กฟผ.ระดมทุน 2 หมื่นล้าน ผ่าน‘อินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์’
แนวหน้า : สคร.หนุนการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ตั้ง 'กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน' หาเงินตั้งโรงไฟฟ้าขยายกำลังผลิตเปิดขายหน่วยลงทุนราวเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ ขณะที่'ประจิน'เล็งให้ ทอท.–การท่าเรือฯ ตั้งอินฟราฯ ขยายธุรกิจ
นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในขณะนี้ทาง สคร. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อยู่ระหว่างทำรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือ อินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในหลักการแล้ววันที่ 2 ธ.ค.2557 โดยให้ กฟผ. นำโรงไฟฟ้าพระนครเหนือที่สามารถหารายได้ที่แน่นอนมาตั้งกองทุนอินฟราฯ วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณาอนุมัติ และจะทำการขายหน่วยลงทุนได้ราวเดือน มี.ค.-เม.ย.2558
สำหรับ เงินที่ กฟผ. ขายหน่วยลงทุนได้ จะนำมาลงทุนโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ๆ เพื่อเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกวัน การตั้งกองทุนอินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์ นี้ จะทำให้ประหยัดงบประมาณ และไม่ต้องกู้เงินทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นสูง
ขณะที่อินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์ของรัฐวิสาหกิจกองต่อไป ขณะนี้อยู่ระหว่างที่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตองรมว.คมนาคม กำลังพิจารณาให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. นำสนามบินสุวรรณภูมิ มาตั้งอินฟราฯ เพื่อนำมาขยายสนามบิน และให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย นำท่าเรือแหลมฉบังมาตั้งอินฟราฯ ขยายท่าเรือแห่งใหม่ๆ ซึ่งหากการขายอินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์ ของ กฟผ. ได้รับการตอบรับดี ก็จะทำให้รัฐวิสาหกิจอื่นสนใจตั้งอินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์มากขึ้น
นายกุลิศ กล่าวว่า ความคืบหน้า พ.ร.บ.การร่วมทุนรัฐและเอกชน หรือ PPP ในโครงการขนาดใหญ่ เดือน ม.ค. 2558 จะมีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาตร์ PPP ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะต้องมีการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ PPP โดยแผนยุทธศาสตร์จะแยกเป็นรายสาขา เช่น สาขาคมนาคม สาขาพลังงาน และ สาขาไอซีที เป็นต้น
นอกจากนี้ PPP ยังมีกฎหมายลูกที่ต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จ เช่น ร่างสัญญามาตรฐาน หลักเกณฑ์พิจารณาโครงการระดับ 1,000 ล้านบาท ที่กฎหมายใหม่ว่าโครงการเกินทั้งเกินและไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ต้องทำตามกฎหมาย PPP ต่างจากกฎหมาย PPP ปี 2535 ที่โครงการเกิน 1,000 ล้านบาทเท่านั้น ที่ต้องทำตามกฎหมาย PPP ซึ่งต้องให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์พิจารณาแก้ไข โดย สคร. จะเสนอ 2 แนวทาง คือ แก้กฎหมายให้โครงการ 1,000 ล้านบาท เท่านั้นที่ต้องทำตามกฎหมาย PPP และไม่ต้องแก้กฎหมาย แต่ออกกฎหมายลูกให้มีความยืดหยุ่นให้การพิจารณาที่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท มีการพิจารณาที่ผ่อนผันมากขึ้น เพื่อไม่ให้การลงทุนล่าช้า
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามกฎหมาย PPP จะเริ่มโครงการว่าขออนุมัติมีอะไรบ้างในปี 2558 แต่จะเข้ามาประมูล TOR จัดซื้อจัดจ้าง คงเห็นในปี 2559