อาเซียนเล็งพิจารณากำหนดไทม์โซนเดียวกันทุกประเทศรับ AEC
นายอานิฟาห์ อามาน รมว.ต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จะทำการพิจารณาอีกครั้งต่อข้อเสนอที่จะให้ทั้ง 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียนต่างใช้ไทม์โซนเดียวกันเพื่อส่งเสริมการทำการค้าและธุรกิจระหว่างกัน
"เนื่องจากอาเซียนจะจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปลายปีนี้ เราจึงเชื่อว่าการมีไทม์โซนเดียวกันสำหรับเมืองหลวงของทุกประเทศในอาเซียน เป็นแนวคิดที่สมควรมีการพิจารณา" นายอามานกล่าวในวันนี้ ขณะสิ้นสุดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเป็นเวลา 2 วัน
เขาเปิดเผยว่า ข้อเสนอดังกล่าวมีการหยิบยกขึ้นมาหารือครั้งแรกในปี 1995 และต่อมาในปี 2004
นายอามานได้ระบุถึงประโยชน์ที่ประเทศต่างๆจะได้รับจากการกำหนดไทม์โซนเดียวกัน ซึ่งได้แก่การเพิ่มการเชื่อมโยงการทำธุรกิจและการธนาคารระหว่างกัน รวมทั้งการดำเนินงานของสายการบินต่างๆ
ขณะนี้ประเทศในอาเซียนมี 4 ไทม์โซน โดยมาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และบูรไนใช้ไทม์โซน GMT+8 Hrs ขณะที่ไทย, กัมพูชา, ลาว และเวียดนามใช้ไทม์โซน GMT+7 Hrs ส่วนเมียนมาร์ใช้ GMT+6.5 Hrs ขณะที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเกาะจำนวนมาก มี 3 ไทม์โซนตั้งแต่ GMT+7 hrs ถึง +9.00 hrs
อินโฟเควสท์
ถนนสู่ AEC: ฟิลิปปินส์…ก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการ Business Process Outsourcing รายสำคัญของโลก
กิจการรับจ้างบริหารธุรกิจ (Business Process Outsourcing : BPO) ถือเป็นธุรกิจดาวเด่นของฟิลิปปินส์เนื่องจากมีแนวโน้มเติบโตสูง และสร้างรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะธุรกิจบริการข้อมูลลูกค้าทางโทรศัพท์ (Call Center) และธุรกิจให้บริการออกแบบซอฟต์แวร์และไอที ล่าสุดบริษัทที่ปรึกษา Tholons จัดอันดับเมืองที่มีความโดดเด่นด้านธุรกิจ Outsourcing 100 อันดับแรกของโลกประจำปี 2557 (Tholons Top 100 Outsourcing Destinations Ranking) ปรากฏว่า มี 2 เมืองของฟิลิปปินส์ ได้แก่ กรุงมะนิลา (เมืองหลวงของฟิลิปปินส์) และเมืองเซบูติด 10 อันดับแรกของเมืองที่มีความโดดเด่นด้านธุรกิจ Outsourcing โดยกรุงมะนิลาอยู่ในอันดับ 2 (เลื่อนขึ้นมาจากอันดับ 3 ในปี 2556 แซงหน้าเมืองมุมไบของอินเดีย) รองจากเมืองบังคาลอร์ของอินเดีย ส่วนเมืองเซบูอยู่ในอันดับ 8 นอกจากนี้ ยังมีอีก 5 เมืองของฟิลิปปินส์ติด 100 อันดับแรก ได้แก่ Davao (อันดับ 69) Metro Laguna (อันดับ 82) Bacolod (อันดับ 93) Iloilo (อันดับ 95) และ Baguio (อันดับ 99) สำหรับประเทศไทยติดอันดับเพียงเมืองเดียว คือ กรุงเทพฯ (อันดับ 85)
ปัจจุบันธุรกิจ BPO ของฟิลิปปินส์เป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มบริษัทผู้ว่าจ้างขนาดใหญ่หลายแห่งในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ส่งผลให้ในปี 2556 ตลาดธุรกิจ BPO ในฟิลิปปินส์ขยายตัวถึงร้อยละ 17 จากปีก่อน ด้วยมูลค่า 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.2 ของ GDP ฟิลิปปินส์ และมีการจ้างงานในธุรกิจนี้เกือบ 1 ล้านคน โดยธุรกิจ Call Center มีสัดส่วนมากที่สุดราวร้อยละ 60 ของธุรกิจ BPO ในฟิลิปปินส์ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยราวร้อยละ 15 ต่อปี รองลงมา ได้แก่ การบริการ Back-Office & Shared Service (อาทิ การสรรหาพนักงาน การจ่ายเงินเดือนพนักงาน) มีสัดส่วนราวร้อยละ 19 ทั้งนี้ สมาคมรับจ้างบริหารระบบธุรกิจและไอทีในฟิลิปปินส์ (The IT and Business Process Association of the Philippines : IBPAP) ประมาณการมูลค่าตลาดของธุรกิจ BPO ในปี 2557 ไว้ที่ 18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าภายในปี 2559 จะเพิ่มขึ้นเป็น 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 10 ของ GDP และมีการจ้างงานราว 4.5 ล้านคน
ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ฟิลิปปินส์เป็นผู้ให้บริการ BPO รายสำคัญของโลก
มีแรงงานจำนวนมากและส่วนใหญ่เป็นแรงงานมีคุณภาพ ปัจจุบันฟิลิปปินส์มีประชากรวัยทำงานราว 40 ล้านคน โดยในแต่ละปีมีนักศึกษาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีราว 500,000 คน ซึ่งราวร้อยละ 30 มีคุณสมบัติพร้อมเข้าทำงานในธุรกิจ BPO อีกทั้งประชากรฟิลิปปินส์ราวร้อยละ 93 ของประชากรทั้งประเทศสามารถอ่านออกเขียนได้ นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ยังมีแรงงานที่สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้จำนวนมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร จึงทำให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจ BPO แห่งใหม่ และก้าวแซงธุรกิจ Call Center ของอินเดียในแง่จำนวนพนักงานและมูลค่าตลาดได้สำเร็จ โดยในปี 2556 ฟิลิปปินส์สามารถชิงส่วนแบ่งตลาดใหม่ในธุรกิจ Call Center ของอินเดียได้มากกว่าร้อยละ 50 เนื่องจากความได้เปรียบด้านแรงงานเป็นสำคัญ
แรงงานที่มีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษมีค่าจ้างอยู่ในระดับต่ำ เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอินเดีย ขณะที่ให้บริการที่มีคุณภาพมากกว่า โดยเฉพาะสำเนียงที่ฟังง่ายกว่าชาวอินเดีย ทำให้ฟิลิปปินส์เป็นศูนย์กลาง Call Center ที่สำคัญของโลก ประกอบกับค่าจ้างพนักงาน Call Center ในฟิลิปปินส์ต่ำเพียง 1 ใน 6 ของค่าจ้างพนักงานดังกล่าวในสหรัฐฯ ส่งผลให้บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ตลอดจนสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย อาทิ AT&T, JPMorgan Chase, HSBC, Expedia, Citgroup, HP และ Oracle หันมา Outsource ศูนย์ Call Center ในฟิลิปปินส์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน โดยพนักงาน Call Center ในฟิลิปปินส์พร้อมให้บริการ Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งมีช่วงเวลาในการติดต่อแตกต่างกัน เช่น การทำงานในฟิลิปปินส์ตอนกลางวันเป็นช่วงเวลากลางคืนในสหรัฐฯ
รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นพิเศษ ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ปี 2554-2559 กำหนดให้ธุรกิจ BPO เป็น 1 ใน 10 ธุรกิจที่มีศักยภาพสูง และเป็นธุรกิจที่รัฐบาลสนับสนุนเป็นลำดับต้นๆ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาบุคลากรและการออกมาตรการสนับสนุนการขยายธุรกิจ BPO ไปสู่เมืองต่างๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษประเภทเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีจำนวนถึง 187 แห่ง จากเขตเศรษฐกิจทั้งหมด 289 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนมากที่สุดถึงร้อยละ 64.6 ของจำนวนเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมดของฟิลิปปินส์ โดยนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและค่าธรรมเนียม อาทิ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประเภทของโครงการ ได้แก่ โครงการนำร่องได้รับยกเว้น 6 ปี โครงการที่ไม่ใช่โครงการนำร่อง 4 ปี และโครงการลงทุนเพื่อขยายงาน 3 ปี โดยหลังจากช่วงเวลาที่ได้รับการยกเว้นภาษีจะเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของรายได้ นอกจากนี้ ยังได้รับยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และชิ้นส่วนต่างๆ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ท่าเรือในการส่งออก ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการซื้อสินค้าท้องถิ่น ยกเว้นภาษี/ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้รัฐบาลท้องถิ่นในการขอใบอนุญาตต่างๆ และยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย
แม้ว่า ธุรกิจ BPO ของฟิลิปปินส์มีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ แต่ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงเช่นนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานได้ในอนาคต นอกจากนี้ การที่ฟิลิปปินส์ไม่มีกฎหมายคุ้มครองเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อข้อมูลของลูกค้าที่ต้องปกปิดเป็นความลับ ประกอบกับผลกระทบจากกฎหมายคุ้มครองธุรกิจ Call Center ในสหรัฐฯ และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคชาวอเมริกัน เช่น บริษัทที่ย้ายฐาน Call Center ไปนอกสหรัฐฯ จะถูกตัดสิทธิต่างๆ เช่น เงินให้เปล่าจากรัฐบาล เป็นต้น จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาใช้บริการ BPO ในฟิลิปปินส์
โอกาสของผู้ประกอบการไทย
ผู้ประกอบการไทยอาจหาโอกาสเข้าสู่ตลาดโดยการสมัครร่วมงานสัมมนาหรือการประชุมเกี่ยวกับธุรกิจ BPO ในฟิลิปปินส์ ซึ่งจะมีบริษัท BPO ของฟิลิปปินส์เข้าร่วมจำนวนมาก เพื่อศึกษาช่องทางการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องตามห่วงโซ่การผลิต อาทิ ระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งผู้ประกอบการไทยมีความเชี่ยวชาญ สำหรับใช้ในธุรกิจ Call Center ในฟิลิปปินส์ รวมถึงศึกษาวิธีการดำเนินธุรกิจจากผู้มีประสบการณ์โดยตรง นอกจากนี้ การเติบโตของธุรกิจ BPO ในฟิลิปปินส์ยังส่งผลให้การก่อสร้างอาคารสำนักงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และขยายตลาดประเภทวัสดุก่อสร้างและเครื่องจักร สำหรับธุรกิจ BPO ของไทยในปัจจุบันยังมีจำนวนไม่มากนัก และเน้นให้บริการ Outsourcing ให้แก่กลุ่มลูกค้าทั่วไปในต่างประเทศ ซึ่งต่างจากอินเดียและฟิลิปปินส์ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีการเข้าไปลงทุนติดตั้งระบบและบริการครบวงจรในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว และกัมพูชา
Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนธันวาคม 2557
สัมมนา...ก่อนเข้าสู่ AEC ไทยพร้อมหรือยัง???...
วันที่ 11 ธันวาคม 2557 เวลา 12.00-16.30 น. รร.ดิเอมเมอรัลด์ ห้องบอลรูม1 ชั้น3 ถ.รัชดา ………………
12.00น.-13.00น. ลงทะเบียน
13.00น.-13.10 ดร.เจษฎา วีระพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทฐานเศรษฐกิจ จำกัด กล่าวรายงาน
13.10น.-14.00น. ฯพณฯ สมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดงานสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ
ในหัวข้อ“ความพร้
14.00น.-16.00น. เสวนาหัวข้อ “ก่อนเข้าสู่ AECไทยพร้อมหรือยัง ”
โดยวิทยากร
-นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน)
-นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
-นายยู เจียรยืนยงพงศ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่
-ผศ.
-นายจิตติศักดิ์ นันทพานิช บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์
16.00-16.30 น. –เปิดให้ผู้ร่วมสัมมนาแลกเปลี่
สอบถามรายละเอียดได้ที่ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ โทร.02-9542111 ต่อ8502,8503 หรือ081-9156262
Email:[email protected], [email protected] สำรองที่นั่งฟรี
ถนนสู่ AEC: เวียดนามกับการเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แห่งใหม่ของเอเชีย
ปัจจุบันเวียดนามเป็นประเทศเป้าหมายของนักลงทุนจากทั่วโลกโดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จนได้รับการยอมรับในฐานะการเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แห่งใหม่ของเอเชีย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าไฮเทคประเภทโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตเพิ่มขึ้นทั่วโลก ทำให้บริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าไฮเทคชั้นนำของโลกต่างแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุน และเมื่อประกอบกับศักยภาพของเวียดนามในหลายด้านโดยเฉพาะอัตราค่าจ้างแรงงานที่อยู่ในระดับต่ำและแรงงานที่มีคุณภาพ รวมทั้งนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลเวียดนาม ทำให้บริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าไฮเทคชั้นนำของโลกหลายราย อาทิ Samsung, LG, Panasonic, Nokia, Fuji Xerox และ Intel ตัดสินใจเลือกลงทุนในเวียดนามเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตสินค้า นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าในระยะข้างหน้าเวียดนามจะยังคงสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างต่อเนื่อง จึงมีโอกาสที่เวียดนามจะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก
ปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนให้เวียดนามเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของภูมิภาค
- ปัจจัยด้านแรงงาน เวียดนามมีความพร้อมด้านจำนวนแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาวและเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ แม้ว่ารัฐบาลเวียดนามเตรียมปรับขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำในปี 2558 อีกราว 14-18 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ส่งผลให้อัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำในเวียดนามจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 114-146 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน แต่อัตราดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค ทำให้ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าไฮเทคตัดสินใจที่จะเข้ามาลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การที่จีนเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งปัญหาด้านคุณภาพของแรงงาน ขณะที่อัตราค่าจ้างแรงงานพุ่งสูงขึ้นมาก ส่งผลให้นักวิเคราะห์มองว่าการย้ายฐานการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจากจีนมายังเวียดนามจะเป็นกระแสต่อเนื่องไปอีกใน 2-3 ปีข้างหน้า
- ปัจจัยด้านนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลเวียดนาม ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลเวียดนามดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ให้เอื้อต่อการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น และเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับนักลงทุนต่างชาติ อาทิ การยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบ การอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติส่งผลกำไรกลับประเทศได้อย่างเสรี การยกเลิกระบบสองราคา และการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งการจัดทำข้อตกลงเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนและความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติและดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในเวียดนามมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคหลายแห่งในประเทศเพื่อสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง นิคมอุตสาหกรรม Saigon Hi-Tech Park (SHTP) ซึ่งตั้งอยู่ในนครโฮจิมินห์ เป็นหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคแห่งอื่นๆ ในเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันมีโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้กว่า 60 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนรวม 2.22 พันล้านดอลลาร์หสหรัฐ และมีการจ้างงานมากกว่า 11,000 อัตรา ในจำนวนนี้เป็นโครงการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมากกว่า 30 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าไฮเทคชั้นนำของโลก เช่น Intel บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ และ Jabil บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ Nidec บริษัทผู้ผลิตมอเตอร์เครื่องคอมพิวเตอร์ของญี่ปุ่น Datalogic บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อ่านบาร์โค้ดของอิตาลี ขณะที่นิคมอุตสาหกรรม Hoa Lac Hi-Tech Park ในกรุงฮานอย เป็นนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากเป็นนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความทันสมัยที่สุดในเวียดนาม โดยมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการด้านอวกาศ แผงวงจรไฟฟ้าและอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ซอฟต์แวร์ และโทรคมนาคม เป็นต้น
การหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในเวียดนามของบริษัทรายใหญ่จากเกาหลีใต้
ในอดีตญี่ปุ่นครองตำแหน่งนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนามมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันเกาหลีใต้ก้าวแซงหน้าขึ้นมาเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนามจากนักลงทุนต่างชาติทั้งหมด 32 ประเทศ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เกาหลีใต้มีโครงการที่ได้รับอนุมัติลงทุนในเวียดนามทั้งหมด 374 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 34% ของมูลค่าลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดในเวียดนาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และโทรศัพท์มือถือ โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ที่เข้ามาลงทุนในเวียดนามที่สำคัญ ได้แก่ Samsung Electronics และ LG Electronics ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
- Samsung Electronics บริษัทอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้มีการขยายการลงทุนในหลายกลุ่มธุรกิจในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยเข้ามาลงทุนในเวียดนามครั้งแรกเมื่อปี 2538 ซึ่งเป็นการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับใช้ภายในครัวเรือนในนครโฮจิมินห์ และในปี 2551 Samsung Electronics ลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโทรศัพท์มือถือในจังหวัด Bac Ninh ทางภาคเหนือของเวียดนาม โดยการลงทุนเริ่มต้นมีมูลค่า 670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการขยายการลงทุนในโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีมูลค่าการลงทุนรวม 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมา Samsung Electronics ขยายการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการก่อสร้างศูนย์คอมเพล็กซ์ผลิตโทรศัพท์มือถือและสินค้าไฮเทคในจังหวัด Thai Nguyen ทางภาคเหนือของเวียดนาม ซึ่งเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ด้วยมูลค่าลงทุน 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เริ่มดำเนินการผลิตเมื่อเดือนมีนาคม 2557
นอกจากนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2557 Samsung Electronics ยังได้รับอนุมัติการลงทุนจากรัฐบาลเวียดนามในโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตจอแสดงผลความละเอียดสูงรุ่นใหม่สำหรับใช้ประกอบสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในจังหวัด Bac Ninh มูลค่าลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดมีแผนที่จะก่อสร้างศูนย์คอมเพล็กซ์ผลิตโทรทัศน์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก 1 แห่งในนิคมอุตสาหกรรม Saigon Hi-Tech Park ในนครโฮจิมินห์ มูลค่าลงทุน 560 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงต้นปี 2558 และจะเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2559 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดการจ้างงานราว 4,000-5,000 อัตรา การขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเวียดนามทำให้ปัจจุบัน Sumsung Electronics ก้าวขึ้นเป็นบริษัทผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม โดยในปี 2556 Samsung Electronics มีมูลค่าส่งออกสูงถึง 23.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 1 ใน 5 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของเวียดนาม และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2557 ทั้งนี้ การที่ Samsung Electronics ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในเวียดนาม เนื่องจากบริษัทมีเป้าหมายที่จะให้เวียดนามเป็นฐานการผลิตหลัก รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทในภูมิภาคโดยในช่วงที่ผ่านมา Samsung Electronics ได้ลงนามข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยของเวียดนาม 2 แห่ง เพื่อขยายความร่วมมือด้าน R&D ซึ่งรวมถึงการให้ทุนการศึกษากับนักศึกษาจำนวน 60 คน ที่เรียนในสาขาซอฟต์แวร์โทรศัพท์มือถือ และการรับนักศึกษาที่มีผลการเรียนโดดเด่นเข้าทำงานในบริษัท Samsung Electronics Vietnam หลังสำเร็จการศึกษา นอกจากนี้ Samsung Electronics ยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ในเวียดนาม นอกเหนือจากการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ โครงการก่อสร้างสนามบิน Long Thanh International Airport ในจังหวัด Dong Nai โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน Vung Ang 3 ในจังหวัด Ha Tinh และโครงการอู่ต่อเรือในจังหวัด Khanh Hoa
- LG Electronics บริษัทอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่อันดับ 4 ของเกาหลีใต้ เดินหน้าก่อสร้างศูนย์คอมเพล็กซ์แห่งใหม่ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน รวมทั้งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ โทรศัพท์มือถือ และสมาร์ทโฟน บนพื้นที่กว่า 400,000 ตารางเมตร ในนิคมอุตสาหกรรม Trang Due Industrail Park ในจังหวัด Hai Phong ทางภาคเหนือของเวียดนาม ด้วยมูลค่าลงทุนรวม 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวรัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติการลงทุนไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2556 โดย LG Electronics มีแผนที่จะแบ่งโครงการลงทุนออกเป็น 2 เฟส เฟสแรกเป็นการลงทุนในระหว่างปี 2556-2560 ด้วยมูลค่าลงทุน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเฟสที่ 2 ในระหว่างปี 2561-2567 ด้วยมูลค่าลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นที่คาดว่าโครงการลงทุนดังกล่าวจะก่อให้เกิดการจ้างงานราว 20,000 อัตรา และจะดึงดูดให้บริษัทในเครือของ LG Electronics เข้ามาลงทุนในจังหวัด Hai Phong ตามมาด้วย
นอกจากบริษัทรายใหญ่ทั้งสองแห่งแล้ว บริษัทในเครือของ Samsung Electronics และ LG Electronics ยังมีแผนขยายการลงทุนในเวียดนามด้วยเช่นกัน อาทิ บริษัท Haesung Vina บริษัทผู้ผลิตกล้องสำหรับสมาร์ทโฟนให้กับ Samsung Electronics ขยายการลงทุนเพิ่มอีก 3 เท่า เป็น 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานที่ตั้งอยู่ในจังหวัด Vinh Phuc ทางภาคเหนือของเวียดนาม นอกจากนี้ ยังมีบริษัทของเกาหลีใต้รายอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และมีแผนขยายการลงทุนในเวียดนาม อาทิ บริษัท Kumho Asiana บริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ของเกาหลีใต้ มีแผนที่จะเพิ่มการลงทุนอีกราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับโรงงานผลิตยางรถยนต์ในจังหวัด Binh Duong และบริษัท Lotte บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของเกาหลีใต้ ได้เปิดตัวโครงการอาคาร Lotte Centre ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์การค้า โรงแรม เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ และสำนักงาน ตั้งอยู่ที่ถนน Lieu Giai ใจกลางกรุงฮานอย เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2557 หลังจากใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 5 ปี โครงการดังกล่าวมีมูลค่าลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังมีแผนเปิดห้างค้าปลีกในหลายจังหวัดของเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
เป็นที่น่าสังเกตว่า เวียดนามเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งการเข้ามาลงทุนของบริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าไฮเทคชั้นนำของโลกดึงดูดให้บริษัทในเครือและบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปทานเข้ามาลงทุนในเวียดนาม เพื่อผลิตชิ้นส่วนป้อนให้กับบริษัทรายใหญ่ การหลั่งไหลเข้ามาของบริษัทต่างชาติเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของเวียดนามในฐานะฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าไฮเทคที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของโลก
Disclaimer : ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไป เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เดือนพฤศจิกายน 2557
มติชนออนไลน์ :
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด