รู้ลึกลุ่มน้ำโขง : ธุรกิจแฟรนไชส์ในกัมพูชา...โอกาสขยายธุรกิจของผู้ประกอบการไทย
ปัจจุบันการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในกัมพูชา สะท้อนจากธุรกิจแฟรนไชส์ของต่างประเทศ รวมถึงแฟรนไชส์ของไทยต่างทยอยขยายธุรกิจในกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความเป็นเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประกอบกับธุรกิจแฟรนไชส์มีการควบคุมคุณภาพและการให้บริการด้วยมาตรฐานเดียวกัน สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในเขตเมืองที่มีความคาดหวังในสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน หนุ่มสาวชาวกัมพูชารุ่นใหม่ยังเปิดรับการบริโภครูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเยือนกัมพูชา ซึ่งมีจำนวนกว่า 4 ล้านคนต่อปีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจนี้ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและคุ้นเคยกับการให้บริการในรูปแบบแฟรนไชส์เป็นอย่างดี ส่งผลให้ธุรกิจแฟรนไชส์เป็นโอกาสที่น่าสนใจของผู้ประกอบการไทยในการรุกตลาดกัมพูชา สำหรับข้อมูลธุรกิจแฟรนไชส์ในกัมพูชาที่น่าสนใจ มีดังนี้
ประเภทธุรกิจแฟรนไชส์ไทยที่น่าสนใจในตลาดกัมพูชา
- ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม อาทิ
1) ร้านอาหารจานด่วน ปัจจุบันชาวกัมพูชานิยมสังสรรค์ รวมทั้งนิยมรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น รูปแบบการบริโภคอาหารของชาวกัมพูชามีความคล้ายคลึงกับไทย คือ นิยมรับประทานอาหารประเภทข้าวมากกว่าอาหารตะวันตก ขณะที่อาหารไทยเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยของชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวกัมพูชาเป็นอย่างดี ทำให้เกิดช่องว่างในธุรกิจร้านอาหารจานด่วน ซึ่งปัจจุบันมีแฟรนไชส์อาหารจานด่วนของไทย อาทิ Black Canyon เข้าไปเปิดให้บริการในกัมพูชา อย่างไรก็ตาม การที่ชาวกัมพูชารุ่นใหม่มีการเปิดรับการบริโภครูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ส่งผลให้แฟรนไชส์อาหารจานด่วนของต่างประเทศ อาทิ KFC และ Burger King จากสหรัฐฯ และ BBQ Chicken จากเกาหลีใต้ รุกขยายธุรกิจร้านอาหารจานด่วนในกัมพูชาเช่นกัน
ทั้งนี้ การเปิดร้านอาหารไทยจานด่วนในกัมพูชา มีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง คือ การควบคุมมาตรฐานและการฝึกอบรมให้แก่ผู้ปรุงอาหาร รวมทั้งพนักงานขาย เพื่อรักษารสชาติและเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้เป็นจุดแข็งเพื่อแข่งขันกับแฟรนไชส์ของต่างประเทศ เนื่องจากการปรุงอาหารไทยมีความซับซ้อนมากกว่าอาหารตะวันตก ขณะเดียวกันผู้ประกอบการอาจเลือกปรับเปลี่ยนเมนูอาหารบางรายการให้เป็นลักษณะอาหารไทยประยุกต์ (Thai Fusion Food) ด้วยการผสมผสานความเป็นตะวันตกเข้ามา เพื่อสร้างความแปลกใหม่และเป็นจุดขายของแฟรนไชส์อีกทางหนึ่ง
2) ร้านกาแฟและเบเกอรี เน้นเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและระดับบนที่มีจำนวนราวร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้นิยมใช้บริการร้านกาแฟมากขึ้น ตลอดจนกลุ่มนักเรียน นักศึกษาโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งมีฐานะค่อนข้างดีและนิยมรวมกลุ่มนั่งเล่นอินเทอร์เน็ตในร้านกาแฟ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว ลูกจ้างและพนักงานที่ทำงานกับองค์กรระหว่างประเทศ บริษัทต่างชาติ และสถานทูต ซึ่งนิยมดื่มกาแฟในร้านกาแฟเป็นประจำ โดยผู้ประกอบการไทยที่สนใจดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ร้านกาแฟและเบเกอรีในกัมพูชาควรมีจุดขายที่ชัดเจนและสร้างความแตกต่างทั้งตัวผลิตภัณฑ์และรูปแบบการตกแต่งร้านให้ดูดี มีเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ รวมทั้งมีบริการ Free Wifi เพื่อให้สอดรับกับกระแสเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เป็นที่นิยมมากขึ้น ปัจจุบันมีแฟรนไชส์จากต่างประเทศ อาทิ Costa Coffee จากสหราชอาณาจักร และ Coffee Bean & Tea Leaf จากสหรัฐฯ รวมทั้ง The Coffee Maker แฟรนไชส์จากไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา ขณะที่ True Coffee ของไทยมีแผนขยายธุรกิจในกัมพูชา
- ธุรกิจความงาม ปัจจุบันชาวกัมพูชาที่มีฐานะดีและมีกำลังซื้อมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก คนกลุ่มนี้ใส่ใจกับสุขภาพและความงามมากขึ้น โดยเฉพาะการดูแลผิวพรรณ ทำให้ชาวกัมพูชามีความต้องการใช้บริการคลินิกเสริมความงามเพิ่มขึ้น โดยชาวกัมพูชานิยมใช้บริการคลินิกความงามในส่วนที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพผิวพรรณให้ขาวใส และรักษาสิวเป็นหลัก ขณะที่การทำศัลยกรรมความงามยังไม่เป็นที่นิยมในวงกว้าง เนื่องจากยังกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเจ็บปวดจากการทำศัลยกรรม ทั้งนี้ ปัจจุบันธุรกิจคลินิกความงามในกัมพูชายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและส่วนใหญ่ดำเนินการโดยผู้ประกอบการท้องถิ่น จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจดังกล่าว สำหรับแฟรนไชส์ธุรกิจความงามของไทยที่ขยายธุรกิจในกัมพูชา อาทิ วุฒิศักดิ์คลินิก และแพนคลินิก ขณะที่นิติพลคลินิกอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อขยายธุรกิจในกัมพูชา
- ธุรกิจบริการล้างและดูแลรักษารถยนต์ เน้นกลุ่มลูกค้าระดับบน ซึ่งมีรถยนต์หลายคัน และนิยมใช้รถยนต์ซูเปอร์คาร์และรถยนต์หรู ซึ่งเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่ยังมีการแข่งขันค่อนข้างน้อย โดยอาศัยจุดแข็งด้านการให้บริการอย่างครบวงจร รวมทั้งนำเทคโนโลยีการล้างรถยนต์แบบพรีเมียม อาทิ การล้างรถยนต์ด้วยระบบไอน้ำมาใช้เพื่อสร้างความแตกต่าง ปัจจุบันธุรกิจแฟรนไชส์ของไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา อาทิ Moly Care ซึ่งเปิดสาขาในกรุงพนมเปญจำนวน 3 สาขา
รูปแบบการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ในกัมพูชา
ธุรกิจแฟรนไชส์ส่วนใหญ่ในกัมพูชาเป็นการลงทุนในรูปแบบที่นักลงทุนซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์จากต่างประเทศเข้ามาในกัมพูชา โดยนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์หรือเคยทำธุรกิจในกัมพูชามาก่อน ซึ่งวิธีการนี้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถควบคุมคุณภาพและมาตรฐานสินค้าและบริการได้ดีกว่าการขายสิทธิ์แฟรนไชส์ให้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่นโดยตรง อาทิ กลุ่ม RMA Group ที่จดทะเบียนในไทย ซึ่งรุกตลาดแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มในกัมพูชาผ่าน Express Food Group (EFG) โดยใช้รูปแบบการซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์จากต่างประเทศ อาทิ The Pizza Company (ไทย) Swensen’s (สหรัฐฯ) BBQ Chicken (เกาหลีใต้) Dairy Queen (สหรัฐฯ) และ Costa Coffee (สหราชอาณาจักร) เพื่อดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ในกัมพูชา ขณะที่ QSR Brands Bhd ผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์อาหารจานด่วนรายใหญ่จากมาเลเซียใช้รูปแบบการร่วมทุนกับ Royal Group of Companies Ltd. (RGC) ของกัมพูชา และ Rightlink Corporation Ltd. (RCL) ของฮ่องกง เพื่อดำเนินกิจการแฟรนไชส์ KFC ในกัมพูชาภายใต้ Kampuchea Food Corporation เป็นต้น
การเลือกทำเลที่ตั้ง...หัวใจสำคัญของธุรกิจแฟรนไชส์
การเลือกทำเลที่ตั้งนับเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจแฟรนไชส์ในกัมพูชา ดังนั้น ควรเลือกทำเลในเขตชุมชนเมืองที่ประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นและเป็นศูนย์รวมของกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูงของประเทศ รวมทั้งเป็นแหล่งรวมห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวกัมพูชา ชาวต่างชาติที่ทำงานในกัมพูชา ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้ แฟรนไชส์ส่วนใหญ่ ทั้ง The Pizza Company, KFC และ Swensen’s ต่างเริ่มต้นธุรกิจในกรุงพนมเปญ ซึ่งหากกระแสตอบรับดีและเป็นที่นิยมก็จะทำให้การขยายสาขาไปยังพื้นที่อื่นทำได้ง่ายขึ้น หรือหากเน้นฐานกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นหลักก็อาจพิจารณาเริ่มต้นธุรกิจที่เมืองเสียมราฐเป็นแห่งแรก เนื่องจากเสียมราฐเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนกว่า 2.2 ล้านคนต่อปี สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ของต่างประเทศที่เปิดสาขาแรกที่เมืองเสียมราฐ คือ Hard Rock Cafe
ผู้ประกอบการไทยที่สนใจเข้าไปลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ในกัมพูชาควรศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างความเข้าใจถึงลักษณะและพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดกัมพูชา ตลอดจนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากแฟรนไชส์ต่างชาติ นอกจากนี้ ปัจจุบันกัมพูชายังไม่มีกฎหมายธุรกิจแฟรนไชส์โดยตรงที่กำกับดูแลและวางกติการ่วมกันสำหรับการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ ทำให้หากเกิดความขัดแย้งขึ้นอาจประสบความยุ่งยากในการดำเนินคดีตามกฎหมาย ดังนั้น ผู้ประกอบการควรจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบและทำสัญญาทางธุรกิจที่รัดกุม ขณะที่การร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่นก็เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากมีประสบการณ์และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคท้องถิ่นเป็นอย่างดี อันจะช่วยเพิ่มโอกาสให้การทำธุรกิจประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนธันวาคม 2557
นายกฯพอใจผลประชุมร่วมมือทางศก.GMS ต่างเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แถลงปิดการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจประเทศลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ว่า มีความพอใจและถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากผู้นำทุกประเทศให้ความสำคัญมาร่วมประชุมด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้มีความใกล้ชิด เป็นมิตรและไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้น โดยทุกประเทศเห็นตรงกันที่จะให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง รัฐเป็นผู้กำหนดนโยบายและบริหารงาน มีเป้าหมายอยู่ที่ประชาชน ขณะที่ภาคเอกชนจะเข้ามามีส่วนสนับสนุนช่วยขับเคลื่อน ในลักษณะของของรัฐ เอกชน และประชาชนที่ต้องเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน แบ่งปันความสุขอย่างเป็นธรรม ซึ่งหากเกิดขึ้นได้ จะเกิดประโยชน์อย่างแน่นอน
"ที่ประชุมยังเห็นควรว่า GMS จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของอนุภูมิภาคเป็นหลัก ทุกประเทศต้องมองความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ไม่ใช่มองแต่ละประเทศเป็นคู่แข่งขัน เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้ก้าวไปข้าวหน้าทั้งการสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค ทั้งระเบียงเศรษฐกิจ การสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ลดความขัดแย้ง และแก้ไขกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจสร้างความกินดีอยู่ดี ขณะเดียวกันทุกประเทศจะต้องมาช่วยวางแผนหาแนวทางร่วมกันในการใช้น้ำจากแม่น้ำโขงให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด โดยไม่สร้างปัญหาให้เกิดความขัดแย้งจากการใช้ทรัพยากรน้ำ"นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จีนมีความพอใจที่ได้มาลงนามความตกลงเรื่องการก่อสร้างรถไฟขนาดมาตรฐานที่ไทย และยังชื่นชมไทยที่ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง การลงนามดังกล่าวยังเป็นจุดเริ่มต้นของการวางโครงสร้างด้านการขนส่งทางรางที่จะเชื่อมต่อไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว)ด้วย นอกจากนี้จีนยังตกลงรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากไทยมากขึ้นด้วย ซึ่งจะช่วยเรื่องของการระบายสินค้นของไทย แต่ไม่อยากให้มองว่าเป็นการนำสินค้าการเกษตรไปแลกกับรถไฟ เพราะมีความแตกต่างกัน ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ ทั้งนี้ การประชุมที่เกิดขึ้นได้ในครั้งนี้ เพราะบ้านเมืองมีเสถียรภาพ สงบ สันติ
ขณะที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิทธิ์ รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุม GMS เห็นชอบแผนระยะเร่งด่วน 5 ปี มูลค่าการลงทุน 3 หมื่นล้านบาท จากวงเงินเดิมในระยะ 10 ปี 5.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการลงทุนโดยจีนร้อยละ 44 สปป.ลาวร้อยละ 26 ส่วนไทยร้อยละ 10 ซึ่งเป็นความเห็นชอบเร่งรัดโครงการเท่านั้น ไม่ใช่การอนุมัติวงเงิน เพราะแหล่งเงินมาจากหลายที่ เช่น เงินกู้ผ่อนปรนสถาบันเนดาร์ กองทุนให้กู้จากจีน และเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชีย(ADB) สำหรับการประชุม GMS ครั้งต่อไป มีกำหนดจัดขึ้นในปี 2560 ที่ประเทศเวียดนาม
อินโฟเควสท์
พม่าเตรียมเปิดตลาดหุ้นแห่งแรกของปท.ปีหน้า หลังร่วมทุนกับบ.ญี่ปุ่นจัดตั้งย่างกุ้งสต็อกเอ็กซ์เชนจ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงการคลังพม่าเปิดเผยวันนี้ว่า พม่าเตรียมจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของประเทศในนครย่างกุ้ง โดยร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่น 2 รายเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนย่างกุ้งสต็อกเอ็กเชนจ์ขึ้น และจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2015
โดยบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะถือหุ้น 51% โดยธนาคารเพื่อเศรษฐกิจแห่งชาติพม่า 30.25% โดยไดว่าอินสติวท์ออฟรีเสิร์ช และ 18.75% โดยเจแปนเอ็กซ์เชนจ์กรุ๊ป
นายอุ วิน ชินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพม่ากล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ย่างกุ้งจะเป็นแหล่งลงทุนระยะยาวของภาคธุรกิจพม่า และจะเป็นแหล่งลงทุนสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ พม่ามีกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2013 และทยอยออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
ADB อนุมัติเงินกู้ 80 ล้านดอลลาร์ให้พม่าปรับปรุงทางหลวง
พม่าได้รับเงินกู้จำนวน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) โดยจะนำมาใช้ปรับปรุงทางหลวงในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดีทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
หนังสือพิมพ์โกลบอลนิวไลท์ออฟเมียนมาร์ ซึ่งเป็นสื่อกึ่งทางการของพม่า รายงานในวันนี้ว่า เงินกู้ยืมจำนวนดังกล่าวจะถูกนำไปปรับปรุงถนนสายมะอูบีง-พยาโปงช่วงหนึ่งซึ่งยาว 54 กิโลเมตร และสะพานหลายแห่งตามเส้นทางดังกล่าว ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากพายุไซโคลนนาร์กิสในปี 2551
เอดีบี ระบุในแถลงการณ์ว่า “การปรับปรุงถนนสายมะอูบีง-พยาโปง ซึ่งพาดผ่านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ จะช่วยทำให้การเดินทางสะดวกสบายขึ้น ใช้เวลาน้อยลง เสียค่าใช้จ่ายน้อยลง ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนผู้ยากไร้มากมาย"
ทั้งนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนก.ย.2561 สำนักข่าวซินหัวรายงาน
TMB Analytics มองตลาดค้าปลีกเวียดนามเติบโตต่อเนื่อง
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB หรือ TMB Analytics มองตลาดค้าปลีกเวียดนามที่เติบโตต่อเนื่อง สร้างโอกาสขยายตลาดให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคไทย
ตลาดค้าปลีกค้าส่งในเวียดนามอาจมีมูลค่าถึง 2.34 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้ และด้วยอัตราการขยายตัวขนาดเลขสองหลักทุกปีในแปดปีที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าเมื่อถึงปี 2563 อาจมีมูลค่าสูงถึง 4.13 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการขยายตัวระยะยาวของตลาดค้าปลีกเวียดนามได้รับแรงสนับสนุนจากจำนวนประชากรที่มีมากกว่า 90 ล้านคนและรายได้ต่อหัวที่สูงกว่าประเทศอื่นใน CLMV นอกจากนั้น ประชากรกว่า 70% อยู่ในช่วงวัยแรงงาน (อายุ 15-64ปี) ทำให้มีรายได้และกำลังซื้อที่ยังขยายตัวได้อยู่ และมีสัดส่วนของประชากรที่อยู่ในเขตเมืองสูงขึ้น จาก 33% ในปีนี้ เพิ่มเป็น 38% ในปี 2563 ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ตลาดค้าปลีกเวียดนามยังคงสามารถเติบโตต่อไปได้ในอนาคต
จากกิจกรรมการค้าปลีกที่ยังคงขยายตัวทุกปี ปัจจุบันจึงมีบริษัทต่างชาติหลายรายสนใจเข้ามาลงทุนร้านค้าปลีกสมัยใหม่ในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง อาทิ สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ขณะที่กลุ่มทุนเอเชียเอง ก็มีทั้งนักลงทุนจาก เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ และกลุ่มทุนไทย และบริษัทใหญ่ๆของไทย เช่น บริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) และเซ็นทรัลพัฒนา ได้เข้าไปบุกเบิกตลาดและขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น โดย BJC ใช้กลยุทธ์เข้าซื้อกิจการท้องถิ่นจากผู้ประกอบการรายเดิม เพื่อใช้เป็นศูนย์กระจายสินค้าในเวียดนามเหนือและเวียดนามกลาง อีกทั้งยังร่วมมือกับตัวแทนกระจายสินค้าให้กับร้านโชห่วยอีกด้วย ขณะที่กลุ่มทุนเวียดนามเดิมในตลาดก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น Co-op Mart, Maxi Mart, Hanoi Supermarket และ Vina Conex ทำให้ตลาดค้าปลีกเวียดนามนั้น ถือว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันในระดับสูง สอดคล้องไปกับตลาดค้าปลีกเวียดนามยังคงขยายตัว และกลายเป็นการเปิดช่องทางให้สินค้าใหม่ๆเข้าไปแข่งขันมากขึ้นผ่านช่องทางของผู้เล่นค้าปลีกเหล่านี้
ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งออกสินค้าไทยในการขยายช่องทางการจำหน่ายเพื่อเข้าสู่ตลาดเวียดนามมากขึ้น ทั้งการกระจายสินค้าผ่านตัวแทนของไทยและตัวแทนท้องถิ่น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาสินค้าอุปโภคบริโภคส่งออกจากไทยไปเวียดนามในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2557 พบว่ามีมูลค่าส่งออกรวมถึง 4.4 หมื่นล้านบาท และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 4.2% โดยสามารถแบ่งสินค้าส่งออกในกลุ่มนี้เป็น 4 หมวดใหญ่ๆด้วยกัน ได้แก่ หมวดอาหารสด มีมูลค่าส่งออก 1.1 หมื่นล้านบาท และขยายตัวได้ถึง 38.1% หมวดเครื่องดื่ม อาหารแปรรูปและอาหารกระป๋อง มีมูลค่าส่งออกรวมราว 1 หมื่นล้านบาท และขยายตัวที่ 18.3% หมวดสินค้ายาเวชภัณฑ์ และเครื่องสำอางค์ มียอดส่งออก 4,654 ล้านบาท หดตัว 54.6% และสินค้าเพื่อการบริโภคทั่วไป ที่ยอดส่งออกมีมูลค่า 18,195 ล้านบาท ขยายตัวถึง 17.9%
นอกจากการขยายตัวได้ในระดับที่ค่อนข้างดี สินค้าไทยมีส่วนแบ่งในการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคไทยของตลาดเวียดนามค่อนข้างสูงเช่นกัน โดย ในหมวดอาหารสด สินค้าไทยมีส่วนแบ่งในตลาดนำเข้าเวียดนามร้อยละ 26 โดยข้อมูลจากกระทรวงการค้าเวียดนามแสดงให้เห็นว่า ผลไม้สดมีแนวโน้มส่งออกดีที่สุดและมีส่วนแบ่งในตลาดค้าปลีกเวียดนามประมาณถึง 40% นอกจากนี้ ในหมวดเครื่องดื่ม อาหารแปรรูปและอาหารกระป๋อง ไทยมีส่วนแบ่งไม่น้อยในตลาดนำเข้าเวียดนามที่ 22% โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องดื่มน้ำผลไม้ 100% ขนมขบเคี้ยวและเครื่องปรุงรส มีแนวโน้มขยายตัวได้ทุกๆปี อย่างไรก็ตาม ด้านหมวดสินค้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องสำอางค์ ไทยเหลือส่วนแบ่งในตลาดนำเข้าเวียดนามเพียง 10% หลังเสียส่วนแบ่งไปกว่าครึ่งให้กับแบรนด์เกาหลีและไต้หวัน ซึ่งมีสินค้าหลากหลายและราคาย่อมเยาว์กว่าแม้ผลิตภัณฑ์ของไทยเองก็เป็นที่รู้จักในกลุ่มหญิงสาวเวียดนามอยู่แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันอย่างเข้มข้นของสินค้าอุปโภคบริโภคจากทั่วทั้งเอเชียในตลาดเวียดนาม
ในอนาคต ตลาดค้าปลีกเวียดนามจะคงยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ประกอบกับการแข่งขันที่ปะทุขึ้นในตลาดค้าปลีกเวียดนาม ย่อมจะทำให้ร้านค้าปลีกต้องคอยมองหาสินค้าใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการบริโภคของชาวเวียดนามที่กำลังเปลี่ยนไป จากรายได้สูงขึ้นและพัฒนาสู่ความเป็นเมือง ทำให้มีความนิยมบริโภคสินค้าที่คุณภาพดี ด้วยที่ราคาเหมาะสม ให้ความใส่ใจสุขภาพและความงามและเริ่มบริโภคอาหารนอกบ้านมากขึ้น จึงนับเป็นโอกาสของผู้ผลิตและส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคไทยที่ไม่ควรมองข้าม
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด