หอการค้าไทย คาด ส่งออกไทยปี 59 โต 2% ห่วง ศก.จีนชะลอ
หอการค้าไทย คาด ส่งออกไทยปี 59 โต 2% กลับมาเป็นบวกครั้งแรกรอบ 4 ปี ห่วง ศก.จีนชะลอตัว ทำส่งออกไทยหดตัวมากขึ้น ลั่น จีดีพีจีน ลด 1% ฉุดส่งออกไทยไปจนลดลง 3.97% ...
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้คาดการณ์การขยายตัวของมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยปี 59 จะเติบโตในกรอบ 0.1-4.1% จากปี 58 ด้วยมูลค่า 214,000-222,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีแนวโน้มที่จะเติบโตในระดับ 2% มูลค่า 218,000 ล้านเหรียญฯ ซึ่งกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังจากที่ติดลบต่อเนื่อง 3 ปี
"ตัวเลขส่งออกไทยปี 59 ที่จะเติบโต 2% นั้น มีความเป็นไปได้ 60-70% ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงคือภาวะเศรษฐกิจจีน เพราะหากจีดีพีจีนหดตัวกว่าที่มีการประเมินกันในปัจจุบัน ก็จะทำให้ตัวเลขส่งออกไทยลดลงไปมากกว่า 2% แต่หากเศรษฐกิจจีนขยายตัวมากกว่า 6.3% ก็จะทำให้ส่งออกไทยขยายตัวมากกว่า 2% ได้เช่นกัน เพราะไทยส่งออกไปตลาดจีนมีสัดส่วนมากสุดถึง 11% ของการส่งออกรวม จึงมีผลกระทบกับภาคส่งออกไทยมาก เป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด" นายอัทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นอีก ทั้งศักยภาพการแข่งขันด้านส่งออกของประเทศคู่แข่งเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเกษตรลดลง สหภาพยุโรป (อียู) ให้ใบเหลืองอุตสาหกรรมประมงไทย และความเสี่ยงจากการก่อการร้ายระหว่างประเทศ
ส่วนปัจจัยที่เป็นโอกาสต่อการส่งออกไทย เช่น เศรษฐกิจโลกมีทิศทางฟื้นตัว โดยไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปี 59 จะขยายตัว 3.6% เพิ่มขึ้นจากปี 58 ที่ขยายตัว 3.1% ขณะที่เงินบาทคาดว่า จะอยู่ที่ระดับ 37 บาท/เหรียญสหรัฐฯ แต่ต้องติดตามการอ่อนค่าของสกุลเงินประเทศคู่แข่งด้วยว่าใกล้เคียงกับค่าเงินบาทหรือไม่ และราคาน้ำมันดิบตลาดโลกแม้จะทรงตัวต่ำ แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
จากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงมา ทำให้ภาคการส่งออกไทยต้องหันไปพึ่งพาตลาดส่งออกที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวและตลาดอินเดียให้มากขึ้น โดยควรทำกลยุทธ์เพื่อเจาะตลาดเหล่านี้ ส่วนกลุ่มสินค้า ที่คาดว่าจะส่งออกลดลงตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ได้แก่ กลุ่มเคมีภัณฑ์ พลาสติก และยางพารา ส่วนสินค้าที่คาดว่าการส่งออกได้ดี เช่น อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์และปลา อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ และรถยนต์และส่วนประกอบ
นายอัทธ์ กล่าวต่อถึงราคายางพาราคาตกต่ำว่า เป็นผลจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว เพราะจีนเป็นผู้นำเข้ายางรายใหญ่สุดของโลก มีการนำเข้าต่อปีถึง 3.7 ล้านตัน และนำเข้าจากไทยถึง 2 ล้านตัน เมื่อเศรษฐกิจจีนตกต่ำ จึงทำให้ราคายางลดลงด้วย ประกอบกับ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดลง ทำให้ราคายางลดลงตามไปด้วย ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องปรับตัวด้วยการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยาง หรือส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ส่วนการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รัฐบาลมี 2 ทางเลือก คือ เพิ่มราคายางด้วยการแทรกแซง หรือลดต้นทุนการผลิตยางให้กับเกษตรกร เพราะต้นทุนการผลิตยางปัจจุบันของไทยสูงเกินไปอยู่ที่ 64 บาท/กิโลกรัม.
ที่มา : www.thairath.co.th