นายหลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้เขียนบทความแสดงความยินดีในโอกาสเฉลิมฉลองสัปดาห์ล้านช้าง-แม่โขงครั้งที่สอง และ โอกาสครบรอบสามปี ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง
ฯพณฯ หลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยได้เขียนบทความแสดงความยินดีซึ่งมีหัวข้อว่า’ผลักดันความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง เพิ่มและสร้างเสริมความร่วมมือจีน-ไทย’ โดยบทความมีข้อความดังต่อไปนี้
วันที่ 18 ถึง 24 มีนาคม 2562 นี้เป็นสัปดาห์ล้านช้าง-แม่โขง ครั้งที่สอง และก็เป็นการครบรอบ 3 ปีที่ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงได้ริเริ่ม จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนามซึ่งเป็น 6 ประเทศตามสองฟากฝั่งแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขงได้เริ่มกลไกความร่วมมือระดับอนุภูมิภาครูปแบบใหม่นี้ในปี 2016 และเห็นพ้องกันว่าจะถือวันที่ 23 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการจัดประชุมผู้นำครั้งแรกเป็นสัปดาห์ล้านช้าง-แม่โขงของทุกปี
ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงก่อตั้งมา 3 ปี สามารถใช้ข้อได้เปรียบของ 6 ประเทศ เช่น ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ลักษณะเกื้อหนุนกับทางเศรษฐกิจ ผลักดันความร่วมมืออย่างรอบด้าน สร้างกรอบความร่วมมือหลายระดับ หลายมิติ ดำเนินการโครงการความร่วมมือทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการอุตสาหกรรมกว่า 30 โครงการ และโครงการขนาดกลาง ขนาดเล็กนับร้อยโครงการ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมในอนุภูมิภาคนี้ โครงการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนหลายโครงการอย่าง โครงการแสงสว่างล้านช้าง-แม่โขง โครงการค่ายวัฒนธรรมผู้นำเยาวชนล้านช้าง-แม่โขง โครงการโรงหนังกลางแจ้ง ได้นำมาซึ่งผลประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง และเป็นการส่งเสริมในความเข้าใจและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประชาชน ให้เห็นว่าความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง เน้นเปิดกว้าง เอื้อเฟื้อร่วมมือต่อกัน และได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน อันจะเป็นการเกื้อหนุน ส่งเสริม พัฒนาซึ่งกันและกันกับองค์กรความร่วมมืออื่นๆ
ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่เสนอความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ทั้งนี้ประเทศจีนและประเทศไทยมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ผ่านการดำเนินโครงการหลายโครงการ เช่น โครงการบริหารจัดทรัพยากรน้ำ โครงการการค้าข้ามแดนหมู่บ้านอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น ซึ่งโครงการมากมายได้ดำเนินการร่วมมืออย่างใกล้ชิตกัน โดยมีทั้งด้านเกษตรกรรม อาชีวศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการแลกเปลี่ยนเยาวชนเป็นต้น
สมาชิก 6 ประเทศล้านช้าง-แม่โขง ถือว่า งดื่มน้ำจากแม่น้ำเดียวกัน โชคชะตาเชื่อมโยงกัน’ ประเทศจีนยินดีที่จะร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ตลอดสองฟากฝั่งล้านช้าง-แม่โขง ซึ่งรวมถึงประเทศไทย โดยเราจะยึดถือจิตวิญญาณล้านช้าง-แม่โขง โดยมีหลักการว่า ‘การพัฒนาต้องมาก่อน หารืออย่างเสมอภาค เน้นการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ เปิดกว้างยอมรับกัน’ เพื่อส่งเสริมการสร้างระเบียงเศรษฐกิจกลุ่มล้านช้าง-แม่โขง ผลักดันความร่วมมือก่อให้เกิดผลิตภาพอย่างมีคุณภาพ ผลักดันความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ก้าวสู่ระดับสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง เพื่อสร้างคุณูปการต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของอนุภูมิอย่างยั่งยืน เพื่อความผาสุกของประชาชนของทุกประเทศ
ซี.พี.เวียดนาม หนุนมาตรการรัฐป้องกันเข้ม ASF ยับยั้งการแพร่ของโรค
บริษัท ซี.พี. เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ซี.พี.เวียดนาม) ร่วมมือรัฐบาลเวียดนามเข้มแข็ง เร่งให้ความรู้แนวทางการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) ตามมาตรฐานสากล พร้อมสนับสนุนรัฐบาลทุกแนวทางในการควบคุมโรคทั้งระดับประเทศและเกษตรกร เพื่อให้สถานการณ์ทั้งการเลี้ยงและการบริโภคกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด
นายจิรวิทย์ รชตะนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร สายธุรกิจสุกร และธุรกิจฟาร์ม ซี.พี.เวียดนาม และกลุ่มประเทศ CLMVเปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค ASF และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานราชการและปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลเวียดนามอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด โดยเฉพาะกรมปศุสัตว์และกรมสัตว์แพทย์ เพื่อสนับสนุนมาตรการควบคุมโรค ASF อย่างเข้มงวด เช่น ห้ามเคลื่อนย้ายสุกรในพื้นที่ที่พบเชื้อและพื้นที่เสี่ยงในรัศมี 3 กิโลเมตรจากจุดที่พบเชื้อ พร้อมทั้งสุ่มเจาะเลือดสุกรในฟาร์มทุกแห่งในบริเวณดังกล่าว การจัดและควบคุมรถขนส่งสุกร อาหารสัตว์ ต้องพ่นยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด พ่นปูนขาว หยุดพักรถเพื่อตรวจสอบปลอดเชื้อ 100% ศูนย์จัดจำหน่ายสุกร ต้องมีการตรวจโรคและให้การรับรอง 100% จากหน่วยงานราชการและสัตวแพทย์วิชาการ เป็นต้น
นอกจากมาตรการที่ทั้งภาครัฐและบริษัทร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันโรคแล้ว บริษัทยังได้พบและร่วมือกับคณะทำงานของรัฐบาลทั้งกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ในการรณรงค์ สื่อสาร ทุกช่องทางทั้งทีวี สื่อสิ่งพิมพ์และทางเวปไซด์ต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคกลับมาบริโภคเนื้อหมูตามปกติ รวมทั้งออกมาตรการเด็ดขาดโดยภาครัฐ ในการดำเนินการกับกลุ่มที่สื่อและส่งต่อภาพข่าวที่ไม่เป็นความจริง น่ากลัว ที่สร้างความตื่นตระหนกต่อผู้บริโภค
ทั้งนี้ ซี.พี.เวียดนาม ยังคงติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นข้อมูลให้กับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาผู้บริหารของบริษัทได้เข้าพบรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เพื่อร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับสถานการณ์โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) ที่เกิดขึ้นในเวียดนาม โดยได้รายงานถึงมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันโรค ASF ของบริษัทฯ ตั้งแต่มีการประกาศภาวะโรคในจีนเมื่อเดือนสิงหาคม 2561 จนกระทั่งเวียดนามประกาศพบเชื้อในฟาร์มขนาดเล็ก และให้ความช่วยเหลือด้วยการเชิญผู้เชี่ยวชาญโรคดังกล่าว มาให้ความรู้ด้านการป้องกันโรคแก่เจ้าหน้าที่รัฐบาลเพื่อป้องกันการระบาดของโรคเข้ามาในประเทศ
นอกจากนี้ ยังเพิ่มมาตรการควบคุมเข้มงวดในฟาร์มของบริษัทตามมาตรฐานสากลและการป้องกันโรคทางชีวภาพ การให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะโรคแก่พนักงานบริษัทฯ การจัดสัมมนาให้ความรู้กับลูกค้าอาหารสัตว์มากกว่า 157 ครั้ง และฟาร์มเกษตรกรรายย่อยทั่วประเทศกว่า 767 ครั้ง เพื่อให้เกษตรกรทั่วประเทศดำเนินการป้องกันโรคเชิงรุกมากขึ้น ตลอดจนการทำคู่มือ โปสเตอร์ และหนังสือให้ความรู้เรื่องโรค ASF และการป้องกันโรคทางชีวภาพ
"ฟาร์มสุกรของซี.พี.เวียดนาม ทุกแห่งเป็นฟาร์มมาตรฐาน มีระบบการป้องกันโรคและมาตรการจัดการที่เข้มแข็ง ทำให้สามารถป้องกันโรค ASF ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ตลอดจนถ่ายทอดเทคโนโลยีการป้องกันโรคอย่างเข้มข้นแก่เกษตรกรทั้งของบริษัทเองและเกษตรกรอิสระ" นายจิรวิทย์ กล่าว
ก่อนหน้านี้ บริษัทฯได้มอบงบประมาณกว่า 150,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการจัดซื้อ Test Kit (ASF) และสารเคมีจำเป็น ผ่านกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนาม สำหรับตรวจวินิจฉัยโรค ASF- REALTIME PCR ซึ่งจะช่วยให้การจัดการปัญหาทำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
นายจิรวิทย์ กล่าวย้ำว่า บริษัทฯ ยังคงทำงานร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลเวียดนาม ทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธารณสุข ในการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องว่าโรคดังกล่าวเกิดเฉพาะในสุกร ไม่ติดต่อสู่มนุษย์และสัตว์อื่น เนื้อหมูสามารถรับประทานได้ปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคเวียดนาม
Click Donate Support Web
เอ็นอีเอ ชวนสัมมนา 'การค้ากัมพูชา'
สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ขอเชิญชวนผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสัมมนา ‘ติวเข้ม...รู้ลึก รู้จริง รู้ใจกัมพูชา’ เพื่อรับฟังหลากกลยุทธ์เพื่อการส่งออก และการถ่ายทอดประสบการณ์โดยกูรูผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ เมืองสำคัญในกัมพูชา & โอกาสทางธุรกิจตามแนวชายทะเลเกาะกง – พระสีหนุ เจาะลึกชาวกัมพูชาด้วยการค้าแบบ Traditional Trade แนวโน้มทางการเงินการธนาคารในกัมพูชา ทรัพย์สินทางปัญญาและกฎระเบียบที่ไม่ควรละเลย ฯลฯ
สำหรับ กิจกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 08.30 – 17.00 น. ณ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) ถนนรัชดาภิเษก ผู้ที่สนใจสามารถสามารถลงทะเบียนได้ที่ https://nea.ditp.go.th/activity/10449 ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางโทรศัพท์ 02-5178131 , 02-5078114 และ www.nea.ditp.go.th
Click Donate Support Web
'โยม่า สเตรทิจิค โฮลดิ้งส์'ปลื้ม ขายหุ้นกู้เกลี้ยง 2,220 ล้านบาท ทวิน ไพน์ กรุ๊ป ยิ้มรับความสำเร็จในการนำบริษัทเมียนมาเข้ามาระดมทุนในไทยเป็นครั้งแรก
นายอดิศร วสุคุปต์ สิงห์สัจจะ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทวิน ไพน์ กรุ๊ป จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงินชั้นนำในการระดมทุนของประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมาร์ และเวียดนาม) ในฐานะที่ปรึกษาในการออกและเสนอขายหุ้นกู้มีหลักประกันของบริษัท โยม่า สเตรทิจิค โฮลดิ้งส์ จำกัด (โยม่า) ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เปิดเผยถึงการเสนอขายหุ้นกู้มีหลักประกันของโยม่า อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.38% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน วงเงิน 2,220 ล้านบาท (เทียบเท่า 70 ล้านเหรียญสหรัฐ) ให้กับนักลงทุนสถาบันเป็นการเฉพาะเจาะจง โดยมีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ (Sole Lead Arranger) โดยมีนักลงทุนแสดงความสนใจจำนวนมาก
“หุ้นกู้โยม่าได้รับการตอบรับดีมาก มีความต้องการซื้อมากกว่าจำนวนที่เสนอมากกว่า 2.5 เท่า เนื่องจากกลุ่มโยม่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ AAA จากทริสเรทติ้ง โดยมี Credit Guarantee and Investment Facility หรือ CGIF ที่จัดตั้งโดยความร่วมมือระหว่างระหว่างประเทศสมาชิก ASEAN+3 ร่วมกับธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซียหรือเอดีบีเป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้” นายอดิศรกล่าวและเสริมว่า ผู้ลงทุนสถาบันที่ลงทุนในหุ้นกู้นี้ อยู่ในกลุ่มบริษัทประกันชีวิต กองทุนภาครัฐ และธนาคารพาณิชย์
นายอดิศร กล่าวด้วยว่า ทวิน ไพน์ กรุ๊ป ได้ใช้เวลาทำงานกับโยม่ามาระยะหนึ่งแล้ว จึงมีความยินดีเป็นอย่างมากที่ได้มีส่วนสร้างประวัติศาสตร์การระดมทุนจากตลาดทุนเป็นครั้งแรกในประเทศไทยของบริษัทชั้นนำของเมียนมา และต้องขอชมเชยผู้บริหารของโยม่า ที่มีวิสัยทัศน์และมีความมุ่งมั่นที่ทำให้ดีลนี้ประสบสำเร็จเพื่อบุกเบิกการระดมทุนในไทย อันสอดคล้องกับแนวทางของทวิน ไพน์ กรุ๊ป ที่สนับสนุนบริษัทและหน่วยงานรัฐในกลุ่ม CLMV ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เข้ามาระดมทุนในประเทศไทยและสร้างประโยชน์ร่วมกัน โดยนักลงทุนไทยจะมีโอกาสและมีทางเลือกมากขึ้น ในการลงทุนที่มีความหลากหลาย ด้วยตราสารทางการเงินของบริษัทชั้นนำในกลุ่ม CLMV และยังสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางระดมทุนของภูมิภาคได้อย่างแน่นอน
นายเมลวิน ปัน (Mr. Melvyn Pun)ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โยม่า สเตรทิจิค โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า การที่บริษัทซึ่งมีธุรกิจหลักในประเทศเมียนมา และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เข้ามาออกหุ้นกู้ระดมทุนในประเทศไทย โดยมี CGIFซึ่งเป็นสถาบันที่ตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในภูมิภาค เป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ นับเป็นการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง โดยเมียนมาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชียที่ไม่มีอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ดังนั้น อันดับเครดิต AAA ของหุ้นกู้นี้ จึงนับเป็นก้าวสำคัญสำหรับโยม่า และต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศและภูมิภาคด้วย
“การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เป็นการเพิ่มแหล่งเงินทุนให้หลากหลายยิ่งขึ้น และเป็นการนำร่องเข้าสู่ตลาดทุนของประเทศไทยที่มีสภาพคล่องสูง โดยเรามีความยินดีที่ได้รับต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม และยังมีระยะเวลาการกู้ยืมที่ยาวนานกว่าการกู้ยืมจากธนาคารหรือสถาบันการเงินทั่วไป ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจหลักของเรา ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์และเครื่องจักรกลหนัก สินค้าอุปโภคบริโภค และบริการทางการเงิน ซึ่งจะสร้างโอกาสทางการตลาดที่น่าตื่นเต้นในอนาคต” นายปันกล่าว
นายนรินทร์ โอภามุรธาวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการสายวานิชธนกิจ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารกรุงเทพมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยเปิดตลาดหุ้นกู้เป็นครั้งแรกให้กับ โยม่า สเตรทิจิค โฮลดิ้งส์ และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาค ASEAN และทีมวานิชธนกิจของธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญด้านการระดมทุนด้วยการจัดออกตราสารหนี้ มีส่วนสำคัญที่ทำให้การออกหุ้นกู้ของ โยม่า สเตรทิจิค โฮลดิ้งส์ ประสบความสำเร็จและตอบสนองวัตถุประสงค์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แสดงให้เห็นถึงความพร้อมและศักยภาพของธนาคารในการช่วยระดมทุนให้แก่ผู้ออกตราสารหนี้ในภูมิภาคอาเซียน
Click Donate Support Web
25 ปี ซี.พี.เวียดนาม ปักธงไทยสร้าง 3ประโยชน์ พัฒนาเศรษฐกิจชาติ สร้างรายได้ประชาชน ตอบแทนสังคมยั่งยืน
บริษัท ซี.พี.เวียดนามคอร์ปอเรชั่นฉลองครบรอบ 25ปี ที่เปิดดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนาม เข้ารับรางวัลเกียรติยศจากรัฐบาล ตอกย้ำปรัชญาการดำเนินธุรกิจ’3ประโยชน์’ส่งผลกิจการเติบโตต่อเนื่อง
นายมนตรี สุวรรณโพธิ์ศรีกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.เวียดนามคอร์ปอเรชั่นเข้าร่วมพิธีมอบเหรียญอิสริยาภรณ์แรงงาน ชั้น3 ซึ่งเป็นรางวัลที่ประธานาธิบดีเวียดนามมอบให้บริษัทฯ เพื่อยกย่องผลงานการมีส่วนร่วมพัฒนาประชาชนชาวเวียดนามให้ได้รับความรู้ ได้รับอาชีพ และเติบโตอย่างยั่งยืนเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศเวียดนาม ตอกย้ำความสำเร็จของปรัชญาดำเนินธุรกิจ 3ประโยชน์ นั่นคือ ธุรกิจที่ทำต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศที่ไปลงทุน ประโยชน์ต่อประชาชนในประเทศนั้น และประโยชน์ต่อบริษัท รางวัลนี้สร้างพลังและกำลังใจให้แก่ทุกคนในบริษัทเป็นอย่างมาก
“ตลอดระยะเวลา 25ปีที่ ซี.พี.เวียดนามเข้ามาดำเนินธุรกิจ ต้องขอขอบคุณรัฐบาลเวียดนามที่ให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการทำงานอย่างดียิ่งขอบคุณเกษตรกรที่ร่วมกันผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อประชาชนขอบคุณเพื่อนพนักงานที่ร่วมสร้างบริษัทมาจนถึงวันนี้ ตลอดจนขอขอบคุณผู้บริโภคชาวเวียดนามที่ให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของเราด้วยดีการทำธุรกิจอย่างครบวงจรตั้งแต่อาหารสัตว์-ฟาร์มเลี้ยงสัตว์-อาหารแปรรูป(Feed–Farm–Food)ตลอดห่วงโซ่การผลิตนั้นสามารถสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่พี่น้องประชาชนชาวเวียดนามนับแสนครอบครัวขณะเดียวกันบริษัทยังเป็นบริษัทดีเด่นที่ชำระภาษีรายได้ให้แก่รัฐบาลเวียดนามทุกปีติดต่อกันระดับรายได้ของซี.พี.เวียดนามและการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนามผ่านกิจการต่างๆของบริษัทนี้ส่งผลถึงรายได้รวมของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) อย่างต่อเนื่องด้วย” นายมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัทของไทย ที่เข้ามาจดทะเบียนตั้งบริษัท ตั้งแต่ปี 1993โดยดำเนินธุรกิจเกษตรปศุสัตว์และอาหารครบวงจร ครอบคลุมทั้งธุรกิจสัตว์บกและธุรกิจสัตว์น้ำ ปัจจุบัน ซี.พี.เวียดนาม มีบุคลากรทั้งหมดกว่า 20,000คน ในจำนวนนี้เป็นชาวเวียดนามถึง 98.72%ซึ่งบริษัทเปิดโอกาสให้พนักงานแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้พนักงานชาวเวียดนามเติบโตสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงได้เป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน ได้จัดตั้ง “กองทุนซี.พี.เวียดนามเพื่อการกุศล” (CPV’s Donation Fund) เพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างยั่งยืนในหลายๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการบริจาคโลหิตที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2009โดยมียอดรับบริจาคโลหิตรวมทั้งสิ้นกว่า 200,000ยูนิต (ประมาณ 62ล้านซีซี) เป็นที่ยอมรับและชื่นชมจากรัฐบาลและประชาชนนอกจากนี้ยังมีโครงการหน่วยแพทย์อาสาและโครงการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสต่างๆ อีกหลายโครงการ
นาง เล เหยิด ถุ่ยรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ประธานกองทุน ซี.พี.เวียดนาม เพื่อการกุศล กล่าวว่า เดิมทีชาวเวียดนามมีความเชื่อที่จะไม่ให้เลือดของตนแก่คนนอกครอบครัว แต่โครงการบริจาคโลหิตที่ซี.พี.เวียดนามเป็นผู้รณรงค์ส่งเสริมนั้นสามารถเปลี่ยนความเชื่อดังกล่าว กระทั่งสร้างประโยชน์แก่วงการสาธารณสุขของเวียดนามเป็นอย่างมาก
พัฒนาเศรษฐกิจ...ยกระดับคุณภาพชีวิต
ซี.พี.เวียดนามมีส่วนในการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในระยะ 25ปีที่ผ่านมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาภาคเกษตรอุตสาหกรรมอันทันสมัย มีการนำเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพตลอดจนองค์ความรู้ต่างๆเข้ามาถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรส่งผลให้เกษตรกรชาวเวียดนามมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถ ประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน พร้อมๆกับการที่ประชาชนชาวเวียดนามมีปริมาณอาหารโปรตีนรับประทานได้อย่างเพียงพอ ตลอดจนสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรไปจำหน่ายยังนานาประเทศ ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม
นายจิรวิทย์ รชตะนันทน์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจฟาร์มสัตว์บก กล่าวว่า ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น มีผลผลิตสุกรในปี 2017อยู่ที่ 5ล้านตัว ผลผลิตไข่ไก่ราว 200 ล้านฟอง และผลิตภัณฑ์ไก่เนื้อ 80,000ตัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลผลิตจากเกษตรกร ยกตัวอย่างธุรกิจสุกร ที่บริษัทได้ส่งเสริมเกษตรกรในระบบ Contract Farming เป็นจำนวน 2,410ครอบครัว ซึ่งเมื่อ 2-3ปีที่ผ่านมาระดับราคาสุกรในเวียดนามตกต่ำอย่างมาก จากปัญหาสุกรล้นตลาด แต่เกษตรกรทั้งหมดของบริษัทกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆเนื่องจากบริษัทเป็นผู้รับความเสี่ยงแทนทั้งหมดขณะที่เกษตรกรอิสระหลายรายต้องประสบภาวะขาดทุนและบางส่วนต้องเลิกกิจการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ไป
“นอกเหนือจากการทำฟาร์ม เรายังริเริ่มขยายระบบการจัดจำหน่ายเนื้อสุกรในรูปแบบของ “ร้านสุกร CP” (CP Pork shop) กระทั่งปัจจุบันสามารถขยายร้านได้แล้วถึง 546สาขา ซึ่งเป็นการจัดจำหน่ายโดยผู้ประกอบการรายย่อยทั้ง 100%เพื่อการสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนชาวเวียดนามตลอดจนเป็นการยกระดับมาตรฐานอาหารปลอดภัยและการจัดจำหน่ายเนื้อสัตว์อย่างถูกสุขลักษณะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค” นายจิรวิทย์กล่าวและว่า
สำหรับ ธุรกิจไก่เนื้อ ในเร็วนี้บริษัทจะเปิดโครงการเลี้ยงไก่แปรรูปครบวงจรเพื่อการส่งออก(เฟสแรก)เพื่อใช้เวียดนามเป็นฐานในการส่งออกไก่แปรรูปไปยังประเทศต่างๆ โดยโรงงานแห่งนี้จะเป็นโรงงานที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกำลังการผลิต 1ล้านตัว/สัปดาห์ ภายใต้มาตรฐานการผลิตอาหารปลอดภัยในระดับสากล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตรวจสอบย้อนกลับได้
ด้าน นายอดิศักดิ์ ต่อสกุล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ กล่าวเสริมว่า ในปีที่ผ่านมา ซี.พี.เวียดนาม ส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปสัตว์น้ำ ประเภทกุ้งและปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ไปยังประเทศต่างๆ อาทิ ญี่ปุ่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ฮ่องกง จีน และยุโรป ในปริมาณถึง 20,000ตัน
ขณะเดียวกัน ยังส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้งด้วยระบบ “C.P. Combined Model” โดยนำหลักการเลี้ยงกุ้งที่ดีและถูกต้องตามหลักวิชาการทุกอย่างมารวมกันในสเกลเล็กเพื่อให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเป็นเจ้าของกิจการฟาร์มเลี้ยงกุ้งได้ ประกอบกับทางรัฐบาลเวียดนามให้การสนับสนุน ส่งผลให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อ จึงทำให้ปัจจุบันเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเวียดนามไม่จำเป็นต้องเป็นเกษตรกรรายใหญ่ อุตสาหกรรมกุ้งของเวียดนามจึงประสบความสำเร็จ มีผลผลิตที่มีคุณภาพในปริมาณที่เพิ่มขึ้น และส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดโลกได้มากยิ่งขึ้น
“ปัจจุบัน ความสำเร็จของโมเดลการเลี้ยงกุ้งในระบบ C.P. Combined Model นี้กำลังกลายเป็นต้นแบบให้ธุรกิจสัตว์น้ำของซีพีเอฟในประเทศต่างๆ เข้ามาศึกษา และรับองค์ความรู้ไปพัฒนาในแต่ละประเทศด้วย” นายอดิศักดิ์กล่าว
สำหรับ ธุรกิจแปรรูปอาหาร นายสุพัฒน์ ศรีธนาธร รองกรรมการผู้จัดการบริหารธุรกิจอาหารแปรรูปครบวงจร เปิดเผยว่า ซี.พี.เวียดนามเริ่มดำเนินการผลิตอาหารแปรรูปในปี 2010โดยในปัจจุบัน ประกอบด้วยธุรกิจอาหารแปรรูป อาทิ ไส้กรอก ธุรกิจร้านค้าปลีก เช่น CP fresh mart และธุรกิจร้านอาหาร เช่น ธุรกิจห้าดาว
“กลุ่มอาหารแปรรูปที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเวียดนามคือ ไส้กรอก ซึ่งเรามีส่วนแบ่งตลาดถึง 20% และในปีหน้าจะเน้นส่งผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานสู่ตลาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ไส้กรอก ซูชิ ติ่มซำ ไข่แปรรูปพร้อมทาน และอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานอื่นๆโดยตั้งเป้าจะขยายส่วนแบ่งตลาดอาหารแปรรูปเพิ่มขึ้นส่วนห้าดาวก็เป็นธุรกิจอาหารสำเร็จรูปที่เติบโตด้วยดีในเวียดนาม โดยบริษัทสนับสนุนให้ชาวเวียดนามมีโอกาสเป็นเจ้าของธุรกิจ ให้องค์ความรู้ด้านการจัดการ สนับสนุนการขายทุกอย่าง กระทั่งปัจจุบัน มีชาวเวียดนามเข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจห้าดาว ถึง 500ครอบครัว และจะเพิ่มเป็น 600ครอบครัวในปีหน้า” นายสุพัฒน์กล่าวทิ้งท้าย
นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ประธานคณะผู้บริหารธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น เป็นกิจการหนึ่งในกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ (Oversea Business)ที่ตลอด 25 ปีมีการสร้างคน สร้างทีมงานที่ดี และมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเป็นลำดับนับเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนของซีพีเอฟ รวมถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่เสริมความแข็งแกร่งของพันธมิตรและการดำเนินโครงการเพื่อสังคม จนนำไปสู่การยอมรับจากรัฐบาลและประชาชนชาวเวียดนามกระทั่งได้รับเหรียญเกียรติคุณแห่งชาติในครั้งนี้ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของพนักงานทุกคน
Click Donate Support Web
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด