วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8853 ข่าวสดรายวัน


จับอีก 4 ปรับทัศนคติ-แจกเสื้อนกถูกมัด มาร์คลุ้นปปช.ชี้มูลถอด 269 สส.ระทึกปมที่มาสว.


ล็อกตัว - นายอัครกฤษ นุ่นจันทร์ แกนนำกลุ่มเสรีชนไทยแลนด์ 58 พร้อมพวกอีก 3 คน จัดกิจกรรมแจกเสื้อยืดรูปนกถูกมัดปากและขา ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ถูกตร.ล็อกตัวไปปรับทัศนคติที่ สน.พญาไท ปรับ 100 บาทข้อหาก่อความเดือดร้อนรำคาญ เมื่อ 22 ก.พ.

      จับตาป.ป.ช.เตรียมลงมติชี้มูล 269 อดีตส.ส. ปมแก้รัฐธรรมนูญที่มาส.ว. ได้ฤกษ์พิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาถอดถอน'มาร์ค-เทือก'กรณีสลายม็อบแดงปี 53 เพื่อไทยเชื่อกก.ปรองดองสำเร็จยาก เสนอออกกฎหมาย "คุณธรรมอภัย" แก้ขัดแย้ง ตร.รวบตัว 4 นักกิจกรรมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ กลางอนุสาวรีย์ชัยฯ นำไปปรับทัศนคติที่สน.พญาไท ก่อนปล่อยตัว รัฐบาลเยอรมันเชิญตัวแทนไทยดูงานการเลือกตั้ง 15-20 มี.ค.นี้

เยอรมันเชิญไทยดูงานเลือกตั้ง

     วันที่ 22 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ภายหลังจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญมีมติเห็นชอบให้ใช้ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม (Mixed-Member Proportional หรือ MMP) ที่ใช้ในประเทศเยอรมันมาใช้ในประเทศไทยนั้น ทำให้รัฐบาลเยอรมันได้เชิญตัวแทนจากประเทศไทยไปศึกษาดูงานด้านการเลือกตั้ง ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่าง วันที่ 15-20 มี.ค.นี้ ซึ่งรัฐบาลเยอรมันจะ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เพื่อจะได้ รับทราบข้อมูลรอบด้านและนำมาปรับ ใช้กับกระบวนการเลือกตั้งของประเทศไทยต่อไป

    สำหรับ ตัวแทนคณะดูงานมี 9 คน คือ 1.ตัวแทนจากกมธ.ยกร่างฯ 3 คน ได้แก่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่าง นางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ เลขานุการกมธ.ยกร่างฯ และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกและที่ปรึกษา กมธ.ยกร่างฯ 2. ตัวแทน กกต. 3 คน ได้แก่ นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. นายบุญส่ง น้อยโสภณ กกต. ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย นายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม 3.ตัวแทนสภาปฏิรูปแห่งชาติ 2 คน ได้แก่ น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คนที่ 2 นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานกมธ. ปฏิรูปการเมือง สปช. นอกจากนี้ ยังมีชื่อของนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะนักวิชาการด้านกฎหมายที่เป็นผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับระบบเลือกตั้งแบบเยอรมนี ร่วมคณะเดินทางด้วย

กมธ.ยันรธน.ไม่เกิน 299 มาตรา

     นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ยอมรับว่า รัฐบาลเยอรมนีได้เชิญตัวแทน กมธ.ยกร่างฯไปศึกษาดูการเลือกตั้งจริงตามที่เป็นข่าว โดยตลอดทั้งสัปดาห์นี้ กมธ.ยกร่างฯ จะไปประชุมเพื่อพิจารณายกร่างบทบัญญัติเป็นรายมาตรานอกสถานที่ที่พัทยา จ.ชลบุรี โดยเข้าสู่การพิจารณา ภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง ในหมวดเกี่ยวกับรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมของเยอรมนีด้วย ซึ่งขณะนี้เข้าใจว่าได้ผ่านการพิจารณายกร่างเป็นรายมาตราไปแล้ว 150 กว่ามาตรา ยืนยันกมธ.จะพยายามไม่ให้ยกร่างเกิน 299 มาตรา

พท.เสนอออกกม.คุณธรรมอภัย

      นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีกมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ เสนอให้มีกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ ว่า มองว่าความสำเร็จค่อนข้างจะเลือนราง ถ้าจะสำเร็จคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องกล้าตัดสินใจแก้ปัญหาบ้านเมืองในขณะที่อยู่ในสถานการณ์พิเศษ หากไม่ทำตอนนี้จะทำตอนไหน ตนขอเสนอไปถึง ผู้เกี่ยวข้องหาคนที่เป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ทางการเมือง มาร่วมแก้ปัญหา เพราะแม้แต่พระ ผู้พิพากษา อัยการ องค์กรอิสระ ก็ถูกกล่าวหาแบ่งเป็นฝักฝ่าย

       นายชวลิตกล่าวว่า ในอดีตมีการตั้งกรรมการลักษณะนี้หลายครั้งแต่แก้ไขปัญหาไม่สำเร็จ หากจะแก้ไขความขัดแย้งให้สำเร็จผู้ถืออำนาจรัฐต้องกล้าตัดสินใจใช้คุณธรรมอภัย ด้วยการออกพ.ร.บ. พ.ร.ก. หรือคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ประเด็นนี้มีผู้ใหญ่หลายคนให้สัมภาษณ์ว่าคนทำผิดกฎหมายต้องรับโทษตามกฎหมาย ซึ่งไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะการใช้คุณธรรมอภัย ไม่ใช่เสนออภัยยกเข่ง เพราะไม่รวมถึงคดี ทุจริตคอร์รัปชั่น คดีหมิ่นพระบรมเดชา นุภาพตามมาตรา 112 

ตั้งกรรมการเยียวยา

       นายชวลิตกล่าวว่า นอกจากนั้นการให้ ผู้มีส่วนได้เสียมาเป็นกรรมการไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ เพราะผู้สูญเสียแต่ละฝ่ายยังเจ็บปวดกับการสูญเสียบุคคลในครอบครัวอยู่ ดังนั้น ผู้ถืออำนาจรัฐควรตั้งกรรมการเยียวยาดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งให้เกียรติยศแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ และฝ่ายประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย ประเด็นที่สำคัญ คือ ต้องสร้างบรรยากาศให้เกิดความปรองดอง เหมือนที่โฆษกมหาเถรสมาคมระบุว่าพระก็คำนึงถึงการสร้างบรรยากาศความปรองดอง เพื่อสอดคล้องกับภาวะบ้านเมืองที่ต้องการความปรองดองสมานฉันท์

ปชป.ชี้ล็อกสเป๊กกก.ปรองดอง

     นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ ว่า ตนเห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว เพราะเป็นการทำให้คนไทยหันหน้ามาพูดคุยกัน เราไม่ขัดข้องที่จะมีคณะบุคคลมาทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศ แต่ขอย้ำว่าการอภัยโทษหรือการนิรโทษกรรมต้องไม่ทำให้ผิดเป็นถูก ต้องอภัยโทษให้กับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด โดยเฉพาะผู้ที่ชุมนุมทางการเมืองทั้งหลายต้องคืนสิทธิให้เขาเหล่านั้น ส่วนผู้ที่กระทำผิดคดีอาญา คอร์รัปชั่น คดีความมั่นคง หรือแกนนำทางการเมือง ไม่เห็นด้วยที่จะอภัยโทษให้ ถ้าอภัยโทษให้กับบุคคลที่กระทำผิดคดีเหล่านั้นจะมีแรงต้านจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยทันที และคณะกรรมการที่ตั้งมาจะเสียของ 

      นายวิรัตน์กล่าวว่า ส่วนคุณสมบัติของกรรมการ เท่าที่เห็นเป็นการล็อกสเป๊กให้เฉพาะข้าราชการที่เกษียณอายุแล้วเท่านั้น ความหลากหลายทางความรู้ ความสามารถมีไม่เพียงพอ จึงขอเรียกร้องให้สรรหาบุคคลที่มีความหลากหลายและขอให้มองอย่างเป็นธรรม อย่ามองว่านักการเมืองเป็นคนชั่ว คนเลวไปหมดเพราะนักการเมืองที่ดีก็มี


ปรับทัศนคติ - ตำรวจสน.พญาไท นำตัวนายอัครกฤษ นุ่นจันทร์ แกนนำกลุ่มเสรีชนฯ พร้อมพวก ที่จัดกิจกรรมแจกเสื้อยืดรูปนกถูกมัดปากและขา ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ มาปรับทัศนคติและสั่งปรับ 100 บาทก่อนปล่อยตัว เมื่อ 22 ก.พ. 

ตร.รวบกลุ่มเสรีชน 

       เวลา 09.40 น. กลุ่มเสรีชน Thailand 58 นำโดยนายอัครกฤษ นุ่นจันทร์ พร้อมพวกอีก 3 คน เดินทางมายังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เยื้องศูนย์การค้าเซ็นเตอร์วัน เพื่อจัดกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ "ตัวนกถูกมัดปากและขา" พร้อมแจกเสื้อยืดสกรีนข้อความ "กลุ่มเสรีชน Thailand 58" มีสัญลักษณ์เป็นรูปนกถูกมัด จำนวน 90 ตัว ขณะเดียวกัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากบก.น.1 จำนวน 1 กองร้อย กองร้อยน้ำหวาน 15 นาย และ เจ้าหน้าที่ทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบ 15 นาย คอยดูแลสถานการณ์ให้เกิดความเรียบร้อย

      หลังจากทางกลุ่มแจกเสื้อให้กับประชาชน และสื่อมวลชนแล้ว เตรียมจะอ่านแถลง การณ์ของกลุ่มเสรีชนฯ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าควบคุมตัวนายอัครกฤษ พร้อมพวกอีก 3 คน เข้า ไปในป้อมตำรวจ ระหว่างเข้าควบคุมตัวนายอัครกฤษ พยายามขัดขืน พร้อมตะโกนว่า "เห็นไหมยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกปิดปาก ผมโดนมัดปากแล้วครับพี่น้อง" จากนั้นประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวบุคคลทั้ง 4 ประกอบด้วย นายอัครกฤษ อายุ 47 ปี ประธานกลุ่มเสรีชนฯ นางสารินี บุญชู อายุ 45 ปี นายวรชาติ พิทักษ์พิมพ์เจริญ อายุ 42 ปี และชายไม่ทราบชื่อ ขึ้นรถตำรวจไปสอบปากคำที่สน.พญาไท โดยนายอัครกฤษ ได้ลดกระจกรถลงแล้วชูสัญลักษณ์ 2 นิ้ว รวมถึงใช้นิ้วโป้งปิดปาก เพื่อแสดงสัญลักษณ์ด้วย 

เรียกร้องเปิดเวทีกลาง

       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารแถลงการณ์ของกลุ่มเสรีชนฯ ระบุข้อความว่า ไม่ได้มาประท้วงหรือท้าทายกฎอัยการศึก และไม่มีการรับสินจ้างจากใครเพื่อมาดำเนินกิจกรรมในการเเสดงสัญลักษณ์ เเต่ต้องการเสนอให้รัฐบาลดำเนินการเปิดเวทีกลางระดมความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศทุกสัปดาห์ เพราะเชื่อว่า สปช. ตัวเเทนจากสาขาอาชีพ และการเเสดงความเห็นทางจดหมายยังขาดความหลากหลาย หากขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนจะไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศได้อย่างเเท้จริง ทั้งนี้ เห็นว่ารัฐบาลควรยกเว้นให้ประชาชนได้แสดงออกอย่างบริสุทธิ์ได้บ้าง

ปรับทัศนคติก่อนปล่อยตัว 

       เวลา 15.30 น. ภายหลังตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.พญาไท นำกำลังเข้าควบคุมตัวทั้งหมดมาสอบสวนเพิ่มเติมพร้อมปรับทัศนคติ โดยมีพ.ต.อ.ชณาวิน พวงเพชร ผกก.สน.พญาไท พ.ต.อ.วิชัย แดงประดับ ผงส.ผทค.สน.พญาไท และพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ. เข้าร่วมปรับทัศนคติโดยใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมง 

       ต่อมาน.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า หลังทราบข่าวการถูกควบคุมตัวของกลุ่มเสรีชนฯ ตนจึงเดินทางมาให้คำแนะนำทางด้านข้อกฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงพร้อมปรับทัศนคติให้ทั้งหมดทราบเป็นที่เรียบร้อย โดยไม่ได้ดำเนินการควบคุมตัวตาม กฎอัยการศึกแต่อย่างใด

       ด้านนายอัครกฤษ เผยว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ต้องขอแสดงความเสียใจและขอโทษเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากตนเข้าใจผิด ไม่ทราบมาก่อนว่าทางรัฐบาลได้จัดเวทีให้แสดงความคิดเห็นที่ทำเนียบรัฐบาลและที่ศูนย์ดำรงธรรมตามจังหวัดต่างๆ เจ้าหน้าที่ได้ปรับทัศนคติจนพวกตนเข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้จะให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาลในการพัฒนาประเทศเต็มรูปแบบในฐานะประชาชน นอกจากนี้อยากฝากไปถึงประชาชนว่าอย่าหลงเข้าใจผิดคิดกระทำแบบพวกตน

       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาก่อความเดือดร้อนรำคาญ ปรับคนละ 100 บาท พร้อมลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนปล่อยตัวทั้งหมดกลับที่พัก

ปปช.โยนคลังฟ้องแพ่ง'ปู'

      นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานป.ป.ช กล่าวถึงกระแสข่าว ป.ป.ช.จะฟ้องศาลปกครอง เรียกค่าเสียหายทางละเมิดในคดีรับจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ป.ป.ช.ไม่มีการฟ้องรียกค่าเสียหายทางละเมิดต่อศาลปกครอง สิ่งที่ป.ป.ช.ดำเนินการขณะนี้คือการยื่นหนังสือถึงกระทรวงการคลังเพียงอย่างเดียว เพื่อให้เรียกค่าเสียหายจากผู้เกี่ยวข้องในโครงการรับจำนำข้าวต่อศาลแพ่งเท่านั้น 

      นายปานเทพ กล่าวว่า ส่วนที่ระบุ ป.ป.ช. เร่งรัดในการฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ทั้งที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยังไม่ได้ชี้ขาดในคดีจำนำข้าวนั้น ยืนยันว่า ป.ป.ช.ไม่ได้เร่งรีบรวบรัดฟ้องเรียกค่าเสียหาย แต่เป็นการดำเนินการตามหน้าที่ ตามมาตรา 73 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 ที่ระบุว่าหากมีความเสียหายทางอาญาเกิดขึ้นให้คณะ กรรมการป.ป.ช.แจ้งให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการให้ผู้ถูกกล่าวหาและผู้เกี่ยวข้องชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อไป ดังนั้นเมื่อคดีจำนำข้าวมีความเสีย หายเกิดขึ้น ป.ป.ช.จึงมีอำนาจส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังเพื่อเรียกค่าเสียหายได้ ไม่ต้องรอคำตัดสินของศาล จึงไม่ใช่การเร่งรีบรวบรัด

24 ก.พ.ลงมติ 269 อดีตส.ส.

      นายปานเทพ กล่าวว่า ในการประชุมป.ป.ช.วันที่ 24 ก.พ.จะมีวาระสำคัญเข้าสู่ที่ประชุมป.ป.ช. 3 เรื่องคือ 1.กรณีการลงมติเพื่อส่งเรื่องให้สนช.ดำเนินการถอดถอนอดีต 269 ส.ส. กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาส.ว.โดยมิชอบ 

     2.กรณีการพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาคดีถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กรณีการสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง เมื่อปี 2553 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก 

       3.กรณีการพิจารณาตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนผู้เกี่ยวข้องในการจัดซื้อไมโครโฟนที่ใช้ในห้องประชุมครม.ราคาแพงเกินจริง ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่สรุปรายละเอียดเข้าสู่ที่ประชุมป.ป.ช.แล้ว เบื้องต้นพบว่ายังมีความเห็นแตกต่างกันอยู่คือ บางคนมองว่าผิดกฎหมาย เพราะมีการจัดซื้อในราคาแพงเกินจริง แต่บางส่วนเห็นว่าไม่ผิดกฎหมายเพราะมีการขอยกเว้นเพื่อจัดซื้อจัดจ้างในกรณีพิเศษ อย่างไรก็ตามหากป.ป.ช.มีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนจริง ก็คงเป็นแค่ระดับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการจัดซื้อจัดจ้างเท่านั้น เช่น อธิบดีกรมโยธาธิการ แต่คงไม่ไปถึงม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการจัดซื้อจัดจ้าง

สนช.ยังไม่ส่งคำถามซัก38ส.ว.

      นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ โฆษกกมธ.วิสามัญกิจการสนช. หรือวิป สนช. กล่าวถึงกระบวนการลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนตามสำนวนของอดีต 38 ส.ว.จากกรณีร่วมกันแก้ที่รัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ ส.ว.โดยมิชอบ ว่า ตามเอกสารสำนวนชี้มูลความผิดของป.ป.ช. แบ่งประเภทการ กระทำความผิดของทั้ง 38 คนไว้ บางคนถูกชี้มูลจากการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย บางคนถูกชี้มูลจากการลงมติรายมาตรา หรือชี้มูลจากการลงมติในวาระ 3 ส่วนที่ประชุม จะจัดหมวดหมู่ดังกล่าวเพื่อแบ่งลงมติเป็นกลุ่มๆ หรือไม่ ขณะนี้วิป สนช.ยังไม่ได้คุยกันว่าจะลงมติแบบใด เพราะยังไม่ทราบอย่างเป็นทางการว่าจะร่วมแถลงเปิดสำนวนกี่คน แต่เท่าที่ทราบจากข่าวก็ 4 คน ซึ่งยังเปลี่ยนได้ตลอด คาดว่าจะมีความชัดเจนในวันแถลงเปิดสำนวน 

    นพ.เจตน์ กล่าวว่า วิป สนช.จะขยายเวลาให้สมาชิก สนช.ยื่นญัตติซักถามไปยังกมธ.ซักถามได้ หลังวันแถลงเปิดสำนวนไปอีก 2 วัน เพื่อให้สมาชิกได้รับฟังการแถลงเปิดสำนวนก่อน โดยจะยกเว้นข้อบังคับการประชุม เหมือนกับ 2 สำนวนที่ผ่านมา เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีสมาชิก สนช.ส่งคำถามให้กมธ.ซักถามแม้แต่คนเดียว

อดีตส.ว.นัดหารือ 24 ก.พ.

     นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีตส.ว.อุทัยธานี 1 ใน 4 ตัวแทนชี้แจงสำนวนถอดถอนของ 38 ส.ว. เผยว่า วันที่ 25 ก.พ.นี้ ตนจะรับผิดชอบแถลงเปิดสำนวนในส่วนของแนวคิดและอุดมการณ์ ในฐานะที่เป็นตัวแทนของคนต่างจังหวัดที่ใด้รับฉันทามติเข้ามาทำหน้าที่ จะเน้นย้ำถึงเหตุผลที่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว. เพราะเป็นการแก้ไขเพื่อคืนสิทธิอันเป็นเจตนารมณ์หลักที่ว่า อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย ผ่านการเลือกตั้ง ส.ว.ให้กับประชาชน ไม่ใช่ว่าที่เห็นด้วยเพราะโกรธเคือง อดีตส.ว.ที่มาจากการสรรหาแต่อย่างใด

    นายสิงห์ชัย กล่าวว่า ขณะเดียวกัน การเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ไม่ได้เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนเพื่อให้ตัวเองกลับมาเป็น ส.ว.อีกอย่างที่ถูกกล่าวหา เพราะข้อกล่าวหาเป็นเพียงความวิตก หรือเป็นจินตนาการของผู้กล่าวหา ซึ่งถึงอย่างไรแล้วเมื่อมีการแก้ไขเสร็จก็ต้องผ่านกระบวนการตัดสินใจ ผ่านการเลือกตั้งของประชาชนอีกอยู่ดี ซึ่งทั้งหมดดำเนินการแก้ไขตามที่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ได้ให้กับสมาชิกรัฐสภาไว้ทุกประการแล้ว อย่างไรก็ตาม ตัวแทนที่จะร่วมแถลงเปิดสำนวนดังกล่าว นัดหารือกันที่สภาเพื่อสรุปประเด็นสำหรับการแถลงเปิดสำนวนอีกครั้งในวันที่ 24 ก.พ.นี้

อกพ.พาณิชย์ถกปมข้าว 23 ก.พ.

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 23 ก.พ. คณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงพาณิชย์จะประชุมร่วมกันกรณีที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีการขายข้าวในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) ของรัฐบาล หากพบว่ามีการชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง และมีข้าราชการให้ออกจากราชการก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่รับทราบคำสั่ง โดยให้ยื่นต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (กพค.) 

      ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดกรณีการขายข้าวจีทูจีของรัฐบาลก่อน รวม 21 ราย ประกอบด้วย นักการเมือง 3 ราย ได้แก่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และพ.ต. วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขาธิการ รมว.พาณิชย์ ข้าราชการ 3 ราย คือ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการกองความร่วมมือการค้าและการลงทุน และเอกชน 15 ราย

'ทิฆัมพร'ทำใจคดีจีทูจี 

     นายทิฆัมพร นาทวรทัต รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ยังไม่ทราบเกี่ยวกับผลการสอบสวนของป.ป.ช.แต่ก็ได้ทำใจในระดับหนึ่งไว้แล้ว แต่ยืนยันว่าทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในฐานะข้าราชการในขณะนั้น และทุกขั้นตอนมีการตรวจสอบอย่างถูกต้องยืนยันแล้วว่าสามารถดำเนินการได้ หากไม่ทำตามก็ถือว่าขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา

    ด้านนายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าวและยังไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ในขณะนี้ 

โพลชี้ปรองดองยาก-คนมีทิฐิ 

     สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เผยผลสำรวจ หัวข้อ "มาช่วยกันสร้างความปรองดองดีกว่า" จากประชาชนทั่วประเทศ 1,441 คน วันที่ 16-21 ก.พ. พบสาเหตุที่การสร้างความปรองดองของคนในชาติยากลำบาก ร้อยละ 86.26 ระบุเพราะประชาชนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทิฐิ เลือกข้าง ไม่รับฟังความเห็นกัน 

   ร้อยละ 80.92 คนเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น มุ่งหวังแต่อำนาจและผลประโยชน์ ร้อยละ 76.61 ความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ ร้อยละ 75.43 การได้รับข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน สร้างกระแส มุ่งใส่ร้ายโจมตีกัน ร้อยละ 65.37 กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมไม่เข้มแข็ง มีสองมาตรฐาน 

       ส่วนวิธีสร้างปรองดองของคนในชาติ ร้อยละ 79.36 ทุกฝ่ายต้องร่วมมือร่วมใจกัน เปิดใจรับฟังโดยปราศจากอคติ พูดจาด้วยเหตุผล ร้อยละ 70.99 ต้องปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกที่ดีให้คนไทยรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ร้อยละ 63.78 จัดกิจกรรมดีๆ ที่เสริมสร้างความปรองดอง ทำร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 61.83 กฎหมายต้องเป็นธรรม บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและมีมาตรฐานเดียวกัน ร้อยละ 59.20 ควรเริ่มต้นจากสถาบันครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน หรือในชุมชน

ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน 

     ส่วนผู้ที่คาดหวังให้สร้างความปรองดอง ร้อยละ 77.59 ระบุเป็นคนไทยทุกคนทุกฝ่าย ร้อยละ 73.77 นายกฯ ร้อยละ 71.69 กระทรวงศึกษาธิการ บุคลากรทางการศึกษา ครู อาจารย์และนักเรียน ข้อเสนอการสร้างปรองดองชาติ ร้อยละ 83.62 ทุกคนทุกฝ่ายต้องเห็นแก่ส่วนรวม ร้อยละ 81.82 ผู้ใหญ่ควรเป็นแบบอย่างที่ดี เร่งปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับเยาวชน ร้อยละ 78.56 ทุกคนต้องตระหนักและรู้จักหน้าที่ มีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย ร้อยละ 77.10 จัดกิจกรรมกระตุ้นให้คนไทยมีส่วนร่วมและสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกัน ร้อยละ 60.37 บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจัง กระบวนการยุติธรรมโปร่งใส ตรงไปตรงมา 

ผลงานศก.บิ๊กตู่สูงกว่าปู-มาร์ค 

      กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 28 แห่ง 66 คน เรื่อง "ประเมินผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (ครบ 6 เดือน)" เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 9-17 ก.พ. ที่ผ่านมา พบว่านักเศรษฐศาสตร์ประเมิน ผลงานการบริหารเศรษฐกิจในภาพรวมของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้คะแนน 5.62 คะแนน (จากเต็ม 10) ซึ่งสูงกว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ (ได้ 4.08 คะแนน) และสูงกว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ (ได้ 5.12 คะแนน) 

       การประเมินครั้งนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้คะแนนมากที่สุดด้านการบริหารจัดการค่าเงินบาท/เสถียรภาพค่าเงินบาท (6.51 คะแนน) และได้คะแนนน้อยที่สุดในด้านการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม (GDP) (5.19 คะแนน)

      สำหรับการประเมินผลงานตัวนายกฯ ภาพรวมพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ 6.62 คะแนน สูงกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ 3.66 คะแนน ส่วนผลงานรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน ได้คะแนนสูงสุด 6.15 คะแนน รองลงมาเป็น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รอง นายกฯ ด้านเศรษฐกิจได้ 6.07 คะแนน ผู้ที่ได้คะแนนน้อยที่สุด คือ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ ได้ 5.20 คะแนน ทำให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจได้คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 5.69 คะแนน ขณะที่ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้คะแนน 7.54 คะแนน เป็นระดับคะแนนสูงสุด เพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อปี 2556 ที่ได้ 7.11 คะแนน

      เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ควรปรับ ครม.หรือไม่ ร้อยละ 34.8 เห็นว่าควรปรับ เพราะ (1) รัฐมนตรีไม่มีความเชี่ยวชาญจริง กรอบการทำงานแคบ ทำงานแบบราชการ ขาดแนวคิดใหม่ๆ ดังนั้นควรให้มืออาชีพ มีความเชี่ยวชาญเข้ามาทำหน้าที่แทน (2) การปฏิบัติงานล่าช้า งานไม่มีความก้าวหน้าเท่าที่ควร ทำงานเชิงรับ และทำงานไม่สอดประสานกัน ขณะที่ร้อยละ 21.2 เห็นว่าไม่ควรปรับ โดยให้เหตุผลว่า (1) เพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย/โครงการต่างๆ ซึ่งต้องใช้เวลา (2) รัฐบาลชุดนี้มีเวลาทำงานที่น้อยตามโรดแม็ปที่ได้ประกาศ จึงไม่ ควรปรับเปลี่ยน ครม. อย่างไรก็ตามมี นักเศรษฐศาสตร์มากถึงร้อยละ 44.0 ที่ไม่ตอบคำถามข้อนี้

สภาใหม่ล่าช้า-เร่งสร้างชั้นใต้ดิน

     วันที่ 22 ก.พ.นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธาน คณะกรรมการบริหารโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ย่านเกียกกาย มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท กล่าวถึงความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ว่า จากที่ลงตรวจการดำเนินงานก่อสร้างขณะนี้คืบหน้าไปเกือบร้อยละ 10 อยู่ระหว่างการสร้างฐานรากชั้นใต้ดิน ชั้นบี 2 อาทิ งานเจาะเสาเข็ม งานระบบป้องกันดินพัง และงานขุดดินซึ่งอยู่ที่ระดับต่ำกว่าพื้นดิน 10.30 เมตร และระดับฐานราก พบปัญหาความล่าช้าจากการขนย้ายดินที่มีจำนวนมากในแต่ละวันออกจากพื้นที่ก่อสร้าง รวมถึงมีการจำหน่ายดิน ซึ่งคนซื้อก็ทยอยขนออกจากพื้นที่เป็นระยะๆ ส่วนเหล็กมีการทำโครงสร้างเหล็กที่จ.ระยอง จะมีการขนย้ายมาทำต่อในกทม.ต่อไป

    เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า นอกจากนี้มอบหมายให้ทีมที่ปรึกษาไปจัดทำแผนเกี่ยวกับด้านการประชาสัมพันธ์โครงการ ซึ่งจะมีการเผยแพร่ถึงความเป็นมาและความคืบหน้าการก่อสร้าง เบื้องต้นจะจัดทำวิดีโอแอนิเมชั่นในรูปแบบสร้างสรรค์เข้าใจง่าย นำเสนอผ่านสถานีโทรทัศน์รัฐสภาเพิ่มเติม พร้อมกับมีแนวคิดในการเชิญสื่อมวลชนทุกแขนงร่วมลงพื้นที่ดูการก่อสร้าง เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์โครงการด้วย