N-Vest ย้ำไทยเป็นฮับของอาเซียนหนุนธุรกิจเอสเอ็มอีทั้งด้านเงินทุนและเทคโนโลยี
บ้านเมือง : N-Vest ย้ำ ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอาเซียน เดินหน้าสนับสนุนและศึกษางานวิจัย-แผนธุรกิจ ทั้งรูปแบบให้คำปรึกษาและเงินทุน มุ่งผลักดันให้เกิดสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ หวังช่วยผลักดันงานวิจัยนำเทคโนโลยีมาต่อยอดในเชิงเศรษฐกิจ เพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ
นายศรัณย์ สุตันติวรคุณ กรรมการบริษัท N-Vest จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอาเซียน ที่ผ่านมาได้มีการวิจัยในเรื่องดังกล่าวจำนวนมากแต่ไม่มีการผลักดันออกสู่ตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ อาจเป็นเพราะขาดผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนในรูปแบบการลงทุนอย่างจริงจัง
บริษัท N-Vest จึงก่อตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือของผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงด้านการบริหารและวางแผนกลยุทธ์องค์กร การตลาด การเงินการบัญชี และกฎหมาย บริษัทฯ ได้ตั้งวิสัยทัศน์องค์กรเพื่อสนับสนุนและผลักดันให้นวัตกรรมใหม่ๆ ได้รับการต่อยอดเป็นธุรกิจได้ โดยการให้คำปรึกษา และร่วมลงทุนกับธุรกิจดังกล่าว หากขาดแคลนบุคลากรทางด้านไหนก็จะทำหน้าที่หาบุคลากรด้านนั้นมาเสริม ทั้งนี้ เพื่อต้องการผลักดันให้ธุรกิจเอสเอ็มอีนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ โดยมีระบบในการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ สามารถสร้างรายได้ให้กับธุรกิจและนำรายได้เข้าสู่ประเทศ
บริษัทฯ จึงมีนโยบายในการดำเนินธุรกิจโดยเน้นศึกษาว่า มีงานวิจัยอะไรที่น่าสนใจและมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นธุรกิจได้จริง ทั้งนี้ ให้ความสนใจกับงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยและองค์กรต่างๆ ทั่วประเทศที่มีประโยชน์ต่อคนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะงานวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทางด้านไบโอเทค วัสดุศาสตร์ อกริไบโอ และอควาไบโอ
"ซึ่งขณะนี้ บริษัทฯ กำลังพยายามร่วมมือและศึกษางานวิจัยขององค์กรต่างๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) รวมถึงมหาวิทยาลัยและองค์กรอื่นๆ คาดว่าทั้งหมดจะเดินหน้าตามที่คาดไว้ในกลางปีนี้" นายศรัณย์ กล่าว
นายศรัณย์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในฐานะศิษย์เก่าสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin) ขณะนี้ได้เข้ามาช่วยให้คำปรึกษาและดูแผนธุรกิจของทีมเรดิเจน นิสิตศศินทร์ ที่ชนะเลิศการประกวดแผนธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากเป็นแผนธุรกิจที่ดีมากและมีทีมงานที่พร้อม ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เข้ามาดูเรื่องการตลาด ไฟแนนซ์ และกฎหมาย โดยในอดีต นายศรัณย์ เคยทำงานในตำแหน่งรองผู้จัดการด้านวานิชธนกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ อีกด้วย
และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากศศินทร์คือ การศึกษาด้านบริหารธุรกิจที่ ศศินทร์ได้พัฒนาความสามารถทั้งในด้าน theory และ practice และสามารถนำความรู้ทางด้านนี้มาใช้กับการทำงาน ทั้งที่บริษัท N-Vest และที่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญมีโอกาสศึกษากับอาจารย์ที่มีความสามารถและมีประสบการณ์ รวมทั้งได้ไป exchange program ที่ University of Pennsylvania, the Wharton School of Business ทำให้ได้เห็นมุมมองและแนวความคิดของต่างชาติ การเรียนที่ศศินทร์ทำให้เราได้รู้จักกับเพื่อนๆ ที่มาจากธุรกิจต่างๆ เป็นการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมมาก เนื่องจากกลุ่มเพื่อนที่เรียนด้วยกัน และรุ่นพี่หรือรุ่นน้องส่วนใหญ่ยินดีให้คำปรึกษาแนะนำในด้านต่างๆ ทำให้สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี
สำหรับ งานวิจัยในภูมิภาคเอเชียนั้น บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายตลาดไปศึกษางานวิจัยในประเทศต่างๆ หากมีงานวิจัยที่น่าสนใจและมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำธุรกิจได้จริง แต่ขณะนี้ต้องการสนับสนุนงานวิจัยภายในประเทศก่อน งานวิจัยของไทยเราที่มีศักยภาพและสามารถดำเนินธุรกิจได้จริงมีจำนวนมาก
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเปิดกว้างสำหรับผู้ที่ต้องการนำเสนอแผนธุรกิจหรืองานวิจัยที่มีความเป็นไปได้ผู้ที่ต้องการเข้ามาขอคำปรึกษาและนำเสนองานวิจัยสามารถติดต่อได้ทางอีเมล์ [email protected]
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 24 ที่กรุงเนปิดอว์เปิดฉากแล้ววันนี้
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 24 ณ กรุงเนปิดอว์ของพม่าเปิดฉากขึ้นในวันนี้ โดยมีประธานาธิบดีเต็ง เส่งของพม่ากล่าวสุนทรพจน์ในการเปิดประชุม
"การร่วมตัวของเราในวันนี้แสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการทุ่มเทในการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับภูมิภาคและประชาชน" ปธน.เต็ง เส่ง ซึ่งเป็นประธานในการประชุมกล่าว
สำหรับหัวข้อหลักของการประชุมครั้งนี้คือ'Moving forward in Unity to a Peaceful and Prosperous Community'(เดินหน้าอย่างเป็นเอกภาพสู่การเป็นประชาคมแห่งความสงบสุขและความรุ่งเรือง) คาดว่าจะมีการทบทวนความคืบหน้าของการสร้างประชาคมอาเซียนให้เสร็จสิ้นในปีสิ้นปี 2558 รวมถึงการอภิปรายหาแนวทางรับมือความท้าทายในการผนวกรวมทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ บรรดาผู้นำอาเซียนจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับวิสัยทัศน์หลังปี 2558 ของประชาคมอาเซียน และจะย้ำพันธกิจของอาเซียนที่จะร่วมผลักกันดันการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
ทั้งนี้ พม่าเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นครั้งแรกในปีนี้ นับตั้งแต่เข้าร่วมอาเซียนในปี 2540 หรือในรอบ 17 ปี สำนักข่าวซินหัวรายงาน
อินโฟเควสท์
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 11:08 น. ข่าวสดออนไลน์
ชี้'วิถีอาเซียน'ตัวขวางการหลอมรวมประชาสังคม
สกู๊ปพิเศษ วรวิตา แย้มสุดา
การเสวนาเรื่อง 'มองไปข้างหน้า : ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซีย' โดย ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระบุว่า ความร่วมมือในกรอบอาเซียน เป็นผลผลิตจากการตกลงของรัฐบาล ซึ่งแต่ละประเทศมีอิสระในการกำหนดนโยบายร่วมกัน
โดยมีข้อตกลงต่างๆ และ'วิถีแห่งอาเซียน'เป็นตัวกำกับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บทบาทของภาคประชาสังคมในการบูรณาการอาเซียนถูกละเลย
คำว่า 'เอเชียตะวันออกเฉียงใต้'ใช้เรียกภูมิภาคที่ตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและจีนเป็นครั้งแรกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพร่วมระหว่างสหรัฐและอังกฤษ ขณะที่ภูมิภาคนี้ในทะเลจีนใต้ แต่เดิมเคยเป็นที่รับรู้ในฐานะ'ดินแดนสุวรรณภูมิ'และเป็นที่รู้จักกันในฐานะเส้นทางการค้าทางทะเลที่สำคัญ
ก่อนจะถูกครอบงำโดยการเป็นอาณานิคม การวาดเส้นแบ่งเขตแดนบนแผนที่ โดยใช้อิทธิพลของชาติผู้ปกครองเป็นศูนย์กลาง ก่อนเผชิญการเปลี่ยนผ่าน เป็นกระบวนการชาตินิยม ปลุกอัตลักษณ์ของตัวเองขึ้นมาใหม่ของแต่ละชาติ
ขณะเดียวกัน ในความพยายามสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียว ในรัฐชาติซึ่งเกิดใหม่แต่ละประเทศ ยังมีประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพยายามรักษาอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของตัวเองที่มีอยู่มาตั้งแต่ก่อนเกิดความเป็นรัฐชาติ
เมื่อเรื่องรัฐชาติเป็นเรื่องใหม่ ผสมกับความรู้สึกแบบชาตินิยม ทำให้การสร้างจิตสำนึกความเป็นอาเซียน และการสร้างอัตลักษณ์ร่วมกัน เป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะต่างยังต้องการคงความเป็นอิทธิพลทางวัฒนธรรมในแบบรัฐ มีความเป็นเจ้าของวัฒนธรรมตามแบบชาตินิยม แบ่งแยกกีดกันวัฒนธรรมจากเพื่อนบ้าน แม้หลายวัฒนธรรมจะมีรากฐานร่วมกันมาแต่เดิม
ปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ ความสับสนทางประวัติศาสตร์ และเส้นแบ่งเขตแดนที่ละเลยเชื้อชาติ และอัตลักษณ์ ยังทำให้เกิดปัญหาเรื่องความมั่นคง ทั้งในระดับรัฐ และระดับระหว่างประเทศ เช่น ปัญหาบริเวณพรมแดนไทย-มาเลเซีย หรือบริเวณพรมแดนมาเลเซีย-ฟิลิปปินส์
ศ.ดร.ธเนศนำเสนอประเด็นว่า สิ่งหนึ่งที่ชาติสมาชิกอาเซียนมีร่วมกันเกือบทุกประเทศ ยกเว้นไทย คืออิทธิพลจากชาติตะวันตก ผ่านการเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคม ซึ่งไม่ได้มาด้วยความสมัครใจของชาติสมาชิก
การบังคับ-กดขี่จากชาติตะวันตก กลับทำให้เกิดระบบระเบียบ ภาษา และแนวคิด ตามแบบตะวันตกแท้ๆ ที่ทำให้ชาติในอาเซียนหลายชาติมีความเชื่อมโยงกับประเทศแม่ จากทางยุโรป มากกว่ารากเหง้าแต่เดิม
เช่น ในฟิลิปปินส์ ที่มองว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสเปน และความเป็นยุโรป จนถึงก่อนการเกิดการตระหนักรู้ถึงความเป็นเอเชียเมื่อปีทศวรรษที่ 1880-1900 ฟิลิปปินส์จึงเริ่มมองสถานะตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของโลกมลายู และเริ่มหันหน้ายอมรับอัตลักษณ์ความเป็นอาเซียนมากขึ้น
ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ |
การปลุกระดบกระแสชาตินิยมไปจนถึงการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างก้าวกระโดด ตามตัวแบบอย่างญี่ปุ่นในหลายประเทศ ยังทำให้เกิดชนชั้นใหม่ในอาเซียนอย่าง "ชนชั้นกลาง" ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ปรับตัวและเติบโตขึ้นพร้อมกับสังคมเมือง ทำให้ไม่ยึดติดกับอัตลักษณ์และวัฒนธรรมดังเดิม และพร้อมที่จะมีบทบาทในการประสานความร่วมมือ เพื่อสร้างสิ่งที่ดีกว่าขึ้นใหม่ในอนาคต
จริงอยู่ ที่การก่อตั้งอาเซียนในยุคเริ่มแรก เป็นเหตุผลทางการเมือง เนื่องจากต้องการต้านภัยคอมมิวนิสต์ โดยชาติสมาชิกทั้ง 5 ชาติ ต่างได้รับอิทธิพลจากโลกเสรีฝ่ายตะวันตก กระทั่งเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เห็นว่าการแบ่งแยกกีดกันเพื่อนบ้านไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในภูมิภาคเท่าความร่วมมือ จึงเกิดความพยายามประสานความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ร่างข้อตกลงระหว่างกันและตั้งเป้าที่จะเป็น 'ประชาคมอาเซียน'ในปี 2558 นี้
จะเห็นได้ว่า การตัดสินใจของอาเซียนแต่ละครั้งนั้น เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของ'รัฐ' ในองค์รวมเป็นสำคัญ ทำให้ความพยายามที่จะสร้างอัตลักษณ์ร่วมกันของชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นความพยายามด้านโครงสร้าง ที่ดำเนินการโดยส่วนกลางหรือรัฐบาลของประเทศสมาชิกมาตลอด
นอกจากนี้'วิถีแห่งอาเซียน' เอง ก็ยังเป็นตัวขัดขวางพัฒนาการ เพราะทำให้การตัดสินใจเชื่องช้า ต้องรอทุกชาติลงมติเป็นเอกฉันท์ ขณะเดียวกันก็ห้ามแทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ทำให้ ข้อตกลงทั้งหลายที่ทำไว้ไม่สามารถออกมาเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะเรื่องสิทธิมนุษยชน
เช่น การค้ามนุษย์ การปิดกั้นเสรี ภาพในการสื่อสาร และการตั้งคำถามต่อรัฐบาล ซึ่งถูกปิดกั้นไม่ให้มีการแทรกแซงแก้ปัญหาระหว่างกัน ตามวิถีแห่งอาเซียน
ศ.ดร.ธเนศระบุอีกว่า'อาเซียนจะเป็นประชาคมไม่ได้ หากยังมีการใช้อำนาจเกินหน้าที่โดยเจ้าหน้าที่รัฐ'
พร้อมเสนอว่า หากมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมร่วมกัน การเข้าพื้นที่ไปศึกษา ส่งเสริมบทบาทของสถาบันอาเซียน ในการแทรกแซงกิจการภายในแบบเชิงบวก ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้มีการชำระประวัติศาสตร์ ร่วมกันในหมู่ชาติสมาชิก เพื่อทำความเข้าใจรากเหง้าที่มีร่วมกัน
สร้างความเป็นหนึ่งเดียว ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และการไม่แบ่งแยกในหมู่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ'ความเป็นอาเซียน'ผ่านการผลักดันในด้านโครงสร้างของ 'ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน' จากความร่วมมือในระดับบนของภาครัฐ ผสานการขับเคลื่อนความร่วมมือในระดับบุคคล ของภาคประชาสังคมทั้งใน และระหว่างชาติสมาชิก จะช่วยส่งเสริมกันให้กลายเป็นการบูรณาการที่ได้ประโยชน์ในระยะยาว
ถนนสู่ AEC : สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคมาเลเซีย...กลยุทธ์สำคัญก่อนเจาะตลาดให้สำเร็จ
มาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกอาเซียนที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นตลาดที่สินค้าไทยมีศักยภาพสูง ดังเห็นได้จากมูลค่าส่งออกของไทยไปมาเลเซียที่เพิ่มขึ้นจาก 7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2552 เป็น 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2556 หรือขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 11 ต่อปีในช่วงปี 2552-2556 ส่งผลให้ปัจจุบันมาเลเซียก้าวขึ้นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของไทยในอาเซียน และเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 5 ของไทยในโลก ขณะที่การค้าระหว่างไทยและมาเลเซียยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกในระยะถัดไป เนื่องจากเศรษฐกิจมาเลเซียมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดย EIU คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.8 ในปี 2556 เป็นเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปีในช่วงปี 2557-2561 ซึ่งจะเกื้อหนุนกำลังซื้อของชาวมาเลเซียที่มีจำนวนราว 30 ล้านคน ให้เติบโตต่อเนื่อง โดยรายได้ต่อหัวของชาวมาเลเซียจะเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 50 จาก 10,650 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2556 เป็น 16,070 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2561 อันจะยิ่งเกื้อหนุนความต้องการบริโภคสินค้าให้เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ รวมถึงสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นด้วย
ตลาดผู้บริโภคในมาเลเซีย
ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมและแนวโน้มตลาดผู้บริโภคในมาเลเซียมีดังนี้
- ประชากรวัยทำงานเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ ชาวมาเลเซียส่วนใหญ่ร้อยละ 65 อยู่ในวัยทำงาน (อายุระหว่าง 15-64 ปี) ในจำนวนนี้ผู้มีอายุระหว่าง 25-54 ปี มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 60 ของประชากรวัยทำงานทั้งหมดซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและให้ความสำคัญมากกับคุณภาพและแบรนด์ของสินค้า โดยหากเจาะลึกลงไปพบว่ากลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มีอายุราว 25-39 ปี มีการศึกษาและรายได้สูง เป็นกลุ่มที่มักจับจ่ายใช้สอยเพื่อความสะดวกสบายและความบันเทิง เกาะติดเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ชอบทดลองสินค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสของสินค้าเทคโนโลยี ทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ตลอดจนสินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย อัญมณีและเครื่องประดับที่มีการออกแบบทันสมัย อาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่มที่มีรสชาติแปลกใหม่ รวมทั้งผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะผลไม้ไทย ซึ่งเป็นที่นิยมมากในตลาดมาเลเซีย เช่น มะม่วง ทุเรียน มังคุด และมะพร้าว เป็นต้น ล้วนมีแนวโน้มเติบโตตามกำลังซื้อของผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าว
นอกจากนี้ กลุ่มผู้บริโภคในวัยทำงานยังนิยมสังสรรค์กับเพื่อนฝูงหลังเลิกงาน ซึ่งร้านอาหารไทยเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมมาก ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยเปิดให้บริการกว่า 5,000 แห่งในมาเลเซีย เนื่องจากชาวมาเลเซียคุ้นเคยกับอาหารไทยเป็นอย่างดีเพราะมีการเดินทางไปมาหาสู่ติดต่อค้าขายกันมานาน ประกอบกับอาหารไทยมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ และมีสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นส่วนประกอบสำคัญเข้ากับกระแสตื่นตัวในการดูแลสุขภาพในปัจจุบัน การบริโภคอาหารไทยจึงมีแนวโน้มเติบโตดี และเป็นโอกาสต่อเนื่องในการส่งออกวัตถุดิบสำหรับใช้ปรุงอาหาร โดยเฉพาะเครื่องปรุงรส อาทิ น้ำปลา ซอสหอยนางรม น้ำพริกเผา น้ำจิ้มไก่ กะทิบรรจุกล่อง รวมทั้งผงปรุงรสสำเร็จรูปที่ใช้ปรุงอาหารให้มีรสชาติตามรายการอาหารไทยยอดนิยม อาทิ ผงปรุงรสต้มยำ แกงส้ม และผัดกะเพรา เป็นต้น
- ชาวมาเลเซียมีรสนิยมการบริโภคอาหารค่อนข้างหลากหลายตามเชื้อชาติและศาสนา โดยชาวมาเลเซียส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 ที่นับถือศาสนาอิสลามจะไม่รับประทานเนื้อสุกรและไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ รวมทั้งเคร่งครัดและให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าอาหารที่ผลิตตามหลักฮาลาลของศาสนาอิสลาม ขณะที่ประชากรมาเลเซียเชื้อสายจีน ซึ่งมีจำนวนราวร้อยละ 20 ไม่นิยมรับประทานเนื้อวัว แต่ชื่นชอบการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ นิยมการสังสรรค์และรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยจะเลือกบริโภคอาหารจีนเป็นลำดับแรก และจะหมุนเวียนบริโภคอาหารชาติอื่น ซึ่งรวมถึงอาหารไทย จึงเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่กระตุ้นให้เกิดความต้องการบริโภคอาหารไทยในมาเลเซีย
ขณะที่ชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียที่มีจำนวนราวร้อยละ 7 ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ไม่รับประทานเนื้อวัว นิยมการรับประทานอาหารรสจัดจากเครื่องเทศหลากหลายชนิด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอาหารที่ผลิตในมาเลเซียยังมีค่อนข้างจำกัด ทำให้มาเลเซียต้องนำเข้าอาหารเพื่อตอบสนองความต้องการและเพิ่มความหลากหลายให้สอดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภค จึงนับเป็นโอกาสดีของสินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์ของไทยในการขยายตลาดในมาเลเซีย อาทิ ข้าว น้ำตาลทราย ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ปลาสดแช่เย็นแช่แข็ง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ไอศกรีม รวมถึงอาหารพร้อมปรุงและพร้อมรับประทานทั้งแบบบรรจุกระป๋องและแบบแช่เย็น ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นตามวิถีชีวิตที่เร่งรีบและขนาดครอบครัวที่เล็กลง ทำให้ชาวมาเลเซียที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองนิยมซื้ออาหารสำเร็จรูปมารับประทานที่บ้านแทนการปรุงอาหารเอง ทั้งนี้ ผู้ส่งออกควรใส่ใจกับรสนิยมการบริโภคอาหารที่หลากหลายและปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับความต้องการ อาทิ อาจเลือกใช้เนื้อไก่ กุ้ง หรือเนื้อปลาเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสำเร็จรูปแทนเนื้อสุกรและเนื้อวัว เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม รวมทั้งให้ความสำคัญกับรายละเอียดในการติดตราสัญลักษณ์ฮาลาลในทางปฏิบัติ อาทิ การติดตราสัญลักษณ์ฮาลาลบนผักผลไม้กระป๋อง แม้เป็นสินค้าฮาลาลตามธรรมชาติ (Natural Halal) อยู่แล้ว เพื่อให้ผู้บริโภคซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมมั่นใจว่าการผลิตอาหารนั้นสอดคล้องกับหลักศาสนา
- ชาวมาเลเซียใส่ใจและหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประชากรในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าจะคำนึงถึงประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น อาทิ การนิยมเลือกซื้อเครื่องดื่มที่เน้นคุณประโยชน์และเสริมสุขภาพ เช่น เครื่องดื่มผสมโสม ซุปไก่สกัด รังนก ชาสมุนไพร เครื่องดื่มเกลือแร่ และเครื่องดื่มสมุนไพรชนิดต่างๆ แทนการดื่มน้ำอัดลม ส่งผลให้ตลาดสินค้าดังกล่าวมีแนวโน้มเติบโต และเป็นโอกาสเครื่องดื่มของไทยที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการดังกล่าว
- ชาวมาเลเซียนิยมซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ในปี 2555 การค้าปลีกผ่านอินเทอร์เน็ตขยายตัวถึง 12% และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 13% ต่อปีจนถึงปี 2560 เนื่องจากปัจจุบันประชากรมาเลเซียมีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกว่าร้อยละ 60 อีกทั้งรัฐบาลมาเลเซียตั้งเป้าผลักดันให้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75 ในปี 2558 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจำหน่ายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตให้มีแนวโน้มเติบโตตาม โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ เนื่องจากสามารถสั่งซื้อสินค้าได้ตลอดเวลา การเปรียบเทียบราคาสินค้าทำได้ง่าย และจัดส่งสินค้าถึงประตูบ้าน ทำให้สะดวกและประหยัดเวลา ดังนั้น การจำหน่ายสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตและการโฆษณาสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตจึงเป็นอีกช่องทางที่น่าสนใจในการเจาะตลาดมาเลเซีย เนื่องจากสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ภายในบ้าน(Home Care) เสื้อผ้า
เครื่องแต่งกาย สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งยอดจำหน่ายผ่านทางอินเทอร์เน็ตขยายตัวสูง
การศึกษาและทำความเข้าใจพฤติกรรมและแนวโน้มตลาดผู้บริโภคมาเลเซียในเบื้องต้นจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถวางกลยุทธ์การผลิตและส่งออกสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในมาเลเซียได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกที่สนใจขยายตลาดสินค้าในมาเลเซียควรศึกษากฎระเบียบการนำเข้าในรายสินค้า ซึ่งสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของ Ministry of International Trade and Industry ของมาเลเซีย คือ http://www.miti.gov.my/cms/index.jsp รวมทั้งใช้ประโยชน์จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) โดยเฉพาะด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีนำเข้าที่ปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ของมาเลเซียภายใต้ AEC อยู่ในระดับต่ำ คือ ร้อยละ 0-5 ซึ่งจะช่วยลดภาระต้นทุนและอุปสรรคทางการค้าให้แก่ผู้ส่งออกไทยในการส่งสินค้าไปยังมาเลเซีย
Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เมษายน 2557
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด