ธุรกิจไทย พร้อมรับการแข่งขันเปิดเออีซี 'ดีลอยท์' พบทำแผนรุกขยายธุรกิจก่อนเปิดอย่างเป็นทางการ
บ้านเมือง : ดีลอยท์ (ประเทศไทย) ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อม โอกาสและความท้าทายจากการเปิดเออีซี โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำของประเทศไทยและบริษัทข้ามชาติในหลายอุตสาหกรรม พบเอกชนขยายธุรกิจไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ก่อนที่จะเปิดเออีซี และการเปิดเออีซียังไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
ดร.สหนนท์ ตั้งเบญจสิริกุล รองผู้อำนวยการ และ ดร.วีระชัย วิวัฒน์ชาญกิจ (ที่ปรึกษาอาวุโส) บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด ได้ทำการศึกษา และนำเสนอข้อเท็จจริงและมุมมองเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อม โอกาสและความท้าทายที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจในประเทศไทยและสมาชิกอาเซียนอื่นอีก 9 ประเทศ หลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2558
โดยข้อสรุปจากบทความเหล่านั้นที่คล้ายคลึงกัน คือรัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนได้ดำเนินการนโยบายลดมาตรการกีดกันทางการค้าและการลงทุน ตลอดจนส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงถึงการเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดเออีซี
ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2559 ดีลอยท์ (ประเทศไทย) ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อม โอกาสและความท้าทายจากการเปิดเออีซี โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำของประเทศไทยและบริษัทข้ามชาติในหลายอุตสาหกรรม อาทิ ยานยนต์ การเงินการธนาคาร พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นผู้ให้ข้อมูลจากการสอบถามเรื่องการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ เออีซี ร้อยละ 80 ของผู้บริหารที่ให้ข้อมูล ยอมรับว่าได้ทำการขยายธุรกิจไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ก่อนที่จะเปิด เออีซี แต่ผู้บริหารเหล่านี้มองว่าเออีซียังไม่ส่งผลกระทบต่อตัวธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
ถึงแม้ว่า ร้อยละ 76 ของผู้บริหารมองว่า เออีซีคือ โอกาสในการขยายธุรกิจ แต่คาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทหลังจากการเปิดเออีซีจะเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ 20 โดยผู้บริหารส่วนใหญ่เห็นว่าการเปิดเออีซีจะสร้างสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจใหม่ๆ และจะช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันในหลายด้าน โดยด้านที่ได้คะแนนสูงสุดได้แก่ การเข้าถึงตลาดผู้บริโภคที่ขนาดใหญ่ขึ้น
อันดับที่ 2 คือ การลดต้นทุน ตามด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรมและการสร้างความแตกต่างในตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 3 เท่ากัน จะเห็นว่าปัจจัยที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันหลายด้านที่ผู้บริหารเลือกนั้น อาจไม่ได้เป็นการเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจโดยตรง แต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไรในการทำธุรกิจ รวมถึงช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากภายนอกกลุ่มเออีซีให้เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากที่กล่าวข้างต้นแล้ว ผลวิจัยยังสะท้อนมุมมองผู้บริหารเกี่ยวกับการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ในภูมิภาคนี้ ในภาพรวมผู้บริหารจะขยายธุรกิจแบบระมัดระวัง ไม่ลงทุนแบบสุ่มเสี่ยง โดยวิธีที่ถูกใช้มากที่สุด คือ การร่วมทุนกับผู้ประกอบการในท้องถิ่น ซึ่งวิธีการดังกล่าวช่วยลดอุปสรรคในเรื่องการบุกเบิกตลาดและการสื่อสารกับคนท้องถิ่น รวมถึงลดความยุ่งยากในการติดต่อกับหน่วยงานรัฐบาลวิธีการที่นิยมใช้รองลงมาคือการตั้งบริษัทลูก ในประเทศที่เข้าไปลงทุน ซึ่งการบริหารจัดการบริษัทลูกจะทำได้ง่ายและคล่องตัว
ลำดับที่สาม คือ การส่งออกและนำเข้าสินค้ากับคู่ค้าต่างประเทศซึ่งวิธีการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า 2 วิธีแรก และผู้ประกอบการยังมีโอกาสทดสอบตลาดก่อนเข้าไปลงทุนจริง
สำหรับ ประเด็นเรื่องการลงทุนระหว่างประเทศ (FDI) ผู้บริหารได้แสดงความเห็นว่า ประเทศที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเป็นลำดับต้นๆ หลังจากเปิดเออีซีได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย เหตุผลที่ทั้ง 3 ประเทศดังกล่าวเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนมากกว่าประเทศไทย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากที่ประเทศไทยประสบปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน
ทั้งนี้ ผู้บริหารบางส่วนมองว่าประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-region) โดยสามารถใช้ประเทศไทยเป็นฐานเพื่อขยายการลงทุน และการร่วมทุนกับผู้ประกอบการในประเทศที่เข้าไปลงทุน ซึ่งมีข้อได้เปรียบคือประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคนี้จะมีขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน และสินค้าของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในประเทศเหล่านี้ และยังสอดคล้องกับข้อคำถามที่ดีลอยท์ถามผู้บริหารว่า มีประเทศใดบ้างที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดภายหลังจากการเปิดเออีซี
ซึ่ง 3 อันดับแรกในมุมมองผู้บริหาร ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย โดยมีเมียนมาตามมาในอันดับที่ 4 คำตอบจากผู้บริหารช่วยสะท้อนว่า ภาครัฐบาลของไทยมีนโยบายที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเอกชนที่ออกไปต่อสู้ในสนามแข่งขันระดับเออีซี และร้อยละ 68 ของผู้บริหารเชื่อมั่น ว่า ประเทศสมาชิกเออีซีจะร่วมมือกันผลักดันให้เกิดประชาคมเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ได้
ผู้บริหารส่วนใหญ่คาดหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องจนไปสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบโดยยอมรับว่าต้องเผชิญความท้าทายทั้งในระดับภูมิภาคและระดับธุรกิจ ในส่วนของความท้าทายระดับภูมิภาคนั้น ปัจจัยที่ผู้บริหารมีความเป็นห่วงมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศในภูมิภาคนี้
สำหรับ ความท้าทายระดับธุรกิจ ปัจจัยที่ผู้บริหารมองว่ามีความสำคัญ 3 อันดับแรก คือ กฎระเบียบของประเทศที่เข้าไปลงทุน กำลังซื้อของผู้บริโภค และมาตรการจูงใจด้านภาษีและการลงทุนความท้าทายเหล่านี้ เป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางทรัพยากรและความพร้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิกเออีซี รวมถึงความแตกต่างในเรื่องความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในภูมิภาคนี้ด้วย
ในภาพรวมผู้บริหารมีมุมมองว่า การเปิดเออีซีจะนำไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจใหม่ ซึ่งมีความเป็นพลวัตและให้ประโยชน์กับภาคธุรกิจมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งในระดับภูมิภาคและระดับธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มุมมองจากผู้บริหารเหล่านี้ได้ชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการขยายการธุรกิจและการแสวงหาตลาดใหม่ๆ สำหรับผู้ผลิตอุตสาหกรรมและผู้ให้บริการ ในท้ายที่สุดการวิจัยนี้ได้ให้ข้อสรุปว่า การเปิดเออีซีทำให้ประเทศสมาชิกต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและลดความเหลือมล้ำทางเศรษฐกิจ รวมถึงขจัดอุปสรรคด้านต่างๆ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 2568
เอชไอดี โกลบอล แนะเกราะป้องกันการปลอมแปลงอัตลักษณ์บุคคล หลังไทยเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2016
· ในปี 2016 องค์กรควรปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญและสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
· การจัดหาตัวตนในระบบดิจิตอล (Digital Identity) ที่น่าเชื่อถือจะมีการเพิ่มขยายตัวมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากระบบดังกล่าวจะเป็นวิธีที่สะดวกในการจัดส่งข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอย่างปลอดภัย และในเวลาเดียวกันจะกระตุ้นให้มีการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบและนโยบายการปฏิบัติในระบบรักษาความปลอดภัย
· การปกป้องข้อมูลส่วนตัวจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ซึ่งจะทำให้องค์กรที่ดูแลในส่วนนี้ หันมาหาแนวทางการปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับผู้ใช้บริการ และในขณะเดียวกัน ปกป้องข้อมูลและอัตลักษณ์บุคคล ในกรณีที่บัตรประชาชนหรือบัตรระบุอัตลักษณ์บุคคลได้ถูกขโมยหรือสูญหาย
ปี ค.ศ. 2016 จะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โลกที่ต้องจารึก เมื่อ 10 ประเทศในอาเซียน ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในทวีปเอเชีย และอยู่ในอันดับ 7 ของโลก ได้รวมตัวเป็น ‘ครอบครัวเดียวกัน’ โดยการรวมตัวในครั้งนี้ จะส่งผลให้หลายประเทศต่างๆในภูมิภาคอื่นๆเล็งเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจกับภูมิภาคนี้มากขึ้น ซึ่งระบบปกป้องรักษาอัตลักษณ์บุคคลและข้อมูลส่วนตัวจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น เอชไอดี โกลบอล ผู้นำระดับโลกทางด้านโซลูชั่นการระบุอัตลักษณ์บุคคลที่มีความปลอดภัยจากประเทศสหรัฐอเมริกา เผยแนวทางป้องกันอัตลักษณ์บุคคลในปี 2016
โดยแนวทางป้องกันดังกล่าว ทางเอชไอดี โกลบอล ได้มีการรวบรวมข้อมูลและอ้างอิงจากประสบการณ์จริงที่ลูกค้าระดับแถวหน้าของโลกในธุรกิจสาขาต่างๆได้พบเจอมาในอดีต ซึ่งรวมถึง โครงการนำร่องต่างๆ ของทางบริษัทที่จัดทำขึ้นมาเอง หรือจากการนำโซลูชั่นที่ผลิตโดยบริษัทฯ มาใช้จริงกับลูกค้าที่มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล และองค์กรต่าง ๆ ที่เป็นผู้บริโภคจริงกระจายอยู่รอบโลก จากมุมมองในเชิงธุรกิจ เอชไอดี โกลบอล ได้เผย 5 แนวทางที่เชื่อว่าจะมีผลกระทบอย่างสูงต่อการบริหารจัดเก็บข้อมูลและการระบุอัตลักษณ์บุคคล บัตรประชาชน และInternet of Things (ioT) หรือ “อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง”
‘การที่ภูมิภาคนี้ได้กลายเป็น “Single Common Market” หรือ ‘ตลาดร่วม’ ทางบริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงแนวโน้มการพัฒนาในหลายๆด้าน รวมถึงการที่โทรศัพท์มือถือจะมีบทบาทสำคัญในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งทาง เอชไอดี โกลบอล เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยในปี 2016 ในส่วนของโซลูชั่นรักษาความปลอดภัยนั้น ลูกค้าจะมีความต้องการให้โซลูชั่นดังกล่าวสามารถควบคุมและยืดหยุ่นปรับตัวเข้าได้ง่ายในยุคที่การจัดหาตัวตนในระบบดิจิตอล หรือ Digital Identity และ Internet of Things (ioT) เชื่อมต่อกัน’ นายสเตฟาน ไวดิ่ง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เอชไอดี โกลบอล กล่าวตบท้าย
ในปี 2016 เอชไอดี โกลบอล คาดว่าผู้บริโภคจะหันมาเพิ่งพาเครื่องใช้ที่มีเทคโนโลยีสูง อย่างเช่น สมาร์ทโฟน แทบเลต ฯลฯ มากขึ้น เพื่อสามารถเชื่อมต่อตนเองกับสังคมและโลกภายนอก เพื่อตอบสนองแนวความคิดนี้ ระบบป้องกันข้อมูลส่วนตัวที่ทันสมัยจึงมีส่วนสำคัญ และควรสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติในอุตสาหกรรมระบบรักษาความปลอดภัย โดยมีแนวทางป้องกันดังต่อไปนี้
แนวทางที่ 1 โซลูชั่นเพื่อรักษาความปลอดภัยในโทรศัพท์เคลื่อนที่จะถูกนำมาติดตั้งมากขึ้น เนื่องจากสามารถปกป้องความเป็นส่วนตัวสูง ระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยจะถูกนำมาติดตั้งอยู่ภายในอุปกรณ์พกพาไร้สาย และจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายและไร้ความกังวล การล็อคออนทางเครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมดาวน์โหลดแอพพิเคชั่นและโปรแกรมต่าง ๆ จะทำได้อย่างสะดวกรวดเร็วแบบไร้ขีดจำกัด และสามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับโทรศัพท์มือถือ แทบเลต และเครื่องคอมพิวเตอร์แลปทอป เทคโนโลยีแบบไร้สาย อาทิ Apple Watch จะถูกนำมาสวมใส่เป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นเครื่องแต่งกาย ซึ่งจะมีการพัฒนามากขึ้นในอนาคต โทรศัพท์มือถือจะต้องสามารถทำงานควบคู่ไปกับเทคโนโลยี RFID เพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือในการยืนยันตัวตน
แนวทางที่ 2 ผู้ใช้บริการจะให้ความสำคัญในระบบรักษาความปลอดภัยมากขึ้น ในกรณีนี้จะลดช่องว่างระหว่างการบริหารจัดการและการปฏิบัติ ในขณะเดียวกัน ระบบรักษาความปลอดภัยจะถูกนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมเพื่อให้เข้ากับการดำเนินชีวิตประจำวัน การยืนยันอัตลักษณ์บุคคลแบบระบบเก่า ๆ จะถูกทดแทนด้วยทางเลือกใหม่ที่ทันสมัยกว่าเดิม
แนวทางที่ 3 ระบบปกป้องอัตลักษณ์บุคคลจะไม่เพียงแต่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยแล้ว แต่จะกลายเป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การซื้อของ หรือการสันทนาการ การระบุอัตลักษณ์บุคคลจะถูกพัฒนาไปอีกระดับ โดยผู้ให้บริการจะใช้มาตรการยืนยันและตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลแบบหลายขั้นตอน ซึ่งรวมถึงการนำเทคโนโลยีชีวภาพ หรือ Technology Biometrics มาใช้ ก่อนส่งข้อมูลต่อไปยังเจ้าของธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย
แนวทางที่ 4 จะมีการคำนึงถึงการเป็นส่วนตัวในยุคที่มีการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ระบบการระบุอัตลักษณ์บุคคลจะขยายจากการระบุบุคคลทั่วไป ไปถึงการระบุสิ่งของพร้อมการยืนยันความถูกต้อง ในเวลาเดียวกัน ยังสามารถปกป้องข้อมูลส่วนตัว รวมถึงอุปกรณ์ การบริการและแอปพลิเคชั่น
แนวทางที่ 5 เทคโนโลยีอันทันสมัยที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตควรมีความสำคัญเทียบเท่ากับนโยบายรักษาความปลอดภัยและการบริหารจัดการที่ดีเลิศ องค์กรผู้ให้บริการควรคำนึงถึงการใช้งานและรวมระบบรักษาความปลอดภัยแบบองค์กรรวม ที่สามารถป้องกันทั้งข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล และระบบรักษาความปลอดภัยในตัวอาคาร ซึ่งรวมถึงระบบอินเตอร์เนทไร้สาย (Wifi) นอกเหนือจากการปกป้องการละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ให้บริการควรมีมาตรการควบคุมการโจรกรรมอัตลักษณ์บุคคล โดยข้อมูลที่ถูกลักลอบไปจะไม่สามารถนำมาทำธุรกรรมต่างๆได้อีกต่อไป
เทคโนโลยี Seos® ของ เอชไอดี โกลบอล ได้วางรากฐานเกี่ยวกับแนวทางป้องกันอัตลักษณ์บุคคลที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นสูงในปี 2016 เพื่อให้องค์กรมีความมั่นใจในการรวบรวมเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ในสมาร์ทโฟนให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น และในเวลาเดียวกัน ผู้ใช้บริการจะสามารถใช้แอพพิเคชั่นหลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพและไร้ความกังวล
สำหรับข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับ เอชไอดี โกลบอล สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ที่ ศูนย์ข่าว (Media Center) อ่านบล็อกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของเราได้ที่ Industry Blog ลงทะเบียนเพื่อรับ RSS Feed ชมวิดีโอ และติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ เฟซบุ๊ก ลิงค์อิน และทวิตเตอร์
เกี่ยวกับ เอชไอดี โกลบอล
เอชไอดี โกลบอล เป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์และระบบควบคุมความปลอดภัยส่วนบุคคลที่เป็นนวัตกรรมระดับสูง งานบริการ โซลูชั่น และ ’โนว์-ฮาว’ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ การบริหารจัดการ และการระบุอัตลักษณ์ที่มีความปลอดภัย และได้รับการไว้วางใจจากลูกค้ากว่าล้านรายที่กระจายอยู่รอบโลก โดยทางบริษัทให้บริการทางด้านระบบและอุปกรณ์ควบคุมความปลอดภัยส่วนบุคคลที่ได้มาตรฐานในระดับสากล อาทิ ระบบการควบคุมการเข้าถึงทั้งทางกายภาพและตรรกะ รวมถึงระบบตรวจสอบความถูกต้องที่เข้มงวด การพิมพ์บัตรที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงตัวบุคคล ระบบควบคุมการแลกบัตรเข้าอาคาร บัตรประจำตัวข้าราชการและประชาชนที่มีความปลอดภัยสูง และเทคโนโลยีการระบุอัตลักษณ์ RFID ที่ใช้ในการระบุอัตลักษณ์สัตว์และในวงการอุตสาหกรรมและระบบขนส่ง หรือ ‘ระบบโลจิสติกส์’ โดยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของ เอชไอดี โกลบอล ประกอบด้วย ActivID®, EasyLobby®, FARGO®, IdenTrust®, LaserCard®, Lumidigm®, Quantum Secure และ HID® ในปัจจุบัน สำนักงานใหญ่ของ บริษัท เอชไอดี โกลบอล ตั้งอยู่ ณ เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีพนักงานประจำกว่า 2,000 คน และมีสำนักงานเพื่อสนับสนุนทางด้านธุรกิจต่างๆ ในกว่า 100 ประเทศ HID Global® เป็นแบรนด์ภายใต้ ASSA ABLOY Group สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.hidglobal.com
® HID, the HID logo and Seos เป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนภายใต้บริษัท เอชไอดี โกลบอล ในประเทศสหรัฐอเมริกา และ/หรือประเทศอื่นๆ ในส่วนของเครื่องหมายการค้าอื่นๆ ซึ่งรวมถึงเครื่องหมายบริการ ชื่อผลิตภัณฑ์ หรือชื่อของงานบริการต่างๆ เป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของผู้เป็นเจ้าของที่ได้รับลิขสิทธิ์
อินโดฯเปิดฟรีวีซ่า 90 ปท.รวมไทย-จัดงานฉลองครบรอบ 65 ปีความสัมพันธ์อินโด-ไทย
นายลุตฟี ราอุฟ เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย กล่าวถึงการเชื่อโยงการท่องเที่ยวของประเทศในกลุ่มอาเซียนว่า การรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้ประเทศในภูมิภาคนี้กลายเป็นกลุ่มประเทศสำคัญของโลก และ ทำให้แต่ละประเทศมีการเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้นทั้งในด้านของเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม แม้ในด้านของสังคมและศิลปวัฒนธรรมจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ถือได้ว่าเป็นความหลากหลายที่น่าสนใจและเป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหาสำหรับการท่องเที่ยว นอกจากนั้นความแตกต่างด้านภูมิประเทศยังทำให้แหล่งท่องเที่ยวในอาเซียนมีความหลากหลายและน่าสนใจอย่างมากนับเป็นจุดดึงดูดที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกสนใจที่จะเดินทางเข้ามาพักผ่อนและค้นหาประสบการณ์ใหม่ ซึ่งหากประเทศสมาชิกมีการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกันอย่างสมบูรณ์แล้ว ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของทุกประเทศสมาชิกอาเซียน
สำหรับ การส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศอินโดนีเซียนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวอินโดนีเซียได้มีการจัดสรรงบประมาณ 1.3 ล้านล้านรูเปียห์ หรือราว 96 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอินโดนีเซียตลอดปี 2558 สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 4 เท่าตัว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศอินโดนีเซียจะมีจำนวน 9.44 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 7% และ ทางกระทรวงการท่องเที่ยวอินโดนีเซียยังมีเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ถึง 20 ล้านคน ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า และ คาดว่ารายได้จากภาคการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 15% ของ จีดีพี จากปี 2557 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 9% และ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอินโดนีเซียยังได้เปิดฟรีวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก 75 ประเทศ จากเดิม 15 ประเทศ เป็น 90 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
นอกจากนั้น ยังได้พัฒนาและประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น อาทิ ทะเลสาบโทบา (Lake Toba) ทางเหนือของเกาะสุมาตรา, ภูเขาไฟโบรโม (Bromo) ในชวาตะวันออก, เมืองชายฝั่งทะเลมันดาลิกา (Mandalika) ทางตะวันตกของหมู่เกาะนูสา เต็งการา (Nusa Tenggara), แหลมตันจุง เลซุง (Tanjung Lesung) ในจังหวัดบันเตน (Banten), เกาะโมโรไต (Mortai) ในหมู่เกาะมาลูกู (Maluku), หมู่เกาะพันเกาะนอกชายฝั่งกรุงจาการ์ตา และ ยอกยาการ์ตา
สำหรับ การจัดงาน “Wonderful Indonesia เปิดโลกมหัศจรรย์ อินโดนีเซีย สานสัมพันธ์อาเซียน ครั้งที่ 2" ณ ศูนย์การค้า เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความรู้ความเข้าใจในส่วนของภาคประชาชนของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนให้มีความแน่นแฟ้นมากขึ้น และ ยังเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอินโดนีเซียและไทยอีกด้วย
ส่วนกิจกรรมภายในงาน “Wonderful Indonesia เปิดโลกมหัศจรรย์ อินโดนีเซีย สานสัมพันธ์อาเซียน ครั้งที่ 2" กระทรวงการท่องเที่ยวอินโดนีเซีย ได้ร่วมกับ สถานทูตอินโดนีเซีย ประจำประเทศไทย นำศิลปวัฒนธรรมพื้นเมือง ซึ่งหาชมได้ยากมาเผยแพร่ อาทิ การแสดงการเต้นรำพื้นเมือง Lenggang Ngai, Enggang Dancer และ Jepen Lenggang การแสดงแฟชั่นโชว์จากผ้าพื้นเมือง (ผ้าบาติก) โดย ดีไซน์เนอร์ชื่อดังของอินโดนีเซีย นิทรรศการแนะนำแหล่งท่องเที่ยวของประเทศอินโดนีเซีย และ กิจกรรมอื่นที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวอินโดนีเซีย สถานทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย และ คณะผู้จัดงานคาดหวังว่าผลที่ได้รับจากการจัดกิจกรรมในลักษณะนี้จะช่วยส่งเสริมให้ไทยและอินโดนีเซียมีสายสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและการเรียนรู้เข้าใจในสังคมและวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศมากยิ่งขึ้น
อินโฟเควสท์
PwC เผย 4 เทรนด์พลิกโฉมซีเอฟโออาเซียน แนะฝ่ายการเงินปรับบทบาทรับเปิดเออีซี
PwC เผย 4 เทรนด์ ได้แก่ การปรับบทบาทให้เป็นพาร์ตเนอร์ของธุรกิจ สงครามแย่งชิงคนเก่ง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และการบริหารความสามารถในการทำกำไร จะพลิกโฉมการทำงานและบทบาทของซีเอฟโออาเซียนในอีก 15 ปีข้างหน้า ชี้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เข้ากับฝ่ายการเงิน และการบริหารบุคลากรมากความสามารถให้อยู่กับองค์กร ท่ามกลางการเปิดเสรีการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงาน หลัง 10 ประเทศอาเซียนก้าวเข้าสู่เออีซีปลายปีนี้ เป็นเรื่องด่วนที่ซีเอฟโอต้องเร่งมือปรับโครงสร้างฝ่ายการเงิน และยกระดับความสามารถของพนักงาน เพื่อรับมือธุรกิจการเงินที่จะทวีความซับซ้อนและแข่งขันรุนแรงมากขึ้น
นางสาว วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงรายงาน Finance Futurescape 2030 ซึ่ง PwC จัดทำร่วมกับ CPA Australia โดยทำการสำรวจทั้งแบบการวิจัยเชิงปริมาณ และการสัมภาษณ์กลุ่มเฉพาะกับบรรดาซีเอฟโอบริษัทชั้นนำของสิงคโปร์กว่า 70 ราย ครอบคลุมกว่า 10 อุตสาหกรรมว่า 4 แนวโน้มที่เป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การปรับบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน (Chief Financial Officer: CFO) และแผนกการเงินของบริษัทต่างๆในภูมิภาคอาเซียนในปี 2573 หรืออีก 15 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย 1. ขอบเขตบทบาทและหน้าที่ของซีเอฟโอจะกลายเป็นพาร์ตเนอร์ของธุรกิจมากขึ้น 2. สงครามแย่งชิงคนเก่งรุนแรงขึ้น (Talent war) 3. อิทธิพลของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงบทบาทของฝ่ายการเงิน และ 4. ความสามารถในการบริหารผลกำไร
“แม้การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปีนี้จะนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจและช่องทางการลงทุนใหม่ๆ แต่นั่นก็มาพร้อมความท้าทายในด้านต่างๆ มากมายเช่นกัน ซึ่งทั้งผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเงินและทีมงานต้องเตรียมตัวรับมือเพื่อก้าวไปข้างหน้า เรามองว่าซีเอฟโอและเจ้าของธุรกิจเองต้องเริ่มมองหาแนวทางในการปรับโครงสร้างฝ่ายการเงินของตน รวมทั้งพัฒนาทักษะและยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรภายในแผนกตั้งแต่วันนี้” นางสาว วิไลพร กล่าว
ทั้งนี้ ภายใต้การรวมกลุ่มของประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) จะส่งผลให้ภูมิภาคนี้เป็นตลาดที่มีความแข็งแกร่งและมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของภูมิภาคอาเซียน (GDP) รวมกันมูลค่ากว่า 83 ล้านล้านบาท และมีจำนวนผู้บริโภคในภูมิภาคสูงกว่า 600 ล้านคน
ผลสำรวจพบว่า ซีเอฟโอถึง 70% เชื่อว่าการทำธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนหลังเปิดเออีซี จะทวีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆในอีก 15 ปีข้างหน้า ส่งผลให้ซีเอฟโอกลายเป็นพาร์ตเนอร์ของธุรกิจมากขึ้นและเข้ามามีบทบาทอย่างจริงจังในการกำหนดทิศทางขององค์กร เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตทางธุรกิจ และทำงานอย่างสอดคล้องกับทุกแผนก นอกจากนี้ ซีเอฟโอมากกว่าครึ่ง (54%) ยังระบุว่า พวกเขาต้องมีรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน (Deputy CFO) เข้ามาช่วยในการทำงานในระยะข้างหน้า เป็นตัวเลขที่สูงกว่าผลสำรวจในปีที่ผ่านมาเพียง 19%
นอกจากนี้ การหาแนวทางในการบริหารประสิทธิภาพในการทำกำไรในระยะยาวให้กับบริษัท ถือเป็นความท้าทายของฝ่ายการเงิน เนื่องจากในปี 2573 องค์กรต่างๆจะยิ่งขยายกิจการ ออกไปจัดตั้งสาขาหรือบริษัทย่อยในประเทศต่างๆ มากขึ้นตามการขยายตัวขององค์กรและการแข่งขันในภูมิภาคนั้นๆ เป็นต้น
“ถ้าดูในเชิงลึก เรามองว่า 2 แนวโน้มที่เป็นความท้าทายเร่งด่วนของซีเอฟโอในภูมิภาคนี้ที่ต้องเร่งหาทางรับมือ คือ สงครามแย่งชิงคนเก่งที่จะเพิ่มมากขึ้น และความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี”นางสาว วิไลพร กล่าว
‘สงครามแย่งชิงคนเก่ง’ ความท้าทายที่มาพร้อมเออีซี
หลังจากเปิดเออีซี ในปลายปีนี้ ประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศจะมีขนาดตลาดและฐานการผลิตรวมกันที่ใหญ่ขึ้น มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานมีฝีมือได้อย่างเสรีมากขึ้น นำไปสู่โอกาสในการขยายตลาดและฐานลูกค้าใหม่ ภายใต้กำแพงหรือข้อจำกัดทางการค้าระหว่างประเทศที่ลดลง อย่างไรก็ดี การเปิดเออีซีอาจส่งผลให้สงครามการแย่งชิงบุคลากรที่มีความสามารถสูงหรือทาเลนต์ทวีความรุนแรงขึ้น โดยผลการสำรวจพบว่า ซีเอฟโออาเซียนถึง 57% ที่เชื่อว่า จะมีการแย่งชิงคนเก่งกันในทุกๆ มิติและในทุกตำแหน่งขององค์กรไปจนถึงช่วงปี 2573 ส่วนหนึ่งเพราะบริษัทต่างๆ สามารถเข้าถึงกลุ่มทาเลนต์ (Talent Pools) ได้อย่างเสรีมากขึ้น
“หากธุรกิจต้องการจะประสบความสำเร็จและอยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันภายในภูมิภาคที่จะยิ่งรุนแรงขึ้นในช่วง 15 ปีข้างหน้า ผู้บริหารจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ดึงดูด และรักษาคนเก่งไว้กับองค์กรให้ได้ในระยะยาว” นางสาว วิไลพร กล่าว
ผลสำรวจกลับพบว่า ซีเอฟโอที่ทำการสำรวจมากถึง 78% ระบุว่า องค์กรของพวกเขายังไม่มีการวางแผนด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลฝ่ายการเงินอย่างเหมาะสม เทรนด์อื่นๆที่จะเกิดขึ้น คือ บริษัทขนาดใหญ่จะยังคงความได้เปรียบในการสรรหาทาเลนต์ในตลาดแรงงานได้มากกว่าองค์กรที่มีขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่การจ้างงานหรือแต่งตั้งคนในตำแหน่งซีเอฟโอในอนาคต จะต้องมีคุณสมบัติอันพึงประสงค์ รวมทั้งความรู้ ความชำนาญที่เพียบพร้อม ไม่จำกัดเฉพาะทางด้านการเงินอย่างเดียวอีกต่อไป
นางสาว วิไลพร ขยายความต่อว่า ธุรกิจในอนาคตจะต้องการซีเอฟโอที่เป็นมากกว่าซีเอฟโอทั่วไป คือ มีความสามารถรอบด้าน มีความเชี่ยวชาญ หรือมีประสบการณ์ในการบริหารงานจากอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เพื่อช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโต รวมทั้งมีความสามารถในการบริหารจัดการรายจ่ายไปพร้อมๆ กับการเพิ่มผลผลิตและผลกำไรให้กับธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีทักษะในการบริหารคนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Soft skills) เช่น ทักษะการสื่อสารและแก้ปัญหาความขัดแย้ง การจูงใจ การเจรจาต่อรอง การคิดเชิงกลยุทธ์ และ การสร้างทีมงาน เป็นต้น
แม้ในภาพรวม เออีซีจะช่วยให้ซีเอฟโอมีตัวเลือกมากขึ้นในการจ้างคน เพราะตลาดแรงงานใหญ่ขึ้น แต่ผลสำรวจยังมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับแนวโน้มการบริหารบุคลากรในอีก 15 ปีข้างหน้าอีกด้านหนึ่ง โดยพบว่า ขนาดของฝ่ายการเงินมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทมีแนวคิดในการนำเครื่องจักรกลหรือเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานแทนมนุษย์มากขึ้น รวมถึงการนำรูปแบบการจ้างบริการร่วมกัน (Shared service) หรือจ้างพนักงานแบบชั่วคราวจากภายนอก (Outsourcing) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในด้านบุคลากร และบริหารบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เทคโนโลยี พลิกโฉมบทบาทฝ่ายการเงิน
นางสาว วิไลพร กล่าวต่อว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เป็น 1 ใน 5 เมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทุกอุตสาหกรรม ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมการเงิน จากผลการสำรวจในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า จากนี้ไปจนถึงปี 2573 รูปแบบการทำงานของฝ่ายการเงินจะเปลี่ยนแปลงไป โดยซีเอฟโอถึง 57% ระบุว่า ในขณะนี้ได้นำเทคโนโลยีจากหลากหลายแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยในการทำงานของฝ่ายการเงิน เพื่อเก็บข้อมูลและจัดทำรายงานงบการเงิน และในอนาคตคาดว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ๆจะยิ่งส่งผลให้มีทางเลือกที่หลากหลายของแพลตฟอร์ม ที่แผนกการเงินสามารถนำมาใช้เพิ่มศักยภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น
“ในระยะต่อไป ซีเอฟโอจะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงประโยชน์ของเทคโนโลยี รู้จักที่จะนำเทคโนโลยีมาต่อยอดและเลือกที่จะลงทุน หรือนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้กับฝ่ายการเงินหรือธุรกิจโดยรวมอย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร” นางสาว วิไลพร กล่าว
จากประเด็นดังกล่าว ยังส่งผลให้ความท้าทายของซีเอฟโอและฝ่ายการเงินในช่วงเวลาอีก 15 ปีข้างหน้า หนีไม่พ้นเรื่องของการวางยุทธศาสตร์องค์กรที่สามารถผสมผสานเทคโนโลยีที่หลากหลาย ทั้งที่นำมาใช้ในการปฏิบัติงานอยู่ในปัจจุบันและอนาคตให้เป็นหนึ่งและมั่นใจได้ว่า ข้อมูลที่ได้รับมีความสัมพันธ์สอดคล้อง (Relevant) ถูกต้อง (Accurate) ตรงเวลา (Timely) และสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลจากที่ไหนก็ได้เมื่อต้องการ (Mobile)
นางสาว วิไลพร กล่าวทิ้งท้ายว่า “วันนี้เราต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงบทบาทและหน้าที่ของฝ่ายการเงิน รวมถึงแผนกอื่นๆ ในองค์กรด้วย ดังนั้น ซีเอฟโออาเซียนจำเป็นที่จะต้องเร่งพัฒนาศักยภาพของตนเอง เร่งศึกษา-ทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมและความท้าทายของธุรกิจให้ถ่องแท้ รวมถึงก้าวให้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจว่าควรนำเทคโนโลยีใดมาปรับใช้กับธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานทั้งกับฝ่ายการเงินและองค์กรโดยรวม”
นายกฯ มั่นใจ ญี่ปุ่นผนึกกำลัง ไทย – เออีซี ผงาดตลาดโลก คาดปี 59 ตลาดการค้าการลงทุนไทยและเพื่อนบ้านคึกคัก
นายกรัฐมนตรีเผย ความร่วมมือญี่ปุ่น-อาเซียน จะเสริมทัพให้เศรษฐกิจอาเซียนไม่แพ้ภูมิภาคอื่น พร้อมชูนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษช่วยส่งเสริมการค้าการลงทุนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านให้คึกคักหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ด้านบีโอไอมั่นใจ นโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่ปูทางให้ไทยเป็นฐานการผลิตของญี่ปุ่นในระยะยาว
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนา 'ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประเทศไทยกับการเป็นศูนย์กลางการผลิตสำคัญสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น'Business Strategy in the era of ASEAN Economic Community Thailand, major manufacturing hub for Japan' ในวันนี้ (วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2558) ว่า อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในอาเซียนจะรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือในด้านต่างๆ ระหว่างชาติสมาชิกอาเซียนมากยิ่งขึ้น ทั้งความร่วมมือระดับรัฐต่อรัฐ ภาคเอกชนกับภาคเอกชน และจะทำให้โอกาสทางธุรกิจเปิดกว้างมากขึ้นด้วย ดังนั้น รัฐบาลจึงให้ความสำคัญต่อการวางแผนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ ของประเทศ การปรับปรุงกฎระเบียบและระบบต่างๆ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งการวางรากฐานด้านเศรษฐกิจดิจิตอล และการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และทำให้ประเทศไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนยังให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงและขยายกรอบความร่วมมือในระดับโลก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีความร่วมมือกับหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น จะช่วยทำให้เศรษฐกิจของอาเซียนเติบโตไม่แพ้ภูมิภาคอื่น และเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นและนักลงทุนจากชาติอื่นๆ ด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ประกาศนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และผลักดันให้การค้าและการลงทุนในพื้นที่ชายแดนขยายตัวสูงขึ้น
"ผมเชื่อว่า ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป การค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน จะคึกคักยิ่งขึ้น จากผลของการดำเนินนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตลอดจนการเร่งขับเคลื่อนแผนพัฒนาระบบระบบโลจิสติกส์และการคมนาคมขนส่ง ทั้งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำและทางอากาศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและลดต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งหลายโครงการจะมี นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาด้วย" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทางด้านนางหิรัญญา สุจินัย รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่านโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน เพราะพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเป็นพื้นที่ชายแดนบนแนวเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง หรือ GMS นักลงทุนญี่ปุ่นสามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตในพื้นที่ใกล้เคียง และใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงฐานการผลิตในประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้
สำหรับนโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่กับการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยนั้น บีโอไอมั่นใจว่า จะช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตสำคัญของญี่ปุ่นในระยะยาว และประเภทกิจการที่ บีโอไอมุ่งให้การส่งเสริมล้วนแต่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ (Modern Industries) ที่สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนของนักลงทุนชั้นนำหลายประเทศ โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นด้วย อาทิ การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา การผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือมีนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรในประเทศ การลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ เป็นต้น
"กิจการที่ประเทศไทยต้องการเชิญชวนให้นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน ส่วนใหญ่ถูกกำหนดให้เป็นกิจการที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ในกลุ่ม A ซึ่งจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลระหว่าง 3 – 8 ปี และยังมีโอกาสขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ หรือ Merit-based Incentives เช่น มีการวิจัยและพัฒนา การออกแบบ การฝึกอบรบด้านเทคโนโลยีขั้นสูง การพัฒนา Local Supplier หรือในกรณีที่ตั้งสถานประกอบการในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมฯ หรือตั้งในพื้นที่ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ หรือพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ"นางหิรัญญากล่าว
สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมกว่า 400 คน ร้อยละ 70 เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทยและประเทศในอาเซียน ในธุรกิจการค้าและบริการต่างๆ เช่น ค้าปลีก ค้าส่ง การเงิน ประกันภัย รองลงมาเป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และขนส่ง ทั้งนี้ โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรายใหญ่รวมประมาณ 100 คน เดินทางจากญี่ปุ่นเพื่อมาเข้าร่วมนี้โดยเฉพาะ
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด