ไทย พร้อมเป็นเจ้าภาพ Asian Side of the Doc Bangkok 2018 ชูศักยภาพ ฮับหนังสารคดีแห่งอาเซียน สนองนโยบายขับเคลื่อนธุรกิจสร้างสรรค์ของรัฐบาล
ประเทศไทยประกาศความพร้อมเป็นเจ้าภาพ การจัดงานซื้อขายภาพยนตร์สารคดีที่ยิ่งใหญ่ระดับอาเซียน Asian Side of the Doc Bangkok 2018 (ASD18) ซึ่งไทยได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อปีที่ผ่านมา สนองนโยบายไทยแลนด์ 4.0 มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ สู่อุตสาหกรรมด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ชั้นนำเพื่อสร้างคุณค่าทางสังคม เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้เงินตราต่างประเทศและรายได้ท้องถิ่น พัฒนาเศรษฐกิจของชาติครบทุกมิติ กำหนดจัดงาน 30 มกราคม ถึง 2 กุมภาพันธ์ 2561
นางวิวรรณ กรรณสูต กรรมการผู้จัดการบริษัท แม็กซ์อิมเมจ จำกัด ในฐานะหัวหน้าคณะผู้จัดงาน กล่าวว่า “ยุทธศาสตร์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของรัฐบาล เน้นการพัฒนาขีดความสามารถการผลิต ด้วยการส่งเสริมการรวมกลุ่มในลักษณะเครือข่าย การพัฒนาตลาดภาพยนตร์เชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ และที่สำคัญ คือการส่งเสริมการจัดเทศกาลภาพยนตร์และตลาดภาพยนตร์นานาชาติ เพื่อสร้างแพลตฟอร์มทางธุรกิจสำหรับ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และนักลงทุนจากทั่วโลก โดยไทยเองมีการรวมตัวกันของผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดีไทย ในชื่อ “สมาคมผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดีไทย (Thailand Documentary Filmmakers Association) หรือ TDFA” ซึ่งเป็นองค์กรที่มีเป้าหมาย เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์สารคดี ตลอดจนส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนาบุคลากรในแวดวงธุรกิจให้มีศักยภาพก้าวสู่ตลาดโลก ส่งเสริมไทยสู่ศูนย์กลางของตลาดซื้อขายหนังสารคดีในเอเชียและระดับโลก เฉกเช่นการที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพการจัดงาน Asian Side of the Doc ซึ่งเป็นงานที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับวงการหนังสารคดีของโลก”
Asian Side of the Doc เป็นส่วนหนึ่งของงาน Sunny Side of the Doc ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายภาพยนตร์สารคดีแบบครบวงจรระดับโลกในรูปแบบ Market Place ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป ก่อตั้งโดย มร.อีฟ ชองโน (Mr.Yves Jeanneau) อดีตผู้กำกับสารคดีรางวัลออสการ์ชาวฝรั่งเศส โดยมีการจัดงานมาแล้ว 28 ปี ที่เมือง La Rochelle ประเทศฝรั่งเศส มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 2,000 คนทุกปี ต่อมาเมื่อเห็นการเติบโตและศักยภาพของตลาดสารคดีในเอเซีย จึงเริ่มก่อตั้งตลาดซื้อขายสารคดีคู่ขนานขึ้นในทวีปเอเชีย และใช้ชื่องานว่า Asian Side of the Doc หรือ ASD ตั้งแต่ปี 2553 และจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในประเทศต่างๆทั่วภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และจัดเป็นครั้งที่ 7 ในปี 2559 ที่ผ่านมาในประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วมงาน ในระดับ Dicision Maker, Producer, Director และ Distributor จากทั่วโลกกว่า 500 คน สร้างรายได้จากการเจรจาธุรกิจอย่างน้อย 160 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละปีงาน ASD ก็จะมุ่งเน้นการสร้างความโดดเด่นให้กับวงการภาพยนตร์สารคดีจากภูมิภาคเอเชียให้ออกสู่ตลาดทั่วโลก
“ด้วยศักยภาพความพร้อมของไทย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความหลากหลายของจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และความเป็นมืออาชีพของผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดีไทย รวมถึงผลสำเร็จการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ทำให้คณะทำงาน Asian Side of the Doc เลือกประเทศไทย เป็นเจ้าภาพการจัดงาน Asian Side of the Doc ครั้งที่ 8 เป็นปีที่ 2 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่าง วันที่ 30 มกราคม ถึง 2 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติกับประเทศไทยอย่างมาก การจัดงานครั้งนี้ มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เล็งเห็นถึงประโยชน์และความสำคัญที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ โดยให้การสนับสนุนร่วมสร้างชื่อเสียง และช่วยผลักดันให้ไทย เป็นศูนย์กลางตลาดสารคดีระดับเอเชียอย่างเต็มตัว เชื่อมต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจภาพยนตร์สารคดี ระหว่างผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดีมืออาชีพ ผู้จัดจำหน่าย ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ นักลงทุน ที่ปรึกษา ที่มารวมตัวกันไม่ต่ำกว่า 500 คน จากกว่า 40 ประเทศ ทั่วโลก ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะสร้างตลาดภาพยนตร์สารคดีให้เป็นหนึ่งเดียวในเอเชีย”
สำหรับ กิจกรรมหลักในงาน Asian Side of the Doc Bangkok 2018 (ASD18) จะประกอบด้วย Pitching การนำเสนอโครงการ , การอภิปรายเชิงลึก, การพบปะเจรจาแบบตัวต่อตัว, สร้างเครือข่ายที่มีประโยชน์ จากการพบปะผู้คนจากนานาชาติ และกิจกรรมทางสังคมที่จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางการตลาด นอกจากนี้ในระหว่างวันที่ 19-22 กันยายน 2560 ทาง ASD ยังจัดให้มีกิจกรรม Asian Side Workshop & Master Class ASEAN เพื่อให้ผู้ผลิต ผู้กำกับหนังสารคดีทั่วโลก ได้พัฒนาโครงการสารคดี การทำการตลาด แนะนำแนวทางการทำ Teaser / Logline / Title ฝึกหัดทักษะการนำเสนอผลงาน และแนะนำแนวทางการทำการตลาดภาพยนตร์สารคดีระดับโลก โดยในกิจกรรม Workshop นั้นมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 คน ที่จะมาร่วมเวิร์คช็อป ได้แก่ คุณคริสติยอง ป็อปป์ ผู้ผลิต และผู้ร่วมก่อตั้ง YUZU Productions ประเทศฝรั่งเศส คุณเอสเธอร์ แวน เมสเซล ผู้ผลิตและ ซีอีโอ First Hand Films ประเทศสวิสเซอร์แลนด์และสหพันธรัฐเยอรมันนี และคุณไพลิน เวเดล ผู้สร้างภาพยนตร์อิสระ และผู้ได้รับรางวัล BEST ASEAN PRIZE จากการนำเสนอโครงการในงาน Asian Side of the Doc Work Shop เมื่อปีที่ผ่านมา
โดยในปีนี้ มีผู้ผลิตสารคดีส่งผลงานเข้าร่วมทำ Workshop Master Class จำนวน 38 ผลงาน จาก 7 ประเทศ คณะกรรมการจากฝรั่งเศส ได้คัดเลือกผลงานที่น่าสนใจเข้าร่วม Workshop เพื่อพัฒนาเรื่องต่อจำนวน 10 ผลงาน ในจำนวนนี้ เป็นผลงานของผู้ผลิตไทยถึง 7 เรื่อง และหลังจาก Workshop ผู้เข้ารอบต้องนำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการตัดสินซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศฝรั่งเศสและไทย และคัดเลือกให้มีสิทธิ์เข้า Pitching ในงาน Asian Side of the Doc Bangkok 2018 จำนวน 6 ผลงาน และจะประกาศผลผู้ชนะในพิธีมอบรางวัลภาพยนตร์สารคดี สำหรับโครงการที่เหลือนั้นจะได้รับเชิญเข้าร่วมงาน Asian Side of the Doc Bangkok ในฐานะผู้สังเกตการณ์
“การจัดงาน Asian Side of the Doc เป็นการสร้างมูลค่าทางด้านธุรกิจให้แก่อุตสาหกรรมภาพยนตร์สารคดีที่นอกจากเม็ดเงินที่เกิดขึ้นระหว่างการซื้อขาย ยังส่งผลประโยชน์เชิงปริมาณที่เกิดจากการสร้างเครือข่าย การสร้างตราสินค้าและการแบ่งปันทักษะระหว่างอุตสาหกรรม รวมทั้งทำให้ไทยเป็นจุดเชื่อมต่อธุรกิจด้านหนังสารคดีในภูมิภาคต่างๆ โดยงาน ASD18 คาดการณ์ว่าจะมีรายได้จากการเจรจาธุรกิจเป็นจำนวน 200 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย”นางวิวรรณ กล่าวโดยสรุป
สำหรับ Asian Side of the Doc Bangkok 2018 ในครั้งนี้ จะมีผู้เข้าร่วมงานที่เป็น ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ลงทุน สถานีโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกเช่น National Geographic, Discovery Asia, NHK,CCTV,KBS,ABC ออสเตรเลีย,PBS อเมริกา, สถานีโทรทัศน์ ThaiPBS และสถานีโทรทัศน์ชั้นนำของไทยอีกจำนวนมากที่เข้าร่วมการซื้อขายในตลาดสารคดีระดับโลกในคราวนี้ การจัดงาน Asian Side of the Doc Bangkok 2018 ยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นผู้สนับสนุนให้เกิดการจัดงานนี้ในประเทศไทย โดยสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณ และการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ งานนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะเมืองไมซ์และการจัดงานระดับเมกกะอีเวนท์ของภูมิภาคอีกด้วย
ที่ประชุมรมต.ศก.อาเซียน เร่งผลักดัน AEC Blueprint 2025 เพื่อขยายการลงทุน-ลดอุปสรรคการค้า
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 49 ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ประชุมได้ติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2568 หรือ AEC Blueprint 2025 ในประเด็นสำคัญที่จะส่งผลต่อการขยายตัวทางการค้าและการลงทุนและลดอุปสรรคทางการค้า รวมทั้งประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ฟิลิปปินส์ผลักดันเป็นผลงานในฐานะประธานอาเซียนในปีนี้ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจและส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน ประกอบด้วย
1.การจัดทำระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน (ASEAN-wide Self-Certification) ที่เป็นระบบเดียว 2. การเร่งดำเนินการจัดทำความตกลงการค้าบริการอาเซียนฉบับใหม่ (ATISA) ให้แล้วเสร็จภายในปี 2560 3. การสร้างตัวชี้วัดสำหรับวัดผลการดำเนินงานด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าภายในภูมิภาค 4.การจัดทำกรอบการดำเนินงานเพื่อให้ธุรกิจรายเล็กและรายย่อยสามารถร่วมอยู่ในห่วงโซ่มูลค่าโลก 5. การริเริ่มแนวทางใหม่ๆเพื่อส่งเสริมการด้านลงทุน เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่าง MSMEs กับบริษัทข้ามชาติ (MNEs) การปรับปรุงกฎระเบียบการจดทะเบียนธุรกิจของสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศให้สอดคล้องกัน และการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสถาบันระงับข้อพิพาทด้านการลงทุนของอาเซียน เป็นต้น
นอกจากนี้ AEM ได้ร่วมกันให้การรับรองเอกสารสำคัญ 7 ฉบับ ได้แก่ แนวทางในการจดทะเบียนธุรกิจที่ดีของอาเซียน กรอบการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับสูงของอาเซียน แผนงานการเสริมสร้างสมรรถนะด้านนโยบายและกฎหมายแข่งขันในภูมิภาคของอาเซียน คู่มือการประเมินตนเองในการบังคับใช้กฎหมายและการส่งเสริมความรู้ด้านกฎหมายแข่งขันของอาเซียน กรอบการดำเนินธุรกิจแบบมีส่วนร่วมของอาเซียน ขอบเขตการดำเนินการสำหรับการส่งเจ้าหน้าที่ด้านเศรษฐกิจไปประจำการที่คณะผู้แทนถาวรประจำอาเซียนของประเทศสมาชิกอาเซียน และแผนงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ซึ่งกำหนดแนวทางการดำเนินการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน สำหรับช่วงระยะปี 2560-2563 ทั้งในด้านการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้โปร่งใส การพัฒนาระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย และการจัดทำความตกลงด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนภายในปี 2018
นายบุณยฤทธิ์ กล่าวว่า การพบกันครั้งนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจยังได้ร่วมเปิดตัว ASEAN Services Report ที่รวบรวมนโยบายของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ส่งผลต่อบริการสาขาต่างๆ ทั้งในประเทศและภูมิภาค รวมทั้งได้เร่งรัดให้ประเทศสมาชิกสรุปการจัดทำข้อผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการชุดที่ 10 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน หรือ AFAS ให้ได้ภายในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งขณะนี้มีเพียงไทยและสิงคโปร์ที่สามารถดำเนินการเสร็จแล้ว ทั้งนี้ ข้อผูกพันดังกล่าวจะมีผลให้สมาชิกอาเซียนเปิดตลาดด้านบริการระหว่างกันมากขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปลงทุนในธุรกิจบริการในประเทศอาเซียนได้มากขึ้น
สำหรับ ประเด็นสำคัญในด้านความสัมพันธ์กับประเทศนอกภูมิภาค รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้หารือเพื่อเตรียมที่จะประกาศความสำเร็จในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน-ฮ่องกง ซึ่งเจรจามากกว่า 3 ปี ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-ฮ่องกง ครั้งที่ 2 ในวันพรุ่งนี้ (9 ก.ย.) โดย AEM มีกำหนดจะให้การรับรองเอกสารสำคัญร่วมกับประเทศคู่เจรจาในระหว่างการประชุมกับแต่ละประเทศ อาทิ แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน+3 (อาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี) ปี 2560-2561 แผนกิจกรรมความร่วมมือภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ และแผนงานความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียน-รัสเซีย หลังปี 2560 เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้หารือเพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจ RCEP 16 ประเทศ เพื่อเร่งรัดผลักดันให้การเจรจา RCEP ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจา 6 ประเทศ (จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย) ให้มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญโดยเร็ว
ในช่วงการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจยังได้ร่วมหารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายเล็กและรายย่อย เพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลซึ่งเป็นแนวโน้มของโลกในขณะนี้ ทั้งในด้านของการส่งเสริมขีดความสามารถและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวย
นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอำนวยความสะดวกทางการค้าภายในอาเซียน โดยเห็นควรผลักดันให้ระบบ ASEAN Single Window สามารถใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบโดยเร็ว รวมทั้งให้ความสำคัญกับความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายเล็กๆ และการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อยเพื่อให้รายใหญ่ช่วยเป็นพี่เลี้ยงในการดำเนินธุรกิจด้วย
อินโฟเควสท์
อาเซียนเร่งพัฒนาสู่ประชาคมศก.ที่แข็งแกร่ง ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าในภูมิภาคเป็น 2 เท่าในปี 68
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน ครั้งที่ 31 (31st AFTA Council) ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาผลการดำเนินการด้านการค้าสินค้าของอาเซียนภายใต้ AEC Blueprint 2025 หลังจากที่อาเซียนได้เข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าโดยรวมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนลดเป็นศูนย์แล้วกว่า 96% ของรายการสินค้าทั้งหมดแล้ว และมุ่งเน้นการลดอุปสรรคทางการค้าจากมาตรการที่มิใช่ภาษีลง และเน้นการดำเนินการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการอาเซียนสามารถดำเนินธุรกิจระหว่างกันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว รวมทั้งย้ำเป้าหมายลดต้นทุนธุรกรรมลง 10% ภายในปี 2563 และรับรองเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าภายในภูมิภาคเป็น 2 เท่าภายในปี 2568
สำหรับผลงานเด่นๆ ของอาเซียนด้านสินค้ามีดังนี้
1. ผลสำเร็จจากการลดภาษีระหว่างกันของอาเซียน โดยภาษีนำเข้าของอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ บรูไนฯ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย 99.2% ของจำนวนรายการสินค้าทั้งหมดเป็น 0 แล้ว ขณะที่ภาษีนำเข้าของ CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ถูกยกเลิกไปแล้ว 90.9% ในภาพรวมภาษีนำเข้าของอาเซียน 10 ประเทศ จึงเป็น 0 แล้วถึง 96.01%
2. อาเซียนกำลังดำเนินการปรับโอนพิกัดศุลกากรตารางข้อผูกพันภาษีสินค้าและสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศจากระบบฮาร์โมไนซ์ ฉบับปี 2012 เป็นฉบับปี 2017 (AHTN 2012 เป็น AHTN 2017) รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขบัญชีกฎเฉพาะรายสินค้าของอาเซียนจาก AHTN 2012 เป็น AHTN 2017 เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับโอนรายการพิกัดศุลกากรขององค์การศุลกากรโลก ซึ่งเป็นไปตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยมุ่งหวังให้เริ่มดำเนินการได้ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2561
3. การดำเนินโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (ASEAN-wide Self-certification) มี 2 โครงการนำร่อง คือ โครงการที่ 1 การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ผลิตและผู้ค้า มี 6 ประเทศเข้าร่วม ได้แก่ บรูไนฯ กัมพูชา มาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ และไทย และมีผู้ได้รับอนุญาตให้รับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ด้วยตนเอง จำนวน 455 ราย และโครงการที่ 2 ให้รับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองเฉพาะผู้ผลิต มี 5 ประเทศ เข้าร่วม ได้แก่ อินโดนีเซีย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม มีผู้ได้รับอนุญาต 127 ราย ซึ่งอาเซียนอยู่ระหว่างเร่งเจรจาเพื่อปรับระเบียบปฏิบัติของสองโครงการให้เป็นระบบเดียว เพื่อให้สามารถเริ่มใช้งานระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียนทุกประเทศได้ภายในปี 2561
ทั้งนี้ การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง จะส่งผลให้การส่งออกสินค้าที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ตามความตกลง ATIGA สามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น ไม่ต้องไปขอรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจากภาครัฐ และช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในขั้นตอนการขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า
4. ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า รัฐมนตรีอาเซียนได้รับรองแผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน (AEC 2025 Trade Facilitation Strategic Action Plan: ATF-SAP) และตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของการอำนวยความสะดวกทางการค้าในอาเซียน (ASEAN Seamless Trade Facilitation Indicators: ASTFIs) โดย ATF-SAP กำหนดแนวทางดำเนินการตามมาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้าภายในอาเซียนเพื่อส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมาย ได้แก่
(1) ลดต้นทุนธุรกรรมทางการค้าภายในภูมิภาคลงร้อยละ 10 ภายในปี 2563 (2) เพิ่มการค้าภายในภูมิภาคเป็น 2 เท่าภายในปี 2568 และ (3) ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในระดับโลกดีขึ้น โดยมี ASTFIs เป็นตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์และความก้าวหน้าของการดำเนินการตามมาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้าที่ประเทศสมาชิกอาเซียนดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ภาคเอกชนและผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ สามารถเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อช่วยให้การอำนวยความสะดวกทางการค้าในอาเซียนบรรลุผลสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น
5. อาเซียนให้ความสำคัญกับการใช้คลังข้อมูลทางการค้าอาเซียน (ASEAN Trade Repository: ATR) (atr.asean.org) และคลังข้อมูลระดับประเทศ (National Trade Repository: NTR) ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลกฏระเบียบทางการค้าของสมาชิก เช่น พิกัดศุลกากร อัตราภาษีศุลกากร และมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) โดย ATR และ NTR จะเป็นเครื่องมือในการรับมือกับมาตรการ NTMs เพิ่มความโปร่งใส และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs เข้าถึงข้อมูลได้สะดวกรวดเร็ว ไม่มีค่าใช้จ่าย และช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิก ในส่วนของคลังข้อมูลการค้าของไทย (www.thailandntr.com) จัดตั้งแล้วเสร็จเมื่อปี 2557 โดยในปี 2559 มีผู้เยี่ยมชมมากกว่า 1.5 แสนครั้ง และ NTR ของไทยได้เชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับคลังข้อมูลทางการค้าอาเซียนแล้ว
6. อาเซียนให้ความสำคัญกับระบบ ASSIST (ASEAN Solutions for Investment, Services and Trade) ซึ่งเป็นช่องทางออนไลน์ให้ภาคธุรกิจสามารถยื่นข้อร้องเรียนและรับการตอบสนองเกี่ยวกับประเด็นอุปสรรคทางการค้า และการลงทุนภายใต้กรอบอาเซียน แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการยังไม่ค่อยใช้ประโยชน์จากระบบ ASSIST มากนัก จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนเข้ามาใช้ประโยชน์จากช่องทางนี้ให้มากขึ้น
7. อาเซียนก้าวสู่พัฒนาการอีกขั้นของ ASEAN Single Window: ASW (การพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน) โดยได้จัดตั้งศูนย์ PMO (Project Management Office) ณ สำนักเลขาธิการอาเซียน เพื่อบริหารจัดการงานของ ASW ปัจจุบัน สมาชิกอาเซียน 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ได้ดำเนินโครงการนำร่องในการแลกเปลี่ยน e-Form D (หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์) แล้ว และอาเซียนมีเป้าหมายจะแลกเปลี่ยนเอกสารข้ามแดนอื่นๆ เช่น e-Phyto (เอกสารสุขอนามัยพืชแบบอิเล็กทรอนิกส์) ภายในเดือนธันวาคม 2560 และ e-ACDD (เอกสารใบศุลกากรอาเซียนแบบอิเล็กทรอนิกส์) ในปี 2561 ด้วย
ทั้งนี้ อาเซียนได้รับรองการปรับปรุงแก้ไขระเบียบปฏิบัติการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Operational Certification Procedures: OCP) และการมีผลใช้บังคับของพิธีสารว่าด้วยกรอบกฎหมาย (Protocol on Legal Framework: PLF) เพื่อให้ ASW เริ่มดำเนินการได้เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ซึ่งจะอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ ทั้งการนำเข้า การส่งออก ลดต้นทุนการบริหาร การจัดการ และการใช้ทรัพยากรต่างๆ ในส่วนของไทยนั้น กรมศุลกากรได้เตรียมความพร้อมในการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 36 หน่วยงาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดระยะเวลาในการเตรียมและยื่นเอกสารสำหรับผู้นำเข้า-ส่งออก และสามารถช่วยลดต้นทุนด้านการขนถ่ายสินค้าลงได้
อินโฟเควสท์
การประชุมคณะกรรมาธิการอาเซียน ว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก ครั้งที่ ๑๕ และการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการอาเซียน ว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ASEAN Commission on the Promotion and Protection of the Rights of Women and Children : ACWC) ครั้งที่ ๑๕ และการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านสตรี (ASEAN Committee on Women : ACW) ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๔ - ๘ กันยายน ๒๕๖๐ ณ โรงแรมภูเก็ต แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา เมอร์ลิน บีช จังหวัดภูเก็ต
นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวว่า การประชุมดังกล่าวจัดขึ้น เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานด้านสิทธิสตรี สิทธิเด็ก และการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ รวมถึง การพิจารณาติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามแผนงาน ของ ACWC และ ACW (ค.ศ. ๒๐๑๖ - ๒๐๒๐) โดยการหารือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูล และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศบวกสาม ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี
ผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก เจ้าหน้าที่อาวุโส ผู้แทน หน่วยงาน จาก ๑๐ ประเทศสมาชิกอาเซียน และผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมจำนวน ๑๖๐ คน
เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การประชุมฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ได้กำหนดจัดงานแถลงข่าวรายละเอียดการจัดประชุมคณะกรรมาธิการอาเซียน ว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ASEAN Commission on the Promotion and Protection of the Rights of Women and Children : ACWC) ครั้งที่ ๑๕ และการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านสตรี (ASEAN Committee on Women : ACW) ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ห้องโถง ชั้น ๑ อาคาร กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีพลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้เกียรติเป็นประธานงานแถลงข่าว
‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์’ ยักษ์ใหญ่เฟอร์ฯ ไทยตัวจริง ประกาศปักธงอินโดฯจับมือยักษ์ใหญ่ธุรกิจ ‘ซีที คอร์ป’ ลุยเปิดสาขา ผงาดสู่แชมป์อาเซียน
อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) ยักษ์ใหญ่ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่มีชื่อเสียงอันดับ 1 ในประเทศไทย และมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศมากที่สุด รวมถึงมีโรงงานผลิตเป็นของตนเอง และยังเป็นบริษัทระดับโลกที่มีการส่งออกสินค้านานาชาติ ประกาศผนึกกำลัง ‘ซีที คอร์ป’(CT Corp) กลุ่มทุนบริษัทเบอร์ 1 ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีธุรกิจมากมายภายในประเทศ ได้แก่ “เมกะ คอร์ป” (Mega Corp) ธุรกิจบริการทางการเงิน,‘ซีที โกลบอล รีซอร์ส’ (CT Global Resources) ธุรกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติ และ ‘ทรานส์ คอร์ป’ (Trans Corp) ธุรกิจด้านมีเดีย โรงแรม สินค้าอุปโภคบริโภค ศูนย์การค้า และทรานส์มาร์ทรีเทล กลับมาบุกตลาดเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านอินโดนีเซียอีกครั้งเต็มรูปแบบ พร้อมเผยโฉมสาขาแรกในห้างทรานส์มาร์ท คาร์ฟูร์ ซึ่งดูแลบริหารโดย พีที ทรานส์มาร์ท รีเทล (PT.Trans Retail) ณ เจมปากา ปูติห์ กรุงจาการ์ตา บนพื้นที่ขาย 2,500 ตร.ม. กำหนดเปิดอย่างเป็นทางการ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘เดอะ เบสท์ อีส แบ็ก’ (The Best is Back) ลุยอัดโปรโมชั่นฉลองสาขาใหม่ มั่นใจกำลังซื้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจอินโดนีเซียสดใส วางแผนเปิดเพิ่มปีนี้อีก 4 สาขา ใน 3 เมือง ได้แก่ กรุงจาการ์ตา, บันดุง และบันเติน ตามด้วยแผนขยายสาขาทุกปี ปีละ 5-10 สาขาจนถึง 2563 ทั่วอินโดนีเซีย ผงาดขึ้นครองแชมป์ผู้นำตลาดเฟอร์นิเจอร์ใหญ่สุดในอาเซียน
นายพิศิษฐ์ ปัทมสัตยาสนธิ ประธานกรรมการบริหารบริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด เผยว่า “ตลาดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน มีแนวโน้มขยายตัวที่ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนทั้งเรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ของประชากร และพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้เราเร่งศึกษาโอกาสการลงทุนตลอดจนยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจในประเทศต่างๆ เพื่อเปิดตลาดใหม่ในภูมิภาคอาเซียนมากยิ่งขึ้น และล่าสุด เราได้เจรจาลงทุนร่วมมือกันในการลงนามให้สิทธิ์ แฟรนไชส์ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์’ แก่ ‘ซีที คอร์ป’ กลุ่มทุนบริษัทรายใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย ในการกลับมาทำตลาดอย่างจริงจังเต็มรูปแบบอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำว่าเราคือตัวจริงอันดับ 1 เรื่องเฟอร์นิเจอร์ โดยล่าสุดได้เปิด ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์’สาขาแรกในอินโดนีเซีย ภายใต้คอนเซ็ปต์’เดอะ เบสท์ อีส แบ็ก’ ที่นำเสนอ 6 จุดแข็งของเรา พร้อมข้อเสนอ ส่วนลด โปรโมชั่น สิทธิพิเศษต่างๆ มากมายในช่วงฉลองเปิดสาขาใหม่ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 4 สาขา ที่กรุงจาการ์ตา 1 สาขา, บันดุง 1 สาขา และบันเติน 2 สาขา ภายในกันยายนจนถึงธันวาคมปีนี้ โดยมีขนาดพื้นที่ 1,000-2,000 ตารางเมตร จากนั้น จะขยายสาขาทุกปี ปีละ 5-10 สาขาจนถึง 2563 ทั่วอินโดนีเซีย ตามแผนการนี้ สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นด้านศักยภาพและความแข็งแกร่งของ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์’ในแง่ของแบรนด์ และผลิตภัณฑ์ ภายใต้แนวคิด 4 Joys”
ขณะที่ นายเอกฤทธิ์ ปัทมสัตยาสนธิ ผู้อำนวยการสายงานพัฒนาธุรกิจต่างประเทศ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด กล่าวเสริมว่า “สำหรับตลาดเฟอร์นิเจอร์ในอินโดนีเซียนั้น ยังมีศักยภาพและเติบโตสูง เนื่องจาก 60% เป็นร้านค้าเฟอร์นิเจอร์ดั้งเดิม และอีก 40% เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจเติบโต 5% รายได้ของประชากรราว 52 ล้านรูเปียห์ หรือราว 130,000 บาทต่อปี และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรุงจาการ์ตา ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของประเทศ มีการลงทุนสูง อย่างไรก็ตาม การเปิดตลาดในอินโดนีเซียจะผลักดันให้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มจาก 8% เป็น 14% และปั้น ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์’ เป็น ' รีจินัลแบรนด์เต็มรูปแบบ”
“นอกจากนี้ ศักยภาพของ’ซีที คอร์ป’ภายใต้การบริหารของ มร.ชัยรุล แทนจุง (Mr.Chairul Tanjung) ชาวอินโดนีเซียที่ครองความเป็นผู้นำธุรกิจหลากหลายประเภทมายาวนาน โดยเฉพาะธุรกิจ รีเทลอย่าง ‘ทรานส์มาร์ท คาร์ฟูร์’ยิ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนในการเข้าถึงตลาดและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ง’ ได้อย่างรวดเร็วและแพร่หลาย พร้อมขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องในวงกว้าง “เราคาดหวังว่าการขยายแฟรนไชส์ในครั้งนี้ จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าในอินโดนีเซีย ว่าสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ภายใต้แบรนด์’อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์’จะเป็นที่หนึ่งในตัวเลือกคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีดีไซน์ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมสินค้าที่คัดสรรเป็นพิเศษสำหรับตลาดอินโดนีเซีย”นายเอกฤทธิ์ ปัทมสัตยาสนธิ กล่าวเพิ่มเติม
ด้าน มร.ชาฟี ชามซัดดิน (Mr.Shafie Shamsuddin) ประธานและซีอีโอของพีที ทรานส์มาร์ท รีเทล อินโดนีเซีย เผยว่า “จากความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ คาดว่าที่นี่จะเป็นอีกทางเลือกที่เพิ่มประโยชน์ให้ลูกค้าชาวอินโดนีเซียที่ปัจจุบันเติบโตขึ้น รวมถึงมีความต้องการที่หลากหลายในการสรรหาตัวเลือกของสินค้า โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านของ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์’ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของห้าง งทรานส์มาร์ท คาร์ฟูร์ง แน่นอนว่าสิ่งนี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดี จากการใช้จ่ายรวมถึงความต้องการผู้บริโภคของทั้งห้าง ‘ทรานส์มาร์ท คาร์ฟูร์’และ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์’จะส่งเสริมและสนับสนุนให้สาขาใหม่นี้ เป็นพื้นที่สินค้าเพื่อคนท้องถิ่นและเป็นพันธมิตรที่ดีกับชาวอินโดนีเซีย”
“ปัจจุบัน ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์ง ประสบความสำเร็จในการขยายสาขาในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิ์แฟรนไชส์ใน 6 ประเทศ ได้แก่ เนปาล, รัสเซีย, มัลดีฟส์, เวียดนาม, มาเลเซีย และล่าสุดอินโดนีเซีย รวมทั้งมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจในการส่งออกสินค้าในญี่ปุ่น, เกาหลี, อเมริกา ยุโรป ตลอดจนในรูปแบบตัวแทนจำหน่ายหรือดีลเลอร์ ในพม่า, ลาว, กัมพูชา, สิงคโปร์ และปากีสถาน ทั้งนี้ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์’ ยังคงมุ่งมั่นในการขยายสาขาในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับโลกในอนาคต ซึ่งสิ่งที่เป็นหัวใจหลักของ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่ง มอลล์’คือการสร้างดีเอ็นเอเพื่อให้สินค้าเป็นแบรนด์ระดับโลก ทั้งคุณภาพควบคู่ดีไซน์” มร.เจอร์ราร์ด แมคเกิร์ก รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจต่างประเทศ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ‘อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์’สาขาแรกในอินโดนีเซีย ที่ห้าง’ทรานส์มาร์ท คาร์ฟูร์’ณ เจมปากา ปูติห์ เมืองจาการ์ตา เน้นจุดแข็งภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘เดอะ เบสท์ อีส แบ็ก’ ผ่านการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ไลฟ์สไตล์ที่ดีที่สุด (The Best Furniture Lifestyle Store) เพราะเป็นศูนย์รวมเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านไลฟ์สไตล์ครบวงจร ดีไซน์โดดเด่นและคัดสรรวัสดุที่ดีที่สุด, คุ้มค่าที่สุด (The Best Value) ในราคาจริงใจ ไม่ต้องรอลด ผลิตและจัดจำหน่ายโดยตรงแก่ลูกค้า, ดีไซน์ที่ดีที่สุด (The Best Design) หลากหลายสไตล์ ด้วยดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก ทั้งอิตาลี, สวีเดน, เดนมาร์ก, เยอรมันนี เป็นต้น, คุณภาพที่ดีที่สุด (The Best Quality) กับสินค้าทุกชิ้น มาตรฐานดี การันตีคุณภาพ, บริการที่ดีที่สุด (The Best Impression) ทั้งการจัดส่ง ติดตั้งรวดเร็ว พร้อมมีบริการออกแบบห้องเสมือนจริง 3 มิติ และท้ายสุด ข้อเสนอที่ดีที่สุด (The Best Offers) กับส่วนลด โปรโมชั่น สิทธิพิเศษมากมายฉลองเปิดสาขาใหม่สาขาแรกที่อินโดนีเซีย
ปตท. ส่งแบรนด์ไทยสู่เวทีอาเซียนต่อเนื่องมอบสิทธิ์จำหน่ายแฟรนไชส์คาเฟ่อเมซอนให้ PTT LAO
นายสรัญ รังคสิริ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ ท่านบัวเงิน ซาพูวง รองรัฐมนตรีกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมด้วย ท่านบุญเทียน แก้วสีพา หัวหน้ากรมการค้าภายใน กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาการมอบสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ คาเฟ่ อเมซอน (Master Franchise) ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ให้แก่ บริษัท พีทีที (ลาว) จำกัด (PTTLAO) อย่างเป็นทางการ ณ โรงแรม Crowne Plaza เมืองเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และในโอกาสนี้ คณะผู้บริหารยังได้ร่วมทำพิธีเปิดร้านคาเฟ่อเมซอนสาขาเวียงจันทร์เซ็นเตอร์ และสาขาธาตุหลวงอีกด้วย
นายสรัญ เปิดเผยว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีนโยบายในการดำเนินธุรกิจที่จะมุ่งสู่ Regional Top Brand ในภาคพื้นอินโดจีน ซึ่งคาเฟ่อเมซอนได้รุกตลาดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควบคู่ไปกับสถานีบริการน้ำมัน ปตท. โดยก่อนหน้านี้ได้เริ่มมอบสิทธิ์ในการจำหน่ายมาสเตอร์แฟรนไชส์คาเฟ่อเมซอนในประเทศกัมพูชาให้แก่ บริษัท ปตท. (กัมพูชา) จำกัด และในครั้งนี้ได้ใช้รูปแบบการมอบสิทธิ์ดังกล่าวที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวด้วย นอกจากนี้ ยังมีแผนในการมอบสิทธิ์ในการจำหน่ายแฟรนไชส์คาเฟ่อเมซอนในประเทศอื่นๆ อาทิ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น และโอมาน ต่อไปในอนาคต
การมอบสิทธิ์ในการจำหน่ายแฟรนไชส์คาเฟ่อเมซอนให้แก่ PTT LAO ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายตัวทางธุรกิจของ ปตท. ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างก้าวกระโดดแล้ว ประชาชนลาวยังจะได้มีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจกับ ปตท. ซึ่งเป็นการสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้กับเพื่อนบ้านของไทย ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการจาก ปตท. ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลในราคาที่เป็นธรรมอีกด้วย
“สำหรับปี 2560 ใน สปป.ลาว มีร้าน คาเฟ่ อเมซอน ที่ดำเนินงานโดย PTT LAO จำนวน 38 สาขา และมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนร้านแฟรนไชส์ เป็น 75 สาขาภายในปี 2564 นับเป็นอีกความมุ่งมั่นของ ปตท. ในสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทย ด้วยการสร้างแบรนด์คนไทยให้เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญในการผลักดันแบรนด์ของคนไทยอย่างคาเฟ่ อเมซอน ให้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคกาแฟในอาเซียนมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว สนับสนุนให้ ปตท. ก้าวสู่การเป็น Global Brand ต่อไป” นายสรัญ กล่าวในตอนท้าย
PTT expands Thai brand in ASEAN by granting rights of a master franchise of Café Amazon to PTT LAO
Mr. Sarun Rungkasiri, Chief Operation Officer, Downstream Petroleum Business Group, PTT Public Company Limited and Mr. Boua-ngern Xaphouvong Vice Minister of Information, Culture and Tourism along with Mr. Bounthiene Keosipha Director General Domestic Trade Department, Minister of Industry and Commerce presided over a granting rights of a master franchise of Café Amazon signing ceremony to PTT LAO at Crowne Plaza hotel Vientiane, LAO PDR. On this occasion, they also visited Café Amazon at Vientiane Center and Thatluang.
Mr. Sarun Rungkasiri, stated that PTT has an aim to become a regional top brand in Indo-china by introducing Café amazon to a new market in Southeast Asian along with PTT petroleum products. After the success of granting the first rights of a master franchise of Café Amazon in Cambodia to PTTCL, PTT continued to pursue the same path by granting rights to PTT LAO and other countries such as Myanmar, Japan, and Oman.
“Granting rights of a master franchise of Café Amazon to PTT LAO not only creates an opportunity to expand our businesses remarkably in Southeast Asian but also provides jobs for Laotian and generates economic growth of our neighbor with products and services of international standard and reasonable price.
Presently, there are 38 Café Amazon in LAO operating by PTT LAO with a target set at 75 branches within 2021. PTT continues to drive its business towards building pride and treasure of Thailand. By promoting recognition of Thai brand like Café Amazon to coffee consumers in Asian, is one the initiatives for PTT to become a Global brand”, said Mr. Sarun
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด