เครือซีพี เล็งขยายโอกาสส่งออก-ลงทุนไปกลุ่ม CLMV หลังแนวโน้ม GDP โตต่อเนื่อง
นายบุญเกียรติ ชีวะตระกูลกิจ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนากลยุทธ์และธุรกิจ กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (การลงทุนของซีพีในพม่า) กล่าวในงานเสวนา 'ยุทธศาสตร์รุก-รับ CLMV+ไทย ก่อนก้าวสู่ AEC'ว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน AEC จะทำให้โอกาสใหญ่ขึ้น ประชากรของประเทศไทยที่มีอยู่กว่า 60 ล้านคน จะเพิ่มขึ้นเป็น 600 ล้านคน ซึ่งจะเกื้อประโยชน์ต่อผู้ที่มีความสามารถ โดยประเทศ CLMV เมื่อเทียบกับประเทศอื่นจะมีความสามารถโดยเฉลี่ยต่ำกว่าประเทศอื่น ฉะนั้นควรจะเกิดความร่วมมือกันมากกว่าที่จะมีการแข่งขันกัน
ซึ่งมองว่า CLMV+T คือกลุ่มประเทศที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ มีการดำเนินชีวิตหรือมีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกัน ซึ่งควรจะมาวางแผนเพื่อพัฒนาร่วมกัน ถ้าต่างคนต่างทำน่าจะเสียเปรียบ เช่น วางแผนยุทธศาตร์ด้านการท่องเที่ยว ด้านการเกษตร สามารถนำเอาสินค้าทางการเกษตรมาเพิ่มมูลค่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ยุติธรรมกับทั้ง 5 ประเทศ
นอกจากนี้ มองว่าประเทศไทยควรเป็นผู้นำชวนประเทศ CLMV เข้าร่วมวางยุทธศาสตร์ เนื่องจากมีการพัฒนาประเทศมาก่อน ขณะที่ CLMV+T น่าจะเป็นกลุ่มความร่วมมือเล็กภายใต้กลุ่มความร่วมมือใหญ่ ซึ่งการวางยุทธศาสตร์ไม่ควรจะไปขัดกับประเทศอาเซียน
นายวิทยา เกรียงไกรวิทย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจอาหารสัตว์ เขตประเทศราชอาณาจักรกัมพูชา บริษัท ซี.พี.กัมพูชา จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไทยมีได้ส่งออกสินค้าไปยังประเทศเหล่านี้อยู่แล้ว ซึ่งประเทศ CLMV มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP อยู่ที่ 6-7% มาอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในอนาคตก็จะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างมาก คาดหวังว่าการส่งออกสินค้าของไทยจะเข้าไปเจาะตลาดในประเทศเหล่านี้มากขึ้น อีกทั้งในเรื่องของแรงงานที่ยังมีค่าแรงที่ต่ำ เสถียรภาพทางการเมือง และทรัพยากรณ์ทางธรรมชาติที่ยังมีอยู่ ฉะนั้นไทยควรจะมามองในประเทศดังกล่าวมากขึ้น
ทั้งนี้ เห็นด้วยกับการที่ควรจะมียุทธศาสตร์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยว ซึ่งสามารถพัฒนาการท่องเที่ยวร่วมกันได้ ส่งผลให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในหมวดท่องเที่ยวเกิดขึ้น
พร้อมกันนี้ มองว่าผู้ประกอบการน่าจะหาโอกาสเข้าไปศึกษาในประเทศเหล่านี้เพื่อขยายฐานการลงทุน โดยในปี 58 บริษัทฯก็จะมีการลงทุนราว 1,000 ล้านบาท ในเรื่องของอาหารสัตว์ และหลังจากมีการเปิดประเทศอาเซียนก็มีการมองในประเทศพม่า ซึ่งจะเข้าไปก่อตั้งออฟฟิศ ดำเนินการตามรูปแบบ Feed-Farm-Food เช่นเดียวกับในประเทศกัมพูชาและลาว ซึ่งตั้งเป้าหมายการเติบโตในประเทศ CLMV เป็นตัวเลข 2 หลัก และภายใน 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตเป็น 2 เท่าของยอดขายปัจจุบันที่อยู่ราว 10,000 ล้านบาท
ด้านนายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์(PIM) กล่าวว่า กลุ่มประเทศอาเซียนควรแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม AEC ที่อยู่ในทะเล ประกอบด้วย ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงค์โปร์, บรูไน ซึ่งกลุ่มนี้ไม่น่าจะเป็นยุทธศาสตร์หลักของไทย เนื่องด้วยระดับการพัฒนายังใกล้เคียงกัน ซึ่งควรจะเป็นคู่แข่งกันมากกว่าพาร์ทเนอร์ ขณะที่มองว่ากลุ่ม CLMV กัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม น่าจะเป็นเศรษฐกิจที่เกื้อกูลกัน เนื่องจากมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะการนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งการเชื่อมโยงสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เกิดเศรษฐกิจที่เกื้อกูลกันนั้น มองว่าต้องหาจุดศูนย์กลาง โดยตีโจทย์การเปิดประเทศของ CLMV โดยต่อจากนี้ประเทศเหล่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เช่น จะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของพาหนะการเดินทาง, การปฎิวัติร้านโชห่วย, การปฎิวัติเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งจะนำมาสู่การเกิดโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก และการผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ประเทศเหล่านี้จำนวนมาก, การปฎิวัติการอุปโภคและบริโภค, การปฎิวัติทางการเกษตร ที่จะมีการขยายพื้นที่ทางการเกษตรอย่างมาก, เริ่มมีอุตสาหกรรมทดแทนเกิ ดขึ้น, การขยายตัวของภาคก่อสร้าง, การเข้าความเป็นสังคมเมือง และเศรษฐกิจการค้าชายแดนเฟื่องฟู
สำหรับ โจทย์ที่ต้องนำไปคิดต่อ คือ ทำอย่างไรให้ไทยมีฐานการผลิต การวิจัยและพัฒนา(R&D)ที่เพิ่มสูงขึ้น และทำอย่างไรเพื่อให้ไทยมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางของประเทศ CLMV รวมถึงทำอย่างไรให้ภาคบริการเติบโตได้ 60% ของ GDP ประกอบกับ ด้านการบริโภคเพิ่มเป็น 55% ของ GDP
อินโฟเควสท์
SCB EIC แนะไทยขับเคลื่อนห่วงโซ่ผลิต-เจาะ CLMV-ปรับกลยุทธ์และโมเดลธุรกิจ
นางสุทธาภา อมรวิวัฒน์ Chief Economist และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) กล่าวในงานสัมมนาประจำปี “EIC Conference: Thailand in Transformation" ว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ความผันผวนทางเศรษฐกิจในช่วงผ่านมาส่วนหนึ่งสะท้อนการที่ไทยประสบกับความท้าทายค่อนข้างมากจากทั้งวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2011 และความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นระยะ
ความท้าทายเหล่านี้ได้บดบังศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ลดลง ขณะที่ภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจกำลังจะเปลี่ยนไป อันได้แก่ ต้นทุนการกู้ยืมของโลกที่เพิ่มขึ้น การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีน บทบาทของอาเซียนที่ทวีความสำคัญในฐานะคู่แข่งของไทย และการที่ไทยไม่สามารถพึ่งพาการก่อหนี้เพื่อสนับสนุนการเติบโตได้อย่างในอดีต ซึ่งภาวะดังกล่าวจะทำให้แรงหนุนของเศรษฐกิจไทยในอนาคตหดหายไป และความอ่อนแอของพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
EIC ประเมินว่าการขาดแคลนแรงงานของไทยทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ รวมถึงการลงทุนที่อยู่ในระดับต่ำในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา และยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงวิกฤตปี 1997 อีกทั้งผลิตภาพที่ชะลอลงค่อนข้างมาก จะทำให้ศักยภาพในการเติบโตของประเทศไทยในระยะกลางเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% เท่านั้น คำถามที่สำคัญคือ เราจะทำอย่างไรเพื่อยกระดับการเติบโตของประเทศ"
ดังนั้น EIC จึงเสนอ 3 แนวทางเพื่อใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของประเทศไทยในการยกระดับศักยภาพในการเติบโต
1.ขับเคลื่อนประเทศไปสู่ห่วงโซ่การผลิตที่ใช้นวัตกรรมที่สูงขึ้น โดยทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับอุปสงค์ในตลาดโลก และการกระตุ้นให้ภาคเอกชนของไทยสนใจลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา เช่น การสร้างศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ผลิตไทยในการพัฒนานวัตกรรม เพื่อให้ไทยสามารถขยับไปสู่ห่วงโซ่การผลิตที่สูงขึ้น
2.แสวงหาตลาดผู้บริโภคใหม่ๆ โดยการเสริมสร้างศักยภาพให้ SMEs ไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ตัวอย่างเช่น การปรับโครงสร้าง BOI เพื่อให้บริการที่ครอบคลุมการทำธุรกิจในต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบ จะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับธุรกิจไทยในการบุกเบิกตลาดที่มีโอกาสทางธุรกิจสูง เช่น ตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยและนักท่องเที่ยว ซึ่งมีความต้องการสินค้าและบริการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
3.ปรับตัวให้เข้ากับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป ซึ่งธุรกิจควรปรับกลยุทธ์และโมเดลธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภคจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของกลุ่ม Gen Y (ผู้ที่เกิดในช่วงปี 1981-2000) ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 28% ของประชากร ใกล้เคียงกับกลุ่มผู้สูงอายุ และมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่แตกต่างชัดเจนจากประชากรกลุ่มอื่นๆ
“EIC หวังว่าการสัมมนาในวันนี้จะเป็นการจุดประกาย ให้ภาคธุรกิจเห็นโอกาสในอนาคตได้ชัดเจนขึ้น ผ่านการแลกเปลี่ยนมุมมองจากนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ และนำไปสู่การวางแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ ซึ่งจะเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน"นางสุทธาภา กล่าว
Roundup: พม่าไฟเขียวธนาคารต่างชาติ 9 รายเปิดสาขาท่ามกลางนโยบายการปฏิรูป
พม่าเดินหน้าปฏิรูปด้านการเงิน ด้วยการอนุมัติให้ธนาคารต่างชาติ 9 แห่งเปิดสาขาเพื่อให้บริการด้านการเงินในประเทศได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี
ธนาคารกลางพม่า ประกาศว่า ธนาคารต่างชาติ 9 แห่ง ได้รับการอนุมัติใบอนุญาตเปิดให้บริการในพม่า แบ่งเป็นธนาคารของญี่ปุ่น 2 แห่ง สิงคโปร์ 2 แห่ง และธนาคารจากประเทศจีน มาเลเซีย ไทย ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ อีกประเทศละ 1 แห่ง
ในบรรดาธนาคารที่ได้รับอนุญาตเหล่านี้ ธนาคารอินดัสเทรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ (ICBC) เป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ของสินทรัพย์และทุนจดทะเบียนตลาด และยังเป็นหนึ่งในธนาคารพาณิชย์ของรัฐชั้นนำทั้ง 4 แห่งของจีน
สำหรับ ธนาคารต่างชาติอีก 8 แห่งที่ได้รับใบอนุญาต ได้แก่ ธนาคารออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป, ธนาคารกรุงเทพ, แบงก์ ออฟ โตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ, มาลายัน แบงกิ้ง เบอร์ฮัด, มิซูโฮ แบงก์, โอเวอร์ซี-ไชนีส แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น, ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น และยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ แบงก์
ธนาคารเหล่านี้จะได้รับการอนุมัติให้บริการโฮลเซล แบงกิ้ง และการปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัทต่างชาติและธนาคารท้องถิ่นของต่างชาติ โดยแบงก์ต่างชาติจะได้รับการอนุมัติให้ปล่อยสินเชื่อแก่บริษัทในท้องถิ่นผ่านทางธนาคารท้องถิ่นหรือปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทท้องถิ่นที่ร่วมมือกับธนาคารในท้องถิ่น
ธนาคารที่ได้รับการอนุมัตดังกล่าวได้รับการคัดเลือกเพื่อบรรจุในรายชื่อขั้นสุดท้าย 25 รายที่สนใจเข้าร่วมขอใบอนุญาตที่เปิดให้ยื่นเรื่องมาตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา
การอนุมัติในเบื้องต้นดังกล่าวจะทำให้แบงก์สามารถเปิดให้บริการได้ 1 ปีในช่วงที่ธนาคารเหล่านี้จำเป็นต้องใช้มาตรการทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจว่า การดำเนินการด้านแบงกิ้งในวันแรกของธุรกิจ จะได้รับการตอบสนุองตามข้อกำหนดที่ทางธนาคารกลางพม่ากำหนดไว้
ภายใต้ข้อกำหนดดังกล่าว ธนาคารกลางพม่าจะอนุมัติใบอนุญาตขั้นสุดท้ายเพื่อการประกอบกิจการในพม่า
ในขณะเดียวกัน แบงก์เหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาติให้เปิดให้บริการรีเทล แบงกิ้ง ซึ่งแบงก์แต่ละแห่งคาดว่า จะดึงเม็ดเงินลงทุนมาได้อย่างน้อย 75 ล้านดอลลาร์
จนถึงเดือนมิ.ย. 2554 จำนวนสำนักงานตัวแทนของธนาคารต่างชาติในพม่ามีอยู่ด้วยกัน 43 แห่ง
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พม่าจะอนุญาตให้ธนาคารต่างชาติเปืดให้บริการสำนักงานตัวแทนในพม่าเพื่อการสังเกตการณ์ แต่ไม่มีสิทธิให้บริการด้านการธนาคารได้
ทั้งนี้ มีธนาคารเอกชนและรัฐบาลในพม่าอยู่ 25 แห่ง
การดำเนินการปฏิรูปทางการเงินอื่นๆนั้น พม่าเริ่มบัตรเพื่อการชำระในระดับสากลในประเทศเมื่อเดือนพ.ย. 2555 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการส่งเสริมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องชำระเงินภายในประเทศ
ปัจจุบัน มีตู้เอทีเอ็ม 800 จุด และ POS อีก 3,000 จุดทั่วประทเศพม่า สำนักข่าวซินหัวรายงาน
อินโฟเควสท์
แบงก์ชาติพม่าไฟเขียวแบงก์ ICBC ของจีนเปิดสาขาให้บริการในประเทศ
ธนาคารดิ อินดัสเทรียล แอนด์ คอมเมอร์เชียล แบงก์ ออฟ ไชน่า (ICBC) ได้รับการอนุมัติจากธนาคารกลางพม่า เพื่อจัดตั้งสาขาและเปิดให้บริการทางการเงินในพม่าแล้ว นับเป็นธนาคารต่างชาติอีกแห่งที่ได้รับการอนุมัติให้เปิดสาขา
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นอกจาก ICBC แล้ว ธนาคารต่างชาติอีก 8 แห่งก็ได้รับใบอนุญาตให้ทำธุรกิจธนาคารในพม่าเช่นกัน โดยธนาคารเหล่านี้ จะเปิดให้บริการเฉพาะกับบริษัทต่างชาติและธนาคารท้องถิ่นเท่านั้น แต่ไม่สามารถเปิดให้บริการแก่บริษัทท้องถิ่นและชาวพม่าได้
ธนาคารที่ได้รับการอนุมัติเหล่านี้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่ได้รับการคัดเลือกแล้ว จากธนาคารกว่า 30 แห่งที่ยื่นเรื่องขอใบอนุญาตเมื่อพม่าเปิดให้ยื่นเรื่องในเฟสแรกเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา
ธนาคารต่างชาติที่ได้รับการอนุมัติมีกำหนดเริ่มเปิดให้บริการภายในระยะเวลา 1 ปี
นับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่านมา มัสำนักงานตัวแทนของธนาคารต่างชาติเปิดให้บริการในพม่าแล้ว 43 แห่ง ซึ่งมีธนาคารของเอกชน 25 แห่ง และของรัฐบาล 4 แห่ง
อินโฟเควสท์
เปิดเคล็ดลับความสำเร็จเวียดนาม ดันแพนกาเซียส ดอร์รี่ สู่ปลาเศรษฐกิจ
เวียดนาม นับเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่นับว่ามีพัฒนาการและแนวโน้มความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจในเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง นั่นเพราะยังคงความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ กอปรกับเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมือง ทั้งยังมีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง เวียดนามจึงเป็นอีกประเทศที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาธุรกิจผลิตสินค้าเกษตรและแปรรูปสินค้าเกษตร ที่รัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญไม่แพ้การพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ วันนี้มีสินค้าเกษตรชนิดหนึ่งที่เวียดนามผลักดันให้เป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ คือ'ปลาแพนกาเซียส ดอร์รี่'ปลาเศรษฐกิจที่ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยสามารถผลิตได้มากถึงปีละ 1.5 ล้านตัน และมีการส่งออกผลผลิตกว่า 650,000 ตันต่อปี สู่ตลาดสำคัญ 9 ประเทศ คือ อเมริกา ยุโรป อาเซียน บราซิล เม็กซิโก จีน ซาอุดิอาระเบีย โคลัมเบีย และไทย จากข้อมูลของ Vietnam Association of Seafood Exporter and Producers (VASEP) พบว่าในปี 2555 เวียดนามมีมูลค่าส่งออกปลาชนิดนี้สูงถึง 1,745 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากปริมาณการส่งออกที่มีมูลค่าสูงนี้เอง ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การเลี้ยงปลาชนิดนี้ต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ เนื่องจากประเทศผู้นำเข้ามีความเข้มงวดและมาตรฐานด้านความปลอดภัยในอาหาร (Food Safety) สูง และผู้นำเข้าเหล่านี้เองที่มีส่วนในการผลักดันให้การเลี้ยงปลาชนิดนี้เข้าสู่มาตรฐาน ไม่ใช่การเลี้ยงแบบพื้นบ้านอย่างเมื่อ 10 กว่าปีก่อน โดยผู้นำเข้าจะต้องส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบการเลี้ยง และร่วมกันปรับปรุง กระบวนการเลี้ยงให้ทันสมัย ทั้งการจัดการและการแปรรูป เพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นคุณูปการให้อุตสาหกรรมการเลื้ยงปลาแพนกาเซียส ดอร์รี่ เติบโตจนกลายเป็นปลาที่มีมูลค่าถึงปัจจุบัน
ปลาแพนกาเซียส ดอร์รี่ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า pangasius hypophthalmus ในภาษาเวียดนามเรียกว่า ปลาจา ซึ่งเป็นปลาประจำถิ่นในลุ่มแม่น้ำโขง โดยเวียดนามเริ่มมีการเพาะเลี้ยงในเชิงเศรษฐกิจในปี 2542 จนสามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ผลิตและส่งออกปลาชนิดนี้ได้เป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วย 3 ปัจจัยสู่ความสำเร็จ คือ 1.พันธุ์ปลาที่ดี 2.คุณภาพน้ำที่ดี และ 3.การใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูป
เรื่องพันธุ์ปลา นับเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ ซึ่งน่ายินดีที่มีบริษัทคนไทยเป็นหนึ่งในเบื้องหลังของความสำเร็จ จากการที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ปลา ของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหารจำกัด (มหาชน) หรือที่รู้จักกันในชื่อซีพีเอฟ ได้มุ่งปรับปรุงให้ได้ปลาที่มีความแข็งแรง มีเนื้อมาก และมีเนื้อสีขาวซึ่งตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะถูกควบคุมโดยมาตรฐานที่รัฐบาลเวียดนามรับรอง ทำให้เกษตรกรชาวเวียดนามมีพันธุ์ปลาจา ที่ดีสำหรับเลี้ยงในเชิงพาณิชย์
ส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ คุณภาพน้ำ เพราะที่เวียดนามเขาจะเลี้ยงปลาบริเวณริมแม่น้ำโขง แม่น้ำสายใหญ่ที่มีจุดเริ่มต้นในทิเบตที่ประเทศจีนไหลผ่าน 6 ประเทศ จีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา และสิ้นสุดที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งช่วงปลายของแม่น้ำโขงในประเทศเวียดนามก่อนไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ แม่น้ำโขงได้แยกตัวออกเป็น 9 สาย ที่คนเวียดนามเรียกว่า กิ่วล่อง หรือ กิ๋วหล่อง แปลว่า มังกร 9 หัว โดยแม่น้ำกิ่วล่องจะไหลผ่านประเทศเวียดนามทางใต้เป็นระยะทาง 230 กิโลเมตร ในบริเวณที่เรียกว่า สามเหลี่ยมแม่โขง หรือแม่โขงเดลต้า (Mekong Delta) ทำให้น้ำมีปริมาณมากและมีคุณภาพดี สำหรับการเลี้ยงปลาชนิดนี้จะทำการเลี้ยงในบ่อริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยอาศัยระดับน้ำที่ต่างกันถึง 2 เมตร จากการขึ้นลงตามธรรมชาติในช่วงเช้าและเย็นเป็นตัวปรับสภาพน้ำให้มีคุณภาพอยู่เสมอ ซึ่งการที่มีกระแสน้ำไหลแรงและมีน้ำขึ้นน้ำลงนี้เอง ที่ถือเป็นหัวใจหลักของการเลี้ยงปลาในเวียดนาม เพราะทำให้เกิดการไหลเวียนของน้ำอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการเลี้ยงปลาชนิดนี้ ที่ต้องมีการถ่ายเทน้ำอย่างน้อยร้อยละ 30 ของปริมาณน้ำในบ่อเป็นประจำทุกวัน และกระแสน้ำที่ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ ยังทำให้น้ำที่ใช้เลี้ยงปลามีค่าออกซิเจนสูงขึ้น เอื้อต่อการเจริญเติบโต และสามารถเลี้ยงอย่างหนาแน่นได้
อีกปัจจัยสู่ความสำเร็จคือ การใช้อาหารเลี้ยงสัตว์คุณภาพที่ไม่ก่อให้เกิดสีเหลืองแทรกเข้าไปในชั้นไขมัน และปลาไม่ได้กินอะไรที่เป็นของเสียเลย โดยเกษตรกรเลือกใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูป เพราะอาหารเม็ดมีคุณค่าทางอาหารสูง สามารถควบคุมคุณภาพ และปริมาณโภชนาการให้เหมาะสมกับปลาได้ ทุกวันนี้เกษตรกรชาวเวียดนามทุกรายจึงหันมาใช้อาหารเม็ดในการเลี้ยงปลา อย่างเช่น อาหารปลาซีพี ที่ผ่านการคิดค้น วิจัย และพัฒนา จนได้อาหารสูตรพิเศษ ที่ไม่มีวัตถุดิบที่มีเม็ดสีสีเหลืองเป็นส่วนผสม ทำให้เนื้อปลาที่ผลิตได้เป็นสีขาวหรือสีชมพูอ่อนๆ น่ารับประทาน เนื้อแน่น และที่สำคัญคือไม่มีกลิ่นคาว จึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั่วไป เมื่อผนวกกับการจัดการฟาร์มถูกวิธีและได้มาตรฐาน มีการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด ทำให้สามารถเลี้ยงปลาแพนกาเซียส ดอร์รี่ ได้อย่างหนาแน่น ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในวงกว้าง
เมื่อได้ปลาคุณภาพดี ตามน้ำหนักที่ต้องการแล้ว กรมประมงของเวียดนามจะเข้ามาสุ่มตรวจปลาเพื่อตรวจสอบสารเคมีตกค้าง เมื่อผ่านการตรวจแล้วปลาสดจากฟาร์มจะถูกลำเลียงโดยเรือเข้าสู่โรงงานแปรรูปมาตรฐาน และจะนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูปทันสมัย ได้มาตรฐานในระดับสากล ทำให้ปลาแพนกาเซียส ดอร์รี่ สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้อย่างภาคภูมิใจ กระบวนการผลิตที่ดีและมีมาตรฐานเช่นนี้เองที่ช่วยผลักดันให้ปลาน้ำจืดชนิดนี้ กลายเป็นปลาเศรษฐกิจที่นำเงินตราเข้ามาพัฒนาประเทศของเขาได้ ไทยเราเองหากเอาจริงเอาจังในการชูสินค้าเกษตรให้มีการผลิตได้มาตรฐานและดำเนินการสนับสนุนการส่งออกอย่างจริงจังเช่นเดียวกับเวียดนามบ้าง ภาคเกษตรก็จะมีความเข้มแข็งและกลายเป็นสินค้าสร้างชาติได้ไม่ยากนัก./
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด