OP Finnfund Global Impact Fund I invests in Sathapana Bank, Cambodia, to accelerate SME growth and women empowerment
OP Finnfund Global Impact Fund I, the first global emerging markets impact fund in Finland, invests USD 10 million in Sathapana Bank, one of Cambodia’s largest banks, aiming to accelerate the development of small and medium-sized enterprises (SMEs) and women empowerment. The funding provided by OP Finnfund Global Impact Fund I will allow Sathapana to broaden its client base and grant more loans to its existing clients, including the women segment.
Born in 2016 with the merger of two institutions, Maruhan Japan Bank and Sathapana Limited, Sathapana Bank has become one of the leading commercial banks in the country. With its extensive branch network, solid business partnerships, and digital capabilities, Sathapana offers its customers a wide array of financial services and in particular, strongly supports the agricultural sector and women entrepreneurship. Almost a fifth of its customers are farmers, and nearly half of its loan clients are women. Finnfund has been financing Sathapana since 2015.
OP Finnfund Global Impact Fund I seeks positive impacts on, for instance, climate change, food security, gender equality, and the availability of financing by focusing on three main industries in developing countries: renewable energy, financial institutions, and sustainable agriculture. The total fund size stands at EUR 135 million.
Empowering women as clients, employees, and leaders
One of the key aims for this investment is to enhance women’s empowerment and the achievement of the UN Sustainable Development Goal 5 on gender equality (SDG5). Cambodia is categorised as Least Developed Country (LDC) by OECD. Women have traditionally had a strong say in household economy in Cambodia and they have been utilizing microfinancing services but their access to formal banking services, especially loans, has been lower compared to men.
As almost half of Sathapana’s loan clients are women, the investment is eligible for the 2X Challenge gender investing initiative. In addition, 38% of its more than 4,000 employees are women. In recent years, the number of its female leaders has increased in all levels of the company.
2X Challenge is an international gender lens investing initiative that aims to collectively mobilize USD 15 billion in commitments that provide women in developing country markets with improved access to leadership opportunities, quality employment, finance, enterprise support, and products and services that enhance economic participation and access. Finnfund joined 2X Challenge in 2019.
"At Sathapana, we not only focus on delivering financial services to our customers, but we also want to deliver non-financial services that provide additional value to SMEs and women entrepreneurs. As we know, the vast majority of Cambodian businesses are SMEs, and they are very vital to the Kingdom’s economy. 26% of SMEs are owned by women in the country, while 62% of micro-enterprises are women-owned, so we can’t emphasize enough their importance to the Cambodian economy,” said Mr. Fung Kai Jin, Chief Executive Officer of Sathapana Bank.
“We also ensure gender equality in our recruitment, aside from enabling and sustaining these entrepreneurs with our suites of products and services such as Business Installment Loan, Flexi-Lending, contactless payment, and smart savings,” added Mr. Fung.
“Fostering the growth of small and medium-sized enterprises as well as women’s empowerment are both at the core of the investment strategy of OP Finnfund Global Impact Fund I. We are glad to join forces and support Sathapana’s work both in developing their operations and gender equality within the bank as well as contributing to Cambodian financial sector and the society as a whole,” said Mr. Tuomas Virtala, Head of Asset Management at OP Corporate Bank.
“During the six years of our partnership, we have seen Sathapana developing from a microfinance institution to a commercial bank. Simultaneously, their work towards gender equality and women empowerment has made Sathapana Bank qualified under the 2x Challenge initiative. The ambition to develop their operations and become the leading player in the Cambodian payment ecosystem makes Sathapana an interesting partner for Finnfund also in the future, and we are also glad to have OP Finnfund Global Impact Fund I onboard as a new investor in the company,” said Mr. Antti Urvas, Associate Director, Head of Financial Institutions portfolio at Finnfund.
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สัมมนาออนไลน์ ‘เจาะโอกาสการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อนบ้าน’ ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ธสน. และสพพ.
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) และสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ได้ร่วมมือกันจัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ ‘เจาะโอกาสการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเพื่อนบ้าน’ โดยมี ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธสน. และนายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการ สพพ. เป็นประธานเปิดการสัมมนา
การจัดสัมมนาในครั้งนี้เป็นการบูรณาการบทบาทหน้าที่และองค์ความรู้ของทั้งสองหน่วยงานเพื่อให้ข้อมูล และความรู้แก่ผู้ประกอบการไทยที่ดำเนินธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อันเป็นการเสริมสร้างศักยภาพในการเข้าไปปฏิบัติงานในประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจและเสริมสร้างความมั่นใจในการขยายฐานธุรกิจไปยังประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม
สัมมนาดังกล่าว นายกีรติ เวฬุวัน รองผู้อำนวยการ สพพ. ได้บรรยายให้ข้อมูลทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน และโอกาสงานในประเทศเพื่อนบ้านภายใต้โครงการของ สพพ. ร่วมกับนายอนุชิต วิทยบูรณานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายพันธมิตรและสำนักงานผู้แทน ธสน. ซึ่งบรรยายให้ข้อมูลการบริการของ ธสน. เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทย รวมทั้งหัวหน้าสำนักงานผู้แทนของ ธสน. ในประเทศ CLMV ได้แก่ นายชูพล สุขแสนเจริญ หัวหน้าสำนักงานผู้แทนพนมเปญ นางสาววีรนุช ธรรมศักดิ์ หัวหน้าสำนักงานผู้แทนเวียงจันทน์ นายวรมินทร์ ถาวราภา หัวหน้าสำนักงานผู้แทนย่างกุ้ง และนายจักรกริช ปิยะศิริกุล หัวหน้าสำนักงานผู้แทนโฮจิมินห์ บรรยายให้ข้อมูลการดำเนินธุรกิจในแต่ละประเทศ CLMV เชิงลึก
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ส.อ.ท. – หอการค้าฯ ต้อนรับทูตเวียดนาม ร่วมสัมมนาออนไลน์ ‘รู้ทันกฏหมาย และสิทธิประโยชน์ทางภาษี สร้างโอกาสในการลงทุน สู่เมืองอัจฉริยะในบิ่นห์ เยือง -เวียดนาม’
นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สายงานสมาชิกสัมพันธ์ ให้การต้อนรับ นายฟาน จี๊ ทัญ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามประจำประเทศไทย และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและประธานสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม ในโอกาสกล่าวบรรยายงานสัมมนาออนไลน์ Webinar ‘รู้ทันกฏหมาย และสิทธิประโยชน์ทางภาษี สร้างโอกาสในการลงทุน สู่เมืองอัจฉริยะในบิ่นห์ เยือง-เวียดนาม’ จัดโดยหน่วยงานจับคู่ธุรกิจ ฝ่ายสมาชิกสัมพันธ์ ณ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมี นายเหงียน ทั่นห์ จุ๊ก รองประธานคณะกรรมการประชาชนประจำจังหวัดบิ่นห์ เยือง ร่วมกล่าวสุนทรพจน์จากเวียดนาม ผ่าน Webinar ร่วมกับ นายโทมัส แม็คเคลเลน ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท ดีลอยท์ เวียดนาม และนายธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ ผู้จัดการทั่วไปธนาคารกรุงเทพ เวียดนาม
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามมีประชาชนมากกว่า 98 ล้านคน และมีการเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา ธุรกิจในเวียดนามเติบโตขึ้นกว่า 2.9% เวียดนามจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อสูง นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิต อีกทั้งกฎหมายเวียดนามยังเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เวียดนามจึงเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้าไปลงทุนรวมถึงนักลงทุนไทยอีกด้วย
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ครบรอบ 5 ปีความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ไม่หวั่นไหวเมื่อมีเมฆฝนครึ้มปิดบัง มองไปอนาคตข้างหน้าที่สว่างไสว
ปีนี้เป็นการครบรอบ 5 ปีกรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขง เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 ผู้นำประเทศจีน ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมาร์และเวียดนามได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำของกรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงครั้งแรกที่เมือง ซานย่า ซึ่งก็เป็นการริเริ่มกระบวนการกรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงอย่างเป็นทางการ
"ดื่มน้ำในแม่น้ำสายเดียวกัน โชคชะตาเชื่อมโยงต่อกันอย่างใกล้ชิด" แม่น้ำล้านช้าง–แม่น้ำโขงเป็นสายใยเชื่อมระหว่างประเทศในลุ่มน้ำที่คอยให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาตั้งแต่โบราณกาล กรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงเริ่มต้นจากแผ่นดินอุดมสมบูรณ์นี้ ยึดมั่นในแนวคิดเน้นการพัฒนา ปรึกษาหารืออย่างเท่าเทียมกัน เน้นรูปธรรมและประสิทธิภาพ และเปิดกว้างเปิดรับ 6 ประเทศสมาชิกได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ผลักดันความร่วมมือในมิติต่างๆพัฒนาไปในเชิงลึกอย่างมั่นคง
5 ปีที่ผ่านมา รูปแบบสำหรับกรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงในลักษณะผู้นำชี้นำ ครอบคลุมทุกมิติ ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมนั้น เป็นที่ยอมรับและเห็นชอบของทุกๆฝ่าย
เราได้กำหนดโครงสร้างความร่วมมือในหลายระดับและหลายมิติ รวมทั้งการประชุมผู้นำการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสและการประชุมคณะทำงาน จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 เราได้จัดการประชุมระดับผู้นำ 3 ครั้ง ระดับรัฐมนตรีต่างประเทศ 5 ครั้ง ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส 7 ครั้งและระดับคณะทำงานด้านการต่างประเทศ 10 ครั้ง
กระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 6 ประเทศได้จัดตั้งสำนักงานเลขาธิการหรือหน่วยงานประสานงานกรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขง มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมในสาขาสำคัญต่างๆ ศูนย์ความร่วมมือทรัพยากรน้ำ ศูนย์ความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ศูนย์อาชีวศึกษาและฝึกอบรม Global Center for Mekong Studies ศูนย์ความร่วมมือด้านการเกษตรและศูนย์แลกเปลี่ยนและความร่วมมือของเยาวชนได้จัดตั้งขึ้นมาอย่างเป็นลำดับและดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อเผชิญกับความท้าทายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้นำของทั้ง 6 ประเทศได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงครั้งที่ 3 ในรูปแบบvideo conference เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ได้เพิ่มพูนพลังใหม่สำหรับการต่อสู้กับโควิด-19 และการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ตามที่ได้กล่าวไว้ในการประชุม จีนได้นำเสนอข้อมูลอุทกวิทยาตลอดทั้งปีของแม่น้ำล้านช้างให้กับประเทศลุ่มน้ำโขงอย่างเป็นทางการ และก็ได้เปิดเว็บไซต์ Lancang-Mekong Water Resources Cooperation Information Sharing Platform เพื่อแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีและความจริงใจของจีนในฐานะที่เป็นประเทศต้นน้ำที่มีความรับผิดชอบ และก็ได้แสดงให้เห็นว่า 6 ประเทศล้านช้าง–แม่โขงสามารถดำเนินความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำล้านช้าง–แม่โขงอย่างดี
5 ปีที่ผ่านมา ประสิทธิภาพกรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงเป็นที่ประจักษ์ ในลักษณะก้าวหน้าทุกๆวัน สำเร็จผลทุกๆเดือน และก้าวขึ้นบันไดทุกๆปี
เรายึดมั่นในเจตนารมณ์เอื้ออำนวยประโยชน์แก่กัน ใช้ประโยชน์จากการอยู่ใกล้กันทางภูมิศาสตร์และมีความเกื้อหนุนกันทางเศรษฐกิจ ยึดมั่นในหลักการให้สามเสาหลัก อันได้แก่การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสังคมวัฒนธรรม พัฒนาไปอย่างควบคู่กัน และให้ความสำคัญในความร่วมมือทางด้านความเชื่อมโยงกัน กำลังการผลิต เศรษฐกิจข้ามแดน ทรัพยากรน้ำ การเกษตรและลดความยากจน ร่วมกันสร้างประชาคมที่อนาคตร่วมกันสำหรับประเทศล้านช้าง–แม่โขง
เราให้ความสำคัญในการพัฒนาความเชื่อมโยงต่อกัน ทุ่มเทกำลังในการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกันในอนุภูมิภาค ที่รวบรวมโครงสร้างพื้นฐาน กฎกติกาและการแลกเปลี่ยนทางด้านบุคลากรในหนึ่งเดียว สนับสนุนการก่อสร้างทางรถไฟจีน–ลาวและจีน–ไทย ดำเนินการก่อสร้างในการยกระดับของรถไฟ Pan-Asian ปรับสภาพแม่น้ำและยกระดับของท่าเรือต่างๆ
เป็นที่น่ายินดีว่า ทั้ง 6 ประเทศสนับสนุนให้การพัฒนาเส้นทางการขนส่งเชื่อมทางบกกับทางทะเลแห่งภาคตะวันตกของจีน หรือที่เรียกว่า “New International Land-Sea Trade Corridor” มาเชื่อมต่อกับกรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขง เพื่อใช้ประโยชน์ของเส้นทางสำคัญเส้นนี้ที่ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันตกของจีนและเชื่อมต่ออาเซียนและทวีปยูเรเชีย นำสินค้าเกษตรและสินค้าคุณภาพอื่นๆจากประเทศลุ่มแม่น้ำโขงส่งไปประเทศจีน และเข้าไปในเอเชียกลางและยุโรปต่อไป ซึ่งจะเป็นการแบ่งปันตลาดอันกว้างใหญ่ และร่วมใช้ประโยชน์การค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพ สะดวกและต้นทุนต่ำ กระตุ้นการเติบโตทางการค้าข้ามแดน ส่งเสริมความเชื่อมโยงและการพัฒนาในภูมิภาค และอัดฉีดพลังใหม่ให้กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศล้านช้าง–แม่โขงหลังโควิด-19
5 ปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมล้านช้าง–แม่โขงที่อยู่กันอย่างเท่าเทียมกัน ช่วยเหลือกันอย่างจริงใจและใกล้ชิดเหมือนครอบครัวนั้น ได้ฝังลึกเข้าสู่หัวใจของประชาชนหกประเทศ
โครงการ Mekong Brightness Action ได้เข้าไปช่วยผ่าตัดต้อกระจกฟรีให้ประชาชนในประเทศกัมพูชา ลาวและเมียนมาร์ ทำให้ประมาณ 800 คนกลับมามองเห็นแสงสว่างได้อีกครั้ง Lancang-Mekong Brightness Action ซึ่งโครงการเป็นระยะที่ 2 ได้เริ่มดำเนินการ ซึ่งจะอุดหนุนนักเรียนประถมและมัธยมประมาณ 10,000 คนจากประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนามเข้ารับการตรวจสุขภาพตาและตัดแว่นตาตามความต้องการ
จีนได้จัดทุนการศึกษานานาชาติสำหรับ 5 ประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและอบรมทางด้านภาษาใน 6 ประเทศ และมอบทุนการศึกษาของรัฐบาล 18,000 ทุนภายใน 3 ปี
โครงการแลกเปลี่ยนทางด้านสังคมวัฒนธรรมต่างๆ อาทิเช่น สัปดาห์ภาพยนตร์นานาชาติล้านช้าง–แม่โขง ค่ายฝึกอบรมนวัตกรรมเยาวชนล้านช้าง-แม่โขง Lancang-Mekong Tourist Cities Cooperation Alliance สตรีโฟรัมล้านช้าง–แม่โขง และการประชุมหารือระหว่างผู้นำพุทธศาสนา 6 ประเทศล้านช้าง–แม่โขง คึกคักมากขึ้นทุกวัน เราได้ทุ่มเทพัฒนาความร่วมมือด้านวัฒนธรรม เยาวชน สตรี การท่องเที่ยว และศาสนา และได้ประสบผลสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน กรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขง ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง(ACMECS) และกลไกความร่วมมือในภูมิภาคหรืออนุภุมิภาคได้ส่งเสริมซึ่งกันและกัน และได้ประสานแสดงบทบาทด้วยกันกับสายแถบและเส้นทาง ความร่วมมือใต้–ใต้ และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติปี 2030 ทำให้กรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงได้เป็นหนึ่งในกลไกที่มีความชีวิตชีวาและศักยภาพมากที่สุดในภูมิภาค ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า กรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงมีรากฐานมาจากมิตรภาพดั้งเดิม ยึดมี่นในผลประโยชน์ร่วมกัน สอดคล้องกับกระแสของยุคสมัย และเป็นไปตามความปรารถนาของประชาชน ย่อมจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างประชาคมเอเชียที่มีอนาคตร่วมกัน
ประเทศจีนและประเทศไทยเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ความสัมพันธ์ทวิภาคีมีเสถียรภาพ เป็นรูปธรรมและเต็มไปด้วยพลังขับเคลื่อน จีนเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยติดต่อกันหลายปี ในปี พ.ศ. 2563 มูลค่าการค้าระหว่างจีน–ไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างทวนกระแส อยู่ที่ 98,630 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี เมื่อเผชิญกับความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด–19 ทั้งสองประเทศได้ช่วยเหลือกันและกัน ก้าวผ่านความยากลำบากด้วยกัน เสมือนลงเรือลำเดียวกัน เมื่อวัคซีนโควิด–19 ของจีนได้ผลิตสำเร็จและนำไปใช้งาน จีนได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาและส่งไปให้ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเป็นอันดับต้นๆ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วัคซีนจีนล็อตแรก 200,000 โดสส่งถึงประเทศไทย ล็อตที่สอง 800,000 โดสส่งมาถึงไทยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพอันจริงใจระหว่างจีนกับไทยในยากที่เกิดความยากลำบาก
กรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงพัฒนามาจากข้อริเริ่มของประเทศไทย และประเทศไทยก็ได้รับผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากกรอบความร่วมมือนี้ ยกตัวอย่าง สำหรับกองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขง ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีทั้งหมด 28 โครงการได้รับการอนุมัติ งบประมาณทั้งหมดมากกว่า 255 ล้านบาท เนื้อหาของโครงการได้ครอบคลุมทรัพยากรน้ำ เศรษฐกิจและการค้าข้ามแดน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในชนบท เกษตรกรรม อาชีวศึกษา สุขภาพอนามัยและการรักษาสิ่งแวดล้อม โครงการหนึ่งในนั้นได้จัดเขตสาธิตลดความยากจนในพื้นที่ป่าไม้ใน 8 ชุมชนของจัดหวัดบึงกาฬ ให้ทุนสนับสนุนในการปลูกต้นไม้ 20,000 ต้น เพื่อช่วยให้คนในท้องถิ่นขจัดความยากจนโดยเพิ่มพื้นที่ป่า พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเศรษฐกิจป่าไม้ เราได้จัดหลักสูตรอบรมด้านเทคนิคอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง 4 ครั้ง เพื่อช่วยอัพเกรดการปลูกมันสำปะหลังในประเทศไทย เพิ่มมูลค่าของอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง ปัจจุบันมีผู้ได้ประโยชน์มากกว่า 120 คนจากการอบรม
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด–19ในทั่วโลกทำให้เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะถดถอยอย่างรุนแรง แนวคิดทวนโลกาภิวัตน์และการกีดกันทางการค้ากำลังเพิ่มขึ้น การหมุนเวียนของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานถูกปิดกั้น การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศกำลังหดตัว “ความสามัคคีคือพลัง” เมื่อเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ประเทศจีนยินดีที่จะร่วมกับประเทศล้านช้าง–แม่โขงซึ่งรวมทั้งประเทศไทย ยึดถือผลประโยชน์ของประชาชน 6 ประเทศเป็นหลัก อาศัยการประสานงานอย่างเปิดอก ความตั้งใจอันแน่วแน่ ฝีก้าวที่สอดคล้อง และมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน สร้างระเบียงเศรษฐกิจในลุ่มน้ำล้านช้าง–แม่โขง สร้างประชาคมประเทศล้านช้าง–แม่โขงที่มีอนาคตร่วมกัน และส่งเสริมให้กรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงก้าวหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่อง
แม่น้ำล้านช้าง–แม่น้ำโขงเป็นพยานสำหรับความรุ่งโรจน์และลมฝนต่างๆของประเทศสองฟากฝั่ง และกำลังก้าวไปสู่ความฝันร่วมกันของประชาชนสองฟากฝั่ง กรอบความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขงย่อมมีอนาคตที่สดใส สู้ๆ
ที่มา http://www.chinaembassy.or.th/th/sgxw/t1863003.htm
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
ลาวตั้งเป้าส่งออก 'ไฟฟ้า' ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2 แห่ง ส่งกระแสไฟฟ้าให้กัมพูชาในปี 2025
China Xinhua News : ลาวเตรียมก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2 แห่ง ช่วงปลายปี 2021 ในแขวงเซกองทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ และจะเริ่มจัดส่งกระแสไฟฟ้าไปยังกัมพูชาในปี 2025 ตามข้อตกลงที่ลงนามระหว่างทีมนักพัฒนาและรัฐบาลลาว
หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ ไทม์ อ้างดาววง พอนแก้ว รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ของลาว รายงานว่าบริษัท พอนสัก กรุ๊ป จำกัด (Phonesack Group Company) จะเป็นผู้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งแรกในอำเภอกะลึมของแขวงเซกอง โดยมีกำลังผลิตติดตั้ง 1,800 เมกะวัตต์
“บริษัทฯ จะลงทุนราว 3-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท - 1.2 แสนล้านบาท) ในโรงไฟฟ้าแห่งแรก ซึ่งรวมถึงการสร้างสายไฟสำหรับจัดส่งกระแสไฟฟ้าไปยังกัมพูชา” ดาววงกล่าว พร้อมเสริมว่าสายส่งไฟฟ้าจะมีความยาว 200 กิโลเมตร
ส่วนโรงไฟฟ้าอีกแห่งจะถูกก่อสร้างในอำเภอละมาม โดยบริษัทสัญชาติจีน ด้วยเงินลงทุนคาดการณ์กว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท) โดยมีกำลังการผลิดติดตั้ง 700 เมกะวัตต์
ดาววง กล่าวว่า เดิมทีบริษัทจีน มีกำหนดจัดส่งไฟฟ้าไปยังกัมพูชาตามข้อตกลง จำนวน 600 เมกะวัตต์ ทว่าบริษัทฯ ต้องการรับประกันว่าจะผู้ซื้อจะได้รับพลังงานอย่างยั่งยืน จึงตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 700 เมกะวัตต์
นอกจากนั้น บริษัทจีนจะไม่สร้างสายส่งไฟฟ้าขึ้นมาใหม่ แต่จะร่วมมือกับการไฟฟ้าลาว (EDL) ในการส่งออกพลังงานไปยังกัมพูชาแทน
กัมพูชาจะซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าของเราในราคา 7.3 เซนต์ (ประมาณ 220 บาท) ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง" รัฐมนตรีช่วยกระทรวงฯ กล่าว พร้อมแจกแจงว่าสองอำเภออันเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งมีถ่านหินเพียงพอต่อการใช้งานของโรงไฟฟ้าตลอดระยะเวลาสัมปทาน 25 ปี
ทั้งนี้ ทางการลาวจะดำเนินงานสำรวจเพิ่มเติมเพื่อระบุตำแหน่งถ่านหินใต้ดินในพื้นที่ส่วนอื่นๆ เผื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบทางเลือก
เล็กไล สีวิไล ผู้ว่าการแขวงเซกอง เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ฯ ว่าเซกองมีศักยภาพมหาศาลในการผลิตพลังงานเพื่อการส่งออก ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้คนท้องถิ่นและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมเสริมว่ารัฐบาลจะคำนึงถึงความจำเป็นของการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาโรงไฟฟ้าและการรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโรงไฟฟ้าจะนำประโยชน์มาสู่ชุมชนท้องถิ่นและช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ในพื้นที่
รัฐบาลลาวจะเรียนรู้ประสบการณ์จากการเปิดใช้งานโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ที่สุดในลาว ขณะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่บริเวณตอนใต้ของประเทศ
ลาวต้องการเพิ่มการส่งออกไฟฟ้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรวมถึงเวียดนามและกัมพูชา โดยปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำดอนสะโฮง ขนาด 260 เมกะวัตต์ ในอำเภอโขง แขวงจำปาสักทางตอนใต้ อยู่ระหว่างจัดส่งกระแสไฟฟ้าไปยังจังหวัดสตึงเตรงของกัมพูชาแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับ ประเทศไทย มีบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า พลังน้ำเซกอง 4A และ 4B มูลค่าโครงการประมาณ 835 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กำลังผลิตติดตั้งประมาณ 340 เมกะวัตต์ ใน สปป. ลาว โดยเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรธุรกิจ และดำเนินการพัฒนาโครงการคืบหน้ามาเป็นลำดับ
แผนการลงทุนตั้งเป้าหมายไว้ที่ 850 เมกะวัตต์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทฯ ได้พิจารณาร่วมทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4A และ 4B กับ Lao World Engineering & Construction Company Limited และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) โดยได้ร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของโครงการ รวมทั้งศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“การลงนามในสัญญาพัฒนาโครงการของบริษัทฯ กับกระทรวงแผนการและการลงทุน และกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นเครื่องยืนยันว่า บริษัทฯ และพันธมิตรได้รับสิทธิจากรัฐบาล สปป. ลาว พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4A และ 4B ซึ่งประกอบด้วยเขื่อนเก็บน้ำ 2 แห่ง คือเขื่อนเซกอง 4A ตั้งอยู่เมืองละมาม และเขื่อนเซกอง 4B ตั้งอยู่เมืองกะลึม แขวงเซกอง มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 340 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเจรจาการจำหน่ายไฟฟ้าของโครงการกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ภายใต้กรอบความร่วมมือพัฒนาด้านพลังงานไฟฟ้าไทย-สปป.ลาว 9,000 เมกะวัตต์ ซึ่งไฟฟ้าจากโครงการสามารถส่งเข้าระบบ กฟผ. ผ่านทางจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งจะช่วยตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้”
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด