Analysis : เมียนมาขานรับสหรัฐยกเลิกคว่ำบาตร หวังดึงดูดเม็ดเงินลงทุนสู่ดินแดนอิรวดี
เมียนมา ขานรับสหรัฐประกาศยกเลิกการคว่ำบาตรพร้อมกับคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP)โดยการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้เมียนมามีบรรยากาศด้านการลงทุนที่ดีขึ้น โดยเมียนมาให้คำมั่นว่า จะดำเนินเตรียมการอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการแก้ไขนโยบายในครั้งนี้
ภายหลังจากการหารือในระดับทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ และนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมาในระหว่างการเดินทางไปเยือนสหรัฐเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รัฐบาลพลเรือนขึ้นปกครองประเทศเมียนมานั้น ฝ่ายสหรัฐได้ออกแถลงการณ์ให้คำมั่นสัญญาว่าจะคืนสิทธิ GSP ให้กับเมียนมา
แถลงการณ์ของสำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐในวอชิงตันระบุว่า สหรัฐจะคืนสิทธิ GSP ให้กับเมียนมาในวันที่ 13 พ.ย.ปีนี้ การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลให้เมียนมามีโอกาสในการส่งออกผลิตภัณฑ์เกือบ 5,000 รายการไปยังสหรัฐโดยไม่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ สหรัฐได้ตัดสิทธิ GSP สำหรับ เมียนมามาตั้งแต่ปี 2532 เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสิทธิของแรงงาน โดยในปี 2556 เมียนมาได้เริ่มต้นการเจรจาเพื่อขอคืน GSP
โอบามากล่าวภายหลังการประชุมในระดับทวิภาคีว่า สหรัฐกำลังเตรียมที่จะยกเลิกการคว่ำบาตรต่อเมียนมาในส่วนที่เหลือและจะดำเนินการในเร็วๆนี้
แถลงการณ์ร่วมของทั้งสองประเทศระบุว่า สหรัฐยังจะยกเลิกแผนฉุกเฉินแห่งชาติว่าด้วยเมียนมา ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2540 อีกด้วย โดยจะยกเลิกกรอบการทำงานตามคำสั่งของฝ่ายบริหารว่าด้วยการคว่ำบาตรต่อเมียนมา
นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการยอมรับในความสำเร็จในการเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยของเมียนมา ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้งและรัฐบาลที่มาจากพลเรือน
ผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาคกล่าวแสดงความเห็นว่า สหรัฐยังไม่ควรจะยกเลิกการคว่ำบาตรการนำเข้าสินค้าบางรายการ เช่น หยกและทับทิม การซื้อขายอาวุธ และบัญชีดำบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับอดีตรัฐบาลทหารของเมียนมา
อย่างไรก็ดี ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดดังกล่าวระบุว่า การลบรายชื่อนักธุรกิจที่ทรงอำนาจออกจากบัญชีดำนั้น จะทำให้มีผลในด้านบวก เนื่องจากบางรายเป็นผู้ที่มีบทบาทที่สำคัญในระบบเศรษฐกิจของเมียนมา
นายออง โค โค นักเศรษศาสตร์ของเมียนมากล่าวว่า สหรัฐอาจจะคงการคว่ำบาตรการนำเข้าหยก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนและมีปัญหาเรื้อรังมานาน
ด้านนาย ออง ทัน อู ประธานสมาพันธ์ข้าวของเมียนมาร์กล่าวว่า "ถึงแม้ว่าจะมีการคืนสิทธิพิเศษทางการค้าภายใต้โครงการ GSP ของสหภาพยุโรป (EU) ตั้งแต่ปี 2556 มาแล้วก็ตาม แต่เมียนมาก็ยังคงไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ เนื่องจากภาคธุรกิจของเมียนมาไม่ได้มีโครงสร้างที่ดี รวมทั้งขาดการควบคุมคุณภาพและแหล่งเงินทุน"
"สำหรับในส่วนของข้าว เรามีข้าวเพียงแค่ 2,000 ตันสำหรับการส่งออกไปยัง EU ในแต่ละเดือน" เขากล่าว
ในภาพรวมแล้ว มีบริษัทสหรัฐในเมียนมาเพียง 17 แห่งและมีมูลค่าการค้ารวมที่ 248.216 ล้านดอลลาร์ ณ เดือนส.ค.ของปีงบประมาณ 2559-2570 โดยความสัมพันทางการค้าในระดับทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศได้เริ่มขึ้นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนในปี 2554 ขณะที่ในปีงบประมาณ 2558-2559 มูลค่าการค้าในระดับทวิภาคีแตะที่ 196.902 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
ในยุคของรัฐบาลทหาร การลงทุนของสหรัฐต้องดำเนินการผ่านทางบุคคลที่สาม เนื่องจากมีข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งส่งผลให้เมียนมาไม่สามารถเข้าถึงการค้าและรายได้
นายอู ออง เนียง อู ผู้อำนวยการทั่วไปของสำนักงานบริหารการลงทุนและบริษัทเอกชนกล่าวว่า การยกเลิกการคว่ำบาตรจะช่วยให้เมียนมามีบรรยากาศด้านการลงทุนที่ดีขึ้น
บทวิเคราะห์โดย May Oo จากสำนักข่าวซินหัว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
นายปรัก สุคน (H.E.Mr.Prak Sokhonn)รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล 26 สิงหาคม 2559
นายปรัก สุคน (Mr. Prak Sokhonn) รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 10
วันนี้ (26 ส.ค. 59) เวลา 15.30 น. นายปรัก สุคน (Mr.Prak Sokhonn) รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 10 ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้พบกับรมว.กต. กัมพูชาอีกครั้งในโอกาสที่ รมว.กต กัมพูชาเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชามาเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 10 ทราบว่าการประชุมประสบความสำเร็จด้วยดี และขอบคุณที่รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์เคารพการตัดสินใจของประชาชนไทยในการทำประชามติ พร้อมแสดงความชื่นชมกัมพูชาที่ได้สร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศพ้นจากการเป็นประเทศรายได้น้อย
ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อพลวัตความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชา โดยที่ผ่านมามีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงของทั้งสองฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ และยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะกระชับความสัมพันธ์ในทุกระดับและส่งเสริมความร่วมมือทุกด้าน
ด้านการเปิดหรือยกระดับจุดผ่านแดน นายกรัฐมนตรียินดีต่อความคืบหน้าของการสำรวจและเก็บรายละเอียดภูมิประเทศในบริเวณที่ได้ตกลงกันให้ดำเนินการเพื่อเปิดหรือยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวรในอนาคต สำหรับการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ที่บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท รัฐบาลไทยได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเกี่ยวกับการเปิดจุดผ่านแดนให้ได้โดยเร็ว ทั้งนี้รมว.กต. กัมพูชาประสงค์ที่จะเปิดจุดผ่านแดนกับไทยเพิ่มขึ้นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอำนวยความสะดวกการไปมาหาสู่ระหว่างกัน อย่างไรก็ดีนายกรัฐมนตรีขอให้กัมพูชาตรวจสอบเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ตามแนวชายแดน และการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยขอให้กัมพูชาประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจต่อประชาชนของตนมิให้เข้ามาลักลอบตัดต้นไม้ในฝั่งไทย
ความร่วมมือด้านแรงงาน รมว.กต.กัมพูชายินดีที่ไทยและกัมพูชามีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในด้านแรงงาน และขอบคุณที่รัฐบาลไทยให้ความดูแลแรงงานชาวกัมพูชาเป็นอย่างดี ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าฝ่ายไทยวางมาตรการต่างๆ เพื่อการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวให้มีประสิทธิภาพขึ้น และฝากให้กัมพูชาเร่งดำเนินการเรื่องการรับรองสัญชาติและการออกหนังสือเดินทางให้กับแรงงานกัมพูชาในประเทศไทยที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วเพื่อให้มีการจ้างงานอย่างเป็นระบบต่อไป
ด้านการสร้างความเชื่อมโยง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงด้านคมนาคมกับกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นถนน รางหรือการเดินเรือชายฝั่ง ซึ่งนอกจากจะเชื่อมโยงไทยกับกัมพูชาแล้วยังเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคด้วย
ด้านการค้าและการลงทุน นรม.กต.กัมพูชา หวังได้รับการสนับสนุนจากไทยในด้านการค้าและการลงทุน เพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างกัน และเห็นว่าภาครัฐของทั้งสองฝ่ายต้องช่วยกันอำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนให้มากขึ้น
นอกจากนี้รมว.กต กัมพูชายังหวังให้ไทยให้ความช่วยเหลือในสาขาที่ไทยมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสาธารณสุข และการศึกษา รวมถึงความร่วมมือกับกัมพูชาด้านพลังงาน ทั้งด้านไฟฟ้าและแหล่งพลังงานเพิ่มเติม
ก่อนจบการหารือนายกรัฐมนตรีฝากความระลึกถึงไปยังสมเด็จอัคคมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พร้อมยังได้ฝากคำเชิญนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือแห่งเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue Summit) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ด้วย
oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo
ฮาวาสริเวอร์ออคิด ย้ำสินค้าไทยมีโอกาสโตในเมียนมาร์ ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพและภาพลักษณ์ แนะผู้ประกอบการไทยเร่งรุกตลาดในเมียนมาร์
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ นับเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่ม CLMV ที่เป็นเป้าหมายการลงทุนของผู้ประกอบการจากนานาชาติ รวมทั้งผู้ประกอบการจากประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economics Community – AEC) ซึ่งกลุ่มประเทศใน CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) ถือเป็นตลาดที่เอื้อให้ผู้ประกอบการเข้าไปทดสอบศักยภาพก่อนจะขยายสู่ตลาด AEC ต่อไป พร้อมย้ำสินค้าไทยมีโอกาสประสบความสำเร็จในเมียนมาร์ เพราะผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในคุณภาพและภาพลักษณ์ของสินค้าไทย
นายสันติพงศ์ พิมลแสงสุริยา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทฮาวาสริเวอร์ออคิด ผู้ให้บริการธุรกิจสื่อสารการตลาดในกลุ่ม CLMV เปิดเผยว่าล่าสุด ฮาวาสริเวอร์ออคิดได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับระดับของภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และแหล่งที่มาของสินค้า ที่ผู้บริโภคในเมียนมาร์มีต่อสินค้าไทยและสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากสิงค์โปร, จีน, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, เกาหลี, ยุโรป, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยทำวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 504 คนในเมียนมาร์ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
จากการวิจัยพบว่าผู้บริโภคในเมียนมาร์ให้ความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าไทยเทียบเท่ากับสินค้าที่มาจากญี่ปุ่นและสิงค์โปร ในด้านภาพลักษณ์ของสินค้า ผู้บริโภคในพม่าให้ความเชื่อมั่นในภาพลักษณ์ของสินค้าไทยเทียบเท่ากับสินค้าของญี่ปุ่น โดยจะเห็นว่าผู้บริโภคในพม่าให้ความเชื่อมั่นทั้งคุณภาพและภาพลักษณ์ของสินค้าไทยเทียบเท่ากับสินค้าที่มาจากญี่ปุ่น
นายสันติพงศ์กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากความได้เปรียบในด้านความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคในเมียนมาร์มีต่อสินค้าไทย เราแนะนำให้สินค้าไทยที่มีแบรนด์อยู่แล้ว ให้เข้าไปทำตลาดในพม่าได้เลย สำหรับสินค้าไทยที่ยังไม่มีแบรนด์ หรือแบรนด์ยังไม่ได้มีชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งผู้ประกอบการที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ในประเทศ ก็ยังสามารถขยายตลาดเข้าไปในพม่าได้ ด้วยความได้เปรียบของสินค้าไทยตามที่ได้กล่าวมา ทั้งนี้ จะต้องมีการสร้างแบรนด์ควบคู่กับการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง”
นอกจากนี้ นายสันติพงศ์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการศึกษาเทรนด์ในเมียนมาร์ในปีที่ผ่านมา พบว่า เทรนด์ค่านิยมในประเทศเมียนมาร์ค่อนข้างมีอิทธิพลอย่างสูงต่อพฤติกรรมผู้บริโภค และเป็นตัวกำหนดแนวโน้มของตลาดอย่างเด่นชัด เช่นในเรื่องของความกลัว เพราะเมียนมาร์เพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นาน เมื่อมีสิ่งใหม่ ๆ หลายอย่างเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวันจึงทำให้เกิดเป็นความกลัว ดังนั้นผู้ประกอบการต้องทำให้ผู้บริโภคไว้ใจ ไม่กลัวการใช้สินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ทำให้ผู้บริโภคมองเห็นปัญหาและนำเสนอสินค้าหรือบริการที่เข้าไปช่วยแก้ปัญหา ส่วนเทรนด์ค่านิยม K-Pop สู่ My-Pop ผู้บริโภคได้นำเอาแนวคิดทางแฟชั่น การสื่อสาร และคอนเทนต์จากประเทศต่าง ๆ มาแสดงความเป็นตัวตนของเขาออกมา เช่น การแสดงออกทางความคิด ความสามารถในเรื่องต่าง ๆ แสดงให้เห็นถึงการต้องการการยอมรับ ซึ่งผู้ประกอบการต้องเข้าไปช่วยเพิ่มความมั่นใจในการแสดงออกเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีเทรนด์ที่มาแรงไม่แพ้กันเช่นเรื่องของความสวยแบบมีความหมายของผู้หญิง เนื่องจากส่งเสริมความมั่นใจ หรือความกังวลและตั้งคำถามเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของตัวเองในผู้ชาย เนื่องจากผู้หญิงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น เป็นต้น
“จะเห็นว่าโอกาสในเมียนมาร์สำหรับสินค้าไทยมีมาก เรียกว่าได้เปรียบสินค้าจากประเทศอื่นๆ เลยทีเดียว ผู้ประกอบการไทยเพียงศึกษาข้อมูลของผู้บริโภคให้ละเอียดถ้วนถี่ เจาะลึกหา Consumer Insights เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์สิ่งที่ผู้บริโภคกำลังมองหาได้อย่างถูกต้องและตรงจุด เชื่อมั่นว่ามีโอกาสอีกมากให้ขยายธุรกิจไปสู่ประเทศเมียนมาร์” นายสันติพงษ์กล่าวทิ้งท้าย
เกี่ยวกับฮาวาสริเวอร์ออคิด
ฮาวาสริเวอร์ออคิด บริษัทที่เชี่ยวชาญ ในการให้บริการด้านการสื่อสารการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอินโดจีน หรือ CLMV ที่สั่งสมประสบการณ์มากว่า 15 ปี โดยมีสำนักงานครอบคลุมทุกประเทศ ทั้งใน
- พนมเปญ ประเทศกัมพูชา
- เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- ย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
- โฮจิมินห์ และฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
และมีสำนักงานในกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางในการบริการลูกค้าในประเทศไทย และต่อยอดกับกลุ่มฮาวาสทั่วโลก
กลุ่มบริษัท ฮาวาสริเวอร์ออคิด ประกอบด้วย 10 บริษัทในเครือ มีผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในตลาดกว่า 300 คน จากกว่า 20 สัญชาติ และได้รับรางวัล Agency of The Year จากนิตยสาร Campaign Asia 4 ปีซ้อนในปี 2012, 2013, 2014 และ 2015 ด้านความเป็นเลิศ ทางด้านสร้างสรรค์งานยอดเยี่ยม และด้านการบริหารสื่อยอดเยี่ยม ในปีล่าสุดได้รับรางวัล Digital Agency of The Year สำหรับตลาดเมียนมาร์, ลาว, และกัมพูชา
กลุ่มบริษัท ฮาวาสริเวอร์ออคิด ตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะเป็นผู้ให้บริการด้านการสื่อสารการตลาดที่ดีที่สุด และครอบคลุมมากที่สุดในตลาด CLMV โดยจะให้ความสำคัญและการลงทุนในตลาดนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพของบริษัทอย่างต่อเนื่อง จากปรัชญาการดำเนินธุรกิจ ที่เริ่มจากการมีความรัก ในกลุ่มประเทศ CLMV และมีความรู้ความเข้าใจในสภาพตลาด การเปลี่ยนแปลงของประเทศ รวมถึงมีความเข้าใจผู้บริโภคในแต่ละประเทศใน CLMV อย่างลึกซึ้ง เพื่อประโยชน์และความได้เปรียบ ของลูกค้าในการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
0000000000000000000
? 2016 PricewaterhouseCoopers. All rights reserved.
ส่องค้าปลีกเมียนมาร์......เปิดช่องนำเข้าสินค้าไทย
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ชี้’ลงทุนธุรกิจค้าปลีก’ในเมียนมาร์รุ่ง เหตุเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง ช่วยหนุนส่งออกไทยเพิ่มระยะยาว
เศรษฐกิจเมียนมาร์ปี 2554-2558 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 8 และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มเป็นร้อยละ 8.3 ในปีหน้า ซึ่งธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB คาดว่ารายได้เฉลี่ยของประชาชนเมียนมาร์จะเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายใน 13 ปีข้างหน้า จากรายได้เฉลี่ยต่อคน 1,269 เหรียญสหรัฐฯ ในปีก่อน
TMB Analytics คาดว่ากำลังซื้อของประชาชนเมียนมาร์จะสูงขึ้น เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สร้างโอกาสให้แก่ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกในเมียนมาร์เป็นรูปแบบ"ค้าปลีกดั้งเดิม" ประมาณร้อยละ 90 และเป็น’ค้าปลีกสมัยใหม่’ โดยผู้ประกอบการท้องถิ่นเพียงร้อยละ 10 เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเวียดนามซึ่งเปิดรับการลงทุนและการพัฒนาเศรษฐกิจก่อนเมียนมาร์ มีสัดส่วนธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่อยู่ที่ร้อยละ 24 ขณะที่ไทยมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 50 ของผู้ประกอบการค้าปลีกทั้งระบบ ดังนั้นธุรกิจค้าปลีกสมัยในเมียนมาร์ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
นอกเหนือจากเทรนด์ทางธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในเมียนมาร์ที่เรียกว่า"กำลังมา" แล้ว จากข้อมูลเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้าลงทุนในเศรษฐกิจเกิดใหม่ของเมียนมาร์ในปี 2555-2558 มูลค่าประมาณ 18,700 ล้านเหรียญสหรัฐ พบว่า มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 2.8 เท่านั้นที่ลงทุนในธุรกิจบริการและค้าปลีก ดังนั้น การลงทุนธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในเมียนมาร์จึงยังต้องการเม็ดเงินลงทุนเพิ่มอีกมหาศาล โดยพื้นที่เหมาะสมกับการลงทุน ได้แก่ ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และเนปิดอร์ เนื่องจากมีจำนวนประชากรหนาแน่น กำลังซื้อสูงกว่าพื้นที่อื่น มีความพร้อมของสาธารณูปโภคและการเป็นจุดยุทธศาสตร์กระจายสินค้าไปสู่พื้นที่ส่วนอื่นของเมียนมาร์
นอกเหนือจากโอกาสและแนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ที่มีทิศทางสดใสแล้ว นักลงทุนและผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ของไทย ยังมีแต้มต่อเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ อยู่ 3 ด้านคือ 1.) ด้านประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจในไทยที่มีรูปแบบหลากหลายและมีการแข่งขันสูงจึงสามารถนำความรู้ไปใช้ต่อยอดการลงทุนในเมียนมาร์ 2.) ด้านสถานที่ตั้งของไทยที่อยู่ติดกับเมียนมาร์ สามารถขนส่งสินค้าต่างๆ ไปยังเมียนมาร์ได้ง่าย และ 3.) มีการเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมียนมาร์เปิดเสรีด้านการลงทุน รวมทั้งคนเมียนมาร์ยังนิยมสินค้าไทย เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพ ภาพลักษณ์และราคาที่เหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าที่ผลิตจากแหล่งอื่น
โอกาสจึงเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนไทยสำหรับการลงทุนธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในเมียนมาร์ แถมมีแต้มต่อเมื่อเทียบกับนักลงทุนจากประเทศอื่น อย่างไรก็ตามการลงทุนในเมียนมาร์ยังมีความเสี่ยงด้านการเมืองและระเบียบข้อบังคับการลงทุนอยู่ รวมทั้งมีข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้าบางประเภท ซึ่งผู้ประกอบการต้องศึกษาข้อกฎหมายให้ละเอียดก่อนเข้าไปดำเนินธุรกิจ ซึ่งในส่วนนี้ภาครัฐของไทยควรมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกและส่งเสริมภาคเอกชนด้วย เพราะไทยก็จะได้ประโยชน์จากการมีช่องทางจำหน่ายสินค้าในตลาดเมียนมาร์โดยตรงเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ขณะนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าส่งออกของไทยให้สูงขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้ TMB Analytics คาดว่าการส่งออกสินค้าไทยไปเมียนมาร์ในปี 2560 จะมีมูลค่า 4,566 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีโอกาสจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ร้อยละ 9.6 จากที่หดตัวร้อยละ 0.1 ในปีนี้
กูรู CLMV เผยกลยุทธ์การตลาดพิชิตผู้บริโภค CLMV ให้ตรงจุด
นายสันติพงศ์ พิมลแสงสุริยา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทฮาวาสริเวอร์ออคิด ที่ปรึกษาและผู้ให้บริการธุรกิจสื่อสารการตลาดในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) ร่วมเวทีสัมมนา "Spring up your network to the world: กลยุทธ์การตลาดพิชิตผู้บริโภค CLMV ให้ตรงจุด" ในงาน SCB SME Expo Spring Up Thailand ชี้ช่องทางนักธุรกิจไทยรุกตลาด CLMV รับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เผยกลุ่ม CLMV เป็นตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับนักธุรกิจไทย มีประชากรรวมราว 160 ล้านคน หรือมากกว่าประชากรในประเทศไทยกว่า 2 เท่าตัว ประชากรมีอายุเฉลี่ยน้อยกว่าไทยมาก คือประมาณ 20-25 ปี ขณะที่ไทยเฉลี่ย 34 ปี อีกทั้งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึง 6-8% ต่อปี
นายสันติพงศ์ กล่าวว่า เมื่อมองด้านการพัฒนา ประเทศไทยนำหน้ากลุ่ม CLMV ในหลายด้าน โดยเฉพาะกัมพูชา ลาว และพม่า ซึ่งเพิ่งเปิดประเทศจริงได้ไม่นาน ส่วนเวียดนามนั้นเปิดประเทศก่อนแล้วเกือบ 20 ปี หากโฟกัสที่ CLM ถือว่าประเทศไทยได้เปรียบประเทศในกลุ่ม AEC อื่น ๆ อยู่มาก เนื่องจากมีชายแดนติดกัน และมีความคล้ายคลึงกันทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศาสนา เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่นสิงคโปร์หรือบรูไน อีกทั้งต้นทุนทางการขนส่งหรือโลจิสติกส์ก็ต่ำกว่าเพราะอยู่ใกล้กัน นอกจากนี้จากการสำรวจความนิยมในสินค้าและบริการจากไทยยังพบว่าได้รับการยอมรับสูงกว่าจากฝั่งอเมริกา ยุโรป หรือประเทศในเอเชียอื่น ๆ อีกด้วย
“ในการเข้าไปเปิดตลาดนอกประเทศนั้นต้องเตรียมพร้อมที่จะรับความแตกต่างจากการทำธุรกิจในบ้านเรา ดังนั้นขอให้มี Passion หรือความอยากที่จะทำอย่างจริงจัง มองปัญหาให้เป็นความท้าทาย และรีบลงมือดำเนินการได้แล้ว เรื่องเงินอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด เพราะต้นทุนในการทำตลาด CLMV ยังไม่สูงมาก เชื่อว่าหากทำธุรกิจในไทยได้ก็สามารถขยายออกไปสู่ประเทศเหล่านี้ได้ไม่ยาก เพราะการแข่งขันของเขายังน้อยกว่าเรา และคนก็ยอมรับในคุณภาพและภาพลักษณ์ของสินค้าจากประเทศไทยมากกว่าประเทศอื่น ๆ อีกทั้งมีการค้าชายแดนร่วมกันมาหลายสิบปี ถือว่าเรามีต้นทุนทางการค้าที่ดีกว่า”
“สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องรู้คือต้องรู้เขารู้เรา ต้องมีการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในเชิงลึก เพราะในความเหมือนก็มีความแตกต่าง เช่นในเรื่องของการใช้สื่อออนไลน์ อย่างไทยเราเองส่วนใหญ่มุ่งเน้นที่ LINE และ Facebook ส่วนที่ลาวนั้นใช้ WeChat เป็นส่วนใหญ่ เพราะได้รับอิทธิพลจากจีนที่เข้ามาทำโครงการรถไฟความเร็วสูง ส่วนพม่าจะใช้ Viber เป็นหลัก เป็นประเทศที่ทาง Viber เองให้ความสำคัญอย่างสูงเพราะมีผู้ใช้เป็นอันดับสองของโลก อีกทั้งยังใช้ Smartphone มากกว่า Feature Phone และสำหรับกัมพูชา Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่เป็นแทบทุกอย่าง รวมถึงเป็นแหล่งค้นหาข้อมูล ซึ่งผู้ประกอบการอาจไม่มีการเปิดเว็บไซต์ แต่ต้องมี Facebook Fan Page ส่วนที่เวียดนาม ใช้หลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Facebook, Facebook Messenger รวมถึง Zalo ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นแชตของเวียดนามเอง”
นายสันติพงศ์ยังกล่าวถึง 3 ธุรกิจที่มีโอกาสสูงและเป็นที่ต้องการอย่างมากใน CLMV โดยเฉพาะกัมพูชา ลาว และพม่า ได้แก่ อันดับ 1 ธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้าง เช่น การออกแบบ วัสดุก่อสร้าง การก่อสร้างอาคารหรือ Community Mall เนื่องจากมีความต้องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับการเปิดประเทศ อันดับ 2 ได้แก่ธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เพราะเมื่อเปิดประเทศแล้วคนของเขาก็อยากเห็นโลกภายนอก ธุรกิจที่มีโอกาสอย่างมากก็เช่นบริษัทที่ให้บริการด้านท่องเที่ยวในและต่างประเทศ รับจองตั๋วเครื่องบิน ร้านอาหาร โรงแรม ฯลฯ และอันดับ 3 คือธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (Fast Moving Consumer Goods) หรือของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้า เพราะแม้จะมีฐานการผลิตในประเทศแต่ส่วนใหญ่เน้นผลิตเพื่อส่งออก
ส่วนที่เวียดนาม ธุรกิจที่ต้องการมากอันดับ 1 คือสินค้าที่ช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ซอฟต์แวร์ สินค้าเทคโนโลยีต่าง ๆ อันดับ 2 คือสินค้าด้านสุขภาพ เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ ฟิตเนส อันดับ 3 คือธุรกิจด้านการศึกษา เช่น โรงเรียนสอนภาษา ศิลปะ ดนตรี หรือทริปการศึกษาต่างประเทศ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรทราบเรื่องของระบบการเงินและการซื้อขายของแต่ละประเทศ เพราะแต่ละประเทศมีข้อจำกัดแตกต่างกันไป เช่นที่พม่ามีข้อจำกัดเรื่องการโอนเงินระหว่างประเทศ และใช้สกุลเงินของพม่าเองเป็นหลัก หรือเวียดนามที่ใช้เงินดองเท่านั้น เป็นต้น.
เกี่ยวกับฮาวาสริเวอร์ออคิด
ฮาวาสริเวอร์ออคิด บริษัทที่เชี่ยวชาญ ในการให้บริการด้านการสื่อสารการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอินโดจีน หรือ CLMV ที่สั่งสมประสบการณ์มากว่า 15 ปี โดยมีสำนักงานครอบคลุมทุกประเทศ ทั้งใน
- พนมเปญ ประเทศกัมพูชา
- เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- ย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
- โฮจิมินห์ และฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
และมีสำนักงานในกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางในการบริการลูกค้าในประเทศไทย และต่อยอดกับกลุ่มฮาวาสทั่วโลก
กลุ่มบริษัท ฮาวาสริเวอร์ออคิด ประกอบด้วย 10 บริษัทในเครือ มีผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในตลาดกว่า 300 คน จากกว่า 20 สัญชาติ และได้รับรางวัล Agency of The Year จากนิตยสาร Campaign Asia 4 ปีซ้อนในปี 2012, 2013, 2014 และ 2015 ด้านความเป็นเลิศ ทางด้านสร้างสรรค์งานยอดเยี่ยม และด้านการบริหารสื่อยอดเยี่ยม ในปีล่าสุดได้รับรางวัล Digital Agency of The Year สำหรับตลาดเมียนมา, ลาว, และกัมพูชา
กลุ่มบริษัท ฮาวาสริเวอร์ออคิด ตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะเป็นผู้ให้บริการด้านการสื่อสารการตลาดที่ดีที่สุด และครอบคลุมมากที่สุดในตลาด CLMV โดยจะให้ความสำคัญและการลงทุนในตลาดนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพของบริษัทอย่างต่อเนื่อง จากปรัชญาการดำเนินธุรกิจ ที่เริ่มจากการมีความรัก ในกลุ่มประเทศ CLMV และมีความรู้ความเข้าใจในสภาพตลาด การเปลี่ยนแปลงของประเทศ รวมถึงมีความเข้าใจผู้บริโภคในแต่ละประเทศใน CLMV อย่างลึกซึ้ง เพื่อประโยชน์และความได้เปรียบ ของลูกค้าในการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด