กกร.ห่วงภัยแล้งยื้อ ศก.โต บิ๊ก ธปท.ย้ำอีกแรงปีหน้าเริ่มสดใสยากระตุ้นรัฐออกฤทธิ์
บ้านเมือง : กกร.มองเศรษฐกิจไทยปีหน้าดีขึ้น ยังห่วงภัยแล้งอาจฉุดราคาสินค้าเกษตร ขณะที่แบงก์ชาติ ยังต้องจับตานโยบายการเงินของต่างประเทศ พร้อมระบุมาตรการกระตุ้นรัฐ เห็นผลชัดในปี 59 บิ๊กตลาดหุ้นโชว์ ตลาดทุนไทย เนื้อหอมต่างชาติรุมลงทุน
นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยในการสัมมนา "ยุทธศาสตร์ไทย ก้าวไกลไปกับ CLMV" ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2559 ดีกว่าปี 2558 โดยจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ส่งเสริมการลงทุนและเริ่มก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังห่วงปัญหาภัยแล้ง ซึ่งหากรุนแรงขึ้นจะมีผลกระทบต่อ ผลผลิตทางการเกษตรให้น้อยลง กดดันทำให้ราคาสินค้าเกษตรต่ำ ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. จะมีการประเมินจีดีพีปี 2558 และ 2559 ใหม่ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ จากที่เคยคาดการณ์ว่าจีดีพีปี 2558 จะอยู่ที่ร้อยละ 2.5-3 ประเทศไทย ต้องวางบทบาทในการเป็นประเทศศูนย์กลางการผลิตขนาดใหญ่ของกลุ่ม CLMV โดยมีประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานวัตถุดิบ โดยมองเห็นศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ CLMV ที่ยังขยายตัวสูง ดังนั้นจึงเชื่อว่า การส่งออกของไทยไปยังประเทศ CLMV ในปีหน้าจะขยายตัวได้ดีกว่าปีนี้
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะดีขึ้น จากผลความเชื่อมั่นที่เริ่มฟื้นตัว ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่กังวลคือปัญหาภัยแล้ง ซึ่งรัฐบาลจะต้องทำความเข้าใจกับประชาชนและเกษตรกรให้ประหยัดน้ำและเพาะปลูกน้อยที่ใช้น้ำน้อย รวมถึงแบ่งสัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกให้มีความเหมาะสม เพื่อลดความขัด แย้งที่เกิดขึ้นได้
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในปีหน้าเศรษฐกิจในประเทศจะมีแรงส่งที่สำคัญมาจากนโยบายของภาครัฐ เช่น มาตรการด้านการคลังที่ออกมาช่วยเยียวยากลุ่มต่างๆ มาตรการกระตุ้นการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งหากเดินหน้าไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ภาคการท่องเที่ยวก็ยังถือว่ามีศักยภาพดีใน การที่จะช่วยเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เช่นกันในปีหน้า
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ยังต้องระมัดระวังคือ ปัญหาภัยแล้งที่จะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตร ซึ่งปีหน้าราคาอาจจะไม่ตกต่ำมากดังเช่นในปีนี้ แต่ก็ยังเชื่อว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ อันจะส่งผลกระทบต่อรายได้ภาคเกษตร ในขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงนั้น ก็เป็นปัจจัยปัญหาในเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่ยังเป็นตัวถ่วงในการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ
ขณะที่ต้องจับตาการดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศหลักๆ ที่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก เช่น ธนาคารกลางสหรัฐที่มีแนวโน้มในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางญี่ปุ่น มีแนวโน้มจะผ่อนคลายนโยบายทางการเงินมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือว่าเป็นการสร้างความผันผวนในตลาดเงินที่ต้องระมัดระวัง
ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในปีหน้ามีโอกาสที่บริษัทจากกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม หรือ CLMV จะเข้ามาระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเมียนมา ซึ่งขณะนี้ต้องรอดูความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นก่อน แต่ที่แน่ๆ เมียนมามีความจำเป็นจะต้องระดมทุนเพื่อใช้ในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศอีกมาก ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ไทยพร้อมที่จะเข้าไปให้คำปรึกษาด้านข้อมูลการลงทุน การบริหารตลาด และวิธีการซื้อขายแก่ผู้ลงทุนของเมียนมา ซึ่งคาดว่าตลาดหลักทรัพย์ของเมียนมาจะเริ่มมีการเปิดซื้อขายจริงในปี 59 ดังเช่นที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยเคยให้คำปรึกษาในลักษณะเช่นนี้มาแล้วกับตลาดหลักทรัพย์ลาว และตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา
สำหรับ บริษัทที่จะเข้ามาระดมทุนในไทยจำเป็นต้องได้รับการจัดอันดับเรตติ้งจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือก่อน รวมทั้งต้องได้รับการอนุมัติจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ก่อนด้วย ส่วนกรณีที่นักลงทุนจะให้ความสนใจตราสารหนี้ หรือพันธบัตรของกลุ่มประเทศ CLMV หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความสมัครใจและดุลยพินิจของผู้ลงทุนเอง แต่ทั้งนี้บริษัทจากกลุ่มประเทศ CLMV ที่เคยเข้ามาระดมทุนในไทยนั้นส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่มีรัฐบาลของประเทศนั้นๆ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับนั้นก็เป็นไปตามสภาพที่แท้จริงของตลาดในขณะนั้น
นางเกศรา กล่าวต่อว่า ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีการทำ IPO สูงสุดในอาเซียน เนื่องจากไทยมีผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก และมีสภาพคล่องสูง จึงทำให้หลายประเทศเห็นประโยชน์ของการที่จะเข้ามาทำ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ไทย ซึ่งในปีหน้าก็มีโอกาสที่จะเห็นบริษัทในอาเซียนเข้ามาทำ IPO ในไทยอย่างน้อย 1-2 บริษัท