ม.หอการค้า เผย ดัชนีการทำธุรกิจ Q3/58 อยู่ที่ 51.6 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 51.4 คาด Q4/58 อยู่ที่ 52.3 รับมาตรการช่วยเหลือ SMEs
ม.หอการค้า เผย ดัชนีการทำธุรกิจ Q3/58 อยู่ที่ 51.6 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 51.4 คาด Q4/58 อยู่ที่ 52.3 รับมาตรการช่วยเหลือ SMEs ของภาครัฐฯ ประเมินจีดีพี ของ SMEs ปี 58 มีมูลค่า 4.57 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% เชื่อมาตรการกระตุ้นศก.ภาครัฐหนุนจีดีพี ของ SMEs ช่วงQ4/58 ฟื้นมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิม 1.6%
นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจดัชนีความสามารในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีไตรมาส 3/2558 พบว่า ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจไตรมาส 3/2558 อยู่ที่ระดับ 51.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2 จากไตรมาสก่อนที่อยู่ที่ 51.4 ทั้งนี้คาดการณ์ว่าไตรมาส 4/2558 จะอยู่ที่ 52.3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีของภาครัฐ
ด้านของดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจไตรมาส 3/2558 อยู่ที่ 50.5 ปรับตัวลดลง 0.3 จากไตรมาสก่อน และคาดว่าไตรมาส 4 จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 50.2 เนื่องจากผู้ประกอบการยังไม่กล้าลวทุน เพราะยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ส่วนดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไตรมาส 3/2558 อยู่ที่ 49.3 ปรับตัวลดลง 0.5 จากไตรมาสก่อน และคาดว่าไตรมาส 4/2558 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 49.4
นายวิเชียร กล่าวว่า ในปีนี้ม.หอการค้าคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี เอสเอ็มอี ปีนี้จะมีมูลค่า 4.5 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.2% จากปีที่ผ่านมา โดยประเมินว่าจีดีพีเอสเอ็มอีไตรมาส 4 จะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิมที่ 1.6% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากรัฐบาลประกาศให้เอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ ครม.มีมาตรการที่ชัดเจนในการช่วยเหลือเอสเอ็มอี
นอกจากนี้ สถานการณ์การเมืองในประเทศเริ่มมีเสถียรภาพ นโยบายการเงินผ่านการใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเมศ การค้าชายแดนและการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ส่วนปัจจัยลบที่ต้องติดตาม คือ กำลังซื้อในประเทศชะลอตัวต่อเนื่อง ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวในระดับต่ำ ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ค่าครองชีพมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และการส่งออกที่มีแนวโน้มหดตัว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
ม.หอการค้าฯคาดจีดีพี SME เริ่มฟื้น Q4 ชมรัฐออกมาตรการช่วยเหลือตรงประเด็น
นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SMEs ประจำไตรมาส 3/58 พบว่า ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ถึง 61.3% ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ขณะที่ 38.7% ระบุว่าไม่ได้รับผลกระทบ โดยผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ถึง 58.1% ระบุว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง ซึ่งเฉลี่ยแล้วขาดสภาพคล่องมาเป็นระยะเวลา 8 เดือน
สำหรับ สาเหตุที่ทำให้ SMEs ขาดสภาพคล่องมาจาก 1.ยอดขายและรายได้หดตัวอย่างต่อเนื่อง 2.สินค้าและบริการไม่สามารถแขงขันกับคู่แข่งได้ 3.ลูกค้าเริ่มจ่ายเงินล่าช้า หรือมีการเบี้ยวหนี้ 4.ถูกเจ้าหนี้บีบให้ชำระค่าสินค้าเป็นเงินสด ทั้งนี้ผลต่อเนื่องที่ตามมาจากการที่ SMEs ขาดสภาพคล่อง ทำให้ 1.ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ 69.1% เริ่มจ่ายเงินให้เจ้าหนี้การค้าล่าช้า โดยส่วนใหญ่จะล่าช้าเฉลี่ยประมาณ 2.6 เดือน 2.ผู้ประกอบการ SMEs 19.6% เริ่มชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้เงินกู้ล่าช้า 3.ผู้ประกอบการ SMEs 26.7% เริ่มมีการเลิกจ้างหรือปลดคนงานในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่อีก 17.9% มีแผนจะเลิกจ้างหรือปลดคนงานในช่วงครึ่งปีหลัง และ 4.ผู้ประกอบการ SMEs 22.6% เริ่มมีความคิดที่จะเลิกกิจการ
สำหรับ ความคิดเห็นเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และธุรกิจของตัวเองนั้น พบว่า ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ 38.5% คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของปี 59 และคาดว่าธุรกิจของตัวเองจะเริ่มฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 59
สิ่งที่ผู้ประกอบการ SMEs ต้องการได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น เร่งฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ, สนับสนุนเงินทุนให้กับ SMEs เพื่อเสริมสภาพคล่อง, ปรับเกณฑ์หรือคุณสมบัติเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น ลดดอกเบี้ย ปรับเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อ, ปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้มีความเหมาะสม, จัดหาตลาดให้การจำหน่ายสินค้าให้แก้ผู้ประกอบการรายเล็ก เป็นต้น
สำหรับ ปัจจัยบวกต่อภาวะเศรษฐกิจของ SMEs ในปีนี้ ได้แก่ การที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการช่วยเหลือหรือสนับสนุน SMEs, สถานการณ์เมืองในประเทศมีเสถียรภาพ, การใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำที่ใกล้เคียง 1.50% มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และนโยบายการคลังผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนที่ช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ยังคงมีปัจจัยลบต่อภาวะเศรษฐกิจของ SMEs ในปีนี้ เช่น กำลังซื้อในประเทศชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง, ความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก, พืชผลทางการเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ, ภาวะหนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพยังอยู่ในระดับสูง และการส่งออกยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า GDP ของ SMEs ในช่วงไตรมาส 3/58 ขยายตัว 1.9% และคาดว่าในช่วงไตรมาส 4/58 จะขยายตัวได้ 2.8% ขณะที่ดัชนีสุขภาพของธุรกิจ SMEs ในช่วงไตรมาส 3/58 อยู่ที่ 45.6 ลดลงจากไตรมาส 2/58 ซึ่งดัชนีอยู่ที่ 47.2 และคาดว่าไตรมาส 4/58 ดัชนีจะเริ่มดีขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 45.8 โดยมองว่ามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ทั้งในด้านมาตรการภาษี และมาตรการช่วยเสริมสภาพคล่องที่รัฐบาลออกมาล่าสุดนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงประเด็น
"ผู้ประกอบการมองว่าจุดต่ำสุดของ SMEs น่าจะอยู่ในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งตอนนี้ได้ผ่านมาแล้ว และหวังว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 4...ช่วงไตรมาส 3 ดัชนีสุขภาพของ SMEs ไม่ค่อยดี เพราะมีค่าต่ำกว่า 50 เพราะเศรษฐกิจที่ย่อตัวทำให้รายได้ลดลง มีปัญหายอดขายตก ลูกค้าเบี้ยวหนี้ ดังนั้นนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยเหลือ SMEs ที่ออกมาล่าสุดนี้จึงถือว่าทำได้ตรงประเด็น และเหมาะสมกับเวลา" นายธนวรรธน์ กล่าว
อินโฟเควสท์
ม.หอการค้า ปรับคาดการณ์ GDP ปี 58 เป็นโต 3.1% ประเมินปี 59 โตได้ 4.2%
มหาวิทยาลัยหอการค้า ปรับคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 58 เป็นโต 3.1% จากเดิม 3.2% และ การส่งออกคาดว่าจะ -4.8% จากเดิมคาดโต 0.4% จากปัจจัยที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)มีมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะติดลบ -0.6% จากเดิมคาดเพิ่มขึ้น 0.5%
ส่วนในปี 59 คาดว่า GDP ของไทยจะเติบโตได้ราว 4.2% แต่ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจากภาครัฐ ด้านการส่งออกคาดว่าจะเติบโตได้ราว 5.3% และอัตราเงินเฟ้อกลับมาเป็นบวก 1.4%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปี 58 จะเติบโตได้ 3.1% โดยมีกรอบการขยายตัวอยู่ในช่วง 2.8-3.3% ลดลงเล็กน้อยจากที่เคยประมาณการไว้ในเดือน เม.ย.58 ที่3.2%
ปัจจัยลบสำคัญในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้การค้าและการลงทุนของโลกซบเซาตามไปด้วย ขณะที่ปัญหาภัยแล้งยาวนานส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และทำให้กำลังซื้อของเกษตรกรหดหายไป นอกจากนี้ หนี้ภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่สูงทำให้อำนาจซื้อของครัวเรือนลดลงด้วย และล่าสุดยังมีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาจากกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ลงมติไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้การเลือกตั้งที่เดิมคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 59 จำเป็นต้องเลื่อนออกไป อันมีผลในทางต่อจิตวิทยาต่อนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น สหภาพยุโรป(อียู)ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(GSP) และอาจงดนำเข้าสินค้าประมงของไทยชั่วคราว เนื่องจากการทำประมงขัดกับกฎระเบียบ IUU ของอียู, องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ICAO) ให้ใบแดงมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทย และเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวจากการปรับนโยบายเน้นการพึ่งพาสินค้าในประเทศและลดการนำเข้า
ด้านปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ การเมืองในประเทศยังมีเสถียรภาพที่ดี, คณะรัฐมนตรีชุดใหม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชัดเจน, ภาคการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี, การดำเนินนโยบายทางการเงินผ่านการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำที่ 1.50% มีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ศูนย์พยากรณ์ฯ มองว่าการส่งออกในปีนี้จะหดตัวอยู่ในระดับ 4% หรือมีมูลค่าราว 216,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าลดลง 8.1% หรือมีมูลค่าราว 209,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้คาดว่าในปีนี้ไทยจะเกินดุลการค้าราว 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่มองว่า อัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะติดลบ 0.6% แต่ไม่ใช่สถานการณ์ของเงินฝืด เพราะการติดลบของเงินเฟ้อมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่ในระดับต่ำ และทั้งปีนี้เงินบาทจะมีระดับเฉลี่ยอยู่ที่ 34.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรืออยู่ในกรอบ 33.00-36.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ศูนย์พยากรณ์ฯ ยังคาดการณ์ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 59 ว่าจะเติบโต 4.2% โดยมีกรอบในช่วง 3.9 – 4.5% ซึ่งโอกาสที่เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวได้มากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทยให้ขยายตัวได้ตามเป้า ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมของรัฐบาล ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้การบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
“ปีหน้าเรามองว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสโตได้มากกว่า 4% หรืออาจจะขึ้นไปได้ถึง 4.5% แต่ทั้งนี้ก็ยังมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะหลุดลงไปจากระดับ 4% ได้ หากเศรษฐกิจจีนมีปัญหา"นายธนวรรธน์ กล่าว
การส่งออกของไทยในปี 59 คาดว่าจะเติบโตได้ 5.3% ที่มูลค่าประมาณ 228,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การนำเข้าคาดว่าจะเติบโต 5.2% ที่มูลค่าประมาณ 220,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ทั้งปี 59 ไทยยังคงเกินดุลการค้าราว 7,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การเติบโตของการส่งออกในปีหน้ามาจากฐานที่ต่ำในปีนี้ ประกอบกับคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว และผลจากที่เงินบาทอ่อนค่าเอื้อต่อการส่งออก
ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปีหน้า คาดว่าจะกลับมาเป็นบวกได้ โดยขยายตัว 1.4% ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเฉลี่ยทั้งปี 59 อยู่ที่ระดับ 36 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรืออยู่ในกรอบ 35.00 – 37.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
“เงินเฟ้อในปี 59 คงไม่สูงมาก เนื่องจากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับเศรษฐกิจเพิ่งจะฟื้นตัว ดังนั้นเงินเฟ้อที่ระดับ 1.4% จึงถือว่าไม่สูง" นายธนวรรธน์ กล่าว
ปัจจัยบวกที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยในปี 59 ประกอบด้วย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐ และสหภาพยุโรป, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ประกอบการ SMEs, สถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีเสถียรภาพ, ภาคการท่องเที่ยวมีการขยายตัวอย่างชัดเจน, การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยลบที่สำคัญ คือ ความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก, สัดส่วนหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง, สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากกังวลตัวเลข NPL , ต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เป็นต้น
อินโฟเควสท์
ม.หอการค้า คาดแผนกระตุ้นศก.รัฐฯ หนุนจีดีพีปีนี้โต 3.1% ส่วนปี 59 คาดโต 4.2% รับอานิสงส์ศก.โลกฟื้น
ม.หอการค้า ปรับเพิ่มประมาณจีดีพีปี 58 อยู่ที่ 3.1% จากเดิมคาด 2.5-3% รับแผนกระตุ้นศก. - รัฐลุยลงทุน การเมืองมีเสถียรภาพ ส่วนส่งออกคาดติดลบ 4.8% จากเดิมคาดอยู่ที่ 0.4% ด้านนำเข้าคาดติดลบ 8.1% จากเดิมที่คาดบวก 2.2% ด้านเงินเฟ้อทั่วไปประเมินติดลบ 0.6% จากเดิมคาด 0.5% แต่ยังมั่นใจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐจะหนุนจีดีพีไทย Q4/58 โต 4% จากเดิมคาดโต 2.3% ส่วนปี 59 คาดจีดีพีโต 4.2% ส่งออกโต 5.3% และเงินเฟ้อโต 1.4% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ดัชนีการทำธุรกิจ Q3/58 อยู่ที่ 51.6 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 51.4 คาด Q4/58 อยู่ที่ 52.3 รับมาตรการช่วยเหลือ SMEs ของภาครัฐฯ ประเมินจีดีพี ของ SMEs ปี 58 มีมูลค่า 4.57 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% เชื่อมาตรการกระตุ้นศก.ภาครัฐหนุนจีดีพี ของ SMEs ช่วงQ4/58 ฟื้นมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิม 1.6%
นายธนวรรน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ม.หอการค้าปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ปี 58 โต 3.1% จากเดิมที่ได้ประเมินเบื้องต้นไว้ช่วงเดือนสิงหาคม 2558 ที่ผ่านมาที่คาดว่าจะโต 2.5-3% (ส่วนการประเมินอย่างเป็นทางการช่วงเดือนเมษายน 2558 คาดจะโต 3.2%) แต่ทั้งนี้เมื่อดูค่าเฉลี่ยพบว่าจีดีพีปี 58 ขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.8-3.3% จากเดิมคาด 2.5-2.9% โดยปัจจัยที่เอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ คือ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศมีเสถียรภาพ, คณะรัฐมนตรีชุดใหม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน ,ภาคการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ,รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำ และงบรายจ่ายลงทุน, การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ,การดำเนินนโยบายการเงินผ่านการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP 1 วัน) ในระดับต่ำใกล้เคียง 1.50% จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ,การลงทุนปรับตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของภาครัฐและภาคเอกชน
แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ชัดเจน มีผลทำให้การค้าโลก/การลงทุนโลกซบเซาตามไปด้วย, ปัญหาภัยแล้งที่ยาวนาน และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ มีผลทาให้กำลังซื้อของเกษตรกรหดหายไป ,สัดส่วนหนี้สินของภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง มีผลทำให้อำนาจซื้อของภาคครัวเรือนลดต่ำลง, สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับตัวเลข NPLs
, การที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ลงมติไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ลงผลให้การเลือกตั้งที่จะมีในต้นปี2559 เลื่อนออกไป ส่งผลในทางจิตวิทยากับนักลงทุนโดยเฉพาะชาวต่างชาติ, สหภาพยุโรปตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) และแบนสินค้าประมงของไทยชั่วคราว (6 เดือน) เนื่องจากการทำประมงของไทยไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ IUU ของสหภาพยุโรป , องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ให้ใบแดงมาตรฐานความปลอดภัยการบินของไทย, เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวจากการปรับนโยบายเศรษฐกิจโดยเน้นพึ่งพาสินค้าในประเทศ และลดการนำเข้า
"มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของภาครัฐบาลที่ออกมา ส่งผลให้จีดีพีไตรมาส 4 ปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 4% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.3% "นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับการส่งออกในปีนี้ คาดว่าจะติบลบ 4.8% จากเดิมคาดว่าจะบวก 0.4% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การแข่งขันด้านการส่งออกที่ค่อนข้างรุนแรง การตัดสิทธิจีเอสพี นโยบายของจีนที่เน้นพึ่งพาสินค้าในประเทศ ขณะที่การนำเข้าคาดติดลบ 8.1% จากเดิมที่คาดว่าจะบวก 2.2% จากการส่งออกที่ลดลงส่งผลต่อความต้องการนำเข้าวัตถุดิบลดลงด้วย การบริโภคและการลงทุนในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดติดลบ 0.6% จากเดิมคาดบวก 0.5% จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม ม.หอการค้าประเมินว่า หากการส่งออกสูงกว่าที่คาดการณ์มาก โดยคาดหากติดลบ 2% นั้นจะส่งผลให้จีดีพีปีนี้โต 3.6% และหากการส่งออกติดลบ 3.5% จะส่งผลให้จีดีพีโต 3.3% และในกรณีที่การส่งออกขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์เล็กน้อย หรือ ติดลบ 5.5% จะส่งผลให้จีดีพีโตได้เพียง 3% สุดท้ายหากการส่งออกปีนี้ติดลบถึง 7% คาดจีดีพีปีนี้จะเติบโตได้เพียง 2.7% เท่านั้น
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ส่วนจีดีพีปี 59 คาดว่าจะเติบโตได้ 4.2% โดยมีแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวชัดเจน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และการจัดตั้งเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนปัจจัยลบที่ต้องจับตา คือ ความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สัดส่วนหนี้สินของภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และการปรับนโยบายเศรษฐกิจโดยเน้นการพึ่งพาสินค้าในประเทศ เป็นต้น
ด้านการส่งออกปี 59 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยขยายตัวที่ 5.3% จากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับฐานในปี 58 ที่ต่ำ ที่คาดว่าจะติดลบ 4.8% ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 59 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.4%
ขณะที่ นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจดัชนีความสามารในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีไตรมาส 3/2558 พบว่า ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจไตรมาส 3/2558 อยู่ที่ระดับ 51.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2 จากไตรมาสก่อนที่อยู่ที่ 51.4 ทั้งนี้คาดการณ์ว่าไตรมาส 4/2558 จะอยู่ที่ 52.3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีของภาครัฐ
ด้านของดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจไตรมาส 3/2558 อยู่ที่ 50.5 ปรับตัวลดลง 0.3 จากไตรมาสก่อน และคาดว่าไตรมาส 4 จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 50.2 เนื่องจากผู้ประกอบการยังไม่กล้าลวทุน เพราะยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ส่วนดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไตรมาส 3/2558 อยู่ที่ 49.3 ปรับตัวลดลง 0.5 จากไตรมาสก่อน และคาดว่าไตรมาส 4/2558 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 49.4
นายวิเชียร กล่าวว่า ในปีนี้ม.หอการค้าคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี เอสเอ็มอี ปีนี้จะมีมูลค่า 4.5 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.2% จากปีที่ผ่านมา โดยประเมินว่าจีดีพีเอสเอ็มอีไตรมาส 4 จะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิมที่ 1.6% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากรัฐบาลประกาศให้เอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ ครม.มีมาตรการที่ชัดเจนในการช่วยเหลือเอสเอ็มอี
นอกจากนี้ สถานการณ์การเมืองในประเทศเริ่มมีเสถียรภาพ นโยบายการเงินผ่านการใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเมศ การค้าชายแดนและการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ส่วนปัจจัยลบที่ต้องติดตาม คือ กำลังซื้อในประเทศชะลอตัวต่อเนื่อง ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวในระดับต่ำ ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ค่าครองชีพมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และการส่งออกที่มีแนวโน้มหดตัว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย