ม.หอการค้า เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค. 59 อยู่ที่ 73.5 ลดลงเป็นเดือนที่ 3 ต่ำสุดรอบ 5 เดือน จ่อหั่นจีดีพีปี 59 ลงเหลือโตต่ำกว่า 3%
ม.หอการค้า เผยเศรษฐกิจไทยทรุดตัวต่อเนื่อง หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำสุดในรอบ 5 เดือนจากเดือน พ.ย.58 หลังภัยแล้ง ส่งออก เศรษฐกิจไทย-โลกยังทรุดตัวต่อเนื่อง พร้อมเตรียมปรับลดเป้าจีดีพีและส่งออกปีนี้ลงในปลายเดือน เม.ย.นี้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค.59 อยู่ที่ระดับ 73.5 จากเดือน ก.พ.อยู่ที่ระดับ 74.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ย.58 เนื่องจากผู้บริโภคกังวลภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวเป็นไปอย่างล่าช้าและปัญหาภัยแล้งมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบต่อการหดตัวของภาคส่งออกและราคาสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ในระดับต่ำโดยเฉพาะยางพาราและข้าว ทำให้กำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัว
การฟื้นตัวของการบริโภคจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 ของปีนี้ หากสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกมีความคลี่คลายลง" นายธนวรรธน์ กล่าว
สำหรับ ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมในเดือน มี.ค.59 อยู่ที่ระดับ 62.4 จากเดือน ก.พ.อยู่ที่ 63.5 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ย.58 เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่ชัดเจน
ภาวะเศรษฐกิจในช่วง6 เดือนข้างหน้ายังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวช้าและยังต่ำกว่าที่คาดไว้เดิม โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในเดือนนี้ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 แต่ดัชนีเฉลี่ยในไตรมาสแรกของปีนี้ยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3/58 และอยู่ระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 4/58 แสดงว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจอาจจะกลับมาฟื้นตัวได้หากสถานการณ์ภัยแล้งคลี่คลายลง" นายธนวรรธน์ กล่าว
สำหรับ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ไทยปีนี้ ม.หอการค้าเคยประเมินไว้จะขยายตัว 3% มีโอกาสที่จะปรับลดลงในช่วงปลายเดือน เม.ย.นี้ หลังภาวะเศรษฐกิจยังไม่มีการฟื้นตัว ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐยังไม่ส่งผลอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงสงกรานต์หรือประชารัฐ ในขณะที่งบในตำบลยังไม่เพียงพอต่อการเยียวยา ซึ่งต่อจากนี้ภาครัฐจะต้องเร่งเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็กและอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการส่งออกก็มีโอกาสปรับลดเป้าหมายลงเช่นเดียวกัน จากเดิมประเมินไว้ศูนย์ถึงขยายตัวเล็กน้อยมีโอกาสที่จะติดลบ ซึ่งจะมีการพิจารณาในสิ้นเดือน เม.ย.นี้เช่นเดียวกัน
"ในช่วงเดือนเม.ย.เราจะปรับลดเป้าจีดีพีและส่งออกลง โดยเศรษฐกิจไทยจากเดิมที่เราเคยมองว่าจะฟื้นตัวในปลายไตรมาส 2 ได้เลื่อนไปเป็นปลายไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ปีนี้ จากปัญหาภัยแล้งและการส่งออกที่หดตัว โดยการส่งออกหากติดลบ 2% จะทำให้เม็ดเงินหายไป 1-1.5 แสนล้านบาท ในขณะที่ภัยแล้งทำให้เม็ดเงินหายไป 1.2 แสนล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามมาตรการของภาครัฐที่ออกมาก่อนหน้านี้ยังเพียงพอต่อการเยียวยาด้านภัยแล้งแต่ไม่เพียงพอต่อส่งออกที่ติดลบ ซึ่งต่อจากนี้ภาครัฐจะต้องไปแก้ไขธุรกิจที่ค้างท่ออยู่ในระบบและผลักดันโครงการเมกะโปรเจ็กให้เกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด" นายธนวรรธน์ กล่าว
จากการที่ธนาคารพาณิชย์มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยนายธนวรรธน์ กล่าวว่า ธนาคารเป็นการส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้สินเชื่อมีการเติบโตและธนาคารต้องการบริหารต้นทุนทางการเงิน แต่อย่างไรก็ตามจะไม่กระทบต่อกำไรของธนาคารพาณิชย์เนื่องจากธนาคารมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงและต้นทุนที่เหมาะสม ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากจะมีการปรับลดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของแต่ละธนาคาร ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ก่อนลดดอกเบี้ยเงินฝากเสมอ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย