ม.หอการค้าไทย เผยดัชนีคอร์รัปชั่นไทยอยู่ที่ 55 คะแนน ดีสุดในรอบ 6 ปี หลังปชช.ตื่นตัว - องค์กรอิสระเข้มงวด
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการ ค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทย (CSI) ว่า ดัชนีสถานการณ์ คอร์รัปชั่นไทยโดยรวมอยู่ที่ 55 คะแนน จากเต็ม 100 คะแนน ดีขึ้นจากปี 57 ที่มี 49 คะแนน และ ดีที่สุดในรอบ 6 ปีนับจากการสำรวจครั้งแรกในปี 53 ที่มีเพียง 35 คะแนน (0 คะแนน หมายถึงปรับตัวแย่ลงมากที่สุด, 100 คะแนน หมายถึงปรับตัวดีที่สุดถึงไม่มีปัญหาเลย)
ผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทยในปัจจุบัน อยู่ที่ 52 คะแนนเท่ากับเดือนมิ.ย.58 แต่เพิ่มขึ้น จากปี 57 ซึ่งอยู่ที่ 47 คะแนน ขณะที่ดัชนีแนวโน้มสถานการณ์คอร์รัปชันไทย อยู่ที่ 57 คะแนน ลดลง จาก 58 คะแนนในเดือนมิ.ย.58 แต่เพิ่มขึ้นจากปี 57 ที่มี 50 คะแนนในด้านความรุนแรงของปัญหา ส่วนใหญ่ตอบปัญหารุนแรงเพิ่มขึ้น 44% ลดลง 30% และเท่าเดิม 26% ใกล้เคียงกับการสำรวจเมื่อเดือนมิ.ย.58
"แต่ในภาพรวมทั้งปี 58 ถือว่าความรุนแรงของปัญหาน้อยที่สุดนับจากเริ่มการสำรวจครั้งแรกเมื่อปี 53 หรือรุนแรงน้อยสุดในรอบ 6 ปี ส่วนการคาดการณ์ความรุนแรงของปัญหาในปีหน้า ก็ดีที่สุดในรอบ 6 ปีเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่ตอบความรุนแรงของปัญหาจะลดลง ขณะเดียวกัน คนไทยมีจิตสำนึกต่อ ต้านการคอร์รัปชั่นมากขึ้น และองค์กรอิสระทำหน้าที่อย่างเข้มงวด และโปร่งใสมากขึ้น"
นางเสาวณีย์ กล่าวต่อถึงความเสียหายของการทุจริตที่ประเมินจากงบประมาณ ประเภทจัดซื้อจัดจ้าง ของหน่วยราชการว่า ผู้ตอบส่วนใหญ่ถึง 46% ระบุไม่จ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่ข้าราชการ/นักการเมืองที่ ทุจริตเพื่อให้ได้ สัญญา อีก 45% ตอบไม่ทราบ และ 9% ตอบจ่าย โดยจำนวนเงินที่จ่ายลดลงเหลือ เพียง 1-15% ของรายรับ จากการสำรวจครั้งแรกปี 53-56 ที่จ่ายมากถึง 25-35% เดือนมิ.ย.57 จ่ายที่ 15-25% และเดือนธ.ค.57 จ่ายที่ 5-15%
"งบประมาณรายจ่าย ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงงบลงทุนรัฐวิสาหกิจปี 58 ที่ 1.074 ล้านล้านบาท ถ้าจ่ายเงินพิเศษ 1-15% จะมีมูลค่าความเสียหายจากคอรัปชันที่ 53,715-161,145 ล้านบาท คิดเป็น 0.39-1.18% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จากปี 57 ที่จ่ายเงินใต้ โต๊ะ 15-25% หรือราว 150,763-251,272 ล้านบาท หรือ 1.15-1.91% ของจีดีพี อย่างไรก็ ตาม การจ่ายเงินสินบน เงินใต้โต๊ะลดลงทุก 1% จะทำให้เงินจากการคอร์รัปชั่นลดลง 10,000 ล้านบาท"
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ในปี 58 ผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ เฉลี่ยที่ 10% คิดเป็นเม็ดเงินที่สูญเสีย 100,000 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 6 ปี เพราะประชาชน และเอกชนร่วมมือจริงจับในการต่อต้าน ทุจริตทุกรูปแบบ,ข้าราชการเกรงกลัวมาตรา 44, ธุรกิจสีเทาหรือผู้มีอิทธิพลลดลงมาก, องค์กร อิสระทั้ง ป.ป.ช. และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหน้าที่อย่างเข้มงวด จนทำให้การจัด อันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน ปี 58 โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (ทีไอ) ไทยได้ 38 คะแนนจาก 100 คะแนน อยู่อันดับที่ 76 จาก 168 ประเทศทั่วโลก จากปี 57 ได้ 38 คะแนน อยู่อันดับ 85
สาเหตุของการคอร์รัปชัน คือ กระบวนการทางการเมืองขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ยาก, กฎหมายเปิดโอกาสให้ใช้ดุลยพินิจที่เอื้อต่อการทุจริต, ความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมาย, ผลประโยชน์ทางการเมือง และความล่าช้าหรือยุ่งยากของขั้นตอนในการดำเนินการของทางราชการ ส่วนรูปแบบการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยบ่อยสุด คือ การเอื้อประโยชน์แก่ญาติหรือพรรคพวก, ใช้ ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว, การให้สินบน ของกำนัลหรือรางวัลต่างๆ, การ ใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อประโยชน์แก่พรรคพวก และการจ่ายเงินเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ในภายหลัง
ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย ได้สำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างทั้งประชาชน ผู้ประกอบการ/ภาค เอกชน และข้าราชการ/ภาครัฐ รวม 2,400 ตัวอย่างทั่วประเทศ เมื่อเดือน ธ.ค.58
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
ม.หอการค้า เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค.ที่ 75.5 ลดครั้งแรกรอบ 4 เดือน
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ม.ค.59 อยู่ที่ระดับ 75.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 64.4
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 70.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 91.7
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยมีปัจจัยลบมาจากความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับคาดการณ์ GDP ปี 59 มาอยู่ที่ 3.7% จากเดิมที่คาดไว้ 3.8%, การส่งออกของไทยในปี 58 ติดลบ 5.78%, ราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวในระดับต่ำ, เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อย ขณะที่ผู้บริโภคยังกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่อยู่ในระดับสูง
ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่ สศค.เผย GDP ปี 58 ขยายตัว 2.8% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา, ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า การบริโภคของภาคประชาชนยังฟื้นตัวขึ้นไม่มากนักในช่วงนี้ เนื่องจากประชาชนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก แต่ทั้งนี้คาดว่าการฟื้นตัวของการบริโภคน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงกลางไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ถ้าสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกคลี่คลายลง
ทั้งนี้ มองว่าปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศ และปัญหาการก่อการร้าย ได้ปกคลุมบรรยากาศเศรษฐกิจโลก รวมทั้งภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกยังปรับตัวลดลง และมีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันโลกจะหลุดต่ำกว่า 30 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลง ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ทำให้อำนาจซื้อของโลกดูไม่ค่อยดี ส่งผลให้ทั้งธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงเหลือไม่ถึง 3% จากเดิมที่เคยมองว่าน่าจะใกล้เคียง 3% หรืออาจมากกว่า 3% ที่สำคัญคือเศรษฐกิจจีนถูกจับตามองว่ามีความน่าเป็นห่วงสูง และยังไม่ฟื้นตัว จึงทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนเข้าสู่ระดับติดลบเช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ยังชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปก่อนจากเดิมที่คาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีแรกนี้อย่างน้อย 1-2 ครั้ง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นตัวบั่นทอนความรู้สึกของประชาชน
“เดิมเราคาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น แต่สถานการณ์ในช่วงเดือนม.ค.มีความผันผวนมาก และเห็นถึงความไม่นิ่งของเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี หลังจากมีเหตุการณ์ข้อพิพาทซาอุฯ กับอิหร่าน การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ การปฏิบัติการของกลุ่ม IS ในอินโดนีเซีย สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้เป็นความกังวลของโลก" นายธนวรรธน์ กล่าว
พร้อมกันนี้ ยังมองว่า มาตรการกระตุ้นของภาครัฐยังไม่สามารถพลิกฟื้นให้เกิดความคึกคักหรือฟื้นตัวในระบบเศรษฐกิจไทยได้อย่างชัดเจน ประกอบกับความน่ากังวลต่อบรรยากาศการส่งออกในปีนี้ รวมหน่วยงานภาครัฐได้ปรับมุมมองเศรษฐกิจในปีนี้ลงมาเหลือ 3.7% ซึ่งบรรยากาศเหล่านี้ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ผิดจากแนวโน้มที่ควรจะต้องปรับตัวขึ้น ดังนั้นจึงเห็นว่าในช่วงนี้รัฐบาลจะต้องเร่งอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศในช่วงระหว่างที่ยังไม่เกิดความเป็นรูปธรรมในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ เพราะไม่เช่นนั้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังมีโอกาสจะปรับตัวลดลงต่อ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มากขึ้น
“ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่องว่างก่อนที่จะเกิดโครงการเมกะโปรเจ็กท์และไม่ทำให้ภาพของเศรษฐกิจมีความคึกคักแบบโดดเด่น อัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจทั้งผ่านกองทุนหมู่บ้าน โครงการพัฒนาตำบล โครงการลงทุนขนาดเล็กของภาครัฐ เรากังวลว่าความเชื่อมั่นอาจชะลอตัวลง เพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวขึ้น แต่เรายังไม่ปรับมุมมองความเชื่อมั่นที่มองว่ายังเป็นทิศทางขาขึ้นอยู่ เพียงแต่ปัจจัยเศรษฐกิจโลกค่อนข้างเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงมาก" นายธนวรรธน์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ยังมองว่า ภาคการท่องเที่ยวจะยังเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยให้ปีนี้ไม่ให้ทรุดตัวลงไปมาก ท่ามกลางสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และการส่งออกยังไม่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่นนัก
อินโฟเควสท์