วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8632 ข่าวสดรายวัน


เชื่อ'บิ๊กตู่'เป็นได้ นั่งนายก สมเด็จฯปากน้ำชี้ 
ทำเนียบไฟดับ-ลือแซ่ด อาถรรพณ์พระภูมิ-เจ้าที่ ศาลปกครองยกฟ้องปู ไม่ได้เกี่ยวน้ำท่วมปี 54 คสช.ย้ายสลับ 3 บิ๊กยธ.


สักการะ- พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เลขาธิการ คสช. เป็นผู้แทนหัวหน้า คสช. ถวายเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เนื่องในวันเข้าพรรษา เมื่อ 16 ก.ค.

       สมเด็จวัดปากน้ำเชื่อ'บิ๊กตู่'นั่งนายกฯ ได้ เป็นกำลังใจให้เข้มแข็ง กกต.ผวาคสช.สั่งยุบ ชี้สรรหา อปท.สลายฐานพรรคใหญ่ เผยสิ้นปีครบวาระ 255 แห่ง หนูทำไฟชอร์ต ตึกบัญชาการ 1 ไฟดับทั้งตึก วิจารณ์แซ่ดเหตุไม่ขออนุญาตพระภูมิเจ้าที่ก่อนซ่อมทำเนียบ สปสช.เล็ง ถกร่วมคสช. ภาคประชาชน หน่วยงานสาธารณสุข หาข้อยุติ'บัตรทอง'ศาลปกครองยกคดีชาวบ้านฟ้อง'ปู'ทำน้ำท่วม กรมราช ทัณฑ์เล็งยุบเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ ย้าย 56 ผบ.เรือนจำทั่วประเทศ ทนายยัน"พระสุเทพ" มาศาล 28 ก.ค.คดีสลายม็อบ

สมเด็จวัดปากน้ำให้คนไทยยึดศีล 5 
      เวลา 09.00 น. วันที่ 16 ก.ค. ที่วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เลขาธิการ คสช. ถวายเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เนื่องในวันเข้าพรรษา
       จากนั้นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้คนไทยมีความปรองดอง สมานฉันท์ สามัคคี สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ คนไทยต้องมีศีล 5 ซึ่งเลขาธิการคสช.ก็รับจะนำไปเรียนหัวหน้าคสช.ให้ทราบ และทราบมาว่าหัวหน้า คสช. สั่งการให้ทหารและประชาชนรักษาศีล 5 และหัวหน้าคสช. ก็ยึดมั่นในศีล 5 เช่นกัน ทั้งนี้ โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 มีการดำเนินการทั่วประเทศ ถ้าหมู่บ้านใด มีประชาชนรักษาศีล 5 ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ทางผู้ว่าฯจะขึ้นป้ายว่าหมู่บ้านนั้นอยู่ในโครงการ ถ้าหมู่บ้านนั้นมีประชาชนรักษาศีล 5 ได้ 80 เปอร์เซ็นต์ จะมอบโล่ให้ บางจังหวัดลงลึกถึงระดับบ้าน ถ้าสมาชิกในบ้านรักษาศีล 5 ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์จะมอบป้ายบ้านรักษาศีล 5 ซึ่งต้องอนุโมทนาไปยังส่วนราชการของจังหวัดที่มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ปลัด กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ 

ให้กำลังใจ"บิ๊กตู่"เข้มแข็ง 
     เมื่อถามว่าได้ฝากให้กำลังใจกับ คสช.อย่างไรบ้าง สมเด็จฯ กล่าวว่า ได้ให้กำลังใจหัวหน้า คสช.ว่าให้เข้มแข็ง ทำงานให้สำเร็จประโยชน์สุขสวัสดิผล ให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ซึ่งมองว่าสิ่งที่คสช.ดำเนินการอยู่นั้นถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว เพราะหัวหน้า คสช.ต้องการให้มีความปรองดองและสมานฉันท์สามัคคี และโครงการหมู่บ้านศีล 5 ก็รับลูกความคิดของพล.อ.ประยุทธ์พอดี 
      โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 เกิดก่อนจะมี คสช. ซึ่งวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา อาตมาได้มอบป้ายหมู่บ้านรักษาศีล 5 จ.สระบุรี ซึ่งถือเป็นจังหวัดแรก และโครงการนี้เข้าถึงโรงเรียน ด้วย และวันเดียวกัน อาตมายังมอบป้ายให้หมู่บ้านรักษาศีล 5 ให้กับหมู่บ้านต่างๆ 82 ป้าย มองว่าความปรองดองสามัคคีของคนในชาติจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยศีล 5 และสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันคือขยันขันแข็งทำมาหากิน ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คิดร้ายต่อกัน มีเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าประชาชนทุกคนปฏิบัติศีล 5 จะทำให้ความขัดแย้งหมดไป ถือเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ขอให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศมีศีล 5 ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าดีแล้ว บ้านเมืองจะมีความสงบสุขร่มเย็น? สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์กล่าว

ชี้สามารถนั่งนายกฯได้
     เมื่อถามว่าพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯได้หรือไม่ สมเด็จฯ กล่าวว่า ?ถ้าหัวหน้าคสช.จะเป็นก็เป็นได้ แต่จะเป็นหรือไม่ อาตมาก็ไม่รู้ ดูจากการกระทำและความเข้มแข็งของพล.อ.ประยุทธ์ สามารถเป็นนายกฯได้ 
     ด้านพล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ฝากขอบคุณหัวหน้า คสช. ที่ส่งคณะผู้แทนมากราบเนื่องในวันเข้าพรรษา ตนจะนำไปเรียนให้หัวหน้าคสช.รับทราบ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ฝากให้หัวหน้าคสช. ทำงานให้บรรลุความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ดีใจที่เห็นประชาชนและบ้านเมืองมีความ สงบสุข งานสร้างความปรองดองสมานฉันท์ก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพราะตามโครงการพระพุทธศาสนาจะมีโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 คงต้องนำไปขยายผลเพราะเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์อยู่แล้ว

กกต.พร้อมสรรหาอปท. 
     ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวกรณีประกาศคสช. ฉบับที่ 85/2557 เรื่องการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว ที่กำหนดให้สรรหาสมาชิกสภาท้องถิ่นโดย 2 ใน 3 ของสมาชิกสภาท้องถิ่นต้องเป็นข้าราชการหรือเคยเป็นข้าราชการระดับชำนาญการพิเศษหรือระดับ 8 หรือเทียบเท่าขึ้นไปว่า เชื่อว่าเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวในช่วงที่ยังไม่มีการเลือกตั้ง รอจนกว่ารัฐธรรมนูญจะร่างเสร็จ ซึ่งอาจมีการเลือกตั้งทั้งระดับส.ส. ส.ว. และสมาชิกสภาท้องถิ่น ไปพร้อมกัน
     นายสมชัย กล่าวว่า ส่วนข้อกำหนดให้สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องเป็นข้าราชระดับ 8 หรือเทียบเท่านั้น เชื่อว่าจะสรรหาได้ไม่ยาก คสช.คงต้องการกลั่นกรองข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถ เพราะกว่าจะขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ต้องใช้เวลาที่ยาวนาน แต่จะมีจุดอ่อนเรื่องกระบวนการคิดที่อาจคิดแบบราชการ เคยชินกับระเบียบแบบแผนและไม่ได้สัมผัสกับทัศนคติของประชาชน ซึ่งแตกต่างจากฝ่ายการเมืองที่ใกล้ชิดประชาชน รู้ปัญหามากกว่า 
     นายสมชัย กล่าวว่า ส่วนขั้นตอนการสรรหาสมาชิกสภาท้องถิ่นนั้น เลขาธิการ กกต.จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการสรรหาและพร้อมใช้กลไกของ กกต.ทำหน้าที่ทันที โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จะเป็นฝ่ายดำเนินการหลักเนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับท้องถิ่นโดยตรง

ถึงสิ้นปีอปท.ครบวาระ 255 แห่ง 
      รายงานข่าวจาก กกต.แจ้งว่า การประชุม กกต.วันนี้ มีการพิจารณากรณีคสช.ออกประกาศฉบับที่ 85/2557 ซึ่งวันที่ 28 พ.ค. - 31 ธ.ค.นี้ มีอปท.ครบวาระทั้งหมด 255 แห่ง เป็นอบจ. 1 แห่ง เทศบาลนคร 2 แห่ง เทศบาลเมือง 8 แห่ง เทศบาลตำบล 157 แห่งและอบต. 86 แห่ง และกรุงเทพมหานคร 1 แห่ง ที่ต้องสรรหาตามประกาศ คสช.ต่อไป
      รายงานข่าวแจ้งว่า ประกาศคสช.ฉบับนี้ กำหนดว่าหากสภาอปท.ใดที่มีสมาชิกครบวาระและยังคงเหลืออยู่เกินครึ่งหนึ่งไม่ต้องสรรหาแทนตำแหน่งที่ว่าง รวมถึงผู้บริหารท้องถิ่นครบวาระหรือว่างลง เช่น นายกอบจ. นายกอบต. จะให้ปลัดอปท.นั้นๆ ปฏิบัติหน้าที่แทน มีเพียงกรณีสมาชิกสภาท้องถิ่นครบวาระทั้งคณะเท่านั้นที่ต้องสรรหาใหม่ โดยให้เป็นอำนาจของผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัด ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวง มหาดไทย อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด (ผอ.กต.จว.) ของกกต.ยังอยู่ในกรรมการสรรหาด้วย แสดงให้เห็นว่า คสช.ยังเห็นความสำคัญของกกต. จึงเชื่อว่าหากมีการปฏิรูปกกต. คงปฏิรูปประสิทธิภาพการทำงานของกกต.เท่านั้น และองค์กรกกต.ยังคงมีอยู่

เดินหน้าสอบคำร้องค้าน
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังคสช. ออกประกาศฉบับที่ 85 และ 86 งดเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น รวมถึงสมาชิกสภากรุงเทพฯ ไว้ชั่วคราวและให้ใช้การสรรหาแทนนั้น ข้าราชการ พนักงานของสำนักงานกกต. ต่างแสดงความกังวลว่าเป็นการส่งสัญญาณของคสช.หรือไม่ว่าต่อไปอาจเสนอยุบกกต. หรือเปลี่ยนองค์อำนาจ และเชื่อว่าจะไม่มีการเลือกท้องถิ่นจนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรม นูญฉบับใหม่ ซึ่งด้านบริหารเลือกตั้งเสนอให้ที่ประชุม กกต.รับทราบประกาศคสช.ดังกล่าวแล้ว โดยสำนักงานเห็นว่าเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งและการประกาศรับรองผลเลือกตั้งสมาชิกและผู้บริหารท้องถิ่นที่ค้างอยู่กว่า 200 สำนวน กกต.ยังพิจารณาต่อให้เสร็จได้ และหากเห็นว่าสมควรต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือสั่งเลือกตั้งใหม่ก็จะประสานกรมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย 

ชี้สลายฐานเสียงพรรคใหญ่

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ที่คณะทำงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของคสช. ที่มีพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ.เป็นหัวหน้าคณะได้เชิญเลขาธิการกกต. และเจ้าหน้าที่ด้านการเลือกตั้งไปหารือเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นนั้น แม้กกต.จะเสนอว่ากรณี อปท.ครบวาระแล้วไม่จัดเลือกตั้งจะกระทบในเรื่องงบพัฒนาท้องถิ่นเพราะไม่มีสภามาพิจารณา แต่คณะทำงานของคสช.เห็นว่าน่าจะชะลอการเลือกตั้งท้องถิ่นไปก่อนเพราะหากเลือกตั้ง จะได้ผู้บริหารที่เป็นฐานเสียงของพรรคระดับชาติอีก รวมถึงหากมีรัฐธรรมนูญและมีกฎหมายเลือกตั้งฉบับใหม่ อาจกำหนดที่มาของสมาชิกและผู้บริหารท้องถิ่นใหม่ก็ต้องดำเนินการเพื่อให้ได้สมาชิกและผู้บริหารท้องถิ่นชุดใหม่ ซึ่งอาจสิ้นเปลืองงบประมาณ ทำให้คสช.ออกประกาศดังกล่าว 

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในกกต. มีการวิเคราะห์กันว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นไปได้ว่าคสช.ต้องการสลายขั้วการเมืองเพราะสมาชิกและผู้บริหารท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงของพรรคใหญ่ หากไม่มีการเลือกตั้ง นักการเมืองและพรรคจะหมดเวทีเล่น และการกำหนดให้คณะกรรมการสรรหามาจากผู้ว่าฯ และหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ รวมถึงผู้ที่ได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นและ ผู้บริหารท้องถิ่น ต้องเป็นข้าราชการหรืออดีตข้าราชการไม่น้อยกว่าระดับ 8 ขึ้นไปนั้น เป็นการดึงข้าราชการให้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนก่อนการกระจายอำนาจ และมองว่าเมื่อถึงเวลาต้องจัดการเลือกตั้งทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ก็ยากที่ฐานการเมืองของพรรคใหญ่ชุดเก่าจะกลับเข้ามาได้

'ถวิล'ไม่เห็นด้วยใช้วิธีสรรหา
      ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายถวิล ไพรสณฑ์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ แถลงถึงประกาศคสช. ให้สรรหาสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นทั่วประเทศที่หมดวาระลงว่า ในฐานะนักการเมืองไม่สนับสนุนแนวทางนี้ เนื่องจากขัดกับหลักการประชาธิปไตย แต่หากไม่มีประกาศแบบนี้จะเกิดสุญญากาศขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ประกาศดังกล่าวเขียนไว้ชัดเจนในตอนท้ายว่าให้ดำเนินการลักษณะนี้จนกว่าจะเปลี่ยนแปลง คือหากมีรัฐธรรมนูญและให้มีการเลือกตั้งได้ ผู้บริหารท้องถิ่นก็ต้องมาจากการเลือกตั้งเหมือนเดิม คาดว่าจะเลือกตั้งท้องถิ่นได้หลังเลือกตั้งส.ส.ในช่วงปลายปี 2558 ตามโรดแม็ปที่หัวหน้า คสช.ประกาศไว้
      นายถวิล กล่าวว่า สำหรับการกำหนดคุณสมบัติให้ข้าราชการระดับ ซี 10 เป็นสมาชิก และมีการลดจำนวนสมาชิกนั้น ตนไม่ทราบเหตุผลของคสช. แต่ต้องยอมรับว่าคนที่มาจากการเลือกตั้งย่อมรักษาผลประโยชน์ของประชาชนได้ดีกว่าคนที่มาจากการสรรหา เพราะไม่ใช่ตัวแทนของประชาชน ข้าราชการที่ได้รับการสรรหาเข้าไปทำหน้าที่ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายเช่นกัน

เริ่มซ่อมทำเนียบแล้ว 
      ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ช่วงเช้ากลุ่มสื่อมวลชนประจำทำเนียบจำนวนหนึ่งนำพวงมาลัยดอกดาวเรืองขึ้นไปสักการะท้าวมหาพรหม บนตึกไทยคู่ฟ้า และศาลพระภูมิเจ้าที่ รวมถึงศาลตายาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบ หลังมีข่าวการปรับปรุงตึกนารีสโมสร อาคารต่างๆ รวมถึงห้องทำงานสื่อมวลชน 1 (รังนกกระจอกเก่า) ซึ่งเดิมจะปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าวเป็นสวนหย่อมและห้องรับรองสำหรับคณะผู้ติดตามแขกของรัฐบาล แต่ถูกกระแสวิจารณ์อย่างหนัก ทำให้พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้าคสช.ฝ่ายกิจการพิเศษ และม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ยืนยันจะไม่มีการรื้อทิ้งรังนกกระจอกเก่า
      ส่วนความคืบหน้าการปรับปรุงภูมิทัศน์และอาคารสถานที่ เจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการแล้ว เริ่มที่บริเวณสันติไมตรี ปรับพื้นผิวการจราจรโดยใช้แอสฟัลต์เทพื้นให้สม่ำเสมอ ซ่อมแซมหลังคาที่มีรอยรั่วซึม

ตึกบัญชาการไฟฟ้าดับ
      ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าเกิดเหตุไฟฟ้าดับทั่วทั้งตึกบัญชาการ 1 ส่งผลให้เจ้าหน้าที่และข้าราชการไม่สามารถปฏิบัติงานได้ เนื่องจากไม่สามารถเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สำนักงาน เครื่องปรับอากาศและไฟส่องสว่างได้ ทำให้บรรยากาศภายในตึกบัญชาการ 1 มืดสนิท อากาศร้อนอบอ้าว สอบถามเจ้าหน้าที่รับแจ้งว่าไฟดับตั้งแต่เวลา 01.00 น. ของวันที่ 16 ก.ค. และจากการตรวจสอบห้องควบคุมระบบไฟฟ้า 105 ซึ่งอยู่ชั้น 1 ตรงข้ามห้องทำงานของพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช.ฝ่ายกิจการพิเศษ พบว่าบริเวณแผงควบคุมวงจรไฟฟ้ามีความเสียหายจากการกัดแทะและมีหนูถูกไฟชอร์ตตายอยู่ในตู้ MDB หรือตู้เมนแยกสวิตช์ไฟฟ้า และได้แจ้งเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านคร หลวงเข้ามาเร่งแก้ไข และนำซากหนูไปทิ้ง 
      ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์เข้ามาตรวจสอบความเสียหายด้วยตนเอง พร้อมระบุว่าถึงแม้ไฟฟ้าดับแต่ก็ยังทำงานได้ พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ดูแลตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้สัตว์ต่างๆ หลุดรอดเข้ามาทำความเสียหายได้อีก 

แซ่ดอาถรรพ์พระภูมิเจ้าที่
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุไฟฟ้าดับที่ตึกบัญชาการ 1 ทำให้การประชุมคณะกรรมการเตรียมจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งมีพล.ต.อ. อดุลย์เป็นประธาน ต้องย้ายไปประชุม ที่ตึกสันติไมตรี ต่อมาเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านคร หลวงแก้ไขจนใช้ไฟฟ้าได้ตามปกติ จึงย้ายสถานที่ประชุมกลับมาที่ตึกบัญชาการเช่นเดิม เบื้องต้นสามารถจ่ายกระแสไฟในบางส่วนและใช้เครื่องไฟฟ้าได้ แต่จะเสร็จสมบูรณ์ทั้งระบบในช่วงเย็นวันนี้ น่าสังเกตว่าทั้งตึกบัญชาการ 1 และตึกไทยคู่ฟ้าไม่มีตู้ไฟฟ้าสำรอง มีเพียงตึกสันติไมตรีเท่านั้นที่มีระบบไฟฟ้าสำรอง
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุการณ์ ดังกล่าวข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทำเนียบ จับกลุ่มวิจารณ์อย่างหนักเนื่องจากเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นบ่อย แต่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังมีการปรับปรุงอาคารสถานที่และปรับภูมิทัศน์ภายในทำเนียบ โดยยังไม่มีการบอกกล่าวพระภูมิเจ้าที่อย่างเป็นทางการตามธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติ โดยเฉพาะการย้ายศูนย์แถลงข่าวตึกนารีสโมสร เจ้าหน้าที่รายหนึ่งเผยว่า ทำเนียบมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องดูแล ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือการจะเข้ามาดำเนินการสิ่งใดจะต้องทำพิธีเพื่อบอกกล่าวและเซ่นไหว้ทุกครั้ง

บิ๊กตู่ยันไม่รื้อรังนกกระจอก 
     เวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกฯ กล่าวระหว่างพูดคุยกับสื่อมวลชนที่ห้องปฏิบัติงานสื่อมวลชน 1 หรือรังนกกระจอกเก่าว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. มอบให้มาพบสื่อเพื่อสอบถามและรับฟังปัญหา ยืนยันว่าจะไม่มีการรื้อถอนรังนกกระจอกเก่า แต่จะปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม หากสื่อมีปัญหาเกี่ยวกับสถานที่ทำงานในทำเนียบก็บอกให้ทราบได้ ส่วนที่มาของการทุบห้องนักข่าวเป็นโครงการเดิมที่มีอยู่แล้วในรัฐบาลทุกสมัย แต่เมื่อมีข่าวออกมาว่าคสช.เป็นผู้ดำเนินการ ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ห่วงใยผู้สื่อข่าวและไม่ได้รู้เห็นเรื่องนี้ และไม่ทราบด้วยว่าจะรื้อหรือย้ายรังนกกระจอกเก่า สื่อมวลชนได้ขอบคุณหัวหน้าคสช.และม.ล.ปนัดดา ที่เข้าใจการทำหน้าที่และไม่ย้ายห้องปฏิบัติงานสื่อมวลชน 1

จี้ปลัดสธ.แจ้งบอร์ดสปสช.
     ความเคลื่อนไหวหลังนพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงปฏิเสธไม่เดินหน้าการให้ประชาชนร่วมจ่ายในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง ร้อยละ 30-50 นายนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ตนจะติดตามเรื่องนี้ต่อไป ที่สำคัญคือปลัดสธ. จะต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนกว่านี้ว่าจะไม่มีการปฏิรูประบบสุขภาพด้วยการให้ประชาชนร่วมจ่าย โดยเฉพาะร่วมจ่ายที่จุดบริการผู้ป่วยหรือที่โรงพยาบาล ซึ่งจะเกิดการแบ่งแยกระหว่างคนมีเงินจ่ายกับคนจนที่ไม่มีเงินจ่าย ปลัดสธ.ต้องเรียกประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบอร์ดสปสช. เนื่องจากในบอร์ดจะมีภาคประชาชน มีหน่วยงานต่างๆ เป็นกรรมการ ควรมีการยืนยันในบอร์ดด้วย ไม่ใช่แค่แถลงข่าวเท่านั้น
      ส่วนที่นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ยอมรับว่าเป็นผู้เสนอเรื่องการร่วมจ่ายต่อคสช. แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น นายนิมิตร์กล่าวว่า จริงๆ ทราบอยู่แล้วว่านพ.ธวัชชัยเป็นผู้เสนอ แต่ในการประชุมนพ.ณรงค์ในฐานะปลัดกระทรวง ซึ่งเป็น ผู้บริหารสูงสุด และยังรักษาการประธานบอร์ดสปสช. ที่ดูแลเรื่องสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือสิทธิบัตรทอง กลับไม่ทักท้วง ปล่อยให้นำเสนอและให้บันทึกเป็นเอกสารได้อย่างไร แม้จะบอกว่าไม่ได้รับรองเอกสารนั้นก็ตามเพราะหากสุดท้ายรายงานนี้ไปบรรจุในแผนปฏิรูประบบสุขภาพจะทำอย่างไร สมควรหรือไม่ที่ปลัดสธ.ควรรับผิดชอบเรื่องนี้

ดันรวม 3 กองทุน
     นายนิมิตร์ กล่าวว่า ที่พูดเรื่องนี้เพราะเห็นว่าเป็นรายงานการประชุมของสธ. ที่นำเสนอต่อพล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. ในฐานะรองหัวหน้าคสช.ฝ่ายสังคมจิตวิทยา จึงห่วงว่าหากให้ประชาชนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลถึงร้อยละ 30-50 จะเกิดปัญหาเนื่องจากมากเกินไป แม้จะบอกว่ายกเว้นคนยากจนก็ตาม สุดท้ายจะกลายเป็นว่าคนจนเป็นคนอนาถาที่ต้องมารับบริการสาธารณสุข กลายเป็นระบบสงเคราะห์ ไม่ใช่สิทธิสวัสดิการ
     เมื่อถามว่า ทางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับการร่วมจ่ายทุกกรณีหรือไม่ นายนิมิตร์กล่าวว่า ต้องเข้าใจคำว่าร่วมจ่ายให้ชัดเจน หากเป็นการร่วมจ่ายก่อนเจ็บป่วย อาจเก็บเป็นภาษีเฉพาะก็ถือว่าไม่ผิด ซึ่งปัจจุบันพวกเราก็จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว ตรงนี้รัฐก็เอาไปดำเนินการโครงการต่างๆ รวมอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพฯ ด้วย ดังนั้น หากรัฐไม่มีเงินเพียงพอก็อาจไปเพิ่มภาษี หรือไปดำเนินการด้านภาษีในหมวดอื่นๆ มีหลายวิธี หรือจะใช้วิธีบูรณาการ 3 กองทุน คือยุบ 3 กองทุนสุขภาพ ทั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าฯ กองทุนประกันสังคม กองทุนสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ให้เป็นกองทุนเดียว เพื่อประหยัดงบ และการบริหารจัดการจะมีประสิทธิภาพขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ เพราะทุกคนจะได้รับการบริการอย่างเท่าเทียม ซึ่งประเด็นเหล่านี้ภาคประชาชนกำลังคิดว่าจะรวบรวมเสนอต่อคสช.เช่นกัน ถึงเวลาต้องปฏิรูประบบสุขภาพอย่างแท้จริง

สปสช.เล็งถกร่วมทุกฝ่ายหาข้อยุติ
      ด้านนพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในการประชุมเพื่อจัดทำข้อเสนอด้านหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะจัดขึ้นภายในเดือนก.ค.นี้ สปสช.จะประสานหน่วยงานต่างๆ ทั้งสำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง ภาคประชาชนต่างๆ และตัวแทนจากบุคลากรสาธารณสุข อาทิ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ตัวแทนโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน มาเข้าร่วมประชุมด้วย จะหยิบยกประเด็นการร่วมจ่ายในระบบประกันสุขภาพภาครัฐมาหารือ ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานขอให้คสช.เข้าร่วมด้วย เนื่องจากเมื่อได้ข้อเสนอเรื่องดังกล่าวจะส่งผ่าน คสช.ได้ทันที

กรอ.เลิกค่าวีซ่าทัวร์จีน-ไต้หวัน
     ที่กองบัญชาการทหารบก (บก.ทบ.) มีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 1/2557 โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุม พิจารณาข้อเสนอของภาคเอกชน 5 สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมฯ สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ใช้เวลาประชุมนาน 4 ชั่วโมง 
     นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงว่า ผลการประชุมมี 5 เรื่อง 14 ประเด็น ดังนี้ เรื่องแรก เห็นชอบส่งเสริมการท่องเที่ยว โดย 1.ยกเว้นค่าธรรมเนียมขอวีซ่านักท่องเที่ยวชาวจีนและไต้หวัน 3 เดือนเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. - 31 ต.ค. 2557 พร้อมให้กระทรวงการคลังแจ้งหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพิ่มกิจกรรมจัดประชุมและฝึกอบรมภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ 2.สนับสนุนบทบาทของคณะกรรมการนโยบายท่องเที่ยวแห่งชาติ และให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมพิจารณายุทธศาสตร์ท่องเที่ยวของประเทศ

ขยายเวลาเปิดด่าน-ออกกรีนการ์ด
      เรื่องที่สอง เห็นชอบข้อเสนอด้านมาตรการส่งเสริมการค้าและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มี 5 ประเด็นคือ 1.เห็นชอบให้ขยายมาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันมีมาตรการสินเชื่อผ่อนปรน (ซอฟต์โลน) 25,000 ล้านบาทที่จะสิ้นสุดเดือนธ.ค.นี้ ให้ขยายออกไปอีก 3 ปีจนถึงสิ้นปี 2560 และให้กระทรวงการคลังดูความเพียงพอของเงินสภาพคล่องที่ใช้อยู่ 18,800 ล้านบาทว่าให้ความมั่นใจในการแก้ปัญหาเพียงใด 2.การส่งเสริมและผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะที่ด่านสะเดาและด่านปาดังเบซาร์
      3.ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนและการข้ามแดน มอบให้คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษพิจารณาขยายเวลาปิด-เปิดของด่านชายแดนที่สำคัญ เช่น ขยายเวลาเปิดด่านสะเดา 24 ชั่วโมง และขยายเวลาด่านอื่นจากปิด 18.00 น. เป็น 24.00 น. 4.แก้ปัญหาการบริหารจัดการแรงงานแห่งชาติ มอบให้คณะกรรมการนโยบายจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ (กนร.) พิจารณาร่วมกับภาคเอกชนและให้กระทรวงแรงงานปรับกระบวนการต่อใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวคล่องตัวขึ้น ให้ผ่อนผันการมารายงานตัวทุก 30 วัน และพิจารณาออกใบอนุญาตทำงานถาวรในไทยสำหรับคนที่มาตั้งรกรากในไทย เหมือนการออก "กรีนการ์ด" ในสหรัฐด้วย 5.การขับเคลื่อนสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงานทดแทนจากสินค้าเกษตร มอบให้กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ รับข้อเสนอยุทธศาสตร์ข้าวและชาวนาไทยไปพิจารณา รวมทั้งปรับกลไกตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า เพื่อให้ราคาข้าวในประเทศมีเสถียรภาพ


บิณฑบาต - พระสุเทพ ปภากโร ออกบิณฑบาตร่วมกับพระภิกษุวัดสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นวันแรก ระยะทางประมาณ 1 ก.ม. มีชาวบ้านออกมาเฝ้าดูด้วยความสนใจ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.

แก้กม.ส่งเสริมการค้า-ลงทุน 
     เรื่องที่สาม ส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยเห็นชอบ 1.โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ระยะที่ 2 (2557-59) 2.พัฒนาปรับปรุงแก้ไขปัญหาจากการวางและจัดผังเมือง ให้คณะกรรมการผังเมืองพิจารณาประเด็นที่ดำเนินการได้ทันที ส่วนประเด็นที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ให้เสนอหัวหน้า คสช.พิจารณาใน 1 เดือน
     เรื่องที่สี่ พัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โดยเห็นชอบ 1.ปรับแนวทางบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ตามข้อเสนอเอกชน 2.สนับสนุนให้ใช้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกระดมทุน โดยมอบให้กระทรวงการคลังพิจารณาเพื่อเสนอหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาตามขั้นตอน 3.การแก้ไขปัญหาน้ำภาคตะวันออก 
      เรื่องที่ห้า รับข้อเสนอแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ ได้แก่ 1.การปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจ การค้า และการลงทุนของไทย 2.การขยายระดับการค้ำประกันจาก 18% เป็น 50% ในความสูญเสียของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งมอบให้กระทรวงการคลัง ธปท.และสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาร่วมกัน

ดึงคสช.นั่งกรอ.เพิ่ม 
      นายอาคม กล่าวว่า กรอ.เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการ กรอ.เพิ่มเติม ได้แก่ 1.รองหัวหน้า คสช.ฝ่ายความมั่นคง 2.รองหัวหน้า คสช.ฝ่ายสังคมจิตวิทยา 3.เลขาธิการ คสช. 4.รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ 5.หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยมีผลวันที่ 16 ก.ค.นี้เป็นต้นไป โดยหัวหน้า คสช.เน้นย้ำภาคเอกชนให้สื่อสารต่างชาติว่า คสช.ไม่ได้แทรกแซงการทำธุรกิจของเอกชนและต่างชาติ และให้นำ 3 เรื่องเร่งด่วนที่ต้องนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไปที่จะจัดเดือนละครั้ง คือการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการขยายการค้ำประกันของ บสย.และการจัดทำผังเมือง

กำหนด 3 ระยะไทยสู่อาเซียน 
       เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุมยุทธนาธิการ ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมเป็นประธานประชุมคณะอนุกรรมการศูนย์อำนวยการเตรียมความพร้อมประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน
       พล.อ.สุรศักดิ์ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า การขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมภายในประเทศกำหนดการทำงาน 3 ระยะคือ ระยะ 1 แผนงานในระยะเฉพาะหน้า ตั้งแต่ตอนนี้ถึงเดือนก.ย. จะมุ่งสร้างความพร้อมภายในประเทศ เพื่อเข้าสู่ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ในปี 2558 ระยะ 2 ระยะเร่งด่วน เริ่มตั้งแต่เดือนต.ค. 2557 ถึงเดือนธ.ค. 2558 จะเร่งปฏิบัติตามแผนบูรณาการใน 5 ประเด็นหลักคือการบริหารจัดการชายแดน การสร้างความมั่นคงทางทะเล การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและการทูตเชิงป้องกัน รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพทางทหารร่วมกันของอาเซียน และ 3.ระยะยาว ตั้งแต่เดือนม.ค. 2559 เป็นต้นไป จะสร้างความยั่งยืนและความต่อเนื่องจากการดำเนินงานตามแผนระยะเร่งด่วน 
       พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า วันที่ 25 ก.ค. กระทรวงกลาโหมจัดสัมมนาในส่วนของทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเชิญผู้ช่วยทูตทหารในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ประจำในไทยมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในการ เตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของแต่ละประเทศ เพื่อปรับของเราได้ดีขึ้น ความเร่งด่วนที่จะก้าวสู่ประชาคมอาเซียนคือการตั้งทีมไทยแลนด์ให้เข้มแข็งและคนไทยทุกคนต้องร่วมมือทำงานเป็นภาพเดียวกัน 

ปปช.ขอแก้กม.-เพิ่มอำนาจยึดทรัพย์ 
       ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. กล่าวถึงการเสนอคสช.แก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปราบทุจริตว่า ป.ป.ช.ได้ส่งร่างกฎหมายที่เสนอแก้ไขให้คสช.แล้ว มีสาระสำคัญคือการขอแก้ไขอายุความคดีทุจริตจาก 10-15 ปี เป็น 30 ปี หากเป็นกรณีผู้กระทำผิดหลบหนีคดีระหว่างการพิจารณาคดี จะต้องหยุดการนับอายุความไว้ก่อนเพื่อไม่ให้คดีหมดอายุความ เนื่องจากที่ผ่านมามีหลายคดีที่ผู้กระทำผิดหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ รอให้คดีหมดอายุความแล้วกลับเข้ามาใหม่ ป.ป.ช. จึงต้องแก้ไขเรื่องนี้ หากคิดจะหนีก็ต้องหนีไปตลอดชีวิต
     นายสรรเสริญ กล่าวว่า ป.ป.ช.ยังเสนอเพิ่มอำนาจการติดตามทรัพย์สินคืนกรณีผู้กระทำผิดหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ จากเดิมต้องประสานกับอัยการให้ประสานกับรัฐบาลต่างประเทศให้ช่วยติดตามทรัพย์สินคืน เป็นให้ป.ป.ช.มีอำนาจโดยตรงประสานกับรัฐบาลต่างประเทศเพื่อให้ช่วยติดตามทรัพย์สิน คืนได้ทันที ไม่ต้องผ่านอัยการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
     นายสรรเสริญ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาในนิยามของ เจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศ ให้ป.ป.ช.มีอำนาจเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศได้ กรณีร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐของไทยกระทำผิด โดยใช้อำนาจตามกฎหมายป.ป.ช. จากเดิมป.ป.ช.ไม่สามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศได้ เพื่อยกระดับกฎหมายให้ได้มาตรฐานสากลเหมือนประเทศอื่นๆ ที่มีกฎหมายฉบับนี้

ทนายปูโวยปปช.งดสืบ 8 พยาน
      นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวถึงป.ป.ช.มีมติให้งดสืบพยาน 8 ปากในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ว่า การร้องขอต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม การกล่าวหาของ ป.ป.ช. เป็นการรับข้อมูลด้านเดียวจากคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ขณะที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) ยังมีความเห็นที่แตกต่างโดยเฉพาะจำนวนข้าวที่คงค้างอยู่ในสต๊อก 2.977 ล้านตัน นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการคิดค่าเสื่อมราคาที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล
       นายนรวิชญ์ กล่าวว่า นอกจากนี้คณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงของป.ป.ช.ใช้เวลาไต่สวนเพียง 21 วัน บุคคลที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ถูกไต่สวน ประกอบกับเป็นโครงการขนาดใหญ่มีหน่วยงานราชการเกี่ยวข้อง หลายหน่วย จึงเห็นว่าการไต่สวนของคณะกรรมการไม่เป็นไปตามหลักการไต่สวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา และการสอบพยานเพิ่มอีก 8 ปากก็ไม่ทำให้คดีเกิดความล่าช้า แต่เป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ อีกทั้งการตรวจสอบโกดังข้าวที่พบว่ามีข้าวสูญหาย เสื่อมคุณภาพและ ไม่ได้มาตรฐาน ในข้อเท็จจริง เจ้าของโกดังที่กระทรวงพาณิชย์ทำสัญญาเช่าเพื่อเก็บข้าวจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น อยู่แล้ว

พท.จี้ปปช.สอบนาฬิกา"มาร์ค" 
      นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนได้ส่ง อีเอ็มเอสไปยังป.ป.ช. ให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินฯ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีป.ป.ช.ตรวจสอบรายการทรัพย์สินของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง แจ้งว่ามีทองคำแท่ง แท่งละ 10 บาท 5 แท่ง น้ำหนักรวม 50 บาท มูลค่าที่แสดงไว้ 979,000 บาท มีเอกสาร ใบเสร็จรับเงินประกอบแต่ไม่มีรูปถ่าย ต่อมาป.ป.ช.ขอให้ส่งภาพถ่ายของทองคำแท่งมาให้ตรวจสอบเพิ่ม จากกรณีดังกล่าวจึงมีเหตุควรแจ้งให้ป.ป.ช.ตรวจสอบทรัพย์สินของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในรายการที่เป็นนาฬิกา IWC จำนวน 1 เรือน มูลค่า 170,000 บาท ที่แสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สินวันที่ 8 ธ.ค.56 โดยระบุวันเดือนปีที่ได้มาว่าจำไม่ได้ เมื่อย้อนดูการยื่นบัญชีทรัพย์สินวันที่ 9 ส.ค.55, วันที่ 9 พ.ค.55 และวันที่ 10 ส.ค.54 หรือการยื่นบัญชีวันที่ 2 ส.ค.54 จะพบว่ามีการระบุถึงนาฬิกาเรือนดังกล่าวตลอดมา โดยแจ้งวันเดือนปีที่ได้มาว่าจำไม่ได้เช่นกัน
     นายเรืองไกร กล่าวว่า ตอนที่รับตำแหน่งนายกฯ ไม่ปรากฏว่ามีการยื่นรายการนาฬิกาเรือนดังกล่าว จึงน่าเชื่อว่านาฬิกาคือทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาระหว่างรับตำแหน่งนายกฯ จึงมีเหตุที่ควรตรวจสอบว่าได้มาโดยวิธีใด เพราะในการยื่นบัญชีมีเพียงรูปถ่ายเท่านั้น ไม่มีใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษีมาแสดงด้วย ดังนั้น การระบุวันได้มา ว่า จำไม่ได้อาจไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ เพราะบัญชีทรัพย์สินของนายอภิสิทธิ์ มีเพียงไม่กี่รายการ และนาฬิกาเป็นรายการเดียวที่เพิ่มขึ้น จึงไม่น่าเชื่อว่าจะจำไม่ได้ หากไม่สามารถระบุได้ว่านาฬิกา ดังกล่าวได้มาโดยวิธีใดอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 103 จึงควรตรวจสอบว่านายอภิสิทธิ์ได้นาฬิกามาโดยวิธีใด

สั่ง"ดิเรกฤทธิ์"กลับนั่งเลขาฯศาลปค.
      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายหัสวุฒิ วิฑิต วิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งที่ 23/2557 เรื่องให้ข้าราชการฝ่ายศาลปกครองปฏิบัติหน้าที่ โดยระบุว่า ตามที่มีคำสั่งที่ 13/2557 วันที่ 12 พ.ค. 2557 ให้นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ไปปฏิบัติหน้าที่ในงานวิชาการตามที่ได้รับมอบหมาย และดูแลงานของสำนักงานเฉพาะหลักสูตรนักบริหารการยุติธรรมทางปกครองระดับสูง และหลักสูตรกฎหมายปกครองสำหรับผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2557 เป็นต้นไป เพื่อให้การสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการจัดทำหนังสือสนับสนุนการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และไม่เกิดความเสียหายแก่การบริหารราชการของสำนักงานศาลปกครองนั้น 
      คำสั่งระบุว่า บัดนี้ ข้าราชการดังกล่าวได้ให้ข้อเท็จจริงตามขั้นตอนและกระบวนการสอบข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้ว และงานในภารกิจของสำนักงานจำเป็นต้องมีการสั่งการและกำกับดูแลเชิงนโยบายและพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริหารเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาการปกครอง มาตรา 78 ให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวและให้นายดิเรกฤทธิ์ ทำหน้าที่รับผิดชอบการบริหารราชการของสำนักงานศาลปกครองตามที่กฎหมายกำหนด ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.2557 เป็นต้นไป 

ผลสอบจม.หนุนตั้งตำรวจใกล้เสร็จ 
      รายงานข่าวจากศาลปกครองแจ้งว่า การสอบสวนของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) กรณีดังกล่าวนั้น ก.ศป.ได้เชิญนายดิเรกฤทธิ์ รวมทั้งพยานบุคคลมาสอบสวนข้อเท็จจริงจำนวนมาก เป็นไปได้ว่าขั้นตอนสอบสวนและการรวบรวมหลักฐานเอกสารต่างๆ น่าจะเพียงพอต่อการพิจารณาแล้ว จึงเชื่อว่าเร็วๆ นี้ ก.ศป.คงมีการประชุมอีกครั้งเพื่อลงมติว่านายดิเรกฤทธิ์ มีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ รวมทั้งต้องพิจารณาว่านายดิเรกฤทธิ์หรือผู้เกี่ยวข้อง กระทำการเข้าข่ายแทรกแซงการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจหรือไม่ คำสั่งดังกล่าวมีการทำสำเนาส่ง ผู้เกี่ยวข้องในสำนักงานศาลปกครอง เนื่องจากถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจบริหาร 

พระสุเทพออกบิณฑบาต 
     เวลา 06.00 น. ที่วัดธารน้ำไหล (สวน โมกขพลาราม) ต.เลม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี พระสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ พระปภากโร หลังจากอุปสมบทที่วัดท่าไทร อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี และได้เดินทางมาจำพรรษาอยู่ที่วัดธารน้ำไหล ได้ออกบิณฑบาตบริเวณหน้าสวนโมกขพลาราม พร้อมพระลูกวัดรวม 3 รูป ระยะทาง 1 กิโลเมตร ชาวบ้านที่ออกมารอตักบาตรต่างแปลกใจที่เห็นพระสุเทพ เนื่องจากไม่ทราบมาก่อนว่ามาบวชแล้วและมาจำพรรษาวัดนี้ ระหว่างเดินบิณฑบาต พระสุเทพถอดสายหุ้มแขนข้างขวาที่ประคองอาการบาดเจ็บจากการผ่าตัดออกและใช้สายคล้องบาตรประคองรับน้ำหนักบาตรแทน ซึ่งพระสุเทพอยู่อาการสำรวมตลอดเวลา 
    นายชุมพล จุลใส แกนนำ กปปส. เผยว่า ช่วงเช้าวันที่ 16 ก.ค. ตนพร้อมนายสกลธี ภัททิยกุล และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ แกนนำ กปปส. เข้าเยี่ยมพระสุเทพ ที่วัดธารน้ำไหล พระสุเทพไม่ได้กังวลเรื่องอะไรและไม่พูดคุยเรื่องการเมือง กล่าวว่าตั้งใจจะอุปสมบทนานแล้วเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. และต้องการ อุปสมบทเงียบๆ ไม่อยากบอกใคร เนื่องจากไม่อยากให้ยุ่งยาก โดยจะจำวัดอยู่ที่สวน โมกขพลารามระยะหนึ่ง ยังไม่มีกำหนดลาสิกขา 
       นายสุรพศ ทวีศักดิ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หัวหิน กล่าวว่า พระวินัยของสงฆ์บัญญัติว่าผู้จะบวชตามระบบบวชพระในปัจจุบัน ระบุไว้ว่าคนทำความผิด หลบหนีอาญาแผ่นดิน และต้องหาในคดีอาญาไม่สามารถบวชได้ ในส่วนการบวชของพระสุเทพ ต้องดูว่าบวชระหว่างที่ได้รับการประกันตัวหรือไม่ ถ้าบวชระหว่างนั้นขึ้นอยู่ที่การตีความของพระอุปัชฌาย์ว่าสามารถอนุญาตให้บวชในเงื่อนไขนี้ได้หรือไม่ ถ้าพระอุปัชฌาย์ตีความว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะหลบหนีคดี จึงบวชให้ อย่างไรก็ตาม การบวชครั้งนี้คงไม่สามารถบวชตลอดชีวิตได้เพราะยังมีคดีค้างอยู่ ในส่วนการบวชระหว่างเข้าพรรษาอยู่ที่ผู้สมัครใจจะบวช โดยประเพณีการบวชและวินัยสงฆ์ไม่ได้บังคับหรือจำกัดไว้

โยกย้าย 3 บิ๊กยุติธรรม 

       เวลา 20.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าคสช. เซ็นคำสั่งที่ 92/2557 เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง เพื่อให้การปฏิบัติงานของส่วนราชการเรียบร้อยเหมาะสม มีคำสั่งดังนี้ 1.น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล พ้นจากอธิบดีกรมคุมประพฤติ ให้เป็นอธิบดีกรมบังคับคดี 2.นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ พ้นจากอธิบดีกรมบังคับคดี ให้เป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม 3.นางกรรณิการ์ แสงทอง พ้นจาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม และให้เป็นอธิบดีกรมคุมประพฤติ 4.ให้ข้าราชการข้างต้นปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่มีคำสั่งนี้เป็นต้นไป 5.เมื่อมีการตั้งครม.แล้วให้นำความกราบบังคมทูลแต่งตั้งข้าราชการตามคำสั่งนี้เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย

ชาวนาร้องคสช.ทวงเงินจำนำข้าว
     วันที่ 16 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนชาวนาจากจ.นครสวรรค์และกำแพงเพชร ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่านเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ ให้เร่งรัดสหกรณ์การเกษตรอุดมทรัพย์ อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร ออกใบประทวนให้ชาวนา 83 คนที่นำข้าวเปลือกไปขายเมื่อต.ค.2556 วงเงิน 15 ล้านบาท ครั้งนั้นสหกรณ์ออกเพียงใบชั่งน้ำหนักข้าวแทนที่จะเป็นใบประทวน จึงไม่ได้รับเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในโครงการรับจำนำข้าว เพราะข้าวเปลือกไม่ถูกส่งต่อไปยังโครงการรัฐบาล ที่ผ่านมาสอบถามสหกรณ์หลายครั้งก็บอกให้รอจะเร่งดำเนินการ แต่ผ่านมาแล้ว 6 เดือนยังไม่คืบหน้า 
      กลุ่มชาวนาระบุว่า ทุกคนมีภาระต้องดูแล แบกรับภาระหนี้สินที่เกิดจากการลงทุนทำนา ประกอบกับไม่มีเงินลงทุนทำนาครั้งใหม่จึงรวมตัวกันขอความเป็นธรรมจาก คสช.ให้ช่วยเหลือเร่งรัดการจ่ายเงินค่าข้าวให้ชาวนาเพื่อนำไปชำระหนี้สิน และขอให้คสช.รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษเพื่อให้ความช่วยเหลือรวดเร็ว

ศาลปกครองยกฟ้อง"ปู"คดีน้ำ
      วันที่ 16 ก.ค. ศาลปกครองชั้นต้นอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ส.23/2555 ที่นางสุทธิรักษ์ ทองวานิช พร้อมชาวบ้านใน จ.นครปฐม รวม 10 ราย ยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ขณะนั้น ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กฟผ. กระทรวงเกษตรฯ รมว.เกษตรฯ กรมชลประทาน กระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าฯ นครปฐม ผู้ว่าฯ กทม. และกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-11 กรณีบริหารจัดการน้ำผิดพลาด ปิดกั้นประตูระบายน้ำ วางสิ่งกีดขวางทางน้ำ เป็นเหตุให้น้ำไม่ไหลไปตามทิศทางตามธรรมชาติ ทำให้น้ำท่วมขัง จ.นครปฐม ส่งกลิ่นเน่าเหม็นและทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีเสียหาย พร้อมขอให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 3.7 ล้านบาท และจัดทำแผนป้องกันน้ำท่วม ระหว่างการพิจารณา นายวิชัย ชัยพัฒนศักดิ์ ผู้ฟ้องที่ 9 ขอถอนฟ้องจึงเหลือแค่ผู้ฟ้องที่ 1-8 และ 10 เท่านั้น 
      ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าช่วงเดือน มิ.ย.-ต.ค.54 เกิดพายุโซนร้อนและมรสุมหลายลูก เกิดน้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง ผู้ถูกฟ้องพยายามระบายน้ำตามระบบสากลแล้วแต่ประตูระบายน้ำหลายแห่งพังทลาย ส่งผลให้ปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลไหลจากภาคเหนือลงสู่ภาคกลาง ระหว่างนั้นผู้ถูกฟ้องดำเนินมาตรการป้องกันน้ำไม่ให้เข้าท่วมพื้นที่กทม. วางแนวกระสอบทรายขนาดใหญ่ รวมทั้งยกระดับถนนสูง 6 เมตร ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อที่พักอาศัยของผู้ฟ้อง ซึ่งอยู่ใน อ.นครชัยศรี และ อ.สามพราน โดยตรง จึงเป็นการวางแนวป้องกันน้ำฝั่งตะวันออกและป้องกันไม่ให้กระทบพื้นที่กทม.ชั้นใน และพื้นที่เศรษฐกิจ เพื่อผลประโยชน์โดยรวมของประเทศ มิใช่การเลือกปฏิบัติ 
    ขณะที่ผู้ถูกฟ้องดำเนินการมาตรการเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบ 5,000 บาทต่อหลังคาเรือนแล้ว รวมทั้งมาตรการเยียวยาตามระเบียบสำนักนายกฯ และคำสั่งอื่นๆ การกระทำของผู้ถูกฟ้องจึงยังไม่เป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายที่กระทำล่าช้าเกินสมควร และไม่มีเหตุต้องชดใช้ค่าเสียหาย จึงพิพากษายกฟ้อง
       นางอภิญญา ชูสว่าง ผู้ฟ้องคดีที่ 3 กล่าวว่า ตนเคารพในคำพิพากษาของศาล หลังจากนี้จะปรึกษากับทนายและผู้ฟ้องคดีอีกครั้งว่าจะอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดหรือไม่ต่อไป

ย้าย 56 ผบ.เรือนจำ-ยุบคุกหลักสี่ 
    วันที่ 16 ก.ค. แหล่งข่าวจากเรือนจำชั่วคราวหลักสี่เผยว่า มีข่าวว่ากรมราชทัณฑ์เตรียมยุบเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายแต่ละปีสูงนับล้านบาท ขณะที่ผู้ต้องขังมีเพียง 22 คน เป็นชาย 20 คน หญิง 2 คน ทั้งหมดเป็นผู้ต้องขังคดีความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 ทั้งคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี อุดรธานี คดีครอบครองอาวุธสงคราม และ คดียิงเฮลิคอปเตอร์ของทหาร โดยเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดที่ศาลพิพากษาจำคุกรายละไม่ต่ำกว่า 20 ปี หากยุบเรือนจำจริง ทั้ง 22 คนจะถูกส่งตัวไปคุมขังในเรือนจำตามภูมิลำเนาแต่ยังไม่มีคำสั่งที่ชัดเจนจากกรมราชทัณฑ์ 
       นายวิทยา สุริยะวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้มอบนโยบายให้ดำเนินการใดๆ เพราะมีหลายเรื่องต้องเร่งดำเนินการก่อน 
      นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงนามคำสั่งย้ายข้าราชการกรมราชทัณฑ์ตำแหน่งชำนาญการพิเศษ และผู้บัญชาการเรือนจำ 13 ตำแหน่ง คือ นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ จากนายแพทย์ทัณฑสถาน ร.พ.ราชทัณฑ์ เป็นผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ นายสุรศักดิ์ เผื่อนคำ ผบ.เรือนจำจังหวัดสุโขทัย เป็นผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ นายเกษม ธุวพานิชยานันท์ ผอ.ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น เป็นผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรชัย อารักษ์รัฐ ผอ.กองการเจ้าหน้าที่ เป็นผู้ตรวจการกรมราชทัณฑ์ นางสุจิตรา เหลืองวัฒนนันท์ ผอ.เรือนจำจังหวัดพิจิตร เป็นผอ.เรือนจำจังหวัดอ่างทอง
       นายกาญจน์ สุนทรเดชา ผบ.เรือนจำจังหวัดพังงา เป็นผบ.เรือนจำจังหวัดนราธิวาส นายเดชา แจ่มจันทร์ ผบ.เรือนจำจังหวัดอุทัยธานี เป็นผบ.เรือนจำจังหวัดเพชรบูรณ์ นาย วีรชัย เพชรรัตน์ ผบ.เรือนจำจังหวัดชัยนาท เป็นผบ.เรือนจำกลางยะลา นายภราดร ขุนทองจันทร์ ผบ.เรือนจำจังหวัดสตูล เป็นผบ.เรือนจำกลางปัตตานี นางมะลิวัลย์ พุนขวัญ ผบ.เรือนจำจังหวัดบุรัรัมย์ เป็นผบ.เรือนจำจังหวัดตรัง น.ส.บุษบา เกตุอุดม ผบ.เรือนจำชัยภูมิ เป็นผบ.เรือนจำจังหวัดสระแก้ว นายทำนุ ประกิจสุวรรณ ผบ.เรือนจำจังหวัดมุกดาหาร เป็นผอ.ทัณฑสถานบำบัดพิเศษพระนครศรีอยุธยา นายพิรัชย์พนธ์ วงศ์เวช ผอ.ทัณฑสถานวัยหนุ่มนครศรีธรรมราช เป็นผบ.เรือนจำจังหวัดสงขลา นอกจากนี้นายวิทยา สุริยะวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยังลงนามในคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย ผอ.ทัณฑสถานและผบ.เรือนจำอำเภอต่างๆรวม 43 ตำแหน่ง 

ยัน"พระสุเทพ"มาศาล 28 ก.ค.
      วันที่ 16 ก.ค. นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรอง นายกฯ เผยว่า วันที่ 28 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น. พระสุเทพ หรือนายสุเทพ จะเดินทางมาตามนัดของศาลอาญา ในคดีหมายเลขดำ อ.1375/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผล กรณีร่วมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ออกคำสั่ง ศอฉ.ให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้าขอคืนพื้น จากกลุ่มนปช. เมื่อปี 2553 เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอาญามีโทษสูงกว่า 10 ปี จำเลยต้องมาศาลทุกนัดและไม่สามารถขอไต่สวนลับหลังได้ แต่ยังไม่ทราบว่าพระสุเทพ จะลาสิกขาหรือจะมาทั้งในสมณเพศ นอกจากนี้ วันดังกล่าวศาลแพ่งยังนัดฟังคำสั่งขยายวันยื่นคำให้การคดีที่พระสุเทพ ตกเป็นจำเลย กรณีกระทรวงการคลังยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 536,986 บาทอีกด้วย แต่สามารถส่งผู้แทนไปฟังคำสั่งได้
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันดังกล่าวศาลอาญายังนัดฟังคำสั่งที่อัยการยื่นคำร้องขอให้อนุญาตรวมพิจารณาคดีหมายเลขดำ อ.4552/2556 ของนายอภิสิทธิ์กับสำนวนที่ยื่นฟ้องนายสุเทพ เนื่องจากมูลเหตุคดีเกี่ยวพัน พยานหลักฐานที่จะนำสืบเป็นชุดเดียวกันด้วย