บลจ.กสิกรไทย ชวนลงทุนบอนด์สั้น 3-6 เดือน ล็อกอัตราผลตอบแทน 2.8 - 3% ต่อปี

     บลจ.กสิกรไทย คาดแนวโน้มดอกเบี้ยทรงตัวระดับต่ำ แนะผู้ลงทุนพักเงินระยะสั้น พร้อมเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 3-6 เดือน ชูผลตอบแทนสูง 2.80%-3.00% ต่อปี เสนอขายวันที่ 22-28 เมษายนนี้

    นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อนานกว่า 5 เดือน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และส่งผลต่อตัวเลขภาคการบริโภคและการลงทุนที่ชะลอตัวลง 

    ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องที่ 2.00% หากสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ ดังนั้น เพื่อสอดรับกับสถานการณ์ดังกล่าว บลจ.กสิกรไทย จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนที่ต้องการออมเงินระยะสั้น สามารถเลือกพักเงินกับกองทุนตราสารหนี้อายุโครงการประมาณ 3-6 เดือน เพื่อล็อกอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการฝากเงินประจำ และเพื่อรอดูความชัดเจนของทิศทางเศรษฐกิจ โดยในระหว่างวันที่ 22-28 เมษายน 2557

     บลจ.กสิกรไทย จะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีจี (KFF6MBG) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอส (KEFF6MS) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.00% ต่อปี และในวันที่ 22-23 เมษายน 2557 จะเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน โอ (KEFF3MO) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.90% ต่อปี โดยทุกกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี

     นายชัชชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF3MO จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก PT Bank Danamon Indonesia Tbk เงินฝาก PT Bank Permata Tbk, ประเทศอินโดนีเชีย และตราสารหนี้ Garanti Bank, ประเทศตุรกี รวมด้วยตราสารหนี้ประเทศไทยของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด และตั๋วแลกเงินของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) ด้านกองทุน KEFF6MS เบื้องต้นจะเข้าลงทุนในเงินฝาก PT Bank Permata Tbk, ประเทศอินโดนีเชีย เงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี รวมด้วยตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd. และตราสารหนี้ China Construction Bank (Asia) Corporation, ประเทศฮ่องกง นอกจากนี้ยังลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท

     อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศ บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีจี (KFF6MBG) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุน โดยกองทุนดังกล่าวเบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ตราสารหนี้ Agricultural Bank of China และตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง รวมทั้งยังลงทุนเพิ่มเติมในตั๋วแลกเงิน บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ สำหรับกองทุน KFF6MBG ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท

    นอกจากนี้เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในระหว่างวันที่ 22-28 เมษายน 2557 บลจ.กสิกรไทยยังเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีคิว (KPPTF3MDQ) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารภายในประเทศ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.00% ต่อปี

    ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KFF6MBG, กองทุน KEFF3MO, กองทุน KEFF6MS และกองทุน KPPTF3MDQ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย