Somyos

'สมยศ'ตีกลับ มติถอดยศ ปปช.โต้พัลวัน เล่นงาน'ปู-ปึ้ง'

      'สมยศ'ตีกลับมติตร.ถอดยศ'ทักษิณ'สั่งกรรมการเซ็นรับรองก่อนเสนอใหม่ มีคำสั่งด่วนให้ตำรวจคุมเข้มบ้านพักบุคคล-สถานที่สำคัญ หวั่นผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์หลังยกเลิกพาสปอร์ตอดีตนายกฯ ห้ามบิ๊กตร.ลาไปต่างประเทศ'บิ๊กโด่ง'ซัด 'แม้ว'พูดไม่ปรองดองก่อน ป.ป.ช.ยันสอบ 'ปู-ปึ้ง'คืนหนังสือเดินทาง''แม้ว'ไม่ได้จ้องเล่นงาน'เสี่ยปึ้ง'ไล่ดูระเบียบ ชี้เป็นอำนาจปลัดบัวแก้ว'พีระศักดิ์'ชี้ถ้า'ยิ่งลักษณ์'ถูกถอดถอนซ้ำ ต้องยืดเวลาเว้นวรรคทางการเมือง

 

 

วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 8950 ข่าวสดรายวัน

ผบ.ทบ.แจงฟ้อง'ทักษิณ'

   วันที่ 30 พ.ค. พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กรณีได้มอบหมายให้พล.ต. ศรายุทธ กลิ่นมาหอม ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก กองทัพบก เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อศาลอาญา ฐานความผิดคดีหมิ่นประมาท หลังจากที่พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า ในส่วนที่ดำเนินการคือการฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 กรณีกระทำผิดฐานหมิ่นประมาททำให้เสียชื่อเสียง และฟ้องร้องในมาตรา 328 การหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา มีการพิจารณาและเห็นว่าการพูดในลักษณะดังกล่าวทำให้กองทัพบกเกิดความเสียหาย มีการพาดพิงถึงองค์กรทำให้เกิดความเสื่อมเสียจึงให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการ

"ข้อความที่พูดถึงคือการพูดถึงทหาร คนเข้าใจโดยทั่วไปได้ว่าทหารหลักก็คือทหารที่ประจำการในกองทัพบก การกล่าวในลักษณะนั้นไม่เป็นความจริงและทำให้เกิดความเสื่อมเสีย เราจึงต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย" พล.อ.อุดมเดชกล่าว 

ส่วนกรณีที่ไม่ได้ฟ้องร้องในมาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญาต่อศาลอาญานั้น พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า กองทัพบกไม่สามารถไปฟ้องร้องต่อศาลโดยตรงได้เพราะไม่ใช่เป็นผู้เสียหายโดยตรง แต่สามารถไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ซึ่งขั้นตอนนี้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ได้ดำเนินการไปแล้ว เพื่อส่งไปให้พนักงานสอบสวนดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานในการพิจารณาฟ้องร้องต่อไป เป็นขั้นตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการได้

 

แม้ว พูดไม่ปรองดองก่อน 

      เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณโพสต์อินสตา แกรมแสดงความเห็นต่อวิธีการแก้ไขปัญหาของผู้มีอำนาจไม่ได้สร้างความปรองดอง พล.อ.อุดมเดชกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พยายามสร้างความปรองดอง แต่อยากถามว่าคนที่พูดได้สร้างความปรองดองหรือไม่ ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดออกมาไม่เป็นความจริง ทำให้กองทัพและทหารเสียหาย ถ้าตนนิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลยก็เท่ากับเป็นการยอมรับ การดำเนินการฟ้องร้องก็เพื่อให้พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้พูดความจริง 

"แล้วสิ่งที่ท่านพูดและทำคือการปรองดองอย่างนั้นหรือ ควรดูที่ต้นทางคือคนพูดไม่ใช่มาตั้งคำถามที่ปลายทาง ต้องไปถามตัวเองว่าพูดทำไม และเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวทุกคนไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับท่าน การดำเนินการของผมและกองทัพบกเป็นเรื่องส่วนรวม แต่อยากให้พิจารณาให้ดีว่าควรจะกล่าวออกมาเช่นนั้นหรือไม่" พล.อ.อุดมเดชกล่าว

เมื่อถามว่ากังวลสถานการณ์ในประเทศที่อาจเกิดเหตุตอบโต้การดำเนินการของรัฐที่เดินหน้าเอาผิดพ.ต.ท.ทักษิณ ผบ.ทบ.กล่าวว่า ทุกคนควรรู้กติกาของบ้านเมืองและควรทราบว่าการดำเนินการของเราเพราะได้รับผลกระทบ ตนไม่ได้ต้องการให้เข้าข้างหรือเชียร์รัฐบาลแต่ขอยึดที่ความถูกต้องเป็นหลัก สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่การแนะนำอย่างสร้างสรรค์ หากเราไม่แสดงออกในการปกป้องศักดิ์ศรีกองทัพก็เท่ากับว่าเรากลัว 

 

สมยศสั่งตร.พร้อมรับสถานการณ์

     ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. มีวิทยุในราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ด่วนที่สุด ที่ 0001(ศปก.ตร.)/96 ถึง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ผบช.ภ.1-9 ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) สอบสวนกลาง ตำรวจตระเวนชายแดน ลงวันที่ 29 พ.ค. โดยสั่งการว่า จากสถานการณ์ทางการเมือง เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศยกเลิกหนังสือเดินทางของบุคคลผู้เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางราย ซึ่งอาจมีผู้ไม่หวังดีออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน หรือสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองและอาจส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน 

      เพื่อการป้องกันและติดตามความเคลื่อน ไหวของประชาชนกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีออกมาสร้างสถานการณ์ สร้างความวุ่นวาย หรือก่อเหตุร้าย จึงให้ทุกหน่วยจัดชุดสืบสวนหาข่าว ชุดเฝ้าฟัง ติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลข้างต้นโดยใกล้ชิด โดยการประสานกับผู้นำท้องถิ่นในเขตพื้นที่ เฝ้าระวังพื้นที่เป้าหมายสำคัญ เช่น บ้านพักบุคคลสำคัญ สถานที่ที่ประชาชนให้ความสนใจใช้บริการเป็นจำนวนมาก สถานที่เชิงสัญลักษณ์ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ สถานีขนส่งสาธารณะ โดยให้เพิ่มความเข้มในการออกตรวจ ป้องกันเหตุ ตั้งจุดตรวจให้ครอบ คลุมพื้นที่ทั้งในเส้นทางหลัก เส้นทางรอง โดยเฉพาะในเขตกทม.และปริมณฑล โดยกำหนดห้วงเวลาให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และสถานการณ์อาชญากรรมตลอดจนความเคลื่อนไหวในพื้นที่ และให้เตรียมความพร้อมของชุดปฏิบัติการพิเศษทางยุทธวิธีเพื่อสนับ สนุนการปฏิบัติและให้สามารถปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุได้ทันที โดยเมื่อเกิดเหตุเร่งด่วนให้ราย งานศปก.ตร.เป็นลำดับแรก

     คำสั่งดังกล่าวยังกำชับให้ผู้บังคับบัญชาระดับ บช. บก.และหัวหน้าสถานีต้องอยู่ในพื้นที่พร้อมอำนวยการสั่งการปฏิบัติแก้ไขปัญหาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และห้ามลาไปต่างประเทศโดยเด็ดขาด

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และโฆษกตร. กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้มีวิทยุสั่งการด่วนเพื่อให้หัวหน้าหน่วยได้ดูแลบ้าง เพราะหลายปัญหาควรเริ่มแต่แรก ให้เข้าไปดูฝ่ายการข่าว หาข้อมูล เพื่อป้องกันปัญหาและยับยั้งการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตื่นตัว โดยต่อไปนี้จะมีการติวเข้ม ถ้ามีการเคลื่อนไหวท้องที่จะมาอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้

ตีกลับมติถอดยศให้กก.เซ็นรับรอง 

     พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์หลังจากเดินทางกลับจากไปมอบนโยบายและติดตามข้อราชการ ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จว.เชียงใหม่ ว่าได้รับรายงานจากพล.ต.ต.นิรันดร เหลื่อมศรี (นว.ผบ.ตร.) ว่าพล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา สบ 10 เสนอรายงานมติคณะกรรมการพิจารณาเรื่องถอดถอนยศพ.ต.ท. ทักษิณมาแล้ว แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบมติดังกล่าวทางคณะกรรมการยังไม่ได้ลงนามรับรองมติ จึงให้พล.ต.ต.นิรันดรประสานแจ้งกับไปยังพล.ต.อ.ชัยยะ ให้มารับรายงาน ดังกล่าวกลับคืนไป เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนลงนามรับรองมติของคณะกรรมการชุด ดังกล่าวให้ครบถ้วนถูกต้องเสียก่อน แล้วถึงจะนำมาพิจารณาตามกรอบและระเบียบของตร. เพื่อดำเนินการและเสนอตามลำดับชั้นต่อไป

 

คสช.ชี้สถานการณ์ยังปกติ 

     พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคสช. และโฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลสถาน การณ์ภายหลังกระทรวงการต่างประเทศ ถอนพาสปอร์ตของพ.ต.ท.ทักษิณ และเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการถอดยศด้วยว่า ขณะนี้สถานการณ์ภาพรวมมีความเรียบร้อย คสช. ยังไม่มีรายงานความผิดปกติใดๆ สำหรับการทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงนั้นยังคงเดินหน้าเฝ้าระวังและดูแลสถานการณ์ให้เกิดความเรียบร้อยตามปกติ ที่ผ่านมา พล.อ.อุดมเดช ในฐานะเลขาธิการคสช. กำชับเจ้าหน้าที่อยู่เสมอเรื่องการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย กรณีบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปอย่างเหมาะสมควบคู่กับการทำความเข้าใจและพยายามรักษามาตรฐานการทำงานให้ดีไว้ ส่วนการถอนพาสปอร์ตและการดำเนินการถอดยศของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอน รวมถึงการที่กองทัพบกแจ้งความดำเนินคดีกับพ.ต.ท.ทักษิณในข้อหาหมิ่นประมาทด้วย

 

ยังไม่ได้เสนอทูลเกล้าฯถอดยศ 

     พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดำเนินการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.จะต้องพิจารณาเพื่อลงนามก่อนเสนอทูลเกล้าทูลกระหม่อม เพราะอยู่ในขั้นตอนของฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลหลักฐาน ซึ่งการยกเลิกหนังสือเดินทาง หรือการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ที่เกี่ยวข้องชี้แจงแล้วว่าเป็นการดำเนินการตามกระบวนการและ ขั้นตอนทางกฎหมาย รัฐบาลไม่ได้ไปจ้องทำร้ายใครเป็นกรณีพิเศษ จึงไม่ต้องเตรียมการรับมือกับกลุ่มการเมืองแต่อย่างใด หากทุกคนเข้าใจและเชื่อมั่นในกฎหมายก็ไม่มีอะไร น่าเห็นห่วง กลุ่มการเมืองก็จะไม่ออกมาเคลื่อนไหว แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยเกิดความวุ่นวายเพราะคนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

      เมื่อถามว่า กังวลว่าจะเกิดเสียงวิจารณ์ตามมาหรือไม่เพราะดำเนินการโดยรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า ยืนยันว่ากรณีนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งทางการเมือง แต่ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย คนทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ ทั้งนี้การใช้กฎหมายดำเนินการตามกระบวนการที่ถูกต้องเพื่อรักษาความเป็นธรรม ถามว่าเรื่องความเป็นธรรมจะต้องดูห้วงเวลาหรือต้องเลือกว่าจะทำกับใครแล้วจะเกิดความเหมาะสมด้วยหรือ เพราะกฎหมายต้องบังคับใช้กับทุกคน โดยเสมอภาคกัน รัฐบาลมั่นใจว่าประชาชน ไม่ว่าจะชอบฝ่ายไหนก็ตามจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ไม่น่ามีอะไรวิตกกังวล เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนก็ยังคงเฝ้าระวังเหตุการณ์ในพื้นที่ต่างๆ ตามปกติ ไม่มีอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ

 

'ประสาร'จี้ยึดเครื่องราชฯ 

      นายประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิก สปช. กล่าวว่า ท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ ตอนนี้เป็นบาปกรรมของเขาที่เขากัดกินตัวเองตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว ใช้ความปราดเปรื่องไปในทิศทางที่เป็นโทษต่อตัวเองเสมอมา และการที่ ตร. มีมติถอดยศ และทหารแจ้งข้อหาตามมาตรา 112 นั้น รัฐบาลทำถูกกาละและเหมาะสมแล้ว ตนเห็นว่าสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) ควรถือโอกาสนี้ดำเนินการถอนคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมกันไปด้วย เพราะทั้งการถอดยศและถอนเครื่องราชฯเป็นเรื่องต้องทูลเกล้าทูลกระหม่อม สำหรับคนที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายอาญามาตรา112 ในหลายกรรมหลายวาระ และเป็นคนไม่คู่ควรกับเกียรติยศที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

     นายประสาร กล่าวว่า การที่พรรคเพื่อไทยและแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่พอใจ ก็เพราะคนของพรรคเพื่อไทยและนปช.จำนวนมาก รับไม่ได้กับบทบาทและท่าทีของพ.ต.ท. ทักษิณ ทราบมาว่าคนของพรรคเพื่อไทยเริ่มเอาใจออกห่างแล้ว โดยเฉพาะแกนนำ นปช.แถวสองที่รู้แล้วว่าขืนเดินตามพ.ต.ท.ทักษิณ จะตกนรกไปตลอดชีวิต จากนี้ไปอนาคตของพ.ต.ท.ทักษิณ โอกาสของเขาหมดไปแล้ว ที่จะมาคุกเข่าก้มกราบแผ่นดินไทย แม้แต่การนั่งแผ่เมตตาต่อหน้าพระที่ดูไบ ภาวนาอนิจจังก็เป็นการลวงโลก เพราะความจริงพ.ต.ท. ทักษิณกำลังร้องเพลงฉันถูกรังแก เขาไม่เคยรู้จักเพลงฉันผิดไปแล้ว 

 

ปชป.ชี้แม้วทำปรองดองสะดุด 

      นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีพล.อ.ประยุทธ์ สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศยกเลิกหนังสือ เดิน ทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทุกเล่ม ว่า เข้าใจว่าการถอนพาสปอร์ตทั้งหมดเป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดปาฐกถาที่เกาหลีใต้ ถ้าไม่พูดกระทบกระเทือนพาดพิงองคมนตรี พาดพิงการยึดอำนาจของทหาร รัฐบาลก็จะไม่ดำเนินการ เพราะการถอนพาสปอร์ตไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณพลาดและที่ออกมาพูดแบบนี้ กระบวนการปรองดองนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง (คศป.) สปช. เดินหน้าต่อไปไม่ได้ จบแล้ว ยากที่จะเดินต่อไปตามรัฐธรรมนูญวางไว้ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณเริ่มต้นแบบนี้ก็แสดงว่าไม่ปรารถนาที่จะปรองดอง กระบวนการนี้ก็เลยพัง

     นายนิพิฏฐ์กล่าวกรณีคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการถอดยศตำรวจมีมติส่งเรื่องกลับไปยัง ผบ.ตร.ให้ถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า วันนี้ ผบ.ตร.ไม่มีทางออกต้องถอดถอน เพราะหากไม่ดำเนินการ พล.ต.อ.สมยศ ต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง รัฐบาลก็สามารถถอดถอนพล.ต.อ. สมยศได้เพราะมีอำนาจเด็ดขาด วันนี้ไม่มีทางออกอื่นเพราะได้พิจารณาใหม่แล้ว เผือกร้อนจึงอยู่ที่ผบ.ตร.หากไม่ทำ ผบ.ตร.จะถูกถอดถอนแน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นต์

ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย ไม่ยอมรับผลการลงมติและมองว่าถูกกลั่นแกล้งนั้น นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า มีสิทธิคิดอย่างนั้นเพราะตำรวจสร้างปัญหาให้กับองค์กรตนเอง เช่นบอกว่าตอนแรกไม่สมควรถอดถอน ต่อมายุคนี้กลับบอกว่าสมควรถอดถอน มาตรฐานของตำรวจอยู่ตรงไหน หากดุลพินิจตำรวจกลับไปกลับมาก็จะทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหาย ประชาชนไม่เชื่อถือ เรื่องนี้จึงไม่มีทางเลี่ยงเป็นอื่นไปได้

 

'วรชัย'ยันคนยังรักทักษิณ 

     นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีการยกเลิกหนังสือ เดินทางและเสนอถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า แท้จริงแล้วตนเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ มีความจงรักภักดี ส่วนการแสดงความเห็นเกี่ยวกับการยึดอำนาจเพื่อต้องการสื่อให้บางคนที่พยายามจะเชื่อมโยงไปถึงสถาบันได้รับทราบ รวมถึงสะท้อนถึงความอยุติธรรมเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามนับตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายสมัคร สุนทรเวช จนมาถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่กลับมีการไปขยายความให้ลุกลามจนเป็นประเด็นเกิดขึ้นมากกว่า ส่วนที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้มวลชนมีแสดงความเห็นหรือเคลื่อนไหวนั้น ประชาชน พิจารณาได้เองโดยไม่ต้องออกมาเคลื่อนไหว แต่ความรู้สึกลึกๆ คงไปห้ามให้คิดไม่ได้ เพราะคนที่รักพ.ต.ท.ทักษิณ เขารักที่การกระทำและผลงานที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ได้รักที่เป็นพ.ต.ท. หรือด๊อกเตอร์ ก็ยังมีอยู่จำนวนมาก ฉะนั้นจะถอดยศหรือถอนพาสปอร์ต ไม่น่าจะมีผลอะไร 

 

'ปึ้ง'ชี้คืนพาสปอร์ต-อำนาจปลัด

      นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรอง นายกฯและรมว.ต่างประเทศ กล่าวกรณี องค์คณะไต่สวนของป.ป.ช.ชุดนายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการป.ป.ช. เตรียมสรุปรายงานต่อป.ป.ช.เพื่อพิจารณาว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาตนเอง กรณีมีผู้ร้องว่าจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) (4) ในฐานะเป็นผู้ออกหนังสือเดิน ทางให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดตามรัฐธรรมนูญและหรือไม่ มีอำนาจกระทำการดังกล่าวจริงหรือไม่ ว่าต้องย้อนไปสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ และนายกษิตย์ ภิรมย์ เป็นรมว.ต่างประเทศ ที่มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงต่างประเทศในขณะนั้นให้พิจารณายกเลิก โดยอ้างว่าการพำนักอยู่ต่างประเทศของพ.ต.ท. ทักษิณ เป็นภัยต่อรัฐบาล แต่ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีตนเป็นรมว.ต่างประเทศ กลับเห็นว่าการอยู่ต่างประเทศไม่เป็นภัยต่อรัฐบาล จึงมอบให้ปลัดกระทรวงรับไปพิจารณาตามระเบียบกระทรวงว่าด้วยการถอน ยึดหรือยกเลิก เพราะเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของปลัดกระทรวงและข้าราชการที่จะพิจารณาตามระเบียบ 

      นายสุรพงษ์ กล่าวว่า จึงอยากให้ป.ป.ช. กลับไปศึกษาในระเบียบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้ละเอียดว่าอำนาจในพิจารณาถอนหรือคืนเป็นอย่างไรให้เกิดความชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใคร นอกจากนั้นต้องถามกลับว่าการดำเนินงานเรื่องนี้ของป.ป.ช.มีมาตรฐานเดียวหรือสองมาตรฐาน เรื่องนี้คนที่จะพิจารณาคือปลัดกระทรวง และคณะกรรมการเขาพิจารณาตามระเบียบ จะไปใช้อำนาจสั่งการเขาไม่ได้ ยืนยันว่าการทำงาน 2 ปี ที่กระทรวงการต่างประเทศ ไม่เคยใช้อำนาจสั่งการโดยพลการ ทุกอย่างได้บอกข้าราชการไปว่าให้ทำตามกฎ อะไรทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตนไม่เคยไปก้าวก่ายโดยปราศจากเหตุผล หรือทำอะไรงี่เง่า ดังนั้นใครที่ทำอะไรโดยไม่เป็นธรรม ก็จะรอดูว่าจะไปได้สักกี่น้ำ 

 

'วิชา'ยันไม่ได้จ้องเล่นงานปู-ปึ้ง 

      ที่โรงแรมดวงจิตต์ จ.ภูเก็ต นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการไต่สวนกรณีถอดถอนนายสุรพงษ์ ขณะดำรงตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท. ทักษิณ โดยมิชอบว่า กรณีดังกล่าวมีกรรมการป.ป.ช.ทั้ง 9 คนเป็นองค์คณะไต่สวน และมีนายณรงค์ รัฐอมฤต เป็นกรรมการรับผิดชอบสำนวน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการทำงานของคณะทำงานเพื่อเตรียมสรุปและเสนอเข้ากรรมการป.ป.ช.ต่อไป 

นายวิชากล่าวว่า ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ได้จ้องเล่นงานนักการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มันไม่ใช่ เพราะถ้าเรื่องไม่จบป.ป.ช.จะตายเอง จึงต้องทำคดีให้จบ เราไม่ได้บอกว่าจะชี้มูลความผิดหรือไม่ เพียงแต่คดีนี้ยังคาราคาซังอยู่ ยังต้องตรวจสอบให้มันสิ้นสุด ทุกเรื่องต้องมีที่จบ ไม่ว่าจะออกแบบรูปแบบใด อาจจะไม่ชี้มูลหรือไม่รับเรื่องก็ได้

 

สนช.ชี้ถอดซ้ำ-ขยายโทษแบน 

   ที่รัฐสภา นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 2 กล่าวกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. กำลังพิจารณาเพื่อชี้มูลถอดถอนหรือไม่ กรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายสุรพงษ์ ไม่เรียกคืนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ต้องดูว่าป.ป.ช.จะชี้มูลกรณีดังกล่าวหรือไม่ แต่ สนช.วางแนวทางไว้ หากส่งเรื่องมาเป็นการชี้มูลถอดถอนในการทำหน้าที่นายกฯ รัฐมนตรี และเข้าหลักเกณฑ์ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการถอดถอนได้ แต่ไม่ใช่การถอดถอนซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระ ส่วนผลที่จะออกมาหากมีมติถอดถอนอย่างน้อยที่สุด ระยะเวลาที่จะถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็จะยืดออกไปอีก อย่างไรก็ตามต้องรอดูสำนวนชี้มูลของป.ป.ช.ก่อน

    เมื่อถามว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่หรือไม่ นายพีระศักดิ์กล่าวว่า นายกฯบอกว่าเป็นเรื่องของข้อกฎหมาย ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แต่เป็นกระบวนการที่ดำเนินการมานานแล้ว และมายุติลงเวลานี้พอดี ไม่ใช่ว่านายกฯไปจี้ จึงอยากให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นกระบวนการที่ทำมาอยู่แล้ว ทั้งนี้ เป็นหน้าที่ของผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคงที่ต้องดูแล เพราะแน่นอนว่าต้องมีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการถอนหนังสือ เดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อแสดงออก คิดว่านายกฯตัดสินใจถูกที่ให้ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำตามหน้าที่นั้น ส่วนนายกฯก็มีมาตรา44 นำมาใช้ระงับเหตุการณ์ได้ แต่ถ้าไม่ทำก็เกิดคำถามอีกว่ามีอำนาจแต่กลับไม่ทำหน้าที่

 

ย้ำแก้รธน.ชั่วคราว 3 วาระรวด 

      นายพีระศักดิ์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมหลังครม. เตรียมขอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเพื่อเปิดช่องให้ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญว่า เท่าที่ทราบ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ได้พูดคุยกับครม.แล้ว คาดว่าช่วงต้นเดือน มิ.ย. จะเสนอเข้ามายังสนช.เพื่อพิจารณา น่าจะเป็นเรื่องการขยายเวลาให้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญจาก 60 วัน เป็น 90 วัน ทำให้การลงมติร่างรัฐธรรมนูญของสปช.ต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 6 ก.ย. ซึ่งสนช.มีหน้าที่เพียงให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น และมีเวลาพิจารณาเพียง 15 วัน และได้วางกรอบเบื้องต้นพิจารณา 3 วาระรวดในวันเดียว

     นายพีระศักดิ์ กล่าวถึงกรณีคณะกรรมาธิ การพิจารณาศึกษา เสนอแนะและรวบรวมความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ สนช. เสนอให้ส.ว.ปี 2557 สามารถเข้ารับการสรรหาเป็นส.ว.ใหม่ได้ ว่าต้องดูรัฐธรรมนูญที่จะออกมาว่าเป็นอย่างไร คงพูดล่วงหน้าไม่ได้ แต่เท่าที่ทราบไม่ได้ห้ามส.ว.ปี 2551 กับ ส.ว.ปี 2557 เพราะในหลักการ ส.ว.ปี 2557 เข้ารับการสรรหาได้อยู่แล้ว ส่วนที่มาส.ว.ตนยืนยันมาโดยตลอดว่าที่ผ่านมา เราลองมาหมดแล้วให้มีทั้งแบบเลือกตั้งทั้งหมด หรือสรรหาทั้งหมด หรือแบบผสม ซึ่งเหตุการณ์วิกฤตของบ้านเมืองที่ผ่านมาไม่ได้เกิดมาจากส.ว. ซึ่งประชาชนยังผูกยึด กับส.ส.ดังนั้นไม่ควรลดจำนวนส.ส. ขณะเดียวกัน ส.ว.ก็มีการเลือกตั้ง ในทุกจังหวัดก็มีส.ว.จึงไม่ควรไปตัดออก จะได้พูดได้ว่าส.ว.ก็ยึดโยงประชาชน มองว่าเหตุการณ์วิกฤตของบ้านเมืองที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากระบบว่าเป็นเลือกตั้งหรือสรรหา แต่อยู่ที่ตัวบุคคล และถ้ายังระแวงก็น่าจะนำรูปแบบของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่มีทั้งส.ว.เลือกตั้งและสรรหา ที่สำคัญต้องสร้างกระบวนการได้มาซึ่งส.ว.ที่มีความละเอียด รอบคอบและยุติธรรม ต้องไม่ใช่มาจากการสรรหาของคน 6-7 คน และโยงกันไปมา

จัดสัมมนา 1 ปีรัฐบาล 

    นายพีระศักดิ์ เผยว่า วันที่ 4 มิ.ย. เวลา 13.00 น. จะมีการจัดสัมมนาเพื่อรับฟังผลการดำเนินงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล โดยเป็นความร่วมมือระหว่างครม. สนช. และ สปช. โดยมีเจตนารมณ์เพื่อนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูปในทุกๆ ด้าน และเสริมสร้างความสามัคคีของประชาชนและสร้างบรรยากาศความสงบและปรองดอง โดยจะมีสมาชิก สนช. และสมาชิก สปช.เข้าร่วมรับฟัง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน การพัฒนาและปฏิรูปประเทศ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ และรองนายกฯ ทั้ง 5 คน จะมาร่วมในการสัมมนาครั้งนี้ด้วย รูปแบบจะเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายซักถามทั้งเรื่องผลงานและนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในแม่น้ำทั้ง 3 สาย 

      นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. กล่าวว่า ได้รับจดหมายเชิญจากสนช.แล้วให้เข้าร่วมงานดังกล่าว มองว่าเป็นการจัดงานที่ดีมาก เพราะสมาชิกสนช. สปช. และครม. จะได้พบปะ พูดคุยกันจากเดิมที่ไม่มีโอกาสได้พบปะกัน ถึงแม้จะมีการประชุมองค์กรเครือข่าย หรือแม่น้ำ 5 สาย คือ ครม. คสช. สนช. สปช. และกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประจำทุกเดือน แต่การประชุมแม่น้ำ 5 สายมีเพียงตัวแทนเท่านั้น ดังนั้น การจัดงาน ดังกล่าวถือเป็นโอกาสดีที่สนช.และสปช. จะได้รับฟังนโยบายจากรัฐบาลและผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เช่น การแก้ไขปัญหา โรฮิงยา ขณะที่ครม. และคสช. จะได้รับฟังว่า สนช.และ สปช.ได้ทำอะไรไปบ้าง

 

ปปช.อีก 2 สัปดาห์ส่งคดี"ตือ"ให้อสส.

     นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรมว.ศึกษาธิการ กรณีการร่ำรวยผิดปกติ ว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ป.ป.ช.จะประชุมเพื่อรับรองมติที่ชี้มูลความผิดนายสมศักดิ์ คาดว่า ภายใน 2 สัปดาห์จะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้พิจารณายึดบ้านมูลค่า 16 ล้านบาท ที่ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ตกเป็นของแผ่นดินต่อไป หลังจากนี้นายสมศักดิ์ต้องไปพิสูจน์ตัวเองต่อศาลฎีกาฯต่อไป ทั้งนี้มติเสียงข้างมากของป.ป.ช.ที่ออกมาคือ 6-3 เห็นว่า นายสมศักดิ์ไม่สามารถชี้แจงได้ชัดเจนว่า บ้านหลังดังกล่าวมีที่มาอย่างไร ใช้เงินจากส่วนใดมาซื้อ ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวเป็นของนายสมศักดิ์แน่นอนเพราะก่อนหน้านี้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาฯที่สั่งตัดสิทธิทางการเมืองของนายสมศักดิ์ 5 ปี จากกรณีการปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ก็ระบุชัดเจนว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของนายสมศักดิ์จริงส่วนที่ดินจำนวน 3 ไร่ 24.1 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านหลังดังกล่าว ป.ป.ช. เห็นว่า ไม่สามารถยึดได้เนื่องจากนายสมศักดิ์ สามารถชี้แจงที่มาได้ว่าได้มาก่อนสมัยที่เป็นรมช.ศึกษาธิการปี 2541 ขณะที่ตัวบ้านเป็นการมาปลูกเพิ่มภายหลังจากที่เป็นรมช.ศึกษาธิการแล้ว