พม่า จัดงานใหญ่อัดฉีดอุตสาหกรรมกีฬา หวังดึงนักธุรกิจไทยร่วมพันธมิตรในงาน MYANMAR SPORTS & LEISURE EXPO 2016
รัฐบาลพม่าตั้งเป้าดันเศรษฐกิจโต 3 เท่าภายใน 3 ปี พร้อมเตรียมแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ให้การสนับสนุนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมกีฬาและสุขภาพ ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบัน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการกีฬา และคณะกรรมการโอลิมปิก สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า จึงร่วมกับ บริษัท มินห์ วี แอดเวอร์ไทซิ่ง เซอร์วิส และ เอ็กซิบิชั่น จำกัด จัดงาน MYANMAR SPORTS & LEISURE EXPO 2016 หรือ งานแสดงสินค้าและนิทรรศการด้านกีฬาและสันทนาการ ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมการกีฬาให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ และทัดเทียมในระดับสากล ระหว่างวันที่ 20-22 พฤษภาคม พ.ศ.2559 ณ โรงแรม โรส การ์เด้น เมืองย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า
พันโท รุจ แสงอุดม รองผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาอาชีพและสิทธิประโยชน์ นายโรแมง มาร์เซลิ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ และนางสาว ซาบริน่า ฮง ผู้จัดการโครงการ บริษัท มินห์ วี แอดเวอร์ไทซิ่ง เซอร์วิส และ เอ็กซิบิชั่น จำกัด ได้ร่วมงานแถลงข่าวความพร้อมจัดงานใหญ่ครั้งแรกของสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า งาน MYANMAR SPORTS & LEISURE EXPO 2016 พร้อมด้วยผู้ประกอบการชั้นนำจากประเทศไทยกว่า 40 ราย
พันโท รุจ แสงอุดม รองผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาอาชีพและสิทธิประโยชน์ กล่าวว่า “ปัจจุบัน สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตในหลายด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจและคุณภาพของสังคม ร้อยละ 90 ของประชากรทั้งหมดกว่า 63 ล้าน สามารถอ่านและเขียนได้เป็นอย่างดี รวมทั้ง เยาวชนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ได้เดินทางกลับมายังประเทศ เช่นเดียวกับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาดำเนินธุรกิจภายในประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำรงชีวิตและการซึมซับวัฒนธรรมตะวันตก อันได้แก่ การพัฒนาด้านสุขภาพ โรงเรียนนานาชาติ การเติบโตของกีฬากอล์ฟ และศูนย์บริการด้านการกีฬาและสันทนาการต่างๆ ควบคู่ไปกับนโยบายการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของประเทศที่หวังเติบโตแบบก้าวกระโดด โตขึ้นอย่างน้อย 3 เท่า ภายใน 3 ปี พร้อมเตรียมแปรรูปรัฐวิสาหกิจ จึงทำให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าเป็นที่จับตามองของกลุ่มนักธุรกิจจากต่างประเทศ และในแถบอาเซียน”
สำหรับ อุตสาหกรรมการกีฬาและสันทนาการ สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ถือได้ว่าอยู่ในช่วงที่กำลังเติบโต และมีการแข่งขันที่ต่ำ เนื่องจากมีความต้องการของตลาดภายในประเทศเป็นอย่างมาก แต่ความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการนั้นมีอยู่เพียงจำกัด หรือมีผู้ให้บริการเพียงไม่กี่ราย การเปิดโอกาสให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการจากทั่วโลกได้เข้าไปดำเนินธุรกิจภายใน จะช่วยให้เกิดการแข่งขันและพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพ ราคา นวัตกรรมและเทคโนโลยี นำไปสู่การพัฒนาให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยีการกีฬาและสันทนาการของอาเซียนต่อไปในอนาคต
“การส่งเสริมและสนับสนุนภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมการกีฬาและสันทนาการ ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า นับเป็นโอกาสอันดีของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทย ที่จะได้นำความรู้ ประสบการณ์ เทคนิค วิธีการ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการกีฬา ไปเผยแพร่และสร้างสัมพันธ์อันดีทางการค้า ขณะเดียวกัน ในฐานะคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ก็ได้มีโอกาสพบปะและพูดคุยกับคณะกรรมการโอลิมปิก สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ถึงแนวทางการพัฒนาส่งเสริมและสนับสนุนกีฬา แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่ๆ ผลักดันให้การกีฬาสู่ความเป็นเลิศในแต่ละระดับต่อไป” พันโท รุจ กล่าว
นายโรแมง มาร์เซลิ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท มินห์ วี แอดเวอร์ไทซิ่ง เซอร์วิส และ เอ็กซิบิชั่น จำกัด และในนามกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการกีฬา และคณะกรรมการโอลิมปิก สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า กล่าวถึงการจัดงานครั้งนี้ว่า “งาน MYANMAR SPORTS & LEISURE EXPO 2016 เป็นงานที่รวบรวมผลิตภัณฑ์และบริการด้านกีฬาทั้งทางบกและน้ำ อุปกรณ์ออกกำลังกาย จักรยาน กีฬากลางแจ้ง สถานที่ออกกำลังกาย บริการด้านสุขภาพ สปา และอาหารเสริมสุขภาพ จากผู้ประกอบการชั้นนำทั่วโลกมาจัดแสดง ขณะเดียวกัน เป็นเวทีเจรจาธุรกิจการค้าเกี่ยวกับกีฬาและสันทนาการ สำหรับผู้ประกอบการภาคธุรกิจในแถบอาเซียน
การจัดงานครั้งนี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการทั่วโลกสนใจเข้าร่วมชมงานกว่า 2,000 ราย ร่วมแสดงงานกว่า 50 องค์กร จาก 10 ประเทศ อาทิ ประเทศไทย ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และอื่นๆสำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมแสดงสินค้าและบริการภายในงาน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ [email protected] หรือ http://www.sportex-myanmar.com
สิทธิประโยชน์ด้านภาษีธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าไปลงทุนในสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า
1. บริษัทที่มีการลงทุนในพม่าหรือร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าหรือการบริการ จะได้รับการยกเว้นภาษี 5 ปี ติดต่อกัน นับตั้งแต่วันเริ่มกิจการ
2. หากมีการนำเงินของบริษัทไปลงทุนในกองทุน จะได้รับการลดหย่อนภาษี และสามารถนำผลกำไรมาลงทุนได้ใหม่ภายใน 1 ปี
3. ค่าเสื่อมของเครื่องจักร อุปกรณ์ อาคาร สินทรัพย์ หรือ เงินทุนอื่นๆ สามารถนำมาประเมินภาษีเงินได้
4. ธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตและส่งออกสินค้า สามารถลดหย่อนภาษีได้ถึง 50%
5. นอกจากนี้ ยังได้สิทธิลดหย่อนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัยและกิจกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจในพม่า โดยกำหนดขอบเขตและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนของการดำเนินธุรกิจนั้นๆ
6. หากมีการลงทุนมากกว่า 1 บริษัทในพม่า และหากบริษัทใด บริษัทหนึ่งมีรายได้ที่ต่ำกว่าอีกบริษัท สามารถนำรายได้ของบริษัทที่ต่ำกว่าเพื่อการยื่นภาษีได้
7. ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ในช่วงระหว่างที่บริษัทกำลังก่อสร้าง
8. ได้รับการยกเว้นภาษีการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตในช่วง 3 ปีแรกของการดำเนินธุรกิจ หรือ การลดหย่อนภาษีสำหรับการค้าเพื่อการส่งออก
คำบรรยายใต้ภาพ
พันโท รุจ แสงอุดม (ที่สองจากซ้าย) รองผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาอาชีพและสิทธิประโยชน์ นางลัดดา มงคลชัยวิวัฒน์ (แรกซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซ๊. แมเนจเมนท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด นายโรแมง มาร์เซลิ (ที่สองจากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ และนางสาวซาบริน่า ฮง (แรกขวา) ผู้จัดการโครงการ บริษัท มินห์ วี แอดเวอร์ไทซิ่ง เซอร์วิส และ เอ็กซิบิชั่น จำกัด ได้ร่วมงานแถลงข่าวเปิดโอกาสผู้ประกอบการไทยลงทุนที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ในงาน MYANMAR SPORTS & LEISURE EXPO 2016 ซึ่งจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 20-22 พฤษภาคม พ.ศ.2559 ณ โรงแรม โรส การ์เด้น เมืองย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า พร้อมด้วยผู้ประกอบการชั้นนำจากประเทศไทยกว่า 40 ราย
'มติชน'ร่วมยินดี'ธานเนียน'สื่อเวียดนามครบรอบ 30 ปี 'กวง ธง'บรรณาธิการเผยเล็งจัดประชุมการลงทุนไทย-เวียดนาม ช่วงไตรมาสแรก ที่นครโฮจิมินห์
เมื่อวันที่ 3 มกราคม ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม หนังสือพิมพ์ธานเนียน จัดงานครบรอบ 30 ปีขึ้น มีตัวแทนรัฐบาล ตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ภาคเอกชนและพันธมิตรมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ธานเนียนได้ทำพิธีเปิดอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ที่ถนนเหวียนดิ่นห์เจี๋ยว เขต 3 ในนครโฮจิมินห์ และใช้สถานที่ดังกล่าวจัดงานด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือพิมพ์ธานเนียนก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1986 หรือปี พ.ศ.2529 เป็นหนังสือพิมพ์แนวเศรษฐกิจ สังคมและไลฟ์สไตล์ มีกลุ่มผู้อ่านเป็นคนรุ่นใหม่ของเวียดนาม
นายเหวียน กวง ธง บรรณาธิการกล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมสนับสนุนการทำงานด้านสื่อของธานเนียน ซึ่งจะมุ่งมั่นนำเสนอข่าวสารในช่องทางต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจให้เยาวชนและประชาชนเวียดนามต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือพิมพ์ธานเนียนซึ่งประกอบด้วยสิ่งพิมพ์และเว็บไซต์ข่าว ได้เซ็นเอ็มโอยูหรือบันทึกความร่วมมือกับเครือมติชนเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา โดยมีข้อตกลง 3 ประการ ได้แก่ ความร่วมมือทางข่าวสาร บทความ ในด้านโฆษณา และการจัดกิจกรรมต่างๆ และได้เริ่มดำเนินการตามข้อตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเปิดประชาคมอาเซียน
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ธานเนียนรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 มกราคม ตัวแทนจากหนังสือพิมพ์ธานเนียนของเวียดนามได้ให้การต้อนรับ และพบปะกับตัวแทนจากหนังสือพิมพ์เครือมติชน เพื่อหารือถึงรายละเอียดข้อตกลงความร่วมมือระดับทวิภาคีระหว่าง 2 ฝ่าย ที่มีการลงนามที่กรุงเทพฯเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558
รายงานระบุว่า ที่ตึกหนังสือพิมพ์ธานเนียนนครโฮจิมินห์ นายกวง ธง บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ธานเนียน กล่าวว่า สองฝ่ายจะหารือถึงความร่วมมือใน 3 ส่วน คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูล ความร่วมมือด้านการโฆษณา และการจัดกิจกรรมด้านธุรกิจ ด้วยความเป็นหุ้นส่วนระหว่างมติชนและธานเนียนเป็นกิจกรรมพิเศษของสื่อเวียดนาม และเราพร้อมสำหรับความร่วมมือเสมอ
"เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธานเนียนรับรู้ถึงความสำคัญของความร่วมมือสื่อในภูมิภาค พร้อมจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทยขึ้น" นายธงกล่าว และว่า ก่อนหน้าที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะเริ่มนั้น ธานเนียนเปิดหน้าข่าวอาเซียนขึ้นมา นำเสนอ 3 วันต่อสัปดาห์ ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงบทความต่างๆ และรายงานข่าวในภูมิภาคได้
ทั้งนี้ ในแง่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลนั้น นายธงกล่าวว่า หนังสือพิมพ์มติชนอาจให้ผู้สื่อข่าวของธานเนียนเขียนบทความสำหรับหนังสือพิมพ์มติชน ทางกลับกัน ธานเนียนอาจให้ผู้สื่อข่าวของมติชนเขียนบทความสำหรับหนังสือพิมพ์ธานเนียนด้วย
"เราจะมุ่งเน้นการรายงานข่าวที่เกี่ยวกับชุมชนธุรกิจชาวไทยและสินค้าไทยในเวียดนามรวมถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนของสองประเทศ" นายธงกล่าว และว่า ปัจจุบันเวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจของการลงทุนสำหรับบริษัทไทยหลายแห่ง ขณะที่นักท่องเที่ยวเวียดนามเลือกไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ชื่นชอบเช่นกัน ที่สำคัญ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสินค้าไทยได้รับความนิยมในเวียดนามเป็นอย่างมาก
"ขณะที่ในแง่ของการโฆษณาเมื่อบริษัทท้องถิ่นในเวียดนามได้ซื้อโฆษณาจากธานเนียนบริษัทดังกล่าวจะจ่ายเงินเพิ่มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากต้องการซื้อโฆษณาของมติชนที่เป็นภาษาไทย ในทางกลับกัน ธุรกิจของไทยที่ต้องการซื้อโฆษณาจากมติชนก็จ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อยเช่นกันหากต้องการซื้อโฆษณาหนังสือพิมพ์ธานเนียนในภาษาเวียดนาม
"ทั้งธานเนียนและมติชนยังวางแผนที่จะสร้างความร่วมมือทางการโฆษณาบนโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกด้วย" นายธงกล่าว และว่า ในแง่ของความร่วมมือการจัดกิจกรรมนั้น ธานเนียนและมติชนวางแผนร่วมกันจะจัดการประชุมการลงทุนไทย-เวียดนามในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ที่นครโฮจิมินห์ด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่าย มีแผนจะหารือเพิ่มเติมอีกครั้งที่กรุงเทพฯวันที่ 8 มกราคม
ทั้งนี้ ระหว่างการหารือ นายวรศักดิ์ ประยูรศุข บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน กล่าวแสดงความยินดีต่อหนังสือพิมพ์ธานเนียนในโอกาสครบรอบ 30 ปี หลังธานเนียนก่อตั้ง และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2529 ทั้งนี้ นายวรศักดิ์ได้เชิญผู้บริหารของหนังสือพิมพ์ธานเนียนเข้าร่วมงานครบรอบ 38 ปี การก่อตั้งมติชนในวันที่ 9 มกราคมด้วย
SCOOP AEC : นับถอยหลังสู่ AEC ฮาวาส ริเวอร์ออคิด ชี้สินค้าไทยควรรุกตลาดนำร่องใน CLMV
อีกไม่ถึงอาทิตย์ก่อนก้าวสู่ AEC ฮาวาส ริเวอร์ออคิด ชี้ผู้ประกอบการไทย ควรเร่งเจาะตลาดเพื่อนบ้านก่อน หวังให้สินค้าไทยรุก CLMV นำร่องเจาะตลาดผู้บริโภค เหตุความพร้อมด้วยปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐ การขนส่ง ระบบโลจิสติกส์ ความต้องการของผู้บริโภค ความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมและการสื่อสาร สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจและรายได้แก่ผู้ประกอบการในยุคเสรีการค้า ทั้งยังสร้างพื้นที่การตลาดให้สินค้าไทยแข็งแกร่งในระยะยาวอย่างยั่งยืน
นายสันติพงศ์ พิมลแสงสุริยา CEO และผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท ฮาวาส ริเวอร์ออคิด จำกัด ผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดครบวงจรรายเดียวในทุกตลาด CLMV กล่าวถึงโอกาสของผู้ประกอบการไทยหลังเปิด AEC ว่า “เราเหลือเวลาอีกไม่มาก ในการก้าวสู่ยุคการค้า AEC อย่างจริงจัง สำหรับผู้ประกอบการไทย ที่สนใจอาศัยช่องทางจำหน่ายที่ได้ประโยชน์จากความร่วมมือครั้งนี้ ควรเร่งสร้างโอกาสและช่องทางเข้าสู่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในเบื้องต้นก่อน เพื่อสร้างรายได้จากการค้ากับประเทศที่อยู่ใกล้ไทยอย่าง CLMV กัมพูชา ลาว เมียนมาและเวียดนาม ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่สินค้าไทยมีความได้เปรียบอยู่ค่อนข้างสูง อยากให้ผู้ประกอบการมองเห็นศักยภาพของผู้บริโภคในตลาดนี้จากการเพิ่มจำนวนสินค้าและบริการสู่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่แล้ว ยังเป็นการป้องกันคู่แข่งจากกลุ่มอาเซียนอื่นๆ ที่พร้อมเข้ามารุกตลาดของเราด้วย”
หลังจากเปิด AEC แล้ว ประเทศสมาชิกจะพบปัญหาเดียวกัน คือ การแข่งขันกับสินค้าท้องถิ่น สินค้าของสมาชิก AEC และแบรนด์ระดับโลก ที่ต้องการเจาะตลาดผู้บริโภคเดียวกันในกลุ่ม นอกจากเรื่องคุณภาพ ราคาสินค้าแล้ว ยังมีเรื่องของกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารการตลาดที่ต้องเจาะลึกผู้บริโภคแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะ 4 ประเทศกลุ่ม CLMV
นายสันติพงศ์ ยังกล่าวถึงประเด็นต่างๆ ที่ต้องนำมาใช้ในการวางแผนสำหรับการตลาดใน CLMV อาทิ
· ภาพรวมผู้บริโภค-ข้อมูลเชิงลึกในความต้องการและคุณภาพของสินค้าในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
· สื่อที่ทรงอิทธิพล 3 อันดับแรก-เพื่อการวางแผนให้ตรงจุด สิ่งที่ต้องระวัง คือ ข้อห้ามและวัฒนธรรมที่แตกต่าง
· อิทธิพลสื่อออนไลน์และพฤติกรรมสังคม-ควรมีข้อมูลของพฤติกรรมอย่างถูกต้องและความเข้าใจที่มากพอ
· สินค้าที่เป็นที่ต้องการในตลาดและคุณภาพของแบรนด์ที่นิยม-ช่วยให้สินค้าเป็นที่รู้จักและนิยมได้เร็วขึ้น
· สินค้าไทยที่เข้าตลาด CLMV ไปแล้ว-เพื่อหาพันธมิตรและช่องทางจำหน่ายได้รวดเร็วขึ้น
สุดท้ายสำหรับนักการตลาด นายสันติพงศ์ ได้ฝากข้อคิดว่า “ผู้บริโภคในกลุ่ม CLMV นี้จะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าจับตามากยิ่งขึ้น เพราะมีความสามารถในการเติบโตทั้งในเรื่องของรายได้ ความรู้ ความนิยมสินค้าไทย และเส้นทางขนส่งที่มีระบบขนส่งอย่างรถไฟความเร็วสูงในเร็วๆ นี้ จะช่วยให้การทำธุรกิจข้ามแดนในกลุ่มประเทศนี้มีความสะดวกสบายมากขึ้น เป็นการสร้างพื้นที่การตลาดให้สินค้าไทยแข็งแกร่งในระยะยาวอย่างยั่งยืนได้”
= = = = = = = = = = = =
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ บริษัท แอบโซลูท พีอาร์ จำกัด โทร. 093-616-6542 หรือ [email protected]
เกี่ยวกับริเวอร์ออคิด
ก่อตั้งในปีพ.ศ. 2543 กลุ่มริเวอร์ออคิด เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในการให้บริการด้านการสื่อสาร การตลาดที่ใหญ่สุดในกลุ่มประเทศอินโดจีน และเป็นบริษัทเดียวที่มีการดำเนินธุรกิจครบทั้ง 5 ประเทศของภูมิภาค ได้แก่ กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, ไทยและเวียตนาม ด้วยจำนวนพนักงานมากกว่า 250 คน
ให้บริการด้านการสื่อสารการตลาดครบวงจร ตั้งแต่โฆษณา, การผลิตสื่อทุกรูปแบบ, ประชาสัมพันธ์, การวิจัยและดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง และได้รับรางวัลในเวทีระดับนานาชาติต่างๆ อาทิ Gold Award สำหรับ Agency of The Year จากนิตยสาร Campaign Asia 3 ปีซ้อนในปี 2012, 2013 และ 2014 ด้านความ เป็นเลิศทางด้าน สร้างสรรค์งานยอดเยี่ยม และล่าสุด บริษัทในประเทศกัมพูชา, ลาว, พม่ายังได้รับรางวัล Gold และ Silver ด้านการบริหารสื่อยอดเยี่ยมในปี 2014
เกี่ยวกับฮาวาส
ฮาวาส เวิลด์ไวด์ ผู้นำด้านการสื่อการการตลาดแบบบูรณาการ เป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของกลุ่มฮาวาส ซึ่งเป็นผู้นำด้านการสื่อสาร (Euronext Paris SA: HAV.PA) และเป็นบริษัทแรกที่ได้รับรางวัล Global Agency of the Year ทั้งในด้าน Advertising Age และ Campaign ในปีเดียวกัน เครือข่ายของฮาวาส เวิร์ดไวด์มีพนักงานมากถึง 11,000 คนประจำอยู่ที่สำนักงาน 316 แห่งใน 120 เมืองใหญ่ของประเทศต่าง 75 ประเทศ
ลูกค้าปัจจุบันของ ฮาวาส ริเวอร์ออคิด
กกต.เมียนมาร์ ประกาศผลเลือกตั้งล่าสุด พรรค NLD กวาด 536 ที่นั่ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งของเมียนมาร์ (UEC) ประกาศว่า จนถึงขณะนี้ พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) กวาดที่นั่งใน 3 สภาไปแล้วทั้งสิ้น 536 ที่นั่ง ซึ่งรวมถึงสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 179 ที่นั่ง, สภาชาติพันธุ์ (สภาสูง) จำนวน 77 ที่นั่ง และสภาภูมิภาคหรือสภาแห่งรัฐจำนวน 280 ที่นั่ง
ขณะที่พรรคสหภาพเพื่อเอกภาพและการพัฒนา (USDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ได้ที่นั่งทั้งสิ้น 51 ที่นั่ง ซึ่งรวมถึง 17 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร, 4 ที่นั่งในสภาสูง และ 30 ที่นั่งในสภาภูมิภาคหรือสภาแห่งรัฐ
เมื่อวานนี้ UEC ประกาศว่า นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรค NLD ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และได้รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเมียนมาร์
อินโฟเควสท์
กกต.เมียนมาร์ยกเลิกการเลือกตั้งซ่อมส.ส.
กกต.เมียนมาร์ยกเลิกการเลือกตั้งซ่อมส.ส. คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติเมียนมาร์ ประกาศยกเลิกการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. 35 ที่นั่ง ที่มีกำหนดจัดขึ้นในเดือน พ.ย. นี้ โดยให้เหตุผลเรื่องภาระงาน และความคุ้มค่าของงบประมาณที่จะใช้ไปกับการจัดการเลือกตั้ง วันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2557 เวลา 1:19 น. หมวด: ต่างประเทศ คำสำคัญ: เมียนมาร์ คณะกรรมการการเลือกตั้ง เลือกตั้งซ่อม ออง ซาน ซูจี เอ็นแอลดี พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ว่า นายถิ่น เอย์ ประธานาคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติเมียนมาร์ (กกต.) เผยต่อผู้สื่อข่าวในวันนี้ ยกเลิกการเลือกตั้งซ่อมที่จะจัดขึ้นในเดือน พ.ย. นี้ เพื่อสรรหา ส.ส. 35 คน มาแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้เหตุผลถึงภาระงานต่างๆ ของรัฐบาล ทั้งการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน (อาเซียนซัมมิท) ในเดือนเดียวกัน การเตรียมตัวจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือน พ.ย. 2558 รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้ง และความยุ่งยากของกฎหมายเลือกตั้ง ที่กำหนดให้แต่ละพรรคการเมืองต้องส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่งอย่างน้อย 3 คน จากทั้งหมด 67 พรรค ซึ่งผลที่ได้คาดว่าน่าจะไม่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจทางการเมืองของประเทศมากเท่าไร เพราะเป็นเพียง ส.ส. ส่วนน้อย ด้านพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางออง ซาน ซูจี ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน แม้จะไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกกระทันหัน ทั้งที่มีการประกาศกำหนดการล่วงหน้า แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจของคณะกรรมการเลือกตั้ง โดยมองว่าเป็นโอกาสดีที่จะเตรียมตัวเพื่อการเลือกตั้งในปีหน้าได้อย่างเต็มที่ โดยการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. 46 ที่นั่ง เมื่อเดือน เม.ย. 2555 พรรคเอ็นแอลดีส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่ง 44 ที่นั่ง และได้คะแนนเสียงจากประชาชนไปอย่างถล่มทลายถึง 43 ที่นั่ง ซึ่งส่งให้นางออง ซาน ซูจี เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก หลังประเทศเริ่มเดินหน้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย.“
http://www.dailynews.co.th/foreign/265103
เต็ง เส่ง แสดงความยินดีต่อ NLD ขณะตอบรับซูจีร่วมถกสร้างความปรองดอง
ประธานาธิบดีเต็ง เส่งแห่งเมียนมาร์แสดงความยินดีต่อพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ที่ประสบชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ปธน.เต็ง เส่งยังได้ขอบคุณพรรค NLD สำหรับความร่วมมือในการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย
โฆษกประธานาธิบดีเต็ง เส่งระบุว่า รัฐบาลจะเคารพการตัดสินใจของประชาชน และจะดำเนินการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ
นอกจากนี้ ปธน.เต็ง เส่งยังได้ตอบรับเทียบเชิญจากนางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรค NLD ที่เสนอจัดการประชุมร่วมกับปธน.เต็ง เส่ง, นายฉ่วย มาน ประธานสภาผู้แทนราษฎร และพลเอกมิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือเกี่ยวกับกระบวนการสร้างความปรองดองในประเทศ
ปธน.เต็ง เส่งระบุว่า พร้อมรับข้อเสนอจากนางซูจี หลังกระบวนการนับคะแนนเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งของเมียนมาร์ (UEC) เสร็จสิ้นลง
นายฉ่วย มาน พร้อมให้ความร่วมมือกับนางซูจีเช่นกัน แต่พลเอกมิน อ่อง ลาย ยังไม่ได้ให้คำตอบแต่อย่างใด
UEC ประกาศผลการเลือกตั้งล่าสุดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, สมาชิกสภาชาติพันธุ์ (สภาสูง) และสมาชิกสภาภูมิภาคหรือสภาแห่งรัฐ จำนวน 506 ที่นั่ง
ในจำนวนสมาชิกรัฐสภา 506 คนนั้น เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 149 ที่นั่ง, สมาชิกสภาสูงจำนวน 83 ที่นั่ง และสมาชิกสภาภูมิภาคหรือสภาแห่งรัฐ จำนวน 274 ที่นั่ง
ทั้งนี้ ในบรรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้รับการเลือกตั้งล่าสุดจำนวน 149 ที่นั่งนั้น พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ได้ไป 134 ที่นั่ง ขณะที่พรรคสหภาพเพื่อเอกภาพและการพัฒนา (USDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ได้ไปเพียง 8 ที่นั่ง
ส่วนสมาชิกสภาสูงที่ได้รับการเลือกตั้งล่าสุดจำนวน 83 ที่นั่งนั้น พรรค NLD ได้ไป 77 ที่นั่ง ขณะที่พรรค USDP ได้ 4 ที่นั่ง
สำหรับ สมาชิกสภาภูมิภาคหรือสภาแห่งรัฐที่ได้รับการเลือกตั้งล่าสุดจำนวน 274 ที่นั่งนั้น พรรค NLD ได้ไป 234 ที่นั่ง ขณะที่พรรค USDP ได้ 26 ที่นั่ง
จนถึงขณะนี้ พรรค NLD ได้ที่นั่งในทั้ง 3 สภารวมกัน 445 ที่นั่ง ซึ่งรวมถึง 134 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร, 77 ที่นั่งในสภาสูง และ 234 ที่นั่งในสภาภูมิภาคหรือสภาแห่งรัฐ
ส่วนพรรค USDP ได้ที่นั่งในทั้ง 3 สภารวมกัน 38 ที่นั่ง ซึ่งรวมถึง 8 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร, 4 ที่นั่งในสภาสูง และ 26 ที่นั่งในสภาภูมิภาคหรือสภาแห่งรัฐ
หัวหน้าทีมสังเกตการณ์ EU พอใจการเลือกตั้งเมียนมาร์เป็นไปอย่างโปร่งใส
นายอเล็กซานเดอร์ กราฟ แลมบ์สดอร์ฟ หัวหน้าทีมสังเกตการณ์การเลือกตั้งจากสหภาพยุโรป (EU) เปิดเผยในวันนี้ว่า การเลือกตั้งทั่วไปของเมียนมาร์เป็นไปอย่างโปร่งใส และน่าเชื่อถือ ขณะที่กระบวนการเลือกตั้งดำเนินไปดีกว่าที่คาดไว้
นายแลมบ์สดอร์ฟกล่าวว่า การเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ผ่านมามีการดำเนินการเป็นอย่างดี และผู้ลงคะแนนเสียงสามารถเลือกผู้สมัครที่แตกต่างกัน
เขาระบุว่า ผู้ลงคะแนนของเมียนมาร์ออกมาใช้สิทธิเป็นจำนวนมาก และการเลือกตั้งเป็นไปอย่างสงบ
นายแลมบ์สดอร์ฟชี้ว่า เป็นเรื่องสำคัญที่เมียนมาร์จะต้องรักษาความโปร่งใส และความเที่ยงตรงไว้ในระดับสูงต่อไป
นอกจากนี้ เขาระบุว่า ทางการเมียนมาร์ยังต้องทำการปฏิรูปด้านกฎหมาย และปรับปรุงกระบวนการเลือกตั้งต่อไป
ทั้งนี้ EU ได้ส่งเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์จำนวน 150 คนไปปักหลักเพื่อสังเกตการณ์การเลือกตั้งในกว่า 500 คูหาเลือกตั้งของเมียนมาร์ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ทีมสังเกตการณ์จาก EU จะยังคงอยู่ในเมียนมาร์จนถึงเดือนธ.ค.เพื่อจัดทำรายงานฉบับสุดท้าย พร้อมข้อเสนอแนะสำหรับการเปิดเผยต่อสาธารณชน
อินโฟเควสท์
โลกยินดี ชัยชนะพรรคซูจี ผลเป็นทางการ ต้องรออีก 10 วัน มั่นใจถล่มทลาย ยิ่งลักษณ์ชื่นชม ปชป.อัดพท.โหน
ผู้นำทั่วโลกร่วมแสดงความยินดี'ประชาธิปไตย ในพม่า'หลังการเลือกตั้งผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ค่อนข้างโปร่งใส มีผู้ใช้สิทธิ์เป็นประวัติการณ์ รมว.ต่างประเทศมะกัน'จอห์น แคร์รี่'ชี้ระบบการเมืองพม่าก้าวไปอีกขั้น แต่ยังไม่สมบูรณ์ต้องรอผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการเสียก่อน 'ยิ่งลักษณ์'โพสต์แสดงความยินดีผลการเลือกตั้ง และการแสดงออกในระบอบประชา ธิปไตยที่มีประชาชนมาใช้สิทธิ์เกิน 80 เปอร์ เซ็นต์ ด้านออง ซาน ซู จี ชี้ยังเร็วเกินไปที่จะแสดงความยินดีกับชัยชนะของผู้สมัคร แนะผู้ปราชัยต้องยอมรับผล ขณะเดียวกันผู้ชนะ ก็ต้องไม่เยาะเย้ยคนพ่ายแพ้ให้รู้สึกแย่ไปด้วย โฆษกพรรคเอ็นแอลดีระบุพรรคกวาดที่นั่ง ถึงร้อยละ 70 โดยเฉพาะในภาคกลาง
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9113 ข่าวสดรายวัน
ประกาศชัย - นางออง ซาน ซู จี ผู้นำพรรคเอ็นแอลดี ประกาศกับประชาชนผู้สนับสนุนมั่นใจว่าพรรคได้รับชัยชนะเลือกตั้งในการหย่อนบัตรเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ณ ที่ทำการพรรค กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 9 พ.ย.
เมื่อวันที่ 9 พ.ย. สำนักข่าวต่างประเทศ ทั้งเอพี เอเอฟพี บีบีซี ซีเอ็นเอ็น ต่างรายงานความคืบหน้าผลการนับคะแนนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศพม่าว่าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี ภายใต้การนำของนางออง ซาน ซู จี กวาดชัยชนะไปอย่างถล่มทลาย โดยพรรครัฐบาล พรรคสหสามัคคีและการพัฒนา หรือยูเอสดีพี ยอมรับผลที่ออกมาโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ หลังการนับคะแนนในช่วงแรกพรรคกวาดที่นั่งไปได้กว่าร้อยละ 70 เฉพาะในนครย่างกุ้ง เอ็นแอลดีกวาดที่นั่งส.ส. จำนวน 12 ที่นั่งในนครย่างกุ้ง ขณะที่นางซู จีกล่าวด้วยความเชื่อมั่นว่าพรรคจะชนะการเลือกตั้ง ทั้งยัง เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนอย่าเยาะเย้ยผู้พ่ายแพ้
"ตอนนี้ยังเร็วไป ที่จะแสดงความยินดีต่อผู้สมัครของพรรคที่จะเป็นผู้ชนะ และดิฉันขอเตือนทุกคนว่า ไม่เพียงผู้สมัครปราชัยต้องยอมรับผลของผู้ชนะ สิ่งสำคัญคือต้องไม่ เยาะเย้ยผู้สมัครที่ไม่ชนะให้รู้สึกแย่ลงไป"นางซู จี ผู้นำพรรคเอ็นแอลดีกล่าวและว่า ชัยชนะนี้เป็นของประชาชนทั้งประเทศ
ทั้งนี้ พรรคเอ็นแอลดียังมีผู้สังเกตการณ์หลายพันคนที่ไปประจำตามคูหาในช่วงหย่อนบัตรเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 พ.ย. โดยติดตามสังเกตการณ์และสำรวจจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์จนถึงช่วงปิดหีบบัตร เพื่อส่งข้อมูลไปยังแกนนำพรรคให้ประเมินผลก่อนที่จะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ
นายวิน เทียน โฆษกพรรคเอ็นแอลดีให้สัมภาษณ์เอพีว่า ผลการเลือกตั้งในรัฐบริเวณภาคกลาง พรรคกวาดคะแนนเสียงได้ถึงร้อยละ 80 ส่วนพรรคที่เป็นของกลุ่มชาติพันธุ์มีคะแนนลดลงไปตั้งแต่ร้อยละ 70 ถึงร้อยละ 50
ด้านนายเทย์ โอ รักษาการหัวหน้าพรรคยูเอสดีพี และนายฉ่วย มาน ประธานสภาผู้แทนและอดีตหัวหน้าพรรคยูเอสดีพี ต่างกล่าวยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง และว่าพรรคจำเป็นต้องหาสาเหตุถึงความพ่ายแพ้ต่อไป ในขณะที่หนังสือพิมพ์นิวไลต์ออฟเมียนมา กระบอกเสียงของรัฐบาลพม่า พาดหัวข่าวว่า "รุ่งอรุณของยุคใหม่ หลายล้านคนใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์" อันเป็นข้อความที่ยอมรับผลการเลือกตั้งในครั้งนี้
ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อนในปี 2554 พรรคยูเอสดีพี ภายใต้การนำของประธานา ธิบดีเต็ง เส่ง อดีตพลเอกที่ผันมาเป็นพลเรือน เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ เนื่องจากพรรคเอ็นแอลดีคว่ำบาตร เพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยคณะทหาร สำหรับผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการอาจต้องใช้เวลานถึง 10 วัน
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า การเลือกตั้ง ครั้งนี้ดำเนินไปอย่างเป็นอิสระที่สุดครั้งหนึ่งของพม่า หลังจากการบริหารประเทศของรัฐบาลกึ่งพลเรือนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาในการถ่ายโอนสู่การเป็นประชาธิปไตย โดยมีพรรคการเมืองต่างๆ 91 พรรคส่งผู้สมัครลงชิงชัย ส่วนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงครั้งแรกสูงกว่า 30 ล้านคน รวมถึงนางซู จี จึงเป็นความหวังถึงการปฏิรูปประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม นักสังเกตการณ์ชี้จุดอ่อนในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า ทางการได้กีดกันชาวโรฮิงยา ซึ่งเคยมีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งกว่า 5 แสนคน ด้วยการปรับเปลี่ยนการประเมินให้เป็นชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ยังไม่ถึงกับทำให้พม่าเป็นประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบันนี้กำหนดสัดส่วนสมาชิกสภาไว้ให้ทหารสูงถึงร้อยละ 25 และยังมีเนื้อหาที่กีดกันไม่ให้นาง ซู จี ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ตามที่เขียนห้ามบุคคลที่มีสามีหรือบุตรที่มีสัญชาติอื่นนอกจากพม่าขึ้นเป็นผู้นำประเทศ ในขณะที่บุตรชายทั้งสองของนางซู จี ถือสัญชาติอังกฤษ ซึ่งในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ นางซู จี ประกาศว่า หากพรรคเอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้ง พรรค มีแผนไว้แล้วว่าจะหาบุคคลที่เหมาะสมมาเป็นประธานาธิบดี และตนจะมีบทบาทเหนือประธานาธิบดีเพื่อขับเคลื่อนนโยบายของพรรคในการบริหารประเทศตามที่หาเสียงไว้
สำหรับ ปฏิกิริยาจากสหรัฐอเมริกา นายจอห์น แคร์รี่ รมว.ต่างประเทศกล่าวแสดงความยินดีต่อชาวพม่าที่มีการเลือกตั้งครั้งประวัติ ศาสตร์อย่างสันติ การที่คนนับล้านออกมาใช้สิทธิ์เป็นครั้งแรก และคว้าโอกาสที่จะขับเคลื่อนเข้าสู่ประชาธิปไตย ที่เคารพสิทธิของทุกคนไปอีกขั้นนั้น เป็นความกล้าหาญและการอุทิศตนของชาวพม่ามานานหลายสิบปี อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การเลือกตั้งนี้จะสำคัญ แต่ก็ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์ ผู้สังเกตการณ์ทั่วโลกจึงจะจับตากระบวนการนับคะแนนต่อไป
ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความยินดีของประชาชนชาวเมียนมาว่า ขอแสดงความยินดีกับประเทศและประชาชนชาวเมียนมา ที่ผ่านการเลือกตั้งครั้งประวัติ ศาสตร์ไปอย่างเรียบร้อย และมีประชาชนร่วมใช้สิทธิ์เลือกตั้งมากถึง 80% ถือเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง ในการก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้น สมตามเจตนารมณ์และความคาดหวัง ที่ชาวเมียนมาและชาวโลกปรารถนา ขอส่งกำลังใจและความปรารถนาดีอย่างสุดซึ้งมายังประเทศและประชาชนชาวชาวเมียนมาทุกท่าน ให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างหนักแน่นและมั่นคงต่อไป"
ขณะที่แฟนเพจเข้าไปกดไลก์และให้กำลังใจจำนวนมาก มีบางคนบ่นท้อถึงประชาธิป ไตยในประเทศไทย และการเลือกตั้งว่าไม่รู้จะกลับมาเมื่อไร บางคนแสดงความเห็นขอให้อดีตนายกฯ เตรียมตัวไว้ว่า อีกไม่นานคนส่วนใหญ่จะเลือกให้กลับเข้ามาทำงานอีกครั้ง
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรอง นายกฯ และอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า อยากให้คนของพรรคประชาธิปัตย์ หันกลับมาดูตัวเองด้วยว่าวันนี้คนเมียนมามีความสุขที่ได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์นัก ขณะที่ไทยเรามีระบอบประชาธิปไตยมานาน และเราน่าจะเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตยที่สากลยอมรับและพัฒนาให้ดีขึ้น แต่กลับมีพวกที่ชอบถ่วงความเจริญ ไม่ยอมรับฟังเสียงข้างมากของประชาชน ทำให้ประชาธิปไตยในไทยก้าวถอยหลัง และวันนี้ต้องมาเริ่มต้นเขียนกฎกติกาเลือกตั้งและยกร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ แม้แต่วิธีนับคะแนนเสียงส.ส. ก็ต้องการความได้เปรียบ เพื่อหวังชนะเลือกตั้งโดยไม่คำนึงถึงความยุติธรรมและเคารพเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง
"เป็นเพราะมีคนจำพวกหนึ่งเป็นพวกขี้แพ้แล้วไม่ยอมแพ้ ออกมากล่าวหาว่ามีการซื้อเสียง โกงเลือกตั้ง เสียงข้างมากเป็นเผด็จการสภา พวกมากลากไป ทุกวาทกรรมที่ออกมาเพื่อล้มรัฐบาล สร้างความวุ่นวายต่างๆ นานา จนทหารต้องยึดอำนาจ ขอถามจริงๆ ว่าไม่รู้สึกละอายแก่ใจกันบ้างหรือ โดยเฉพาะพอรู้ว่าจะแพ้การเลือกตั้งก็บอยคอตการเลือกตั้ง" นายสุรพงษ์กล่าว
วันเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เขียนข้อความผ่าน เฟซบุ๊กระบุว่าเห็นคนของพรรคเพื่อไทย ออกมาโหนกระแสชัยชนะของนางออง ซาน ซู จี ต่อการเลือกตั้งในเมียนมา แต่สิ่งที่เพื่อไทย ลืมไป ระหว่างนางออง ซาน กับน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้นเทียบกันไม่ได้ ออง ซานเขาต่อสู้และเป้าหมายของเขาคือประชาชนชาวเมียนมาแต่น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ใครๆ ก็รู้ว่าทำเพื่อใคร
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด