ฟิทช์ เรทติ้งส์: เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ดีท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
ฟิทช์ เรทติ้งส์ - กรุงเทพฯ - 18 ตุลาคม 2565: ในงานสัมมนาประจำปีของฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ที่จัดขึ้นในวันนี้ นักวิเคราะห์ของฟิทช์ คาดว่า เศรษฐกิจไทย น่าจะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องแม้ว่า เศรษฐกิจอื่นในต่างประเทศจะเผชิญกับการชะลอตัว เนื่องจากประเทศไทยยังมีกันชนในส่วนของภาคการเงินต่างประเทศ (external finance) ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง
รวมทั้งการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผลการดำเนินงานโดยรวมของภาคธนาคารและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมน่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามการเติบโตอาจจะถูกจำกัดโดยต้นทุนพลังงานที่สูง
คุณเจมส์ แมคคอร์แมค กรรมการผู้จัดการและหัวหน้ากลุ่มจัดอันดับเครดิตประเทศของฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับแรงต้านที่รุนแรงในช่วงที่เหลือของปีนี้ และแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2566 ยังคงมีความท้าทายต่อเนื่อง ฟิทช์ คาดว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรป ได้เริ่มเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่ในช่วงปีนี้
โดยเศรษฐกิจของประเทศเยอรมันนี อิตาลี และสเปน จะมีการหดตัวลงอย่างชัดเจนในปี 2566 เนื่องจากวิกฤติด้านพลังงาน ฟิทช์คาดว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อยในช่วงกลางปี 2566 จากการที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ ยังคงปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงและตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศจีน ยังคงเผชิญแรงกดดันจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์และความเสี่ยงต่อเนื่องในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
หนึ่งในความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (emerging market) คือ การแข็งค่าของเงิน ดอลลาร์สหรัฐฯ การระดมเงินทุนจากต่างประเทศที่ตึงตัวขึ้นส่งผลกระทบต่อประเทศขนาดเล็กและกลุ่มประเทศที่เพิ่งจะพัฒนา (frontier market)
แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศขนาดใหญ่ยังคงมีความยืดหยุ่นมากกว่าในด้านการระดมเงินทุน ประเทศไทยในฐานะผู้นำเข้าสุทธิของน้ำมัน ได้รับผลกระทบอย่างมากในด้านดุลการค้า รวมทั้งผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ยังคงอ่อนแอ และส่งผลให้ประเทศไทยมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย ยังคงมีภาคการเงินต่างประเทศที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเทียบกับอันดับเครดิตของประเทศ และยังเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในปีหน้า การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และฟิทช์ประมาณการว่าอัตราการเติบโตของเศษฐกิจ (GDP) ที่ 3.1% ในปี 2565 และ 4.2% ในปี 2566
คุณทันย่า โกลด์ ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายจัดอันดับเครดิตธนาคาร ภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า การฟื้นตัวของภาคธนาคารในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค คาดว่าจะยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
แต่จะเป็นการเติบโตที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคน่าจะอยู่ในระดับต่ำในปีหน้า อัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค น่าจะได้ประโยชน์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
โดยธนาคารในฮ่องกงและสิงค์โปน่ารับประโยชน์มากที่สุด ผลกระทบจากความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่อรายได้ของธนาคารในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค โดยรวมน่าจะอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารได้มีการสะสมสำรองหนี้สูญฯ ไว้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงมีต่อเนื่อง หลังจากการสิ้นสุดลงของภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานหลายปีและเกณฑ์การผ่อนผันต่างๆ หมดอายุลง
รายได้ของภาคธนาคารไทยน่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญที่ลดลง (แม้ว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่) ฟิทช์คาดว่าสินเชื่อด้อยคุณภาพน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก หลังจากมาตรการผ่านปรนในช่วงโรคระบาดโควิดหมดอายุลง และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นยังส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์เพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์น่าจะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากคาดว่านโยบายการเงินแบบหดตัวน่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปสำหรับประเทศไทย อีกทั้งธนาคารไทยยังคงมีความสามารถในการรองรับความเสี่ยงจากการสะสมสำรองหนี้สูญและเงินกองทุนไว้แล้วในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยเป็นจุดแข็งของอันดับเครดิต
คุณโอบบุญ ถิรจิต ผู้อำนวยการฝ่ายจัดอันดับเครดิตภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในประเทศไทย กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่ฟิทช์มีการจัดอันดับเครดิตในประเทศไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2566
โดยอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจอาหารและค้าปลีก โทรคมนาคม และซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง จะมีกำไรในปี 2566 ที่เติบโตไปอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันและพลังงานที่อยู่ในระดับสูง สร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของกำไรในธุรกิจปิโตรเคมีและสาธารณูปโภค
เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังราคาขายได้ทั้งหมด
บริษัทในภาคอุตสาหกรรมที่ฟิทช์มีการจัดอันดับเครดิตในประเทศไทย ได้แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการกระแสเงินสดในช่วงการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส ได้เป็นอย่างดี จากการใช้เงินลงทุนอย่างระมัดระวัง และลดการจ่ายเงินปันผล อย่างไรก็ตามการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนและการเข้าซื้อกิจการ
โดยเฉพาะในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจไฟฟ้า เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวของความต้องการใช้พลังงาน ตามแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทเหล่านี้อยู่ในระดับสูง และทำให้โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำ
ติดต่อ
วินเซนต์ มิลตัน
กรรมการผู้จัดการ
+662 108 0169
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ชั้น 17, เลขที่ 57 อาคารปาร์คเวนเชอร์ ถนนวิทยุ
แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.fitchratings.com
'มองเศรษฐกิจโลก สะท้อนเศรษฐกิจไทย' ในการจัดเสวนา 'Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม’
ผมมีโอกาสร่วมเสวนาหัวข้อ 'มองเศรษฐกิจโลก สะท้อนเศรษฐกิจไทย' ในการจัดเสวนา 'Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม’ พร้อมกับผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน ในวันนี้ (19 พ.ค. 65) นำบทสรุปมุมมองของผมที่มีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมาให้ได้อ่านกันครับ
[ ตั้งแต่ปี 2563 ประเทศไทยเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจใดบ้าง ]
- ช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องที่ขาดช่วงมานาน เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างรายได้จากท่องเที่ยวและบริการ การคุมหนี้ครัวเรือนและวินัยทางการเงินการคลังมาโดยตลอด และดีขึ้นตามลำดับ แต่เมื่อเผชิญโควิด-19 2 ปีเต็ม ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ทั้งโลกไม่มีใครเคยเจอ ไม่รู้วิธีรับมือ นอกจากรอวัคซีน ป้องกันได้แค่ใส่หน้ากากอนามัยและรักษาระยะห่าง ที่ผ่านมานับว่าเราทำกันได้ดี
ปี 2563 ไทยได้รับการจัดอันดับเป็นที่หนึ่งของประเทศที่รับมือกับโควิด-19 ได้ดี และผู้คนกลับมาใช้ชีวิตเกือบเหมือนปกติ แต่เมื่อมีสายพันธุ์ใหม่เดลต้าเกิดขึ้นในโลกและมีความรุนแรง ทุกประเทศแย่งกันหาวัคซีน แม้จะติดขัดอยู่บ้างในช่วงแรก แต่ในที่สุดเราก็มีพร้อมทุกอย่างทั้งวัคซีนและยารักษา และสามารถเปิดประเทศได้ตั้งแต่เดือน พ.ย. ปี 2564 จนถึงทุกวันนี้สถานการณ์ก็ดีขึ้น แม้วิกฤตนี้ยังคงมีอยู่บ้าง แต่เรารู้แล้วว่าจะอยู่กับเขาอย่างไร
- ช่วงต้นปี 2565 เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย และบานปลายสู่ความขัดแย้งระดับประเทศกลุ่มมหาอำนาจ ซึ่งผลจากการ sanction ส่งผลให้ราคาพลังงาน ปุ๋ย อาหาร และโลหะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว และแตะในระดับที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี จนทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่ก็ปรับสูงขึ้น โลกจึงเหมือนกำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตและเราต้องร่วมฝ่าฟันไปด้วยกันให้ได้อีกระยะหนึ่ง
[ ภาครัฐมีมาตรการรับมือปัญหาเหล่านั้นอย่างไร ]
- ผมเชื่อว่า ประเทศไทยจะรอดและปลอดภัยจากวิกฤตซ้อนวิกฤตนี้ได้จากความร่วมมือของทุกภาคส่วน เหมือนที่เราได้พิสูจน์มาแล้วในช่วงที่โควิด-19 รุนแรงมาก จนภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทยและมีสัดส่วนสูงถึงราว 20% ของ GDP ปรับลดลงเหลือเกือบศูนย์ การค้าขายติดขัด และประชาชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างและรุนแรง ซึ่งถือเป็นโจทย์ยากที่สุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
- รัฐบาลรับมือกับปัญหาด้วยการใช้เงินผ่าน พรก. เงินกู้กว่า 1.5 ล้านล้านบาท ทั้งเยียวยา รักษา และกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆ เช่น คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน เราชนะ ม.33 เรารักกัน พร้อมทั้งจัดหาวัคซีนและยารักษาให้เพียงพอ เราได้เร่งเปิดประเทศเพื่อหารายได้เข้าประเทศ ในขณะที่สาธารณสุข อาสาสมัคร ประชาชน และผู้ประกอบการ ก็ร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่
- สำหรับ ภูเก็ต แซนด์บอกซ์ เราก็ช่วยกันเร่งฉีดวัคซีนจนสถานการณ์คลี่คลาย และสามารถทำการค้าขาย ลงทุน และเปิดประเทศเพื่อสร้างรายได้เพิ่มในปีนี้ได้ ความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ส่งผลให้ในปี 2563 เศรษฐกิจไทยติดลบเพียง 6% และกลับมาเป็นบวกที่ประมาณ 2% ในปีที่ผ่านมา รวมทั้งมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ในปีนี้
- สำหรับผลกระทบจากวิกฤตยูเครน-รัสเซียที่ทำให้สินค้าขึ้นราคาและอัตราเงินเฟ้อสูง รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยราคาพลังงานไม่ให้สูงมาก และยังคงความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ โดยเฉพาะการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น ลดภาระค่าไฟฟ้า และลดภาระนำเงินส่งประกันสังคม
- นอกจากนี้ ประชาชนและภาคเอกชนยังร่วมใจช่วยกันประหยัดพลังงาน และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ภาคเอกชนนำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยลดต้นทุน รวมทั้งลดการพึ่งพาวัตถุดิบราคาแพงจากต่างประเทศ และหันมาใช้วัตถุดิบในประเทศทดแทนเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ตลอดจนช่วยกันแบ่งเบาภาระให้แก่ผู้บริโภค เมื่อการเปิดประเทศเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องและเราปรับตัวจากเหตุการณ์สินค้าราคาแพงขึ้นได้ ประเทศไทยก็จะรอดพ้นจากวิกฤตซ้อนวิกฤตนี้ไปได้ โดยเรายังมีฐานะการเงินการคลังที่เข้มแข็ง พร้อมรองรับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ผมเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะรอดพ้นและปลอดภัยจากวิกฤตซ้อนวิกฤตในครั้งนี้หากเราร่วมมือแก้ปัญหาไปด้วยกัน และเราจะสามารถเติบโตได้อย่างพอเพียงและยั่งยืนครับ
#BetterThailand #ประเทศไทยต้องไปต่อ #ขับเคลื่อนไปด้วยกัน #SupattanapongP
Facebook: https://www.facebook.com/supattanapongp
Twitter: https://twitter.com/PSupattanapong
นายกรัฐมนตรี ปลื้ม FANC มอบใบเซอทิฟิเขท หลังเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล แก้ยาเสพติดแนวใหม่ รับปาก หนุนแก้อำนาจ ป.ป.ส.เป็นพนักงานสอบสวน-เพิ่มเครื่องมือ หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยา ชม ก.ยุติธรรม มีผลงานเป็นรูปธรรม เตือนใช้ยา เหมือนฆ่าตัวตายทางอ้อม ‘สมศักดิ์’โชว์ผลยึดทรัพย์ 8 พันล้านบาท ใกล้ถึงเป้า 1 หมื่นล้าน ขู่ พ่อค้ายา ให้รีบเลิก เพราะรัฐบาลเอาจริง มั่นใจ ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐช่วย หลังให้รางวัลนำจับ 25%
นายกรัฐมนตรี ปลื้ม FANC มอบใบเซอทิฟิเขท หลังเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล แก้ยาเสพติดแนวใหม่ รับปาก หนุนแก้อำนาจ ป.ป.ส.เป็นพนักงานสอบสวน-เพิ่มเครื่องมือ หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยา ชม ก.ยุติธรรม มีผลงานเป็นรูปธรรมเตือนใช้ยา เหมือนฆ่าตัวตายทางอ้อม “สมศักดิ์”โชว์ผลยึดทรัพย์ 8 พันล้านบาท ใกล้ถึงเป้า 1 หมื่นล้าน ขู่ พ่อค้ายาให้รีบเลิก เพราะรัฐบาลเอาจริง มั่นใจ ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐช่วย หลังให้รางวัลนำจับ 25%
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. และผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วม ที่สำนักงานป.ป.ส.
“รมว.ยุติธรรม”กางผลงานยึดทรัพย์ยาเสพติดได้แล้ว 8,453 ล้านบาท ใกล้เป้าหมาย 1 หมื่นล้าน อ้อนนายกฯเพิ่มอำนาจ ป.ป.ส.เป็นพนักงานสอบสวน
โดยนายสมศักดิ์ กล่าวรายงานว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี เป็นอย่างสูง ที่ได้กรุณาให้เกียรติมาเป็นประธานในการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดในวันนี้ พร้อมทั้งเปิดปฏิบัติการ ‘ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด’ผ่าน Cisco Webex Meeting โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมรวมทั้งสิ้นประมาณ 500 คน ซึ่งจากที่นายกรัฐมนตรี ได้เปิดแผนปราบปรามยาเสพติด จึงทำให้สังคมรับทราบว่า รัฐบาลจริงจังกับการปราบปรามยาเสพติด จนทำให้ผลการสำรวจความเห็นจากนิด้าโพล พบว่า ประชาชน มีความพอใจ ร้อยละ 39.88 และพอใจมาก ถึงร้อยละ21.56
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า รัฐบาล ได้ตั้งเป้าหมาย เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ด้วยการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องโดยในปี 64 รัฐบาลตั้งเป้ายึดทรัพย์ 6,000 ล้านบาท แต่สามารถยึดทรัพย์ได้เกินเป้ากว่า 7,000 ล้านบาท และเมื่อมีประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ การริบทรัพย์สินทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยมีการตั้งเป้าหมายในปี 65 ต้องยึดทรัพย์สินให้ได้ 10,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ ระยะเวลาผ่านมา 231 วัน เราสามารถยึดทรัพย์ได้แล้วกว่า 8,453 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 85 แบ่งเป็น ของป.ป.ส. 3,988 ล้านบาท ของคณะทำงานพาลีปราบยา 1,380 ล้านบาท และยึดทรัพย์ที่จะได้จากการปฎิบัติการในวันนี้ 3,084 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ข้อดีของประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่นี้ คือรางวัลนำจับที่มีมากถึง 30% ของมูลค่าทรัพย์ที่ยึดได้ โดย 25% เป็นของเจ้าหน้าที่ผู้สืบสวนและทำคดี และ อีก 5% เป็นของผู้แจ้งเบาะแส ซึ่งมีมูลค่าถึง 500 ล้านบาท ตรงนี้ถือเป็นการดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปราบปรามยาเสพติด ให้ช่วยแจ้งเบาะแส
ขณะเดียวกัน ในการขยายผลยึดทรัพย์ ป.ป.ส. มีข้อจำกัดในความรู้เชิงลึกของเครือข่าย เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้สืบสวนมาแต่ต้น โดยนักค้ายาเสพติดเป็นเครือข่ายสลับซับซ้อน ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีสนับสนุนให้ ป.ป.ส.มีอำนาจในการเป็น’เจ้าพนักงานสืบสวน’ โดยแก้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดียาเสพติดมาตรา 11/1(8) ด้วย
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณกลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศ หรือ FANC ซึ่งมีหน่วยงานประจำประเทศไทย 2 หน่วยงาน จาก 24 ประเทศ ที่ได้มอบใบเซอทิฟิเขท ให้กับนายกรัฐมนตรีเนื่องจากเล็งเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดแนวใหม่ ที่สอดคล้องกับแนวทางของ UN
“นายกฯ”ชม ก.ยุติธรรม ผลงานปราบยาเสพติดชัด ชี้ ยึดทรัพย์ เป็นการแก้ปัญหาแนวใหม่แบบครบวงจร เตือน ระวังพ่อค้ายา เปลี่ยนวิธีหลังเจอโควิด แนะ ต้องลดจำนวนผู้เสพ ชี้ ใช้ยา เหมือนฆ่าตัวตายทางอ้อม
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบนโยบายการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดว่า จากรายงานผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ และยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นกลไกลการแก้ปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ซึ่งผลการดำเนินงานได้พัฒนาเป็นลำดับ โดยหลายอย่างมีความก้าวหน้า แต่ก็มีบางอย่างที่ต้องปรับปรุง อาทิ กฎหมาย ที่ป.ป.ส.ขอให้สนับสนุนเพิ่มอำนาจ รวมถึงอุปสรรคเรื่องเครื่องมือในการยึดทรัพย์ ทางรัฐบาล ก็จะรับไปพิจารณา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ยาเสพติด ถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกัน เพราะทุกคนทราบดีถึงภัยของยาเสพติด ดังนั้น รัฐบาลหวังว่า จะหมดไป เนื่องจากขณะนี้ เรามีกฎหมายใหม่ ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ในการแก้ปัญหายาเสพติด ที่ได้มีการรวบรวมกฎหมาย เพื่อลดความซ้ำซ้อน และทำให้ประชาชนเข้าถึง โดยกฎหมายใหม่ ได้มีการปรับบทลงโทษที่รุนแรง และไม่แยกความผิดออก ซึ่งเรามีการพิจารณาให้เกิดความเป็นธรรม ด้วยการลดโทษคดีไม่รุนแรง แต่ไปเน้นลงโทษหนักกับผู้ค้า เพื่อให้โอกาสผู้เสพ และเพื่อช่วยลดความแออัดในเรือนจำ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ ตนได้มอบนโยบายไปแล้ว และได้มีการกำหนดเป้าหมาย จนเดินใกล้ถึงเป้าหมายแล้ว เพราะทุกคนนำไปปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ที่ยึดทรัพ์ได้แล้วกว่า 8 พันล้านบาท จากเป้าหมาย 1 หมื่นล้านบาทดังนั้น จากนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานปฎิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เพราะด้วยสถานการณ์โควิด อาจส่งผลให้ผู้เสพ และผู้ค้าเปลี่ยนวิธี จึงอาจทำให้เกิดรายใหม่ ตนจึงอยากให้ช่วยกันลดจำนวนผู้เสพยาให้น้อยที่สุด โดยต้องให้ความสำคัญกับหมู่บ้าน ชุมชน โรงเรียน เพื่อช่วยกันป้องกัน
พล.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า การปราบปรามยาเสพติด เรามุ่งเน้นการขยายผลไปสู่นายทุน จึงเน้นการยึดทรัพย์ เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยง ควบคู่กับการให้รางวัลนำจับ เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่รับสินบนจากผู้ค้า รวมถึงจากนี้ ตนอยากให้เร่งสร้างภูมิคุ้มกันว่า ยาเสพติด เป็นสิ่งที่อันตราย ที่เสมือนเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อม ซึ่งตนขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันเร่งทำงานและขออย่าประมาทในการทำงาน โดยใช้อาวุธด้วยความระมัดระวังด้วย
FANC มอบใบเซอทิฟิเขท ให้นายกรัฐมนตรี หลังเห็นผลงานปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลชัดเจน
ขณะเดียวกัน ภายในงาน กลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศ หรือ FANC ได้มอบใบเซอทิฟิเขท ( Certificate)ให้กับนายกรัฐมนตรี ด้วย รวมถึง นายสมศักดิ์ ได้มีการมอบเงินรางวัลการดำเนินการขยายผล ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด จำนวน 4 หน่วยงาน คือ ตำรวจภูธรภาค 1 ,ตำรวจภูธรภาค 5 ,กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และ สำนักงาน ป.ป.ส. รวมมูลค่าทั้งหมด 7.55 ล้านบาท นอกจากนี้ ภายหลังเปิดงานนายกรัฐมนตรี ยังได้ชมงานการขายทอดตลาดทรัพย์สินคดียาเสพติด ด้วย
'สมศักดิ์' เตือน ผู้ค้ายาให้รีบเลิก เจอรัฐบาลเอาจริง เชื่อ ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐช่วย หลังมีรางวัลนำจับ 25% ชี้ ยึดทรัพย์ได้มากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาหลายเท่าตัว
นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า วันนี้เป็นวันสำคัญ เพราะนายกฯ มาตรวจการบ้าน หลังมีกฎหมายยาเสพติดใหม่ เพื่อช่วยเรื่องการยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด ดังนั้น เป้าหมาย 1 หมื่นล้าน ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะขณะนี้เรายึดทรัพย์ได้แล้ว 8,453 ล้านบาท ซึ่งในอดีตรัฐบาลก่อนหน้า ทำได้ไม่เกิน 600 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีรางวัลนำจับอีก โดยประชาชน ที่แจ้งเบาะแสจะได้รางวัลนำจับ 5% หรือ ตั้งงบประมาณ 500 ล้านบาท ดังนั้น ขอให้ผู้ค้ายารีบเลิก เพราะเรามั่นใจว่า จะปราบปรามยาเสพติดได้แบบเชิกรุก และเรามั่นใจได้ว่า ไม่มีข้าราชการคนใด จะช่วยขบวนการค้ายา เพราะเรามีรางวัลนำจับให้เจ้าหน้าที่ถึง 25%
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด พร้อมรับใบเซอทิฟิเขท จากกลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศ หรือ FANC เนื่องจากเล็งเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดแนวใหม่ที่สอดคล้องกับแนวทางของ UN
? นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด พร้อมรับใบเซอทิฟิเขท จากกลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศ หรือ FANC เนื่องจากเล็งเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดแนวใหม่ที่สอดคล้องกับแนวทางของ UN
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ ชั้น ๓ อาคาร ๒ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)
โดยนายสมศักดิ์ กล่าวรายงานว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี เป็นอย่างสูง ที่ได้กรุณาให้เกียรติมาเป็นประธานในการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดในวันนี้ พร้อมทั้งเปิดปฏิบัติการ “ยุทธการพิทักษ์ไทย ยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด”ผ่าน Cisco Webex Meeting โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมรวมทั้งสิ้นประมาณ ๕๐๐ คน ซึ่งจากที่นายกรัฐมนตรี ได้เปิดแผนปราบปรามยาเสพติด จึงทำให้สังคมรับทราบว่า รัฐบาลจริงจังกับการปราบปรามยาเสพติด จนทำให้ผลการสำรวจความเห็นจากนิด้าโพล พบว่า ประชาชน มีความพอใจ ร้อยละ ๓๙.๘๘ และพอใจมาก ถึงร้อยละ ๒๑.๕๖
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวอีกว่า รัฐบาล ได้ตั้งเป้าหมาย เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ด้วยการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง โดยในปี ๒๕๖๔ รัฐบาลตั้งเป้ายึดทรัพย์ ๖,๐๐๐ ล้านบาท แต่สามารถยึดทรัพย์ได้เกินเป้ากว่า ๗,๐๐๐ ล้านบาท และเมื่อมีประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ การริบทรัพย์สินทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยมีการตั้งเป้าหมายในปี ๒๕๖๕ ต้องยึดทรัพย์สินให้ได้ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ ระยะเวลาผ่านมา ๒๓๑ วัน สามารถยึดทรัพย์ได้แล้วกว่า ๘,๔๕๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๕ แบ่งเป็น ของ ป.ป.ส. ๓,๙๘๘ ล้านบาท ของคณะทำงานพาลีปราบยา ๑,๓๘๐ ล้านบาท และยึดทรัพย์ที่จะได้จากการปฎิบัติการในวันนี้ ๓,๐๘๔ ล้านบาท
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ข้อดีของประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่นี้ คือรางวัลนำจับที่มีมากถึง ๓๐% ของมูลค่าทรัพย์ที่ยึดได้ โดย ๒๕% เป็นของเจ้าหน้าที่ผู้สืบสวนและทำคดี และ อีก ๕% เป็นของผู้แจ้งเบาะแส ซึ่งมีมูลค่าถึง ๕๐๐ ล้านบาท ตรงนี้ถือเป็นการดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปราบปรามยาเสพติด ให้ช่วยแจ้งเบาะแส ขณะเดียวกัน ในการขยายผลยึดทรัพย์ ป.ป.ส. มีข้อจำกัดในความรู้เชิงลึกของเครือข่าย เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้สืบสวนมาแต่ต้น โดยนักค้ายาเสพติดเป็นเครือข่ายสลับซับซ้อน ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงอยากให้นายกรัฐมนตรี สนับสนุนให้ ป.ป.ส. มีอำนาจในการเป็น “เจ้าพนักงานสืบสวน” โดยแก้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดียาเสพติด มาตรา ๑๑/๑(๘) ด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณกลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศ หรือ FANC ซึ่งมีหน่วยงานประจำประเทศไทย ๒ หน่วยงาน จาก ๒๔ ประเทศ ที่ได้มอบใบเซอทิฟิเขท ให้กับนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเล็งเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดแนวใหม่ ที่สอดคล้องกับแนวทางของ UN
ขณะที่ พลเอกประยุทธ์ ได้มอบนโยบายการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดว่า จากรายงานผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ และยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นกลไกการแก้ปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ซึ่งผลการดำเนินงานได้พัฒนาเป็นลำดับ โดยหลายอย่างมีความก้าวหน้า แต่ก็มีบางอย่างที่ต้องปรับปรุง อาทิ กฎหมาย ที่ ป.ป.ส.ขอให้สนับสนุนเพิ่มอำนาจ รวมถึงอุปสรรคเรื่องเครื่องมือในการยึดทรัพย์ ทางรัฐบาล ก็จะรับไปพิจารณา
พลเอกประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ยาเสพติด ถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกัน เพราะทุกคนทราบดีถึงภัยของยาเสพติด ดังนั้น รัฐบาลหวังว่า จะหมดไป เนื่องจากขณะนี้ เรามีกฎหมายใหม่ ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ในการแก้ปัญหายาเสพติด ที่ได้มีการรวบรวมกฎหมาย เพื่อลดความซ้ำซ้อน และทำให้ประชาชนเข้าถึง โดยกฎหมายใหม่ ได้มีการปรับบทลงโทษที่รุนแรง และไม่แยกความผิดออก ซึ่งเรามีการพิจารณาให้เกิดความเป็นธรรม ด้วยการลดโทษคดีไม่รุนแรง แต่ไปเน้นลงโทษหนักกับผู้ค้า เพื่อให้โอกาสผู้เสพ และเพื่อช่วยลดความแออัดในเรือนจำ
พลเอกประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ ตนได้มอบนโยบายไปแล้ว และได้มีการกำหนดเป้าหมาย จนเดินใกล้ถึงเป้าหมายแล้ว เพราะทุกคนนำไปปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ที่ยึดทรัพย์ได้แล้วกว่า แปดพันล้านบาท จากเป้าหมาย หนึ่งหมื่นล้านบาท ดังนั้น จากนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานปฎิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เพราะด้วยสถานการณ์โควิด อาจส่งผลให้ผู้เสพ และผู้ค้า เปลี่ยนวิธี จึงอาจทำให้เกิดรายใหม่ ตนจึงอยากให้ช่วยกันลดจำนวนผู้เสพยาให้น้อยที่สุด โดยต้องให้ความสำคัญกับหมู่บ้าน ชุมชน โรงเรียน เพื่อช่วยกันป้องกัน
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า การปราบปรามยาเสพติด เรามุ่งเน้นการขยายผลไปสู่นายทุน จึงเน้นการยึดทรัพย์ เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยง ควบคู่กับการให้รางวัลนำจับ เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่รับสินบนจากผู้ค้า รวมถึงจากนี้ตนอยากให้เร่งสร้างภูมิคุ้มกันว่า ยาเสพติด เป็นสิ่งที่อันตราย ที่เสมือนเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อม ซึ่งตนขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันเร่งทำงาน และขออย่าประมาทในการทำงาน โดยใช้อาวุธด้วยความระมัดระวังด้วย
ขณะเดียวกัน ภายในงาน กลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศ หรือ FANC ได้มอบใบเซอทิฟิเขท ( Certificate)ให้กับนายกรัฐมนตรี ด้วย รวมถึง นายสมศักดิ์ ได้มีการมอบเงินรางวัลการดำเนินการขยายผล ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด จำนวน 4 หน่วยงาน คือ ตำรวจภูธรภาค ๑ ,ตำรวจภูธรภาค ๕ ,กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และ สำนักงาน ป.ป.ส. รวมมูลค่าทั้งหมด ๗.๕๕ ล้านบาท นอกจากนี้ ภายหลังเปิดงาน นายกรัฐมนตรี ยังได้ชมงานการขายทอดตลาดทรัพย์สินคดียาเสพติด ด้วย
นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า วันนี้เป็นวันสำคัญ เพราะนายกรัฐมนตรี มาตรวจการบ้าน หลังมีกฎหมายยาเสพติดใหม่ เพื่อช่วยเรื่องการยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด ดังนั้น เป้าหมาย ๑ หมื่นล้าน ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะขณะนี้ เรายึดทรัพย์ได้แล้ว ๘,๔๕๓ ล้านบาท ซึ่งในอดีตรัฐบาลก่อนหน้า ทำได้ไม่เกิน ๖๐๐ ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีรางวัลนำจับอีก โดยประชาชน ที่แจ้งเบาะแสจะได้รางวัลนำจับ ๕% หรือ ตั้งงบประมาณ ๕๐๐ ล้านบาท ดังนั้น ขอให้ผู้ค้ายารีบเลิก เพราะเรามั่นใจว่า จะปราบปรามยาเสพติดได้แบบเชิกรุก และเรามั่นใจได้ว่า ไม่มีข้าราชการคนใด จะช่วยขบวนการค้ายา เพราะเรามีรางวัลนำจับให้เจ้าหน้าที่ถึง ๒๕%
#นายกรัฐมนตรี #พิธีเปิดการติดตามผลการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด #หวังยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด #รับใบเซอทิฟิเขท #กลุ่มเจ้าหน้าที่ประสานงานยาเสพติดและอาชญากรรมต่างประเทศ #FANC #เล็งเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดแนวใหม่ #สอดคล้องกับแนวทางของUN
https://www.facebook.com/mojthofficial/posts/540603850768487
นายกฯ ติดตามงาน 'ขจัดความยากจน-พัฒนาคนทุกช่วงวัย' กำชับเร่งแก้ไขปัญหาความยากจนแบบ 'พุ่งเป้า' ตรงจุด ทันเวลา และเป็นรูปธรรม
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามการดำเนินงาน 'ขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัย' โดยรับทราบรายงานความก้าวหน้าจากกระทรวงมหาดไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ข้อมูลในระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) ข้อมูล ณ 30 เม.ย. 65 พบว่า มีครัวเรือนที่เข้าข่ายยากจน จำนวน 647,139 ครัวเรือน จากเป้าหมายตั้งต้น 619,111 ครัวเรือน
ขณะนี้ อยู่ในช่วงดำเนินการให้ความช่วยเหลือ (1 พ.ค. - 30 ก.ย. 65) โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะมี "ทีมพี่เลี้ยง" ร่วมติดตามการให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด (Intensive Care) พร้อมบันทึกผลการให้ความช่วยเหลือในระบบ Logbook และรายงานผลให้ ครม. ทราบทุกเดือน
ทั้งนี้ นายกฯ ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เน้นการแก้ไขปัญหาแบบพุ่งเป้า 5 ด้าน คือ สุขภาพ ความเป็นอยู่ การศึกษา รายได้ และการเข้าถึงบริการภาครัฐ รวมถึงปัญหาความเดือดร้อนอื่น ๆ เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานขับเคลื่อนขจัดความยากจน และพัฒนาคนทุกช่วงวัย กำชับเร่งแก้ไขปัญหาความยากจนพุ่งเป้า 5 ด้าน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและติดตามการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล โดยล่าสุดในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยได้รายงานความคืบหน้าการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนที่ดำเนินการโดยศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.)
โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้รายงานความก้าวหน้า ของ ศพจ. ในระดับพื้นที่จากข้อมูลในระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform – TPMAP) ซึ่งผลการดำเนินงาน การวิเคราะห์สภาพปัญหา และกำหนดแนวทางแก้ไข (ข้อมูล ณ 30 เมษายน 2565) โดยเจ้าหน้าที่ ศพจ. สำรวจครัวเรือนในระบบ Logbook ทั้งหมด พบครัวเรือนที่เข้าข่ายยากจน จำนวน 647,139 ครัวเรือน จากเป้าหมายตั้งต้น 619,111 ครัวเรือน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ศพจ. พบว่า ครัวเรือนที่อยู่ใน “เป้าตั้งต้น” และมีการสำรวจปัญหาความยากจนและปัญหาอื่น ๆ จำนวน 615,128 ครัวเรือน มีตัวเลขครัวเรือนที่ตกหล่น (Exclusion Error) จำนวน 32,011 ครัวเรือน ซึ่ง ศพจ. ได้จำแนกปัญหาของ 615,128 ครัวเรือน พบเป็นปัญหาสุขภาพ 149,143 ครัวเรือน ปัญหาความเป็นอยู่ 145,573 ครัวเรือน ปัญหาการศึกษา 151,649 ครัวเรือน ปัญหารายได้ 319,248 ครัวเรือน และปัญหาการเข้าถึงบริการภาครัฐ 2,268 ครัวเรือน ทั้งนี้ ตามกรอบระยะเวลาการดำเนินงาน หลังจากทำการวิเคราะห์สภาพปัญหา และกำหนดแนวทางแก้ไข จำแนกประเภทครัวเรือน โครงการ/กิจกรรม และบูรณาการแนวทางการให้ความช่วยเหลือ ตลอดเดือนเมษายนที่ผ่านมาแล้ว
ขณะนี้อยู่ในช่วงดำเนินการให้ความช่วยเหลือ (1 พฤษภาคม – 30 กันยายน 2565) โดยหน่วยงานต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือตามโครงการ กิจกรรม ที่ผ่านการประชุม ศจพ.อำเภอ (ขั้นตอนที่ 4) แก้ไขปัญหาทุกครัวเรือนให้เสร็จสิ้นในระดับอำเภอ ภายใน 30 กันยายน 2565 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่รัฐบาลขีดเส้นเพื่อแก้ปัญหาคนจนให้หมดไป โดยทีมพี่เลี้ยงจะร่วมติดตามการให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด (Intensive Care) และบันทึกผลการให้ความช่วยเหลือในระบบ Logbook ซึ่งจะมีการติดตามการดำเนินงาน และ ศจพ. จะรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน
“รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับพี่น้องประชาชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้าแต่ละครัวเรือน ทั้งนี้ ความยากจนคือความเดือดร้อนทุกเรื่องที่พี่น้องประชาชนประสบปัญหาอยู่โดยที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง โดยการแก้ไขปัญหาแบบพุ่งเป้า 5 ด้าน ได้แก่ สุขภาพ ความเป็นอยู่ การศึกษา รายได้ และการเข้าถึงบริการภาครัฐ รวมถึงปัญหาความเดือดร้อนอื่น ๆ เป็นอำนาจหน้าที่ของทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ที่ไม่ได้แก้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงหน่วยเดียว เพราะในปัญหานั้นๆ จะมีหลายมิติ
จึงจำเป็นต้องบูรณาการร่วมกันทุกส่วนราชการเพื่อแก้ไขปัญหาแบบพุ่งเป้าเดียวกันให้แล้วเสร็จในระดับอำเภอภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 โดยในการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่ นายกรัฐมนตรีกำชับให้กระทรวงมหาดไทยนำข้อมูลจากระบบ TPMAP มาบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัญหา พุ่งเป้าร่วมแก้ปัญหากับครัวเรือนเป้าหมาย ตามหลัก 4ท ทัศนคติ ทักษะ ทรัพยากร และทางออก ให้ประชาชนรู้จักการพึ่งพาตนเอง ลดรายจ่าย เพื่อให้ใช้ชีวิตอย่างอยู่รอด พอเพียง อย่างยั่งยืน
โดยให้ประมวลผลรายงานความก้าวหน้าโครงการ จำแนกแนวทางการแก้ปัญหา เข้าไปแก้ปัญหาให้ตรงจุด ทันเวลา เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม และเกิดการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติได้อย่างแท้จริง” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
อ่านเพิ่มเติม คลิก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54268
#ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19
-------------------
?Website : www.thaigov.go.th
?Facebook/Twitter : ไทยคู่ฟ้า
?YouTube : ไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
?LINE/TikTok : ไทยคู่ฟ้า (@thaigov)
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด