วันที่ 06 กันยายน พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8683 ข่าวสดรายวัน


บิ๊กตู่อ้อนรักน้อยๆ แต่นานๆ ใช้อัยการศึกต่อ 
อธิบดีแจงไมค์ 1.45 แสน แฉในเว็บตัวละ 9.9 หมื่น 'วิชา'ฟิวส์ขาดอัด'อสส.' ไม่ฟ้อง'ปู'-ระวังถูกปลด ชายหมูเฮ-รอดใบเหลือง


เปิดตึก - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ร่วมเปิดอาคารอเนกประสงค์ ที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เมื่อวันที่ 5 ก.ย.

     อย่าเพิ่งเบื่อ รักคสช.ไม่ต้องมาก "บิ๊กตู่"อ้อน รักน้อยๆ แต่ขอให้นานๆ เผยยังไม่ยกเลิกกฎอัยการศึก ถ้าเลิกเมื่อไหร่ให้รอฟัง จะบอกเอง วอนทั้งยางทั้งข้าวอย่าเพิ่งออกมาเคลื่อนไหว เผยวันที่ 9 ก.ย.แถลงนโยบาย จากนั้นรัฐมนตรีจะเดินหน้าบริหารประเทศทันที อธิบดีแจงวุ่นไมค์ทำเนียบตัวละ 1.45 แสน แต่จากการตรวจสอบในเว็บไซต์พบว่าเพียงตัวละ 9.9 หมื่นเท่านั้น ด้าน"กรรมการป.ป.ช.วิชา'ฟิวส์ขาดจวกแหลก'อสส.' ไม่สั่งฟ้องคดีจำนำข้าว เย้ยสถานะง่อนแง่น ระวังจะถูกปลดกลางอากาศแบบเดียวกับอสส.คนก่อน รับส่งแต่ปกงานวิจัยจริง แต่เพื่อให้รู้ว่ามีการศึกษาจริงๆ ฉุนเพิร์กประเมินป.ป.ช.ไทยต่ำ อัดยับไม่อยากให้คนผิดเข้าคุก'ชายหมู'เฮกลับไปนั่งเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.ต่อ ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องใบเหลืองหาเสียงใส่ร้ายทำลายความนิยมพล.ต.อ.พงศพัศ

"บิ๊กโด่ง"ประธานประชุมคสช.

       เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 5 ก.ย. ที่บก.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช. มอบให้พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เลขาธิการ คสช. และรมช.กลาโหม เป็นประธานประชุม คสช.มีตัวแทน 5 กลุ่มงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

      พล.อ.อุดมเดชกล่าวก่อนการประชุมว่า หลังจากนายกฯ นำครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณไปเรียบร้อยแล้ว วันที่ 9 ก.ย.นี้ จะประชุม ครม.เป็นครั้งแรก และวันเดียวกันจะประชุม คสช.ด้วย และหลังจาก ครม.แถลงนโยบายรัฐบาล คสช.จะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะทราบในรายละเอียดหลังการหารือร่วมกัน

       พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ขอฝากหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงประสานกับกระทรวงการ ต่างประเทศ ชี้แจงทำความเข้าใจเพิ่มเติม กลุ่มคนที่ยังเคลื่อนไหวในต่างประเทศที่ยัง ไม่เข้าใจ คสช.หรือรัฐบาล จนเกิดความเคลื่อนไหวมากขึ้น ส่วนภายในประเทศ ขอฝากให้กองกำลังรักษาความสงบตามกองทัพภาคต่างๆ ควบคุมสถานการณ์ให้เหมาะสม ยึดถือตามนโยบายของหัวหน้า คสช. ที่ไม่ต้องการให้เกิดภาพเชิงลบต่อ คสช. ขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวังด้วย และขอให้ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องว่า คสช.ไม่เคยใช้ความรุนแรงกับบุคคลที่ถูก คสช.เรียกตัวมา และขอชมเชยกองกำลังรักษาความสงบที่ควบคุมความสงบ ป้องกันการกระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ได้อย่างดี และขอบคุณทุกฝ่ายในการดูแลอำนวยความสะดวกชาวมุสลิมให้เดินทางไปร่วมทำบุญในพิธีฮัจญ์ได้อย่างดี

จ่อคงกฎอัยการศึก-อ้างมีต่อต้าน

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมได้บรรยายสรุปสถานการณ์ว่าขณะนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านการทำงานของ คสช.ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ได้ขอให้กลุ่มต่อต้าน คสช.ที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นรวมตัวยื่นหนังสือถึงนายกฯ ญี่ปุ่น ถึงความไม่เห็นด้วยในการทำรัฐประหารของ คสช. รวมถึงการทรมานผู้ที่ถูก คสช.ควบคุมตัว โดยหน่วยข่าวของ คสช.พบว่ามีกลุ่มต่อต้าน คสช.กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งทั้งภายในและนอกประเทศ หลังจากมีการตั้งรัฐบาล แต่ยังไม่มีท่าทีแข็งกร้าว เพราะติดกฎอัยการศึก กลุ่มต่อต้านดังกล่าวจึงพยายามเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึก ส่วนการดูแลความสงบในพื้นที่กทม. รวมกองทัพภาคที่ 1-4 มีการปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายและ จับยาเสพติดได้จำนวนมาก

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุม คสช. ในวันเดียวกันนี้ที่ประชุมยังไม่นำเรื่องการพิจารณาการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก ในพื้นที่ต่างๆ เข้าหารือ เนื่องจากอยู่ระหว่างการสรุปประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน ที่กองทัพภาคที่ 2-3 รับผิดชอบอยู่ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีกลุ่มใต้ดินพยายามรวมตัวต่อต้านการทำงานของ คสช. และรัฐบาล แต่ที่ยังไม่ออกมารวมตัวมากเนื่องจากติดปัญหาเรื่องกฎอัยการศึก จึงพยายามเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึก เพื่อหวังให้ง่ายต่อการเคลื่อนไหวโจมตี การทำงานของ คสช. และรัฐบาล

"อดุลย์"เช็กอุปกรณ์ไฮเทคทำเนียบ

      ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.อดุลย์ แสง สิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และรองหัวหน้า คสช.ฝ่ายกิจการพิเศษ กล่าวว่า ในวันที่ 9 ก.ย.นี้จะมีการประชุม ครม.เพื่อดูเรื่องร่างนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อสนช. ส่วนตนจะเข้าทำงานหลังวันที่ 9 ก.ย. แต่ยังไม่กำหนดว่าเป็นวันใด ขณะที่การตรวจสอบความพร้อมของห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ที่ใช้ประชุม ครม.นั้น เย็นวันนี้ ตนพร้อมด้วยม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ จะเข้าตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนที่กรมโยธาธิการและผังเมืองจะส่งมอบให้ทำเนียบ

       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เที่ยงวันเดียวกันนี้ พล.ต.อ.อดุลย์สั่งอาหารคาวหวาน อาทิ ก๋วยเตี๋ยวไข่ ส้มตำไก่ย่าง ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ไอศกรีม มาเลี้ยงคณะทำงาน เจ้าหน้าที่และตำรวจสันติบาลประจำทำเนียบ ที่ช่วยงานระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ทำเนียบ เพื่อเป็นการอำลาก่อนเข้าทำงานกระทรวง พม.ในสัปดาห์หน้า 

สนช.งดประชุม-รอแถลงนโนบาย

       ที่รัฐสภา นางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 4 ก.ย. ถึง สมาชิก สนช.เรื่องการงดการประชุมสภาสนช.วันที่ 5 ก.ย. โดยระบุว่า ตามที่ประธานสนช.มีคำสั่งนัดประชุม สนช.วันที่ 5 ก.ย. เวลา 10.00 น. นั้น โดยที่คณะรัฐมนตรีได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ ในวันพฤหัสบดีที่ 4 ก.ย.2557 แต่ยังมิได้แถลงนโยบายต่อสภา ดังนั้น เพื่อให้การเข้าปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีเป็นไปตามสมบูรณ์ ก่อนที่จะปฏิบัติหน้าที่อื่น จึงเห็นสมควรให้งดการประชุม

      นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช. คนที่ 2 กล่าวว่า ขณะนี้ คณะรัฐมนตรีได้ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว ทำให้ผู้ทำหน้าที่แทนรัฐมนตรีตามคำสั่ง คสช.ทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้ แต่เนื่องจากรัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อสภา จึงทำให้รัฐมนตรีที่จะมาชี้แจงหลักการและเหตุผล ของร่างกฎหมายยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ดังนั้น ประธาน สนช.จึงเห็นว่าให้เลื่อนการประชุมการพิจารณาร่างกฎหมายออกไปก่อน โดยวาระที่ค้างประชุมวันนี้จะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสนช.วันที่ 11 ก.ย. ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกฎหมายที่ สนช.ได้พิจารณาไป เนื่องจากปลัดแต่ละกระทรวงทำหน้าที่รักษาการแทนรัฐมนตรีตามคำสั่งของคสช.

"วินธัย"แจงสั่งห้ามเครือข่ายสิทธิฯ

      ที่บก.ทบ. พ.อ.วินธัย สุวารี ทีมโฆษกคสช. กล่าวถึงทหารและตำรวจประสานขอความร่วมมือให้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ชะลอการจัดเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ส่วนหนึ่งเกิดจากผู้จัดแจ้งรายละเอียดการจัดงานกระชั้นชิดมาก เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งก่อนหน้าเพียงวันเดียว ขอให้เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องใช้เวลาพิจารณา ทั้งเรื่องวัตถุประสงค์ เหตุผลความจำเป็นในการจัดงาน โดยเฉพาะรูปแบบการจัดประชุม และจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งหลายฝ่ายจับตามองอยู่ เกรงว่ากิจกรรมบางอย่างจะ เข้าข่ายเกี่ยวข้องกับการเมือง เจ้าหน้าที่จึงต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวัง 

      พ.อ.วินธัยกล่าวว่า อีกส่วนหนึ่งเรื่องหัวข้อเนื้อหาการเสวนา ต้องระวังไม่ให้ละเมิด พาดพิง กระทบบุคคลหรือองค์กรอื่นๆ ซึ่งอาจมีข้อมูลข้อเท็จจริงไม่เพียงพอ เช่น ข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ ปราศจากหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน หรือนำเสนอข้อมูลแต่เพียงด้านเดียวด้วยมุมมองในเชิงอคติ อาจส่งผลให้สังคมเข้าใจผิดในตัวบุคคลหรือองค์กรได้ 

       "ปัจจุบัน คสช.จัดระบบการติดต่อสื่อสารแบบเปิดกว้างไว้ให้แล้ว เพื่อการรับรู้รับฟังและรับทราบในปัญหาความเดือดร้อน หรือเรื่องใดๆ ที่ประชาชนคิดว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะข้อสงสัยในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานของคสช. จะถามตอบผ่านทีมงานประชาสัมพันธ์ หรือทำหนังสือสอบถามโดยตรงที่คสช. หรือผ่านช่องทางของศูนย์บริการต่างๆ ที่รัฐจัดไว้ให้" พ.อ.วินธัยกล่าว

ป.ป.ช.พร้อมตั้งกก.ร่วมกับอสส.

       เมื่อเวลา 09.30 น.ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ วิภาวดีฯ นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงอัยการสูงสุด (อสส.) มีคำสั่งให้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างอสส.กับป.ป.ช.เพื่อพิจารณาหลักฐานที่ไม่สมบูรณ์ในสำนวนคดีรับจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า เมื่ออสส.เห็นว่าสำนวนยังไม่พอฟ้องและยังมีข้อไม่สมบูรณ์อยู่ตามที่แถลงมา 3 ประเด็น ก็ไม่เป็นไร จากนี้จะตั้งคณะทำงานร่วม เพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์นั้น คาดว่าในวันเดียวกันนี้ หนังสือจากอสส.จะส่งถึงมือป.ป.ช. และจะนำเข้าหารือในที่ประชุมป.ป.ช. ในวันที่ 9 ก.ย. เพื่อพิจารณาว่ามีข้อไม่สมบูรณ์ใดบ้าง ตรงตาม 3 ประเด็นที่อสส.ระบุหรือไม่ แล้วตั้งคณะทำงานร่วมโดยป.ป.ช.ต้องตั้งให้มีองค์ประกอบใกล้เคียงกัน เพื่อทำงานร่วมกันและส่งฟ้องต่อไป ซึ่งในอดีตมีการตั้งคณะทำงานร่วมอยู่หลายคดีเพื่อทำสำนวนให้สมบูรณ์ที่สุด หากตกลงกันไม่ได้ สำนวนจะถูกส่งกลับมาที่ป.ป.ช.อีกครั้งเพื่อให้ส่งฟ้องเอง แต่หากตกลงกันได้ อสส.จะเป็นผู้ส่งฟ้อง

อ้างสำนวนแน่นหนา-โต้อีกไม่เร่งรัด

       เมื่อถามว่าอสส.ระบุป.ป.ช.ส่งหลักฐาน ในคดีดังกล่าวไม่หนาแน่น นายปานเทพ กล่าวว่า เข้าใจว่าหลักฐานมีจำนวนมาก แต่จะไม่หนาแน่นได้อย่างไร อาจมีรายละเอียดเยอะ ยังดูไม่ทุกส่วน จากนี้เป็นหน้าที่ของคณะทำงานร่วมต้องพิจารณาว่าหลักฐานตรงไหนไม่สมบูรณ์และไม่เพียงพอ ต้องช่วยกันดู อาจเรียกพยานเพิ่มได้

      เมื่อถามว่าป.ป.ช.ทำคดีดังกล่าวเร่งรัดเกินไปหรือไม่ นายปานเทพกล่าวว่า ไม่ได้เร่งรัด แต่ทำงานตามกรอบเวลาและทำสำนวนอย่างสมบูรณ์แน่นหนา ส่วนกรณีอสส.ระบุ ป.ป.ช.ยึดถืองานวิจัยของทีดีอาร์ไออย่างเดียวนั้น คงไม่ใช่ แต่เป็นหลักฐานส่วนหนึ่งด้านวิชาการเท่านั้น ทั้งที่หลักฐานอื่นๆ มีอีกมาก ซึ่งป.ป.ช.ไม่ระบุให้เรื่องทุจริตเป็นเรื่องสำคัญ แต่เราบอกว่าละเว้นที่ไม่ดำเนินการระงับยับยั้งจนก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งนี้ คิดว่าระยะเวลาทำงานของคณะทำงานร่วมคง ไม่ยาวนานมากนัก เพราะคดีนี้ป.ป.ช.ติดตามอยู่อย่างเคร่งครัด เมื่อตั้งคณะทำงานร่วมเสร็จจะต้องรีบเรียกประชุมทันที ต้องทำอย่างรวดเร็ว 


ยกคำร้อง - ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ออกจากอาคารศาล ภายหลังศาลอุทธรณ์แผนกคดีเลือกตั้งสั่งยกคำร้องคดีที่กกต.ให้ใบเหลือง และขอให้ศาลสั่งให้เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ใหม่ เนื่องจากมีการปราศรัยโจมตีผู้สมัครคู่แข่ง เมื่อวันที่ 5 ก.ย.

      เมื่อถามว่าป.ป.ช.รู้สึกเสียหน้าหรือไม่ หลังจากอสส.ยังไม่สั่งฟ้อง นายปานเทพ กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกเสียหน้าอะไร

ไม่ยอมรับปปช.ได้คะแนนต่ำ

      นายปานเทพกล่าวถึงสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ (สนช.) ต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช.ภายในวันที่ 7 ก.ย.ว่า ป.ป.ช.ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำอยู่ที่รัฐสภาเพื่อตรวจสอบเอกสารและรับแบบยื่นบัญชีทรัพย์สินของสมาชิกสนช. ขณะนี้มีผู้ยื่นมาแล้วจำนวนมากเพราะใกล้หมดเขตในวันที่ 7 ก.ย.นี้ หากมีผู้ยื่นล่าช้าจะต้องดูสาเหตุว่าเพราะอะไร มีเจตนาหรือไม่ ส่วนการยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินฯของครม. นั้น จะต้องดำเนินการตามกฎหมายด้วยเช่นกันคือต้องยื่นต่อป.ป.ช.ภายใน 30 วันนับจากวันที่เข้ารับตำแหน่ง และตามกฎหมายเมื่อครม. ยื่นแล้ว ป.ป.ช.ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน

      นายปานเทพกล่าวถึงบริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ (PERC) ให้คะแนนป.ป.ช.ของไทยในระดับต่ำสุด พร้อมระบุเน้นปราบปรามเฉพาะกลุ่มการเมืองว่า ไม่เป็นความจริง การแก้กฎหมายของป.ป.ช.เป็นไปตามหลักสากล กฎบัตรสหประชาชาติ อาทิ เรื่องอายุความ เรื่องการเอาผิดกับผู้ให้สินบนข้าราชการหรือเอกชน ซึ่งนายภักดี โพธิศิริ กรรมการป.ป.ช.จะแจงเรื่องดังกล่าวโดยละเอียด และจะรายงานที่ประชุมป.ป.ช.ในวันที่ 9 ก.ย. เพื่อทำหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางไปยังบริษัทดังกล่าวด้วยว่า ประเด็นที่เขาระบุมานั้น ป.ป.ช.มีข้อเสนอแนะอย่างไร เพราะป.ป.ช.ไม่ได้แก้กฎหมายเพื่อไปเล่นงานนักการเมืองคนไหน แต่เราทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

"หม่อมอุ๋ย"ดอดแจงคดีจำนำ-โต้ง

        ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 13.30 น. ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ เดินทางมาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการป.ป.ช. ในฐานะพยานกรณีไต่สวนข้อเท็จจริงโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ซึ่งม.ร.ว.ปรีดิยาธรยื่นคำร้องต่อป.ป.ช.ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง สมัยดำรงตำแหน่งรองนายกฯและรมว.คลัง กับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ สมัยดำรงตำแหน่งรมว.พาณิชย์ ว่ามีพฤติกรรมละเลยต่อหน้าที่หรือไม่ กรณีให้บริษัท สยามอินด้า ซึ่งเป็นบริษัทล้มละลายเข้ามามีบทบาทรับผิดชอบรับซื้อข้าวและระบายข้าวให้รัฐบาลอินโดนีเซีย

       นายวิทยา อาคมพิทักษ์ รองเลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า เรื่องนี้ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ร้องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินก่อนส่งมายังป.ป.ช. โดยมีนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งมีประเด็นคือการขายข้าวให้กับอินโดนีเซียขณะนั้นเป็นการซื้อ-ขายข้าวในขณะที่ไม่มีข้าวอยู่ในท้องตลาดแล้วข้าวที่ขายมาจากไหน ขณะนี้อยู่ใน ขั้นตอนสอบพยานฝ่ายผู้ร้อง ดังนั้น ม.ร.ว. ปรีดิยาธร จึงมาให้ถ้อยคำในฐานะผู้ร้องและพยาน คดีนี้ป.ป.ช.ยังไต่สวนต่อไปเรื่อยๆ เพราะต้องเรียกพยานมาให้ถ้อยคำ รวมทั้งขอพยานหลักฐานและเอกสารต่อไปอีก และคำร้องนี้ไม่รวมกับกรณีที่มีการแจ้งข้อกล่าวหานายบุญทรงกับพวก กรณีขายข้าวแบบ รัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีน เป็นคนละคดีกัน

      ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวถึงการเตรียมแถลงนโยบายต่อสนช.ว่า ได้เตรียมความพร้อม ไว้แล้ว โดยพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นผู้แถลงทั้งหมด ส่วนรองนายกฯและรัฐมนตรีคนอื่นๆ ได้รวบรวมข้อมูลให้นายกฯ เป็นผู้แถลงนโยบายเอง ขอให้รอฟัง

อสส.ยันพร้อมร่วมถกกับปปช.

       ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงป.ป.ช.ยืนยันน.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจโดยมิชอบ ไม่ใช่เป็นการทุจริตว่า เป็นสิทธิการแสดงความเห็นตามหลักกฎหมายของป.ป.ช. ซึ่งสรุปสำนวนการสอบสวน

      ทั้งนี้ สำนวนการสอบสวนยังมีข้อไม่สมบูรณ์ ซึ่งพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ เกี่ยวกับการทุจริต จึงต้องตั้งผู้แทนทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายอัยการและป.ป.ช. ฝ่ายละ 10 คนขึ้นมาภายใน 14 วัน จากนั้น จะเริ่มพิจารณาเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม และแนวทางการพิจารณาน่าจะได้ข้อสรุปที่สมบูรณ์มากขึ้นกว่าเดิม

"วิชา"เย้ย"อสส."สถานะง่อนแง่น

        เวลา 17.30 น. ที่ป.ป.ช. สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายวิชา มหาคุณ กรรมการและโฆษกป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนไต่สวนโครงการรับจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงกรณีอัยการสูงสุดยังสั่งไม่ฟ้องคดีรับจำนำข้าว และมีคำสั่งให้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง อสส.กับป.ป.ช. เพื่อพิจารณาหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมว่า ป.ป.ช.ไม่รู้สึกแปลกใจ อสส.ระบุว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอหรืออะไรต่างๆ เพราะเขายังไม่เห็นข้อมูลที่อยู่ในมือของเราในการเชื่อมโยงให้เห็นความชัดเจน 

        "เรารู้สึกเห็นใจท่านอสส. เพราะขณะนี้สถานนะท่านง่อนแง่นมาก จะเห็นได้เลยว่าท่านอสส.คนก่อนก็ถูกปลดกลางอากาศทางโทรทัศน์ ตอนเวลา 2 ทุ่ม อย่างนี้น่าเห็นใจหรือไม่ ดังนั้น อย่าไปรุกเร้าท่านอสส.มากเลย เพราะน่าเห็นใจจริงๆ ความจำเป็น จำใจ หรืออะไรต่ออะไรที่เกิดขึ้นนั้น เราในฐานะที่เป็นองค์กรในกระบวนการยุติธรรมด้วยก็ต้อง ขอแสดงมุทิตาจิต อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ป.ป.ช.ไม่ได้ส่งหลักฐานอ่อนไปให้อสส." นายวิชากล่าว 

ชี้ถ้าเห็นข้อมูลที่ตามไป-เป็นลมแน่ 

         นายวิชา กล่าวว่า กรณีอสส.แถลงข่าวเรื่องข้อไม่สมบูรณ์ในพยานหลักฐานคดีน.ส.ยิ่งลักษณ์ใน 3 ประเด็นคือ 1.นายกฯมีอำนาจยับยั้งโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภาแล้วหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่เก่ามากแล้ว และหลักฐานมีครบถ้วน แต่คงจะคุยกันรู้เรื่องในคณะทำงานร่วม แต่สำหรับประเด็นนี้ทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยเสนอประเด็นดังกล่าวแล้วด้วย   

     2. ที่อสส.ตั้งข้อสังเกตว่ารวบรวมพยานหลักฐานครบถ้วนหรือไม่อย่างไรนั้น เราได้สอบพยานจนครบถ้วนแล้ว และทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ได้เสนอให้สอบเพิ่ม แต่ป.ป.ช.มีความเห็นไปแล้วว่าเมื่อเสนอมา ก็รับไว้ แต่พิจารณาเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องเพียงพอที่จะต้องสอบพยานเพิ่มแต่อย่างใด 

     "แต่อยากเรียนว่าถ้าอสส.ได้เห็นหลักฐานที่จะส่งตามไปอีกนี้ ท่านอาจไม่ทำคดีต่อ แต่เป็นลมล้มคว่ำไปเอง เพราะมันเหลือกำลังรับจริงๆ เพราะประเทศนี้ เมืองนี้มันสุดยอดแล้ว" นายวิชากล่าว 

        นายวิชา กล่าวว่าประเด็นที่ 3.สำหรับงานวิจัยโครงการรับจำนำข้าวของทีดีอาร์ไอนั้น ความจริงมีอยู่ในพยานหลักฐานที่มาเบิกความกันไว้หมดแล้ว และอสส.เป็นหน่วยงานที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมด้วยกัน หากสงสัยอะไรเคยมีข้อตกลงกันว่าถ้ามีข้อมูลอะไร ยังไม่ครบถ้วนก็ขอมาได้ ไม่จำเป็นต้องตั้งคณะทำงานร่วม แต่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ทั้งตน นายประสาท พงษ์ศิวาภัย และกรรมการป.ป.ช. ทุกคน พูดตรงๆ ว่า เราสวดมนต์ทุกวันให้อสส.อยู่รอดปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ถ้าตกลงกันได้อยากให้อสส.ฟ้อง แต่ถ้า ไม่ไหวจริงๆ ป.ป.ช.จะต้องดำเนินการเอง เพราะกฎหมายเขียนไว้ชัดเจน

ไปแต่ปกก่อนเพื่อให้เห็นว่ามีอยู่จริง

       "ดูจากที่อสส.แถลงข่าวดูเหมือนจะถอดใจแล้ว แต่ผมคิดว่าท่านเป็นรุ่นน้องที่ผมเชื่อถือ คงจะไม่ถอดใจง่ายๆ หรอก ดังนั้น ผมจะรอรายละเอียดที่อสส.จะส่งมาให้แล้วตั้งคณะทำงานร่วม ถึงแม้ว่า ป.ป.ช.อยากจะฟ้องร้องเองมากแค่ไหนแต่ก็ต้องใช้วิธีที่จะทำงาน ให้ราบรื่น" นายวิชากล่าว

       เมื่อถามว่า ทำไมป.ป.ช.จึงส่งเอกสาร หลักฐานที่เป็นผลวิจัยของทีดีอาร์ไอไปเพียงแค่ปก นายวิชากล่าวว่า ป.ป.ช.ได้แจ้งอสส.ไปแล้วว่าหลักฐานมีอยู่ทุกอย่างถ้าต้องการให้มาขอ เพราะส่วนใหญ่เป็นพยานหลักฐาน ที่เกี่ยวกับการเริ่มต้นสอบ โดยเป็นพยานบุคคลที่ได้ให้ถ้อยคำเอาไว้อย่างครบถ้วน แต่อสส.ไม่ได้ติดต่อมาเลย ทั้งที่เราได้สอบถามไปแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง ขอบอกว่าเราไม่ได้ตรวจวิทยานิพนธ์ ถ้าอสส.อยากอ่านในรายละเอียดจะเอาไปนอนอ่านเล่นนั้นได้เลย

       เมื่อถามว่า การส่งไปแต่ปกแสดงว่าป.ป.ช.กลัวว่าเอกสารหลักฐานจะมีจำนวนมากเกินไปหรือไม่ นายวิชากล่าวว่า ไม่ใช่ ไปแต่ปกก่อน แต่แสดงให้เห็นว่ามันเป็น ของจริง โดยพยานหลักฐานได้เบิกความ เอาไว้ครบถ้วนแล้ว มีรายละเอียดชัดเจนว่า เขาได้ทำการวิจัยไว้อย่างไรบ้าง

แอ่นอกพร้อมรับคดีมาร์ค-เทือกปี53 

     เมื่อถามว่า การระบุว่าอสส.กำลังง่อนแง่น เพราะอสส.กำลังถูกแทรกแซงโดยการเมืองใช่หรือไม่ นายวิชากล่าวว่า ตนไม่ได้ระบุเช่นนั้น แต่บอกเพียงว่ารู้สึกสงสารและเห็นใจ อสส.ที่เข้ามาทำงานแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว คนเดิมไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นกัน ลองคิดดู อกเขาอกเรา ด้วยความเห็นอกเห็นใจ เราต้องหยุดนึกดูถึงสภาพบุคคลที่อยู่ดีๆ คนที่มีหมวกสูงสุดขององค์กรถูกปลดกลางอากาศ แล้วอีกคนหนึ่งเข้ามาแทนก็ยังอยู่ในฐานะที่ไม่แน่นอน ยังไม่รู้ตัวเลย ดังนั้น ต้องเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ

       นายวิชา ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนกรณีสลายการชุมนุมกล่าวถึงความคืบหน้าคดีการสลายการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ว่า ทางป.ป.ช ได้ดำเนินคดีอยู่ สำหรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชา ธิปัตย์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยยืนยันทาง ป.ป.ช.ไม่ได้ทอดทิ้ง แต่เราต้องรอความชัดเจน แน่นอนเมื่อศาลอาญามีคำสั่งไม่รับพิจารณาคดีสลายการชุมนุมทางการเมือง ปี 2553 เนื่องจากเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง ทางป.ป.ช.ก็ต้องดำเนินการต่อไป


เยี่ยมคารวะ - นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นำพล.อ.ถัง เทียนเปียว แห่งกองทัพจีน เข้าเยี่ยมคารวะพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เนื่องในโอกาสครบ 1 ปี ก่อตั้งสภาวัฒนธรรมไทย-จีน ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 5 ก.ย.

เผยแจ้งข้อหาเลขาฯบุญทรงแล้ว

          นายวิชา ยังแถลงความคืบหน้าการไต่สวนคดีทุจริตซื้อขายข้าวแบบจีทูจีของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ว่า ขณะนี้ป.ป.ช.แจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่พ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ ผู้กุมความลับกระบวนการจำนำข้าวไว้ทั้งหมด และกันบุคคลจำนวนหนึ่งไว้เป็นพยาน โดยจะไม่ดำเนินการเอาผิด เนื่องจากให้ถ้อยคำที่เป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดี ป.ป.ช.จะใช้พยานส่วนนี้เป็นข้อมูลเชื่อมโยงไปเอาผิด กับเจ้าหน้าที่รัฐรายอื่นต่อไป การไต่สวนคดีจำนำข้าวของนายบุญทรงนั้น ป.ป.ช.ได้รับความร่วมมือจากบริษัทค้าข้าวนับร้อยบริษัทที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จนได้หลักฐานชัดเจนว่าการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐบาลจีนนั้น ไม่มีการขายข้าวจริง

      นายวิชา ในฐานะโฆษกป.ป.ช.กล่าวถึงกรณีบริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทาง การเมืองและเศรษฐกิจ (PERC) เผยแพร่ บทวิเคราะห์เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของสำนักงานป.ป.ช. โดยให้คะแนนและมีการจัดอันดับต่ำที่สุด จนไม่มีศักยภาพในการแข่งขันกับหน่วยงานอื่นๆ ในต่างประเทศ ว่าคงจะมีแต่บริษัทนี้เพียงแห่งเดียวที่ออกมาโจมตีใน ขณะนี้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่มีคสช. และมีการ กล่าวหาป.ป.ช.ว่าเป็นผู้ที่ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งไม่ใช่เลย

สวนกลับเสียงวิจารณ์

       นายวิชา กล่าวว่าเรื่องนี้ PERC ขาดการศึกษาโดยสิ้นเชิง น.ส.ยิ่งลักษณ์หลุดจากตำแหน่งเพราะการยึดอำนาจ การควบคุมอำนาจ ส่วนที่ PERC บอกว่าป.ป.ช.มุ่งจะแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เอื้อต่อการทำหน้าที่นั้นก็เป็นไปตามกระบวนการที่ป.ป.ช.จะดำเนินการแก้ไขกฎหมายของป.ป.ช.ก็เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการสากลให้เป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) 

       นายวิชา กล่าวว่า รู้สึกว่า PERC จะกลัวเหลือเกินว่าเราจะได้ตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าไม่ทราบ ข้อกล่าวหาของ PERC ที่ว่า ป.ป.ช.เอาจริงเอาจังกับคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นเพราะป.ป.ช.มีการไต่สวนแล้วพบความจริงจึงต้องดำเนินการ ต่อไป แต่ไม่ได้หมายความว่าป.ป.ช.ละเลย ไม่ดำเนินคดีสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 และคดีการทุจริตอื่นๆ ทั้งนี้ หากการไต่สวนพบว่า ป.ป.ช.ไม่ให้ความเป็นธรรมหรือมี การเลือกที่รักมักที่ชัง ป.ป.ช.ต้องถูกลงโทษอย่างหนักเป็นสองเท่า ฐานประพฤติมิชอบ ป.ป.ช.จึงต้องระมัดระวังในการดำเนินการและการดำเนินคดีอยู่แล้ว

อธิบดีโยธาฯยังไม่ได้เซ็นซื้อไมค์

        ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ชี้แจงกรณีการปรับปรุงระบบเสียงและระบบควบคุมการประชุมในห้องประชุม ครม. ซึ่งมีกระแสข่าวว่าไมโครโฟนมีราคาสูงตัวละ 145,000 บาท ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการ เซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้างกับบริษัท อัศวโสภณ จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับเหมา เนื่องจากเป็นการ จัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ โดยให้บริษัทเสนอราคาเบื้องต้นให้พิจารณา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการต่อรองราคา ส่วนไมโครโฟนที่ใช้ 181 ตัว เมื่อปรับปรุงระบบแล้วต้องเพิ่มไมค์อีก 11 ตัว จึงมอบให้บริษัทเสนอรายละเอียดของราคาจริงและรายละเอียดของภาษี เพื่อต่อรองราคากันอีกครั้ง ยืนยันว่าราคา จะต้องต่ำกว่าราคากลางที่ตั้งไว้ตามนโยบายของพล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ และม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกฯ และรมต.ประจำสำนักนายกฯ

        "ที่ราคาสูงแบบนี้เพราะเป็นระบบที่ทันสมัย เท่าที่ทราบทำเนียบรัฐบาลของไทย จะเป็นแห่งแรกที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ไม่เคยมีหน่วยงานใดนำมาใช้" นายมณฑลกล่าวและว่า ยืนยันว่าจะรักษาผลประโยชน์และระมัดระวังการใช้งบประมาณอย่างดีที่สุด โดยการใช้งบประมาณนี้สามารถตรวจสอบได้อย่างเข้มข้น ราคาจะไม่แพงมากเกินความเป็นจริงเหมือนที่ปรากฏเป็นข่าว

พบข้อมูลราคาขายตัวละ9.9หมื่น

         ก่อนหน้านี้ ม.ล.ปนัดดาเปิดเผยว่า ห้องประชุม ครม.ใช้เทคโนโลยีเดียวกับทำเนียบขาว ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประธานาธิบดีบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐใช้อยู่ ถือเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ระบบเครื่องเสียงที่ใช้ทั้งหมดติดตั้งโดยใช้ระบบทัชสกรีน และมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ มีระบบการป้องกันการดักฟัง เพื่อป้องกัน การประชุมรั่วไหล โดยในห้องประชุม ครม.จะใช้ไมโครโฟนทั้งสิ้น 89 ตัว ตัวละ 1.45 แสนบาท มีวิดีโอวอลล์ความละเอียดสูงขนาด 55 นิ้ว (ระบบไฮเดฟ) สามารถใช้เป็นวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้ด้วย ซึ่งห้องประชุมทั้ง 3 ห้อง ที่ตึกบัญชาการ 1 คือห้อง 301-302 และ 501 ใช้งบประมาณปรับปรุงทั้งสิ้น 69 ล้านบาท ซึ่งพร้อมจะใช้เป็นสถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งแรกในวันที่ 9 ก.ย.

      หลังจากปรากฏเป็นข่าว จากการสืบค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ต พบว่าไมโครโฟนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับที่ปรากฏในห้องประชุม ครม.นั้น ยี่ห้อ Bosch รุ่น DCN multimedia CN มีลงประกาศในเว็บไซต์ http://www.priceza.com/productdata?id=4288846 ระบุราคาชุดละ 99,000 บาท สร้างความสงสัย ให้กับผู้ติดตามข่าวสารว่าเหตุใดราคาไมโครโฟนลักษณะเดียวกันถึงแตกต่างกันถึง 46,000 บาท หากคำนวณตัวเลขไมโครโฟนจำนวน 89 ตัว จะมีราคาแตกต่างกันถึง 4,094,000 บาท เลยทีเดียว 

ศาลอุทธรณ์ตัดสินใบเหลืองชายหมู

        เมื่อเวลา 09.40 น. ที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเลือกตั้ง ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำ 1/2557 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ใหม่ เนื่องจากมีผู้คัดค้านม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ซึ่งได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯกทม. เมื่อปี 2556 ที่กกต.มีมติ 3 ต่อ 2 เสียงให้ ใบเหลืองแก่ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือพระสุเทพกล่าวปราศรัยเมื่อวันที่ 13 และ 25 ก.พ. 2556 ที่วงเวียนใหญ่และลานคนเมือง มีข้อความกล่าวโจมตีพล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ส่งผลให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเข้าใจผิดในตัวพล.ต.อ.พงศพัศ อันเป็นการ ฝ่าฝืนพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57

        ศาลอุทธรณ์ฯพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำฟ้องของกกต.ที่ระบุถึงคำปราศรัยของนายสุเทพ ไปช่วยม.ร.ว.สุขุมพันธุ์หาเสียงที่บริเวณวงเวียนใหญ่และลานคนเมือง เมื่อปี 2556 ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ไม่ได้ทำให้พล.ต.อ.พงศพัศซึ่งเป็นผู้แข่งเสียหาย และข้อเท็จจริงยังปรากฏอีกว่านายสุเทพไม่ได้ถูกดำเนินคดีอาญา กรณีจึงไม่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการกล่าวปราศรัยเป็นการหลอกลวงให้ร้ายที่ฝ่าฝืนตามพ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นฯ มาตรา 57(5) และ 118 ตามคำร้องของกกต. 

ยกคำร้อง-ไม่เป็นเหตุให้เข้าใจผิด

         ส่วนที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความที่ร้องเรียนเรื่องนี้ต่อกกต.ที่ระบุว่าการชุมนุมของนปช.เป็นไปโดยสงบและสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนั้นปรากฏว่า ข้อเท็จจริงตามรายละเอียดคำพิพากษาศาลแพ่ง คดีการชุมนุมของกลุ่มนปช. ระหว่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2553 ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในกทม. ซึ่งศาลแพ่งมีคำวินิจฉัยว่าการชุมนุมของกลุ่มนปช. จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการใช้เส้นทางจราจร พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนนี้ กรณีจึงยังไม่พอฟัง ได้ว่าการปราศรัยของนายสุเทพจูงใจหรือ หลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดในตัวพล.ต.อ.พงศพัศ ที่เป็นเหตุให้ประชาชนมาลงคะแนนเสียงให้กับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จึงยังไม่มีเหตุให้เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ใหม่ ตามคำร้อง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของกกต.

       ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานกว่า 5 ชั่วโมง

โผกอดแม่-ดีใจกลับไปนั่งผู้ว่าฯต่อ

       ผู้สื่อข่าวรายงานว่าม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้มาฟังคำสั่งด้วยตัวเอง พร้อมภรรยาและมารดา หลังฟังคำสั่งแล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้สวมกอดแสดงความยินดีกับมารดาและทีมรองผู้ว่าฯกทม. อาทิ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รอง ผู้ว่าฯกทม. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. พร้อมทีมอดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จำนวนมาก โดยม.ร.ว.สุขุมพันธุ์มีสีหน้ายิ้มแย้มดีใจและผู้ที่เดินทางมาต่าง ปรบมือพร้อมส่งเสียงเฮยินดี 

       ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ตนจะกลับไปทำงานในฐานะผู้ว่าฯกทม.ทันทีและจะทำงานให้หนักกว่าเก่า ขณะนี้มีเรื่องที่ตนห่วงอยู่ 2 เรื่อง คือเรื่องฝนและโรคระบาด โดยใน วันที่ 6 ก.ย.ตนจะเดินทางไปสำนักการระบายน้ำเป็นอันดับแรก เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับฤดูฝนที่ยังเหลืออยู่ จากนั้นต้นสัปดาห์หน้าจะไปยังสำนักอนามัยเพื่อติดตามเรื่องโรคระบาดต่อไป จากนี้ขอให้มองข้างหน้า โดยกทม. จะร่วมมือกับรัฐบาลดูแลผลประโยชน์ของชาว กทม. ให้เป็นมหานครที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป

กกต.สรุปยอดชิงสปช. 7,355 คน

        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลสรุปยอดเพิ่มเติมการเปิดรับการเสนอชื่อขององค์กรนิติบุคคลไม่แสวงหากำไร ที่เสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกสปช.ทั้ง 11 ด้าน และในระดับจังหวัดระหว่างวันที่ 14 ส.ค.-2 ก.ย.นั้น ณ เวลา 16.20 น. มียอดผู้เสนอชื่อเข้ารับการสรรหาทั่วประเทศรวม 7,355 คน โดยแบ่งเป็นการเสนอชื่อจากนิติบุคคลจำนวน 4,575 คน และการสรรหาระดับจังหวัดจำนวน 2,780 คน ด้านที่ได้รับการเสนอชื่อมากที่สุดคือด้านการศึกษา 776 คน ด้านอื่นๆ 682 คน และด้านสังคม 679 คน น้อยที่สุดคือด้านสื่อสารมวลชน 193 คน ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มมาจากการส่งเอกสารผ่านทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ ที่ประทับตราไม่เกินวันที่ 2 ก.ย. วันสุดท้ายของการเปิดรับการเสนอชื่อ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ใช่ตัวเลขสิ้นสุดเพราะยังมีการส่งเอกสารผ่านทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

บิ๊กตู่เผยครม.ใหม่เข้าทำงาน9ก.ย.

          เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่าคณะรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน เพื่อรับหน้าที่แล้ว โดยจะประชุมครม.นัดแรกในวันที่ 9 ก.ย. เพื่อหารือถึงการแถลงนโยบายต่อสนช.โดยจะนัดเวลาอีกครั้ง รัฐมนตรีทุกกระทรวงจะเข้าทำงานในวันที่ 9 ก.ย.หลังประชุมครม.นัดแรก จากนั้นจะส่งต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีโดยคสช.จะเป็น ผู้ประสานและติดตามความก้าวหน้าในการเชื่อมต่อกันระหว่างระยะ 1 ระยะที่ 2

        นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เรามีหลายเรื่องที่ต้องพัฒนา บางคนบอกว่าไทยเข้มแข็งพอแล้ว ไม่ต้องไปพึ่งพาใคร เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ผมว่าตอนนี้ต้องหยุดคิดตรงนี้ไว้ก่อน นั่นคือความภาคภูมิใจ แต่เราต้องมาเรียนรู้ว่าจะพัฒนาตนเองอย่างไร สิ่งที่อยากให้มีการพัฒนามากที่สุดคือทรัพยากรมนุษย์ ต้องเพิ่มการเรียนรู้ในทุกระดับ ปรับทัศนคติการอยู่ร่วมกัน เคารพกฎหมาย ลดความขัดแย้ง เห็นต่างแต่ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ อย่าไปขัดแย้ง ยกพวกตีกันหรือขัดแย้งกันทุกเรื่อง ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ตอนนี้พัฒนาประเทศไปไม่ได้ จึงต้องหารือกัน มีความพึงพอใจไม่ใช่ต้องได้ 100 % อาจได้ 50 หรือ70 % แต่สิ่งที่สัมฤทธิ์ออกมาคือเราดูคนจำนวนมากได้ แต่เราต้องไม่ทิ้งคนส่วนน้อยเช่นกัน วันนี้ได้แค่นี้ วันหน้าก็พัฒนามากขึ้น

ขอให้เห็นใจอย่าเพิ่งมาประท้วง

         นายกฯ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่รัฐต้องเป็นคนทำทั้งหมดตามที่ทุกฝ่ายเรียกร้อง ทุกคนต้องร่วมมือกันในทุกปัญหา ต้องบูรณาการให้ทุกกิจการเกื้อกูลกัน เป็นไปตามยุทธศาสตร์ ไม่สะเปะสะปะ ถ้าเราเดินตามยุทธศาสตร์ได้ เราจะเกิดความก้าวหน้าในการพัฒนา 

       พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงปัญหาราคายางพาราว่า ต้องระมัดระวัง วันนี้พยายามเต็มที่ที่จะแก้ปัญหาราคายาง ซึ่งหนักพอสมควร เรื่องยาง เรื่องข้าว เรื่องผลิตผลการเกษตรอื่นๆ บางอย่างก็ดีขึ้น บางอย่างก็ลดลงตามราคาตลาด ถ้ายังคงยืนราคาเดิมต่อไปโดยไม่ปรับปรุงตัวเอง ไม่มีโซนนิ่ง ไม่มีการควบคุมอุปสงค์อุปทานให้ทัดเทียมกันก็เป็นปัญหาอย่างนี้ตลอดไป ดังนั้น ต้องพัฒนาทั้งระบบ ขอให้เห็นใจด้วย การประท้วงต่างๆ ขอให้มีเหตุผล วันนี้มีความจำเป็นเพราะเราไม่ได้แก้ปัญหาผลิตผลการเกษตรอย่างเดียว แต่แก้ ทุกปัญหาที่เรามีอยู่ บางอย่างมาก บางอย่างน้อย ต้องแก้มากก่อน น้อยก็ค่อยๆ แก้ คู่ขนานกันไป

      พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่าอย่าให้ใครมาชี้นำหรือปลุกระดมว่าเป็นเพราะคนนี้คนนั้น ขอให้คิดเอง มองเหมือนผมมอง บางคนบอกว่าเป็นเพราะสถาบันทำให้เป็นอย่างนี้ ผมกราบเรียนว่าท่านไม่เคยมาเกี่ยวข้อง ต้องดูว่าที่ผ่านมาสถาบันทำหน้าที่อะไร ท่านทำทุกอย่างมาตั้งแต่อดีตในพื้นที่ที่รัฐบาลไปไม่ถึง ท่านไปเสริมตรงนั้นให้ ท่านไม่เคยไปแย่งความรักความชอบจากใคร ท่านถือว่าทุกคนคือคนไทยของท่านทั้งสิ้น ท่านมีหน้าที่ดูแลคนมีรายได้น้อย คนที่มีความเดือดร้อนเป็นหลักก่อน ช่วยรัฐบาลมาทุกรัฐบาล ทุกคนต้องเข้าใจในกรณีนี้ ต้องมีสติใคร่ครวญหาเหตุผล อย่าไปเชื่อตามเขาปลุกปั่น ไปล่วงละเมิดท่านและพันถึงกฎหมายว่าไปบังคับคนต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เลย

ปลื้มยอดสมัครสปช.-อย่าเพิ่งวิจารณ์

         พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องสภาปฏิรูปแห่งชาตินั้น น่ายินดีมีผู้สมัคร 7,000 กว่าคนและยังไม่รวมยอดของผู้สมัครทางไปรษณีย์อีก ซึ่งตนให้แนวทางคัดสรรแล้วว่าต้องมีคุณภาพ เราถึงจะได้คนมา 250 คน และนี่คืออนาคตของทั้งประเทศด้วย ทั้งสนช. รัฐบาล สปช.และประชาชนต้องช่วยกันทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า วันนี้ขอให้สถานการณ์สงบ อย่าเพิ่งมาตอบโต้ อย่าเพิ่งมาพูดจาให้เสียหาย เดี๋ยวก็ทำได้ทำไม่ได้ทั้งที่ยังไม่เริ่มทำเลย แต่ความตั้งใจของเรามีกรอบ มีแนวทางที่ชัดเจน เราจะทำเรื่องอะไร ฉะนั้นต้องมีข้อมูล ใครที่ได้เป็นสมาชิก ต้องมีข้อมูลของตัวเอง จะพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกหรือคิดอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุผลประกอบมาด้วย ไม่อย่างนั้นตกลงหารือกันไม่ได้ 

       นายกฯ กล่าวว่า ส่วนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประ มาณ 2558 ขณะนี้เสร็จแล้วทั้ง 19 กระทรวงและมีส่วนราชการที่ไม่สังกัดกระทรวงอีกจำนวนหนึ่ง ภาพรวมก็ปรับลดไปได้ 4,496 ล้านบาท และจะเสนอสนช.วันที่ 11 ก.ย. เพื่อเข้าสู่วาระการประชุม สนช.วันที่ 17 ก.ย. ส่วนเรื่องการขายข้าวนั้น มีแผนเปิดประมูลข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐในเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งต้องช่วยกัน อย่าทำให้ราคาตกหรือรอว่าเมื่อใดราคาตกจะซื้อ อย่าเห็นแก่ประโยชน์มากนัก คนรวยก็เผื่อแผ่ แบ่งปันกันบ้าง

เลิกอัยการศึกเมื่อไหร่-บอกเอง

       พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกฎอัยการศึกว่า อย่ากังวล ตนจะทำให้ทุกสถานการณ์คลี่คลายได้โดยเร็ว ซึ่งทราบดีว่ายังมีอะไรเกิดขึ้นในปัจจุบัน อาจจะมองไม่เห็น แต่พวกเรามองเห็น เพราะเรามีคณะทำงาน มีคนติดตามและประเมินสถานการณ์ตลอด ตนไม่ได้ต้องการจะประกาศไว้ ซึ่งต้องลดไปตามลำดับในเวลาข้างหน้า เมื่อใดตนจะบอกเอง แต่เราต้องมีมาตรการทำให้เกิดเสถียรภาพ ก็รอฟัง อย่าพึ่งไปพูดกันล่วงหน้า เดี๋ยวขยับขยายไปโต้แย้งกันอีก เรื่องหนังสือ เรื่องอะไรต่างๆ เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองว่ากัน ตนไม่ไปทะเลาะด้วย จะเขียนอะไรก็ให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ขอร้องกัน ซึ่งตนคิดว่าฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายกระบวนการยุติธรรมเขาคงไม่ไปอ่านหนังสือมา เขาใช้กฎหมายใช้หลักฐาน เขาคงไม่นำอันใดอันหนึ่งมาจับแล้วไปชี้ถูกชี้ผิด เป็นเรื่องของฝ่ายกฎหมาย

      "วันนี้ อย่าให้ใครไปเรียกร้องอะไรก่อนล่วงหน้า อย่างโน้นอย่างนี้ เราต้องติดดินให้มากที่สุด เราเป็นข้าราชการ เราเป็นรัฐบาลต้องติดดิน ดูแลประชาชน ผมยืนยันว่าจากที่พูดคุยกับคณะรัฐมนตรีทุกคนมีความตั้งใจ ทุกคนมีความร่วมมือ เข้าใจถึงสถานการณ์วันนี้ว่าเราต้องทำอะไรด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน อย่ากังวลเรื่องเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีอะไรก็ถามมา คงเจอกันอีกนาน นานพอสมควร อย่าพึ่งเบื่อกันก่อน รักพวกเรา รักพวกผมก็รักน้อยๆ แต่รักนานๆ" นายกฯ กล่าว

โพลชี้ 78.5% เชื่อมั่นบิ๊กตู่แก้โกง

        วันที่ 5 ก.ย. ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพล) สำรวจความคิดเห็น เรื่อง "ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ในการ แก้ปัญหาคอร์รัปชั่นในสังคมไทย" จากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ 1,045 คน ระหว่างวันที่ 3-4 ก.ย. พบว่าร้อยละ 78.5 เห็นว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นจะค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากพล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาทำหน้าที่ผู้นำประเทศ ร้อยละ 13.4 เห็นว่าเหมือนเดิม มีเพียงร้อยละ 1.8 ที่เห็นว่าแย่ลง ส่วนภาพลักษณ์ของครม.ชุดนี้ในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น เมื่อเทียบกับครม.ยุคที่ผ่านมา ร้อยละ 73.9 เห็นว่าดีกว่าที่ผ่านมามาก ร้อยละ 13.8 เห็นว่าเหมือนเดิม ร้อยละ 2.2 เห็นว่าแย่ลงกว่าที่ผ่านมา 

        ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ในการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นให้สังคมมีภาพลักษณ์ ที่ดีขึ้นได้ ร้อยละ 69.8 เชื่อมั่นค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 23.6 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อย ถึงน้อยที่สุด ด้านความเชื่อมั่นต่อพล.อ.ประยุทธ์ ในการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่น ในเรื่องสำคัญๆ อาทิ การปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เชื่อมั่นร้อยละ 60.3 ไม่เชื่อมั่นร้อยละ 31.9 เรื่องการปฏิรูปการเลือกตั้ง การซื้อสิทธิ์ขายเสียง เชื่อมั่นร้อยละ 58.1 ไม่เชื่อมั่นร้อยละ 34.5 ส่วนความเชื่อมั่นต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)ในการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ให้สังคมไทยได้ ร้อยละ 60.1 เชื่อมั่น และร้อยละ 29.6 ไม่เชื่อมั่น

         เมื่อถามว่า หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามาหลังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ปัญหาการคอร์รัปชั่นจะเป็นอย่างไร พบว่าร้อยละ 44.2 เชื่อว่าการคอร์รัปชั่นจะลดลงมาก ร้อยละ 41.8 เชื่อว่าจะกลับมาเหมือนเดิม

นายพลจีนยกคณะพบป๋าเปรม

        เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 5 ก.ย. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ให้พล.อ.ถัง เทียน เปียว รองประธานคณะกรรมการกองการเมืองใหญ่ แห่งคณะกรรมการกองทหารกลาง กองทัพปลดแอกสาธารณรัฐประชาชนจีน และ อดีตกรรมการสภาประชาชนแห่งชาติ พร้อมคณะผู้แทนศูนย์กลางเผยแพร่วัฒนธรรมระหว่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะรวม 20 คน เข้าพบ

        พล.อ.เปรม กล่าวแสดงความยินดีที่คณะพล.อ.ถัง มาเยี่ยมเยียน ไทยมีสัมพันธ์อันดีกับจีนมาอย่างยาวนาน การรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงามของทั้งสองประเทศย่อมหมายถึงการรักษาชาติทั้งสองด้วย วันที่ 5 ก.ย.นี้ เป็นวันครบรอบ 1 ปีในการก่อตั้งสภาวัฒนธรรมไทย-จีนฯ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านวัฒนธรรม จึงอยากให้คณะทำงานทั้งสองฝ่าย มีกำลังใจและความตั้งใจทำงานต่อไป

        ด้านพล.อ.ถังกล่าวว่า ดีใจที่ได้เข้าเยี่ยมพล.อ.เปรม เนื่องจากท่านเป็นรัฐบุรุษของบ้านเมืองที่มีบทบาททั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมไทย อยากให้จีนและไทย สานสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างต่อเนื่องเพราะทั้งสองประเทศมีการค้าการลงทุนต่อกันมายาวนาน ในอนาคตจึงอยากให้ไทยสนับสนุนชาวจีนที่เดินทางมาไทยเพื่อศึกษาด้านเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม ตนและคณะพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะชาวจีนมีสำนวนที่ยึดถือกัน คือ ?เมื่อได้กินน้ำในบ่อ ต้องไม่ลืมคนขุดบ่อ?

       พล.อ.เปรม ใช้เวลาหารือกับคณะของพล.อ.ถัง ประมาณ 30 นาที จากนั้นแลกเปลี่ยนของที่ระลึก โดยพล.อ.ถังมอบภาพเขียนสีน้ำมันลายดอกเหมย และอวยพรให้พล.อ.เปรม มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ส่วนพล.อ.เปรมมอบหนังสือพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉบับภาษาจีนให้เป็นของที่ระลึก