เมียนมาร์ พักออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษให้ต่างชาติ
คณะกรรมการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยเมียนมาร์ระงับการออกใบอนุญาตทำธุรกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) สำหรับบริษัทประกันภัยต่างชาติเป็นเวลา 1 ปี
ดร. Maung Maung Thein ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยเมียนมาร์ เปิดเผยว่า เมียนมาร์จะออกใบอนุญาตเพิ่มเติมในปีหน้า ปัจจุบันมีบริษัทประกันภัยจากญี่ปุ่น 3 แห่งที่ได้รับอนุญาตให้ทำธุรกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งรวมถึงเขตเศรษฐกิจติลาวา เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของพม่า
บริษัท สมโพธิ์ เจแปน นิปปอนโคอะ ประกันภัย ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่ได้รับใบอนุญาตและเป็น 1 ใน 3 บริษัทประกันญี่ปุ่น ได้เริ่มเข้ามาตั้งกิจการในเขตติวาลาทางใต้ของเมืองย่างกุ้ง คาดว่า การดำเนินการระยะที่ 1 จะเริ่มต้นขึ้นเดือนก.ย.ปีนี้
ดร.Maung Maung Thein ซึ่งควบตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีการคลังเมียนมาร์ระบุว่า บริษัทประกันภัยญี่ปุ่นทั้ง 3 แห่งมีสำนักงานผู้แทนในพม่ามาแล้วประมาณ 20 ปี
บริษัทประกันภัยที่แสดงความจำนงค์ทำธุรกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษจะต้องมีสำนักงานตัวแทนในเมียนมาร์ไม่น้อยกว่า 3 ปี โดยใบอนุญาตดังกล่าวไม่ได้ให้สิทธิ์บริษัทในการประกอบธุรกิจนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยประกันภัยในเมียนมาร์
ขณะเดียวกัน บริษัทประกันภัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษจะถูกจำกัดให้ทำได้แค่ธุรกิจประกันภัยอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ สินค้าขนส่งทางทะเล ความเสี่ยงทุกชนิดของผู้รับเหมา และการประกันการโอนเงินสด
ปัจจุบัน เมียนมาร์มีสำนักงานตัวแทนของบริษัทประกันภัยต่างชาติ 16 แห่ง สำนักข่าวซินหัวรายงาน
อินโฟเควสท์
เวียดนาม ขาดดุลการค้าครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3.07 พันล้านดอลล์ ต่ำกว่าที่คาดว่าจะขาดดุล 3.75 พันล้านดอลล์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กรมศุลกากรเวียดนามเปิดเผยว่า เวียดนามขาดดุลการค้าครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3.07 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่ประมาณการว่า จะขาดดุลการค้าอยู่ที่ 3.75 พันล้านดอลลาร์
ขณะที่ยอดส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 9.3% มาอยู่ที่ 77.77 พันล้านดอลลาร์ และยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 16.7% มาอยู่ที่ 80.84 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ กรมฯระบุว่า รายได้จากการส่งออกของบริษัทต่างชาติในเวียดนามในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 100.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 22% คิดเป็นสัดส่วน 63.5% ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด ส่วนรายได้จากการส่งออกของบริษัทเวียดนามในช่วงเดียวกันอยู่ที่ 57.9 พันล้านดอลลาร์
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
เมียนมาร์ เผยยอดนำเข้ายังแซงหน้าส่งออก, เล็งส่งออกก๊าซธรรมชาติไปจีน
กระทรวงพาณิชย์เมียนมาร์ รายงานว่า ยอดส่งออกของเมียนมาร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2558-2559 แตะ 2.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.5 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
แม้ยอดส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังคงตามหลังยอดนำเข้าซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในช่วงเดียวกันนี้เมียนมาร์มียอดนำเข้าแตะ 4.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 4.1 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า
นายวิน มิน อธิบดีกรมส่งเสริมการค้า กระทรวงพาณิชย์เมียนมาร์ เปิดเผยว่า เนื่องจากมีการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ เมียนมาร์ก็น่าจะขาดดุลการค้าต่อไปเนื่องจากวัตถุดิบส่วนมากนั้นมาจากการนำเข้า
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รายนี้เผยว่า ทางเมียนมาร์มีแผนยกระดับการส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยังไทยและจีน รวมถึงส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอและสินค้ามูลค่าเพิ่ม โดยรัฐบาลเมียนมาร์คาดการณ์ว่าจะมีการส่งออกแตะ 7.3 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณปัจจุบัน
ด้านนายเมือง อัง นักเศรษฐศาสตร์จากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ขณะนี้ทางรัฐบาลกำลังเดินหน้าส่งเสริมการส่งออกเพื่อคว้าข้อได้เปรียบจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้สินค้าส่งออกของเมียนมาร์มีศักยภาพทางการแข่งขันมากขึ้น อย่างไรก็ดีจะไม่มีการกำหนดเพดานนำเข้า เนื่องจากเมียนมาร์ยังคงจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าเพื่อนำไปพัฒนาเศรษฐกิจต่อไป
รัฐบาลเมียนมาร์คาดการณ์ว่าปีนี้จะมีปริมาณการค้าราว 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ สินค้านำเข้าส่วนใหญ่ของเมียนมาร์ได้แก่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์การเกษตร ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์น้ำมัน อาหารสำเร็จรูป และเครื่องจักร ส่วนสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ได้แก่ข้าว ไม้ซุง หยก อัญมณี น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถั่ว เมล็ดถั่ว ตลอดจนผลิตภัณฑ์จากทะเล
อินโฟเควสท์
เมียวดี เมียนมา 'ขุมทองแม็คเคนน่า'ของไทย
มติชนออนไลน์ :
เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 1 ถูกออกแบบให้เป็นโครงการต้นแบบ ถือว่ามีความน่าสนใจมากที่สุดแห่งหนึ่ง เนื่องจากมีอัตราการเติบโตอย่างมาก เพราะจากภูมิประเทศชายแดนติดประเทศเมียนมา ในบริเวณด่านชายแดนแม่สอด-เมียวดี สามารถเชื่อมโยงการค้าต่อไปยังเมืองต่างๆ ของเมียนมาได้อย่างสะดวก
หากนับจากด่านศุลกากรเมืองสอด ไปเมืองผาอัน หรือเมืองผะอันในภาษาเมียนมา เมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยง จะมีระยะเพียง 153 กิโลเมตร (กม.) หรือห่างจากเมืองมะละแหม่ง หรือเมาะลำเลิง เมืองหลวงของรัฐมอญ เมืองท่าและเมืองใหญ่อันดับ 4 ของประเทศเมียนมา ระยะทางเพียง 177 กม. หรือสามารถเดินทางไปยังไจทีโย หรือแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทยที่รู้จักในชื่อพระธาตุอินแขวน ด้วยระยะทาง 300 กม.เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังสามารถเดินทางต่อไปยังนครย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวง ปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจอันดับ 1 ของเมียนมา ได้ด้วยระยะทาง 454 กม. กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงปัจจุบันและเมืองใหญ่อันดับ 2 ของเมียนมา ด้วยระยะทาง 632 กม. หรือต่อไปยังเมืองมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับ 3 ของเมียนมา ด้วยระยะทาง 889 กม.
สมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ได้เห็นถึงโอกาสและศักยภาพของการเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างด่านชายแดนแม่สอดกับเมืองอื่นๆ ในเมียนมา
พร้อมกันนี้ อู เท อ่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการโรงแรม ประเทศเมียนมา ยังได้มีหนังสือเชิญมายังทางจังหวัด ในการส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางด้านการท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศ ทางจังหวัดจึงได้จัดคณะทั้งจากผู้แทนหน่วยงานราชการ ที่ปรึกษาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และสื่อมวลชน ลงพื้นที่สำรวจตามเส้นทางถนนสายเอเชีย เชื่อมต่อระหว่างด่านชายแดนแม่สอด-เมียวดี ผ่านไปยังเมืองผาอัน เมืองมะละแหม่ง และไจทีโย เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
สมชัยฐ์ หทยะตันย์ติ พ่อเมืองตาก บอกว่า ในด้านของการค้าระหว่างไทยกับเมียนมา เปรียบได้กับ "ขุมทองแม็คเคนน่า (MacKenna?s Gold)" ที่ไทยสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาลจากความเป็นผู้นำในตลาดสินค้าของเมียนมา โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม และผงชูรสกว่า 80-90% เป็นสินค้านำเข้าจากไทย มีเพียงจำนวนน้อยที่นำเข้าจากจีน เนื่องจากปัญหาคุณภาพของสินค้า โดยสินค้าไทยยังมีโอกาสอีกมากทั้งในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก อาทิ หม้อหุงข้าว และพัดลม ถึงแม้ว่าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่จะเป็นของประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อยู่ก็ตาม
รวมทั้งตลาดรองเท้าก็ยังมีความน่าสนใจที่ไทยจะไปเจาะตลาด เนื่องจากรองเท้าที่เมียนมายังขาดความหลากหลาย ต่างจากธุรกิจเสื้อผ้าที่มีการแข่งขันกันสูง และตลาดรองเท้ายังมีขนาดใหญ่ เนื่องจากวัฒนธรรมของเมียนมาจะนิยมใช้รองเท้าแตะในชีวิตประจำวัน ทั้งงานที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
"นอกจากนี้ โรงงานหล่อพระพุทธรูปก็มีความน่าสนใจ เนื่องจากชาวเมียนมามีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมาก ทำให้มีการสร้างวัดจำนวนมาก แต่พระพุทธรูปที่สร้างโดยส่วนใหญ่ยังผลิตจากปูนปั้น หินแกะสลัก วัตถุดิบเหล่านี้นับวันก็ยิ่งจะลดลง ทำให้พระพุทธรูปหล่อจะมีความต้องการเป็นอย่างมากในอนาคต
รวมทั้งประเทศไทยและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตากยังสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์จากเมียนมาได้ อาทิ ป่าไม้ แร่ธาตุ หินทราย หินแกรนิต โดยสามารถนำมาผลิตเป็นวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง นอกจากนี้ เมียนมายังมีความต้องการอีกมากจากกำลังซื้อและชุมชนเมืองที่ขยายตัวมากขึ้น หากมีการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานทางถนนให้ดีแล้ว ไทยจะเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการค้าขายกับเมียนมาอย่างมาก
ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างที่รัฐบาลไทยเข้าไปช่วยก่อสร้างและซ่อมแซมเส้นทางถนนสายเอเชียจากด่านชายแดนแม่สอด ไปยังเมืองกอกะเร็ก ระยะทางกว่า 45 กม. ทำให้สามารถใช้เวลาเดินทางเพียง 40 นาที จากเดิมต้องใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น ยิ่งสามารถลดระยะเวลาในการขนส่งลงได้มากเท่าใด โอกาสของสินค้าไทยจะสามารถเข้ามาเจาะตลาดได้ก็ยิ่งมีมากเท่านั้น" นายสมชัยฐ์กล่าวอย่างมั่นใจ
ด้าน ติ่น ส่วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการโรงแรม ประเทศเมียนมา กล่าวว่า ในด้านของการท่องเที่ยวแล้ว ด่านชายแดนแม่สอด-เมียวดี ถือเป็น 1 ใน 5 ด่านชายแดนที่รัฐบาลเมียนมาให้ความสำคัญในการเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวทางถนน เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้แก่นักท่องเที่ยว นอกเหนือจากส่วนใหญ่ที่นิยมโดยสารมาทางเครื่องบิน และยังถือเป็นการช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจากฝั่งไทยที่มีประมาณปีละ 28-29 ล้านคน ให้เข้ามาเที่ยวยังเมียนมาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านคน ในปี 2558 ตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้ตั้งไว้ จากปี 2557 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจำนวน 3.08 ล้านคน
นอกจากในแง่ของการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวแล้ว รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศก็ควรหันมาให้ความสำคัญต่อเรื่องการเปิดฟรีวีซ่าให้แก่กัน โดยในปัจจุบันรัฐบาลเมียนมาอนุญาตให้ประเทศกัมพูชา ลาว และเวียดนาม สามารถเข้าประเทศโดยไม่ใช้วีซ่าแล้ว เหลือเพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น ทางรัฐบาลเมียนมาได้พยายามผลักดันการเจรจาเรื่องนี้อยู่ หากทำได้สำเร็จ เชื่อว่าการเปิดฟรีวีซ่าระหว่างกันจะช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศให้มีความสะดวกและใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
สำหรับ สมยศ ตาสะหลี ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดตาก และผู้ประกอบการในอำเภอแม่สอด มองว่า ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงการค้าหรือการท่องเที่ยว ปัจจัยสำคัญที่สุดคือโครงสร้างทางถนน ปัจจุบันในฝั่งเมียนมายังไม่ดี ทำให้ต้นทุนด้านโลจิสติกส์หรือการขนส่งค่อนข้างแพง หากเปรียบเทียบเป็นราคาปูนซีเมนต์ที่บริเวณด่านชายแดนจะอยู่ที่ถุงละ 105 บาท แต่พอเข้าไปในเมียนมาโดยใช้ระยะทางเพียงประมาณ 70 กม. ที่เมืองจ่องโด ราคาปูนขยับขึ้นมาที่ถุงละ 140 บาท แสดงให้เห็นถึงต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงมาก ทำให้มีผลต่อสินค้าไทย ที่อาจไปไม่ไกลมากนักในเมียนมา
หากมีการพัฒนาปรับปรุงและก่อสร้างถนนให้ดีขึ้นได้แล้ว ต้นทุนปูนซีเมนต์ที่มาถึงยังเมืองพะโค หรือบาโก ระยะทางประมาณ 361 กม. อาจจะเหลือราคาถุงละ 120 บาท ถึงเวลานั้นสินค้าไทยจะสามารถขยายตัวได้ทั้งประเทศเมียนมา และจากด่านแม่สอดยังจะสามารถขนส่งสินค้าออกไปทางถนนไกลถึงภูมิภาคเอเชียใต้ อาทิ บังกลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล ภูฏาน และทางตอนใต้ของจีนที่มณฑลยูนนานได้อีกด้วย
ถือว่าเป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่างประเทศที่ส่งผลดีให้กับทั้งสองประเทศอย่างแท้จริง
เวียดนาม เผยเศรษฐกิจช่วงครึ่งแรกปี 2558 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 5 ปี
กระทรวงวางแผนและการลงทุนของเวียดนามคาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเวียดนามในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 จะขยายตัว 6.11% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของช่วงครึ่งปีแรกนับตั้งแต่ปี 2553
กระทรวงเปิดเผยตัวเลขดังกล่าวในการประชุมว่าด้วยการผลิตและสถานการณ์ทางธุรกิจของเวียดนามในช่วงครึ่งปีแรก ที่จัดขึ้นในวันนี้
นายเหงียน ฟู ฮา ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจแห่งชาติของกระทรวง กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศช่วงครึ่งปีแรกจะยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยคาดว่าภาคก่อสร้างด้านอุตสาหกรรมจะขยายตัวสูงสุดที่ 8.36% เมื่อเทียบรายปี
ขณะเดียวกัน การขยายตัวในภาคบริการมีแนวโน้มแตะ 6.16% ส่วนภาคการเกษตร ป่าไม้และการประมง จะเพิ่มขึ้น 2.16% เมื่อเทียบรายปี
การขยายตัวของ GDP เวียดนามในช่วง 6 เดือนแรกนับว่าใกล้เคียงกับเป้าการเติบโตของ GDP ปีนี้ที่ 6.2% เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น
ในช่วงครึ่งปีแรก คาดว่ารายได้จากการค้าปลีกจะปรับตัวขึ้น 9.76% เมือเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าอัตรา 5.7% ในช่วงเดียวกันของปี 2557
อินโฟเควสท์
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด