องทาง Facebook live : ยุวชนประชาธิปไตย รัฐสภา
A9775
เครือข่ายต้านน้ำเมา บุกสภาฯยื่น 1 แสนชื่อ ชงแก้ กม.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
วอนเพิ่มกฎเหล็กคุมเข้มโฆษณา เพิ่มโทษความรับผิดชอบผู้ขาย พร้อมเปิดช่องให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม
เมื่อเร็วๆ นี้ นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานภาคีเครือข่ายป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ภปค.) พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, เครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ, สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย, เครือข่ายผู้ปกครองในสถานศึกษา, องค์กรด้านเด็กและเยาวชน, แอลกอฮอล์วอช เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ และตัวแทนสมาชิก ภปค.กว่า 30 คน นำรายชื่อประชาชนกว่า 100,000 รายชื่อร่วมเสนอร่าง แก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เข้ายื่นถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้รับหนังสือ
นายธีรภัทร์ กล่าวว่า สาระสำคัญของ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับของ ภปค.ยึดเจตนารมณ์เดิมของกฎหมายไว้อย่างเคร่งครัด ทั้งในเรื่องการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ปกป้องเด็กและเยาวชน การคุ้มครองสุขภาพของประชาชนและการลดผลกระทบทางสังคม เพิ่มกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดต่างๆ ให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ห้ามการใช้ตราเสมือนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาโฆษณา ควบคุมการทำกิจกรรม CSR ของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยให้บริจาคได้แต่ห้ามนำมาโฆษณา ปรับลดโทษในฐานความผิดที่เกี่ยวข้องกับผู้ดื่ม เพิ่มสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งกับร้านค้าหรือผู้ที่ขายให้คนเมาครองสติไม่ได้หรือขายให้เด็กและไปเกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น จะเห็นว่าร่างภาคประชาชนแตกต่างจากร่างของกลุ่มธุรกิจที่มุ่งส่งเสริมมากกว่าควบคุม ให้ยกเลิกมาตรการสำคัญๆ เช่น ยกเลิกการควบคุมการโฆษณาเหลือแค่ห้ามโฆษณาอันเป็นเท็จ ให้ขายได้ 24 ชั่วโมง ให้ขายในมหาวิทยาลัยได้ ให้คนของธุรกิจน้ำเมาเข้ามาอยู่ในกลไกคณะกรรมการนโยบายระดับชาติ เป็นต้น
ด้าน นายธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ใช้มานานกว่า 13 ปี ทำให้ข้อกฎหมายบางอย่างตามไม่ทันกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการใช้สื่อสมัยใหม่ การมีผู้ผลิตรายใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้นำเข้ารายใหญ่ยังมีการทำผิด แต่กฎหมายเอื้อมไม่ถึง ทั้งนี้ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการยกร่างพ.ร.บ.ฉบับแก้ไขออกมาในนามรัฐบาล ขณะเดียวกันฝั่งภาคธุรกิจที่เสนอร่างแก้ไขเข้ามาด้วยเช่นเดียวกัน แต่ฉบับของฝั่งธุรกิจพบว่ามีการปรับเนื้อหาที่น่ากังวลว่าเป็นการส่งเสริมการขาย และบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าการควบคุม พร้อมระบุกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายควบคุมเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย
นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายหลังรับเรื่องว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ จะส่ง 107,971 รายชื่อ ไปตรวจสอบว่าเป็นรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และจะนำเสนอต่อประธานรัฐสภาให้พิจารณาว่าร่างพ.ร.บ.นี้เข้าข่ายกฎหมายที่ประชาชนลงชื่อถูกต้องตามหลักการหรือไม่ ถ้าร่างฉบับนี้ผ่านการพิจารณารับหลักการ ไม่เกี่ยวข้องกับการเงินจะเข้าสู่ระบบการรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชน หลังจากผ่านทุกขั้นตอนแล้วจะส่งให้นายกรัฐมนตรีเซ็นรับรอง และเสนอประธานสภาบรรจุในระเบียบวาระต่อไป ทั้งนี้ฝากไปยังประชาชน ขอให้ออกมาแสดงความคิดเห็นตามสิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ เครือข่ายภาคประชาชน ได้แต่งกายสะท้อนผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในหลายมิติ ทั้งอุบัติเหตุ ความรุนแรงในครอบครัว ทะเลาะวิวาท อาชญากรรม ผู้ป่วย โดยมีการชูป้ายข้อความ เช่น เมาแล้วขับทำคนตาย 19,000 บาด เจ็บนับล้าน พิการ 60,000 ต่อ ปี เด็กในสถานพินิจกว่าร้อยละ 40 ก่อคดีภายใน 5 ชั่วโมงหลังดื่ม และข่าวความรุนแรงในครอบครัว มีสุราเกี่ยวข้อง กว่าร้อยละ 20 เป็นต้น
A10605
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์
ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... และให้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 7 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .… ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยที่ประชุมได้ลงมติในวาระที่ 3 เห็นชอบให้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนนเสียง 494 เสียง
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... แถลงต่อที่ประชุมว่า ตามที่ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เมื่อวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ได้ลงมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ และตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการได้มีการประชุมพิจารณาทั้งสิ้น 9 ครั้ง โดยได้มีการเชิญบุคคลภายนอกมาชี้แจงแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกด้วย โดยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมนั้น เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต และที่ผ่านมารัฐได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง แต่โดยที่ผู้รับทุนหรือนักวิจัยไม่สามารถเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมได้ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมายและกฎระเบียบของภาครัฐจึงไม่มีการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกิดขึ้นไปใช้ประโยชน์ ทั้งการต่อยอดการวิจัยและต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม อีกทั้งเป็นแรงจูงใจให้มีการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพิ่มขึ้น จึงสมควรกำหนดให้ผู้รับทุนหรือนักวิจัยสามารถเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรม ที่เกิดจากเงินสนับสนุนของภาครัฐได้ มีกลไกการบริหารจัดการและติดตามการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรม ไปใช้ประโยชน์ ตลอดจนกำหนดมาตรการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างประโยชน์ของผู้เป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมและประโยชน์ส่วนรวม จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ และบัดนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขอเสนอต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาลงมติในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ซึ่งที่ประชุมได้ลงมติในวาระที่ 3 เห็นชอบให้ประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนนเสียง 494 เสียง
“คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ขอขอบคุณประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่สนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งมีการผลักดันกันมาอย่างยาวนาน และเชื่อว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะพลิกโฉมหน้างานวิจัยไทย และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป” นายวรวัจน์ กล่าว
ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เปิดเผยว่า ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... กระทรวง อว. โดย สอวช. และหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ดำเนินการจัดทำและร่วมผลักดันกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในกฎหมายเพื่อการปฏิรูประบบวิจัย นวัตกรรมของไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกิดจากการสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมของรัฐไปใช้ประโยชน์ และช่วยแก้ปัญหาการตกลงเรื่องสิทธิความเป็นเจ้าของผลงานวิจัยระหว่างหน่วยงานให้ทุนกับผู้รับทุน โดยกำหนดให้ผู้รับทุนสามารถขอเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้นได้ และเมื่อหน่วยงานผู้รับทุน ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย ได้เป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรม จะช่วยให้ Startup และ SME สามารถรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดจำนวน Startup และ SME ที่ใช้เทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดระบบเศรษฐกิจนวัตกรรมได้ อีกทั้งยังช่วยยกระดับงานวิจัยในสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยเพิ่มแรงจูงใจให้สถาบันวิจัยและนักวิจัย ผลิตผลงานวิจัยฯ ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของภาคผลิตและบริการ
A9605
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) คณะรัฐมนตรี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (อว.) ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ได้เสนอวาระเร่งด่วน ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. … โดยที่ประชุมมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ด้วยคะแนน 525 เสียง และเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. … จำนวนทั้งสิ้น 49 คน
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้นำเสนอที่ประชุมร่วมของรัฐสภาถึงที่มาและความสำคัญของร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ที่ได้จัดทำขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 77 ทั้งในชั้นของการดำเนินงานของหน่วยงานเจ้าของเรื่องและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมถึงร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบในหลักการของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 โดยคณะรัฐมนตรีมีมติให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ได้ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และได้มีมติรับทราบการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอ
ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. … เป็นหนึ่งในกฎหมายเพื่อการปฏิรูประบบวิจัย นวัตกรรมของไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกิดจากการสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมของรัฐไปใช้ประโยชน์ และช่วยแก้ปัญหาการตกลงเรื่องสิทธิความเป็นเจ้าของผลงานวิจัยระหว่างหน่วยงานให้ทุนกับผู้รับทุน โดยกำหนดให้ผู้รับทุนสามารถขอเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้นได้ และเมื่อหน่วยงานผู้รับทุน ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย ได้เป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรม จะช่วยให้ Startup และ SME สามารถรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ส่งผลให้เกิดจำนวน Startup และ SME ที่ใช้เทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดระบบเศรษฐกิจนวัตกรรมได้ อีกทั้งยังช่วยยกระดับงานวิจัยในสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยเพิ่มแรงจูงใจให้สถาบันวิจัยและนักวิจัย ผลิตผลงานวิจัยฯ ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของภาคผลิตและบริการ
ทั้งนี้ ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. … ด้วยคะแนน 525 เสียง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้แถลงสรุปหลังการอภิปราย โดยได้ขอบคุณสมาชิกรัฐสภาผู้อภิปรายทุกท่านที่สนับสนุนพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว และจะรับประเด็นที่สมาชิกสภาอภิปรายไปดำเนินการต่อในคณะกรรมาธิการวิสามัญ สำหรับข้อห่วงใยต่างๆ เช่น การสร้างแรงจูงใจสำหรับผู้วิจัย การสร้างให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจฐานราก อว. จะนำไปดำเนินการต่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวในเรื่องกฎหมายลำดับรอง กระทรวงกำลังดำเนินการยกร่างควบคู่กันไปอยู่แล้ว
สำหรับ “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ....” กระทรวง อว. โดยสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ดำเนินการจัดทำโดยมีหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ ประกอบด้วย
1. ให้สิทธิในผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกิดจากการสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมของรัฐ ให้เป็นของผู้รับทุน ซึ่งได้แก่ สถาบันการศึกษา หรือสถาบันวิจัย เป็นส่วนใหญ่
2. หน่วยงานให้ทุนที่มีวัตถุประสงค์ในการให้ทุนวิจัยและนวัตกรรมที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายฉบับนี้ มีอยู่ 7แห่ง ได้แก่ หน่วยงานให้ทุนภายใต้กระทรวง อว. จำนวน 5 แห่ง และภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 1 แห่ง (สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร หรือ สวก.) และ กระทรวงสาธารณสุข 1 แห่ง (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หรือ สวรส.)
3. กฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช้บังคับกับ การวิจัยเพื่อพัฒนาหน่วยงาน, การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและมั่นคงของประเทศ, การวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อมวลมนุษยชาติหรือประชาชนชาวไทยโดยรวม ซึ่งไม่สมควรตกเป็นของผู้ใดผู้หนึ่งเป็นการเฉพาะ และ การวิจัยและนวัตกรรมที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
4. หน่วยงานผู้รับทุนจะต้องทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมยื่นแผนการใช้ประโยชน์ ขอเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและนวัตกรรม แก่หน่วยงานให้ทุนเพื่อออกหนังสือรองรับสิทธิความเป็นเจ้าของให้แก่ผู้รับทุน
5. ผู้รับทุนที่ได้เป็นเจ้าของผลงานวิจัยฯ แล้ว จะต้องใช้ประโยชน์ในผลงานวิจัยและนวัตกรรมภายใน 2 ปี และต้องรายงานผลการใช้ประโยชน์ให้หน่วยงานผู้ให้ทุนทราบ
6. หากผู้เป็นเจ้าของผลงานวิจัยฯ ไม่ใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมภายใน 2 ปี สิทธิในผลงานวิจัยและนวัตกรรมจะตกกลับมาเป็นของหน่วยงานให้ทุน
7. หากผู้เป็นเจ้าของผลงานวิจัยฯ ไม่ใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมภายใน 2 ปี และมีผู้ต้องการขอใช้สิทธิในผลงานวิจัยและนวัตกรรมนั้น จะมีคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เป็นผู้ออกคำสั่งให้สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิไปยังผู้ขอใช้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมนั้นได้
8. รัฐยังคงมีสิทธิในการใช้ประโยชน์ในผลงานวิจัยและนวัตกรรมนั้นได้เพื่อการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง และวิจัย
9. ในภาวะสงครามหรือในภาวะฉุกเฉิน หรือมีความจำเป็น เพื่อการเยียวยาด้านสาธารณสุข หรือความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ หรือมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ รัฐยังคงสงวนสิทธิเพื่อการใช้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมได้ โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี
A2850
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด