ACN เอคเซนเชอร์ ระบุปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจอาเซียน รองรับโลกการทำงานในอนาคต
เอคเซนเชอร์ (ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก : ACN) เผยผลวิจัยล่าสุดเรื่อง “องค์กร ที่พร้อมรับมือกับอนาคต: นิยามใหม่ของการทำงานในอาเซียน (The Future Ready Organisation: Reinventing Work in ASEAN) โดยได้เผยถึงปัจจัยเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสขององค์กรในอาเซียน ในยุคที่การทำงานขององค์กรปรับเข้าสู่ ยุคดิจิตอล โครงสร้างประชากรวัยทำงานเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อมีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเกิดขึ้น รายงานฉบับนึ้ได้นำเสนอกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาเซียนมองเห็นถึงความท้าทายเหล่านี้
ภูมิภาคอาเซียนนั้นมีประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในโลก คาดว่าอาเซียนจะมีประชากรกลุ่มนี้ถึง 50 ล้านคนในช่วง ปี 2010 – 2020 การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนส่งผลเกิดแนวโน้มการไหลเวียนของแรงงานมีทักษะในภูมิภาค การบริหารบุคลากรหัวกะทิหรือทาเลนต์ในยุคไร้พรมแดนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ
นายนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ ประจำเอคเซนเชอร์ประเทศไทย ซึ่งได้ร่วมทำงานวิจัยครั้งนี้กล่าวว่า “อาเซียนอยู่ ตรงจุดแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่กระแสคลื่นลูกใหม่อันเป็นผลมาจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง ความแพร่หลาย ของเทคโนโลยีดิจิตอล และการเปิดพรมแดนระหว่างกัน องค์กรต่าง ๆ จึงต้องปรับนิยามการทำงานใหม่ ปรับแนวการบริหารและการรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กร เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะมีทรัพยากรรองรับความต้องการในอนาคตได้”
เชื่อมต่อช่องว่างระหว่างทาเลนต์และเทคโนโลยี
แม้ตลาดผู้บริโภคโดยทั่วไปจะรับนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้อย่างรวดเร็ว แต่กิจการที่มีฐานในอาเซียนส่วนใหญ่ มักมีเทคโนโลยีจำกัด หรือนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ล่าช้า ยกเว้นสิงคโปร์ การใช้เครื่องมือใหม่ ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ จึงจำเป็นต่อเมื่อธุรกิจอาเซียนสามารถสร้างสรรค์และนำเทคโนโลยีมาใช้กับพนักงานยุคใหม่และแนวการทำงานในรูปแบบใหม่ได้
ภายในปี 2020 ประชากรอาเซียนราวหนึ่งในสามจะมีอายุระหว่าง 20 – 39 ปี เป็นกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียมหรือรุ่นที่เพิ่งเริ่ม เข้าสู่ช่วงความเป็นผู้ใหญ่ เป็นยุคเริ่มแรกของมิลเลนเนียมใหม่ คนรุ่นนี้มีกรอบความคิดและความต้องการในงานที่ต่างออกไปจากคนทำงานในอดีต การที่องค์กรในอาเซียนจะนำวิธีการทำงานแบบใหม่มาใช้และดึงดูดคนทำงานรุ่นใหม่ จึงต้องไม่ยึดติดกับระบบอาวุโสที่ตายตัว และต้องสร้างบรรยากาศการทำงานที่เปิดกว้าง ยืดหยุ่น และโปร่งใส ให้มากขึ้น
นอกจากนี้ องค์กรในอาเซียนยังต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับประโยชน์และความท้าทายของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับการไหลเข้าออกของทาเลนต์ในภูมิภาค องค์กรจึงต้องเตรียมรับมือกับการแข่งขัน ในตลาดแรงงานทาเลนต์ที่จะมีมากขึ้น พัฒนาความเป็นมืออาชีพในการบริหารทีมงาน รวมถึงพนักงานที่จะมี ความหลากหลายมากขึ้น
ปัจจัยสำคัญจึงอยู่ที่การเข้าถึงทาเลนต์ในตลาดที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทได้ทรัพยากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะและเสริม ความแข็งแกร่งขององค์กรได้ หากสามารถประสานความสามารถของทาเลนต์ที่มาจากที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และขยาย ขีดความสามารถของพวกเขา เพื่อให้องค์กรสามารถค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ที่ท้าทาย และต่อยอดการเติบโตต่อไปได้
เตรียมตัวพร้อมสำหรับความสำเร็จ
เอคเซนเชอร์ระบุปัจจัยหลักแห่งความสำเร็จ 7 ประการ ที่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจและภาครัฐควรนำไปใช้ เพื่อเตรียมรับมือ กับความท้าทายของการทำงานในอนาคต ดังนี้:
ผู้นำองค์กรธุรกิจควร:
1. เริ่มพัฒนากลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการบริหารทาเลนต์ที่สร้างความแตกต่าง สามารถตอบสนองต่อแรงบันดาลใจและ การจัดลำดับความสำคัญส่วนบุคคลของพนักงาน
2. ปรับโมเดลการปฏิบัติการใหม่ให้สมดุล เพื่อให้พนักงานแสดงศักยภาพและความยืดหยุ่นที่มีได้อย่างเต็มที่ สามารถปรับตัวเข้ากับแนวการทำงานใหม่ๆ ได้
3. เข้าถึงแหล่งทรัพยากรบุคคลที่มีในภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของทาเลนต์และเครือข่ายที่มี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจในที่สุด
4. พัฒนากรอบแนวคิดทางธุรกิจใหม่ เน้นภาวะผู้นำจากการสั่งการและบังคับบัญชาให้น้อยลง แต่เน้นการเป็นผู้นำ ด้านการตัดสินใจให้มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนหรือนำเอาวิธีการทำงานใหม่ ๆ มาใช้
ผู้บริหารภาครัฐและผู้จัดทำนโยบายควร:
1. คาดการณ์และจัดสรรการลงทุนด้านต่าง ๆ ของภาครัฐ ที่สามารถรองรับการทำงานของทาเลนต์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทรัพยกรบุคคลเหล่านี้จะสามารถทำงานได้ในภาวะที่ความต้องการของอุตสาหกรรมเปลี่ยนไป
2. อำนวยให้เกิดความร่วมมือระหว่างชุมชนของอุตสาหกรรม หน่วยงานในภาครัฐ และสถาบันการศึกษา เพื่อทำให้อาเซียนและประเทศสมาชิกแต่ละแห่ง เป็นจุดหมายปลายทางของการทำธุรกิจที่นักลงทุนเลือก
3. สร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มีคุณภาพ เพื่อให้ธุรกิจสามารถนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความร่วมมือให้ได้มากที่สุด พัฒนากำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้นได้อย่าง มีประสิทธิภาพที่สุด
“เมื่อแนวโน้มใหม่ที่เกิดขึ้นมีเสถียรภาพชัดเจน และประเทศต่างๆ ในภูมิภาคได้เตรียมการรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว บริษัทและองค์กรต่างๆ ต้องปรับตัวในเชิงรุกและเปลี่ยนโลกแห่งการทำงานไปสิ้นเชิง“นนทวัฒน์ กล่าว โดยเมื่อมี การเปลี่ยนแปลงในทางบวกในอาเซียน การพัฒนาองค์กรให้สอดคล้องจะช่วยให้สามารถวางตำแหน่งทางธุรกิจ เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จที่ตั้งไว้ สามารถสร้างฐานที่แข็งแกร่งขึ้น อันจะนำไปสู่การพัฒนาอาเซียนอย่างยั่งยืน
ไทยเข้าร่วมประชุม AEM ครั้งที่ 46 เดินเครื่องเร่ง AEC-วางกรอบเปิดเสรี RCEP
ไทยโพสต์ : หว่างวันที่ 23-28 สิงหาคม 2557 นี้ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 46 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 12 และการประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA Council) ครั้งที่ 28 ณ กรุงเนปิดอร์ โดยหว่างวันที่ 23-28 สิงหาคม 2557 นี้ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 46 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 12 และการประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA Council) ครั้งที่ 28 ณ กรุงเนปิดอร์ โดยนายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นสำคัญที่จะเกิดขึ้นในการประชุม ดังนี้
การประชุมครั้งนี้ มีประเด็นสำคัญอะไรบ้าง
การประชุมครั้งนี้ ฝ่ายไทยมี น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุม โดยประเด็นสำคัญที่จะมีการหารือกัน ได้แก่ การติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินการตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) การจัดทำกรอบวิสัยทัศน์การรวมกลุ่มเศรษฐกิจของอาเซียนหลังปี 2558 การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP หรือเรียกอีกอย่างว่า ASEAN FTA+6 และการยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน
การหารือกับประเทศคู่เจรจาในครั้งนี้มีอะไรสำคัญ
รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน จะพบปะหารือกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย รวมไปถึงสหภาพยุโรป แคนาดา สหรัฐฯ และรัสเซีย โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ การหารือแนวทางการสรุปการเจรจาเพื่อเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนกับญี่ปุ่น การยกระดับการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน การเปิดเสรีเพิ่มเติมภายใต้ กรอบอาเซียน-เกาหลี และยังจะหารือในประเด็นสำคัญในการเปิดเสรี RCEP ที่ระดับรัฐมนตรีจะมีการหารือเรื่องรูปแบบการเปิดตลาดการค้าสินค้า ข้อเสนอเบื้องต้นด้านการค้าสินค้า และการเปิดตลาดการค้าบริการและการลงทุน
ไทยจะผลักดันการเจรจากรอบ RCEP อย่างไร
ไทยยินดีให้การสนับสนุนให้มีการหาข้อสรุปเรื่องรูปแบบการเปิดตลาดการค้าสินค้า ให้มีข้อเสนอเบื้องต้นเปิดตลาดด้านการค้าสินค้า และแนวทางการจัดทำข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการและการลงทุนให้ได้โดยเร็ว โดยสนับสนุนหลักการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อความตกลง RCEP ให้กว้างและลึกกว่าความตกลง ASEAN+1 FTAs ที่มีอยู่เดิม ทั้งในแง่ของระดับการเปิดตลาดสินค้า การเปิดเสรีการค้าบริการ และการลงทุนที่ไม่ควรต่ำกว่าความตกลง ASEAN+1 FTAs และต้องปรับประสานกฎระเบียบทางการค้าในภูมิภาคให้สอดคล้องกันด้วย
ความคืบหน้าและการจัดตั้ง AEC ภาพรวมเป็นอย่างไร
ขณะนี้ภาพรวมการมุ่งไปสู่ AEC มีความคืบหน้ามากพอสมควร ซึ่งตามการวัดผลโดย AEC Scorecard ตั้งแต่ 1 มกราคม 2551 ถึง 2556 อาเซียนดำเนินการได้ร้อยละ 72.3 ของมาตรการที่ต้องดำเนินการทั้งหมด และอาเซียนดำเนินการได้ร้อยละ 82.1 ของมาตรการสำคัญที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2556 ทั้งนี้ ไทยเชื่อว่า อาเซียนจะสามารถดำเนินมาตรการที่สำคัญให้แล้วเสร็จได้ตามเป้าหมายในปี 2558 อาทิ การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง ระบบศุลกากรหน้าต่างเดียว การปรับประสานมาตรฐานและกฎระเบียบทางเทคนิค การจัดทำ MRA สำหรับผลิตภัณฑ์รายสาขา เช่น ยานยนต์ อาหารแปรรูป เครื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และการจัดทำข้อตกลงผูกพันเปิดเสรีการค้าบริการชุดที่ 10 ให้แล้วเสร็จ เป็นต้น
การประชุมครั้งนี้จะมีการพิจารณาวิสัยทัศน์อาเซียนหลังปี 2558 ด้วย
การประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจะรับทราบความคืบหน้าและพิจารณาให้แนวทางการจัดทำวิสัยทัศน์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หลังปี 2558 ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อที่จะเสนอให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและผู้นำอาเซียนพิจารณาให้การรับรองในการประชุ มสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 25 ในเดือนพฤศจิกายน 2557 ซึ่งไทยพร้อมให้การสนับสนุน และเห็นว่า ประเด็นที่อาเซียนควรให้ความสำคัญในลำดับแรกๆ ได้แก่ การเปิดเสรีสินค้าบริการเพิ่มขึ้น การอำนวยความสะดวกทางการค้า การผลักดันให้อาเซียนเป็นห่วงโซ่อุปทานของโลก การลด เลิกมาตรการที่มิใช่ภาษี การเชื่อมโยงอาเซียน การพัฒนา SMEs และการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานความรู้ จะมีการลงนามความตกลงอะไรบ้างในการประชุมครั้งนี้
คาดว่า รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจะลงนามความตกลงด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ 4 ฉบับ ได้แก่ พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 9 ข้อตกลงยอมรับร่วมกันสาขาวิชาชีพบัญชีของอาเซียน พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าอาเซียนออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ และความตกลงว่าด้วยการค้าบริการและความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน-อินเดีย ซึ่งในส่วนของไทยมีความพร้อมในการลงนาม หลังจากที่ คสช. ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา
กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย--(บิสิเนส ไวร์)--4 ส.ค. 2557
สองผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมจับมื
วันนี้ที่การประชุม Asian Utility Week บริษัทซิลเวอร์ สปริง เน็ทเวิร์กส์ (NYSE:SSNI) ได้ประกาศขยายความเป็นพันธมิ
“เอเชียมีเมืองที่เติบโตรวดเร็
“ซิลเวอร์ สปริง ได้รับการยอมรับอย่างกว้
ซิลเวอร์ สปริง เชื่อมโยงครัวเรือนและธุรกิจกว่
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่
ร่วมพูดคุยกับซิลเวอร์ สปริง เน็ทเวิร์กส์
- ติดตาม @SilverSpringNet ทางทวิตเตอร์
- กดไลค์ ซิลเวอร์ สปริง เน็ทเวิร์กส์ บนเฟซบุ๊ก ที่ www.facebook.com/
- อ่านบล็อกซิลเวอร์ สปริง คอนเน็ก ที่ www.silverspringnet.com/
เกี่ยวกับซิลเวอร์ สปริง เน็ทเวิร์กส์
ซิลเวอร์ สปริง เน็ทเวิร์กส์ (Silver Spring Networks) เป็นบริษัทชั้นนำผู้ให้บริ
เกี่ยวกับอีดีเอ็มไอ
อีดีเอ็มไอ ลิมิเตด (EDMI Limited) เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นการวั
ข้อความที่เป็นลั
ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้
ติดต่อ:
ซิลเวอร์ สปริง เน็ทเวิร์กส์
เอมี่ คุก (Amy Cook)
ฝ่ายสื่อสารระหว่างประเทศ
โทร: 650-839-4183
อีเมล: [email protected]
หมายเหตุ:
ไทย บิสิเนส นิวส์ คือผู้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ไทย บิสิเนส นิวส์ เป็นธุรกิจในเครือบริษัท สตูดิโอ มาเจนตา ลิมิเต็ด (Studio Magenta Limited) จัดตั้ง ขึ้นในปีพ.ศ. 2547 เพื่อแปลและเผยแพร่ข่าวประชาสั หากท่านสนใจลงทะเบียนรับข่ |
4 ปีไทยเจ๊งการค้าอาเซียน
บ้านเมือง : นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดถึงการประเมิน 4 ปี การค้าและการลงทุนภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ช่วงปี 2553-2556 โดยพบว่า ไทยเสียประโยชน์ทั้งด้านการค้าและการลงทุน ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลง
ทั้งนี้ ในด้านการค้า ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา มูลค่าการส่งออกของสินค้าไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2553 มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังอาเซียนอยู่ที่ 320,348 ล้านบาท ลดเหลือ 222,187 ล้านบาท ในปี 2554 ต่อมาปี 2555 ลดเหลือ 59,178 ล้านบาท และปี 2556 ติดลบ 8,428 ล้านบาท
"ต้องยอมรับแม้ว่ามูลค่าการส่งออกของไทยจะยังอยู่ในอันดับ 3 แต่หากไปดูอัตราการขยายตัวจะพบว่าลดลงอย่างต่อเนื่อง จากอันดับ 1 ที่ขยายตัว 39.5% ในปี 2553 พอมาปี 2554 ขยายตัว 20.7% และปี 2555 ขยายตัว 3.3% มาปี 2556 ขยายตัวลดลงเหลือ 1% ตกมาอยู่อันดับ 7"นายอัทธ์ กล่าว
นอกจากนี้สินค้าไทยที่ยังเป็นดาวเด่นหลังเปิดเออีซี 4 ปี ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก เครื่องและยาสูบ ส่วนสินค้าดาวร่วง ได้แก่ ข้าว อาหารทะเลแปรรูป มันสำปะหลัง ยางพารา น้ำตาล รถยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น
ขณะเดียวกันด้านการลงทุน ในแง่ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เข้ามาในอาเซียน พบว่า สิงคโปร์มากสุด 2.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมา อินโดนีเซีย 7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อันดับ 3 มาเลเซีย 4.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยอยู่อันดับ 4 มี FDI รวม 3.65 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
นายอัทธ์ กล่าวว่า สิ่งที่ภาครัฐต้องทำเพื่อไม่ให้สินค้าไทยสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันไปมากกว่านี้ 1.ต้องปรับการทำการตลาดใหม่ โดยสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับและนิยมในชาติอาเซียนอยู่แล้ว แต่ไม่มีการทำการตลาดอย่างจริงจัง และไม่สร้างแบรนด์สินค้าให้เกิดในอาเซียน 2.ไม่มีบริษัทไทยไปร่วมทุนทำเทรดดิ้ง กัมปะนีในอาเซียนเลย ทำให้การส่งสินค้าไปขายจึงไม่เกิดขึ้น และ 3.ในด้านการลงทุน ไทยต้องปรับวิธีการผลักดันเพื่อให้ SME ไปลงทุนได้มากขึ้นจากปัจจุบันที่มีแต่เฉพาะรายใหญ่
กลุ่มทุนจีนรุกตลาดเหนือเร่งสานสัมพันธ์อาเซียน-ไชน่ารับ AEC
สมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือการค้าอาเซียน- จีน นำคณะนักธุรกิจคุนหมิง เจรจาจังหวัดแม่ฮ่องสอน ภายใต้กรอบเศรษฐกิจ การค้าชายแดน การศึกษา การท่องเที่ยวพร้อมลงนามความร่วมมือด้านสปาเพื่อสุขภาพแม่ฮ่องสอน
นายสุรพล พนัสอำพัน ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า คณะนักธุรกิจชาวจีนที่มาร่วมในการเจรจากับจังหวัดแม่ฮ่องสอนในครั้งนี้ เป็นกลุ่มนายทุนจากเมืองคุนหมิง และสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือการค้าอาเซียน - จีน (ASEAN - CHINA ECONOMY AND TRADE PROMOTION ASSOCIATION) มีทั้งภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจของประเทศจีน โดยกลุ่มทุนจีนสนใจที่จะร่วมทุนในทุกมิติทั้งเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว การศึกษา อีคอมเมิร์ซ สปา ด้านการลฃงทุนในโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่นการพัฒนาและก่อสร้างถนน อุโมงค์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าจากเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และประเทศเพื่อนบ้านเมียร์มาร์ หรือประเทศที่สาม จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ให้แนวทางการเจรจาแก่นักธุรกิจชาวจีนว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีศักยภาพทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยว ซึ่งแม่ฮ่องสอนเป็นเมืองท่องเที่ยวขนาดเล็กที่มีความหลากหลาย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมเยือนจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นจำนวนมาก จุดเด่นของการท่องเที่ยวคือ การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ การท่องเที่ยวเชิงผจญภัย และแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่สำคัญ คือ ภูโคลน น้ำพุร้อน สปา นวดแผนไทย
การค้าชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้านเมียร์มาร์ทุกอำเภอ มีความยาวเกือบ 500 กิโลเมตร ปัจจุบันมีจุดผ่อนปรนทางการค้าทั้งหมด ๕ จุด คือจุดผ่อนปรนทางการค้าบ้านน้ำเพียงดิน บ้านห้วยต้นนุ่น บ้านเสาหิน บ้านแม่สามแลบ ทั้ง ๕ จุดสามารถติดต่อทางฝั่งพม่าได้สะดวก ขณะนี้กำลังผลักดันให้จุดผ่อนปรนทางการค้าบ้านห้วยต้นนุ่นเป็นด่านชายแดนถาวร จุดเด่นคือ ด่านห้วยต้นนุ่นอยู่ใกล้กับเมืองหลวงใหม่ของพม่าเพียง ๒๒๐ กิโลเมตร และทราบว่ารัฐบาลจีนก็ให้การสนับสนุนรัฐบาลพม่าในการก่อสร้างเส้นทางจากเนปิดอว์มาสู่ชายแดนไทยทางรัฐคะยา หลอยก่อ และข้ามน้ำสาละวินมาทางชายแดนไทย จีนเองก็สนับสนุนพม่าในการตัดเส้นทางการคมนาคมระหว่างไทยและพม่า ซึ่งในเส้นทางนี้จะมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น และเป็นเส้นทาง ที่ดีเนื่องจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนติดกับประเทศเมียร์มาร์ทางตอนกลาง มีเมืองหลวงใหญ่ๆ อาทิ เนปิดอว์ ตองยี หลอยก่อ ตองอู มัณฑะเลย์ ขณะนี้มูลค่าการค้าชายแดนของแม่ฮ่องสอนอยู่ที่ ๔๐๐ ล้านบาท แต่ในโอกาสข้างหน้าภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปีหน้า เส้นทางนี้จะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะมีการค้าขายกันมากที่สุด หากว่าเราสามารถผลักดันให้เปิดด่านการค้าถาวรได้ จะทำให้ลดต้นทุนการขนส่งสินค้าเข้าสู่ใจกลางประเทศพม่า
นอกจากนั้นจะมีการผลักดันในเรื่องของเส้นทางการบินระหว่าง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พม่า ทั้งมัณฑะเลย์ หลอยก่อ เนปิดอว์ เป็นต้น นี่เป็นเรื่องของอนาคตอันใกล้ เมืองเราเปิดประเทศ AEC ก็คงจะต้องเชื่อมกัน สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับช่องทางการค้าขายในอนาคต"
นายวิจิตร หยาง นายกสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือการค้าอาเซียน - จีน เปิดเผยว่า "ทางสมาคมอาเซียนจีนส่วนใหญ่จะเชื่อมโยงไทย-อาเซียน , อาเซียน-จีน เกี่ยวกับเรื่องการค้า การลงทุนวัฒนธรรม การท่องเที่ยว สุขภาพ ความงาม ซึ่งหากว่ามีโอกาสเราก็อยากที่จะส่งเสริมทั้งการท่องเที่ยวและการค้าของทางจังหวัดแม่ฮ่องสอน การมาร่วมเจรจาการค้ากับทางจังหวัดแม่ฮ่องสอนในครั้งนี้ ทางคณะนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มนายทุนใหญ่ จากเมืองคุนหมิงเขาสนใจที่มาหาลู่ทางการค้า การลงทุน ในทุกมิติ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ ศูนย์การค้า การก่อสร้างถนนและอุโมงค์ เรื่องการขนส่ง เรื่องเฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์โอทอป โซล่าร์เซลล์ , LED , สปา , การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สปา , อีคอมเมิร์ซ
Mr.Zhu Shufu ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรก่อสร้างถนน อุโมงค์ และสะพาน จากบริษัท ยูนาน ซันนี่ โรด แอนด์ บริดจ์ จำกัด ประเทศจีน (Yunnan Sunny Road & Bridge Co., Ltd,China) กล่าวว่า "บริษัทของเราเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจของยูนาน ก่อตั้งมานานกว่า ๕๗ ปี บริษัทของเรารับทำการก่อสร้างในโครงการขนาดใหญ่ทั่วทั้งประเทศจีน และต่างประเทศ โดยเฉพาะ ถนน อุโมงค์ เรามีความชำนาญมาก และเรามีเครื่องจักรที่ทันสมัยที่สุด ขณะนี้ทีมงานกำลังดำเนินการก่อสร้างถนนอยู่ ๔ ประเทศ คือที่ ลาว มองโกเลีย ไนจีเรีย และปากีสถาน และเท่าที่ผมสังเกตจากบนเครื่องบินระหว่างการเดินทางมายังจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้นสังเกตว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีพื้นที่เป็นภูเขาส่วนใหญ่ ซึ่งคล้ายกับที่ยูนาน แต่ว่าที่ยูนานภูเขาจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า ซึ่งดูแล้วการก่อสร้างถนน - อุโมงค์ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากว่ามีโอกาสได้มาร่วมมือกับทางประเทศไทยในเรื่องการสร้างถนนและอุโมงค์แล้ว ผมกล้าการันตีได้เลยว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมต้องผ่านมาตรฐานแน่นอน ตลอดจนถึงเรื่องของความสวยงาม และการย่นระยะทาง ที่สำคัญก่อนจะเดินทางมายังจังหวัดแม่ฮ่องสอน เขาได้ศึกษา เรื่องเส้นทางมาพอสมควร"
นายสุพจน์ กลิ่นปราณีต ประธานคณะกรรมการความร่วมมือภาคเอกชนจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า "คณะนักธุรกิจชาวจีนคณะนี้เป็นกลุ่มนักลงทุนใหญ่ ผมได้รับการประสานงานสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือการค้าอาเซียน - จีน ว่าต้องการมาศึกษาและดูลู่ทางการลงทุนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะการท่องเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอนเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากที่ไม่เคยมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาเที่ยวยังจังหวัดแม่ฮ่องสอน ปรากฎว่าในสองปีที่ผ่านมา แม่ฮ่องสอนได้ต้อนรับคณะนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่อำเภอปาย และที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน สัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวจีนโตมากกว่า ๖๐ เปอร์เซ็นต์ และที่มีการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้นั้น คือเรื่องของธุรกิจสปาโดยมีการร่วมลงนามความร่วมมือกันระหว่างจีนและผลิตภัณฑ์สปาภูโคลน หลังจากนั้นผมจะนำผลิตภัณฑ์สปาที่มีคุณสมบัติเด่นของจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ท่านผู้ว่าฯ ได้กล่าวมาแล้วนั้นเข้าร่วมอีกครั้งครับ"
ก่อนหน้านั้นกลุ่มนายทุนจีนคณะนี้ได้ไปร่วมลงนามความร่วมมือกับทางจังหวัดแพร่ และจังหวัดน่านมาแล้วก่อนจะมาที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด