ม.หอการค้า เชื่อแผนกระตุ้นศก.ของรัฐฯ หนุน GDP ปีนี้ให้โตไม่ต่ำกว่า 2.5%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ประเมินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.3 แสนล้านบาทที่รัฐบาลออกมาล่าสุด ว่าจะมีส่วนช่วยผลักดันจีดีพีขึ้นได้ 0.7-1% ซึ่งหากมาตรการนี้ได้ผลจะทำให้เศรษฐกิจของปี นี้ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 2.5% อย่างไรก็ดีทางศูนย์พยากรณ์ฯ ยังคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ 2.5-2.9% แต่จะประเมิน สถานการณ์และทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจอีกครั้งและจะประกาศสัปดาห์ หน้า
ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้กองทุนหมู่บ้านเข้ามาเป็นกลไกหนึ่งนั้น น่าจะทำให้เม็ดเงินลงไปสู่ท้องถิ่นได้ง่ายขึ้นและก่อให้เกิดการจ้างงานใน ท้องถิ่น โดยเม็ดเงินดัง กล่าวน่าจะมีการเบิกจ่ายและโอนได้เร็ว ซึ่งเชื่อว่าอย่างน้อยเม็ดเงินในส่วนของกลไกกองทุนหมู่บ้าน และเม็ดเงินใน ส่วนของการเร่งรัดการใช้จ่ายสู่ระดับตำบล เฉพาะ 2 ส่วนแรกนี้คาดว่าเม็ดเงินจะ ลงไปสู่ระบบได้ภายใน 2 เดือน แต่สำหรับส่วนที่ 3 คือ การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนของโครงการขนาดเล็กโครงการละ ประมาณ 1 ล้านบาทคาดว่าเม็ดเงินจะลงไปภายในเดือนธ.ค.
"งบเกือบ 1 แสนล้านบาท จะกระจายลงสู่ท้องถิ่นได้ก่อนภายใน 2 เดือนนับจากนี้ ส่วน งบซ่อมสร้าง เชื่อว่าท้องถิ่นคงจะมีโครงการในใจอยู่แล้วคงทำได้ไม่ยาก ซึ่งอีกเกือบ 4 หมื่นล้าน บาทจะเข้าระบบเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม หากไม่มีมาตรการนี้ออกมา เศรษฐกิจปีนี้อาจโตได้ต่ำกว่า 2.5%"นายธนวรรธน์ กล่าว
ม.หอการค้าฯ เผยหนี้ครัวเรือนปีนี้เพิ่ม 13.16% หลังรายได้ลด-ค่าครองชีพสูง พบส่วนใหญ่ไม่มีการออมเงิน
น.ส.อุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจสถานภาพหนี้ภาคครัวเรือนจาก ประชาชนทั่วประเทศ 1,200 ตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ถึง 67.3% ระบุว่าไม่มีการเก็บ ออมเงินต่อเดือน ขณะที่อีก 32.7% มีการเก็บออม โดยกลุ่มที่มีการเก็บออมเงินนั้น ส่วนใหญ่เป็นการ ออมเงิน 10-20% ของจำนวนรายได้ที่ได้รับในแต่ละเดือน
ส่วนในด้านรายจ่ายนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 40% ระบุว่า มีมูลค่าการใช้จ่ายเท่ากับรายได้ที่ได้รับ ขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 32.2% ระบุว่า มีมูลค่าการใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่ได้รับ และอีก 27.8% ระบุ ว่า มีมูลค่าการใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ที่ได้รับ โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีมูลค่าการใช้จ่ายในปีนี้เพิ่มขึ้น จากปีที่ผ่านมา เป็นเพราะราคาของแพงขึ้น, มีภาระหนี้มากขึ้น และรายได้ที่ได้รับน้อยลง ซึ่งกลุ่ม ตัวอย่างส่วนใหญ่ 77.8% ระบุว่าค่าครองชีพในปัจจุบันสูงขึ้นไป ขณะที่ 17.5% ระบุว่าเหมาะสม โดยมีเพียงกลุ่มตัวอย่าง 4.8% ที่ระบุว่าค่าครองชีพในปัจจุบันต่ำเกินไป
ส่วนในด้านหนี้สินครัวเรือนนั้น พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ถึง 80.2% ระบุว่ามีหนี้สิน โดยมีเพียง 19.8% ที่ระบุว่าไม่มีหนี้สิน ซึ่งพบว่าการก่อหนี้ของกลุ่มตัวอย่างนั้นส่วนใหญ่ 42.1% มีทั้งหนี้ในระบบ และนอกระบบ ส่วน 30.5% มีเฉพาะหนี้นอกระบบ และอีก 27.4% มีเฉพาะหนี้ในระบบ
ทั้งนี้ คิดเป็นจำนวนหนี้สินเฉลี่ย 248,000 บาท/ต่อครัวเรือน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.16% หรือคิดเป็นการผ่อนชำระเฉลี่ย 14,033 บาท/เดือน โดยสาเหตุสำคัญ 5 อันดับแรกที่ทำให้มีหนี้สิน เพิ่มจากปีก่อน คือ รายได้ลดลง, ค่าครองชีพปรับสูงขึ้น, ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายจากภัย ธรรมชาติ, มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมาก และค่าเล่าเรียนของบุตรหลาน
ขณะที่วัตถุประสงค์สำคัญ 5 อันดับแรก ที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างจำเป็นต้องมีการกู้ยืม คือ กู้ยืมเพื่อนำมา ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รองลงมา คือ กู้ยืมเพื่อซื้อสินทรัพย์, กู้ยืมเพื่อการลงทุนประกอบธุรกิจ, การกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย และกู้ยืมเพื่อชำระหนี้บัตรเครดิต
พร้อมกันนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ถึง 87.8% ยังระบุว่าในรอบปีที่ผ่านมาเคยมีปัญหาในการชำระหนี้ โดยมีเพียง 12.2% เท่านั้นที่ระบุว่าไม่เคยมีปัญหา อย่างไรก็ดี หากไม่สามารถชำระหนี้ได้นั้น กลุ่ม ตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบว่า จะไปกู้ยืมเงินจากที่อื่นมาชำระคืนก่อน รองลงมา จะขอผ่อนผันจากเจ้าหนี้, ปล่อยให้ยึดสิ่งของไป และหลบหนี้
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย