อาเซียน-แบค ร่วมกับรัฐบาลอังกฤษหนุนการค้าอาเซียนสู่ระบบดิจิทัล
สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ร่วมกับรัฐบาลอังกฤษ ศึกษากฎระเบียบและเอกสารธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ ปูทางสู่การค้าระบบดิจิทัลเชื่อมกับระบบของรัฐ ช่วยยกระดับการค้าในอาเซียนและคู่ค้าให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
นายอรินทร์ จิรา ประธานสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน หรืออาเซียน-แบค (ASEAN Business Advisory Council : ASEAN-BAC) และ มร.ไบรอัน เดวิดสัน เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตนารมณ์ (Letter of Intent) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่รัฐบาลอังกฤษจะให้การสนับสนุนศึกษา Global Trade Program ของสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Business Advisory Council : ASEAN-BAC) ในการให้บริษัทที่ปรึกษามาศึกษากฎระเบียบและเอกสารที่เกี่ยวกับการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ ได้แก่ ระเบียบและเอกสารด้านการซื้อการขาย การขนส่ง การทำประกันภัย การชำระเงินและการให้สินเชื่อด้านการค้าที่ใช้อยู่ในกลุ่มอาเซียนในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ผลการศึกษาจะนำมาประเมินเพื่อจัดทำแนวทางปฏิบัติที่ดีและเหมาะสม (Best Practice) ให้ภาคเอกชนในกลุ่มอาเซียนนำไปปรับปรุงกระบวนการทำงานและเอกสารให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงแนวทางที่ภาคเอกชนจะทำงานเชื่อมต่อกับ National Single Window และ ASEAN Single Window ที่ภาครัฐกำลังดำเนินการอยู่ โดยทำงานร่วมกับทีมงานที่สภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจอาเซียนจะจัดตั้งขึ้น คณะทำงานของสานักงานเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) และผู้ที่เกี่ยวข้องจากทั้งภาครัฐและเอกชนของกลุ่มอาเซียน รวมถึงประเทศคู่ค้าสำคัญ
อนึ่ง โครงการสนับสนุน Global Trade Program ของรัฐบาลอังกฤษ เป็นโครงการหนึ่งที่แสดงถึงความตั้งใจและความสัมพันธ์ที่ดีของรัฐบาลและประชาชนอังกฤษต่ออาเซียนในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) การเสริมสร้างการเชื่อมอย่างไร้รอยต่อ (Seamless Connectivity) การยกระดับการพัฒนาและการเข้าถึงแหล่งเงินของเอสเอ็มอี การยกระดับความสามารถและความเป็นอยู่ของประชาชน
การปรับเปลี่ยนการค้าขายระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนไปสู่ระบบดิจิทัล (ASEAN Regional Digital Trade Transformation) จะเป็นการยกระดับการค้าขายระหว่างประเทศในอาเซียนอย่างก้าวกระโดดเพราะจะช่วยให้การค้าระหว่างประเทศในอาเซียนและประเทศคู่ค้าสำคัญมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากทำได้รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ลดเวลา และขั้นตอนในการทำธุรกรรม และมีต้นทุนที่ถูกลง ซึ่งจะช่วยให้เอสเอ็มอีมีโอกาสและสามารถทำการค้าและขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การทำธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลทั้งวงจรยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ เป็นการลดโอกาสของการใช้เอกสารปลอมทางการค้าระหว่างประเทศ และการนำเอกสารการค้ามาขอสินเชื่อซ้ำซ้อน (Double Financing) สถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อมีความมั่นใจมากขึ้น ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศจึงมีโอกาสได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้น นับเป็นการพัฒนาที่มุ่งสู่การให้สินเชื่อบนฐานข้อมูล (Information Base Lending) อย่างแท้จริง
การศึกษาดังกล่าวมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจะนำไปสู่การสร้างแนวทางและวิธีปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานกลาง ซึ่งเป็นที่ยอมรับให้ประเทศต่างๆ นำไปพิจารณาปรับกระบวนการและกฎระเบียบในประเทศของตน ช่วยให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศอยู่บนมาตรฐานและแนวปฏิบัติเดียวกัน ลดความผิดพลาดและยุ่งยากของการทำธุรกรรม เนื่องจากการศึกษาภายใต้โครงการดังกล่าวมีขอบข่ายการทำงานที่กว้างขวางมาก ดังนั้นนอกจากบริษัทที่ปรึกษาที่รัฐบาลอังกฤษให้การสนับสนุนแล้ว สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาซัยนได้มีการหารือที่จะให้บริษัทอื่นมาดำเนินการเพิ่มเติมและรัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมากที่จะเข้ามาให้การสนับสนุนการศึกษาและการจัดทำแนวทางและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมด้วย
AO11602
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
ซีอีโอเครือซีพี แสดงวิสัยทัศน์เวที AEC Business Forum 2019 เสนอความท้าทายที่ไทยและอาเซียนต้องเผชิญ
ซีอีโอเครือซีพี แสดงวิสัยทัศน์เวที AEC Business Forum 2019 เสนอความท้าทายที่ไทยและอาเซียนต้องเผชิญ ชูธงภาคธุรกิจต้องคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นวาระสำคัญ
ในงานสัมมนาใหญ่ประจำปีของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 'AEC Business Forum 2019'ซีอีโอเครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ขึ้นเวทีร่วมเสวนาหัวข้อ “ASEAN CEO’s Vision 2020 & Beyond” ร่วมกับนักธุรกิจชั้นนำ ประกอบด้วย คุณอาลก โลเฮีย (Mr. Aloke Lohia) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ จำกัด (มหาชน)คุณเจมส์ อู๋ (Mr. James Wu) ประธานบริหาร หัวเว่ย ประจำภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด และคุณพอล ลิม (Mr. Paul Lim) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท PESTECH International Berhad โดยมี ซีอีโอ นักธุรกิจ ผู้บริหารองค์กรธุรกิจเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ CP E-News ได้รวบรวมสาระสำคัญจากเวทีเสวนาครั้งนี้มาเผยแพร่ให้ผู้ที่สนใจได้ติดตามกัน
@ความท้าทายของประเทศไทยและอาเซียน
ซีอีโอเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวถึงโอกาสและความท้าทายของประเทศไทย และอาเซียน ว่า สิ่งสำคัญของการเปลี่ยนเศรษฐกิจโดยรวมทั่วโลกขณะนี้ได้คือ คือ “ความเชื่อมโยง” “ความรวดเร็ว” และ “ตลาดโลก” ทั้งสามอย่างจะต้องบรรจบกัน ทั้งนี้ ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่เรื่องนี้ ถ้าดูระดับการเติบโตการใช้มือถือ การเติบโตของเมือง การใช้อินเทอร์เน็ต ทั้งหมดมีการเติบโตสูงมาก จะเห็นว่าโลกของเรามีความเชื่อมโยงมากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต จึงจำเป็นต้องสร้างเมืองอัจฉริยะ และมีความโปร่งใสของข้อมูลต่างๆผ่านการเชื่อมโยงทางดิจิทัลเท่านั้น ขณะที่ในระดับอุตสาหกรรม มีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉม บางอุตสาหกรรมจะต้องปรับตัวรับเทคโนโลยีมาใช้ ไม่เช่นนั้นก็จะอยู่รอดไม่ได้ แต่ทั้งหมดต้องเปลี่ยนตัวเอง มิเช่นนั้นก็จะถูกดิสรัป
“ประเทศอาเซียนส่วนใหญ่เป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและเราติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง และบางประเทศมีรายได้ต่ำ การเชื่อมโยงทางด้านดิจิทัลนั้นจะทำให้เรามีความโปร่งใสมากขึ้นในทันที เราสามารถลดขั้นตอนระบบราชการ มีการปฏิรูปประเทศ และทำสิ่งต่างๆที่ถ้าเราลงทุนจริงๆเราจะสามารถไปได้ไกลกว่านี้ ทั้งในการกระจายความรู้และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ทั้งเรื่อง บิ๊กดาต้า เอไอ ถ่ายทอดความรู้และสร้างคุณค่าและประสิทธิภาพมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจและอาเซียน เรามีช่วงเปลี่ยนผ่านที่ยิ่งใหญ่มากในการวิวัฒนาการของเศรษฐกิจ เรามีโอกาสนี้อยู่”คุณศุภชัยกล่าว
ในมุมมองของประธานคณะผู้บริหารเครือซีพี มองถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานกำลังทำให้เศรษฐกิจก้าวไปสู่สิ่งที่ขับเคลื่อนโดยข้อมูล มีความโปร่งใสมากขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสของอาเซียนที่จะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้การเชื่อมโยงพึ่งพาเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคมีมากขึ้น ทำให้เกิดโอกาสมหาศาลและความท้าทาย ที่ไทยและประเทศในอาเซียนต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเราขณะที่ความเชื่อมโยงทางดิจิทัลมีความเปลี่ยนแปลงมาก ถ้าเราเปลี่ยนแปลง และปรับตัวเร็วพอ โอบรับเอาสิ่งที่เข้ามาเพียงพอก็จะทำให้ประเทศในอาเซียนเติบโตก้าวกระโดดได้
@ภาคธุรกิจต้องคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นวาระสำคัญ
คุณศุภชัย ได้หยิบยกแนวคิด 'ความยั่งยืน'เสนอบนเวทีเสวนาครั้งนี้ว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ต้องควบคู่กับเรื่องความยั่งยืนนั้น ขณะนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะภาคธุรกิจมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างขยะต่างๆ ปล่อยคาร์บอนออกมาสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น
“ผมคิดว่าโลกที่เราเรียกว่าบ้าน จะสามารถรับมือกับสิ่งที่เราทุกคนได้สร้างขึ้นมาได้ เราอาจจะต้องพบกับผลลัพธ์ที่เราอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้ขยะในท้องทะเลเยอะมากเป็นต้นเหตุก่อให้เกิดสารพิษต่างๆ เราพูดถึงคาร์บอน ฟุตพรินท์ การทำให้โลกร้อน ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นเวลาเรามองไปข้างหน้าถึงการพัฒนาธุรกิจ เศรษฐกิจของเราโดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืน สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาสำคัญที่ท้าทายเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย องค์กรใหญ่ๆต้องตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ และพยายามทุกทางที่จะปรับตัว”คุณศุภชัยกล่าว
@ผลผลิตภาคเกษตรกรลดลง และสังคมสูงวัย ภาวะที่ไทยต้องเผชิญ
ซีอีโอเครือซีพี กล่าวว่า เกษตรกรเป็นภาคใหญ่มากในประเทศไทย แต่ขณะนี้เราไม่สามารถปรับเอาดิจิทัลมาใช้กับภาคเกษตรได้ ทั้งที่เรามีเทคโนโลยีใหม่มากที่จะมาใช้ด้านเกษตรกรรมได้ จึงจำเป็นที่เกษตรกรรุ่นใหม่ต้องตระหนักถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ ขณะเดียวกันเราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และเกษตรกรส่วนใหญ่มีอายุตั้งแต่ 50-60 ปี และยังคงทำการเกษตรในแบบเดิม ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงนำเรื่องเทคโนโลยีมาใช้ในกลุ่มเกษตรกรสูงวัยไม่ว่าจะเป็นการนำออโตเมชั่น และเอไอมาใช้ก็ถือเป็นความท้าทายในอนาคต
@โอกาสและความท้าทายในภาคธุรกิจของเครือซีพี
ซีอีโอเครือซีพี ได้ยกตัวอย่างและพูดคุยถึงรายละเอียดถึงวิสัยทัศน์สำคัญที่เพิ่มเข้ามาในการเติบโตของเครือซีพี คือ Social , Economic และ Enveronment ซึ่งเป็นสิ่งที่จะสร้างคุณค่าให้กับบริษัท สังคม และโลก
“ผมขอยกตัวอย่างการพยายามเปลี่ยนแปลงของเครือซีพี ซึ่งเราทำงานมีไซโลมากมาย ทำงานโดดเดี่ยวเป็นไซโล เราจะเปลี่ยนไปสู่บริษัทที่ทำงานร่วมกัน โดยผ่านการขับเคลื่อนโดยข้อมูล มีความโปร่งใส และจะส่งเสริมให้แต่ละฝ่ายมีประสิทธิภาพได้อย่างไร การจะมีซีอีโอเพียงคนเดียวแก้ปัญหาทุกอย่าง ในที่สุดซีอีโอนั้นก็จะเป็นคอขวดเองดังนั้น บริษัทจะเปลี่ยนแปลงเติบโตเพิ่มสมรรถภาพอย่างไร จึงต้องให้มี มินิซีอีโอ มากมาย ที่มีความรับผิดชอบในหลายระดับ สามารถทำงานในลักษณะข้ามภาค สาขา แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเราต้องการเปลี่ยนบริษัทเข้าสู่รูปแบดิจิทัล และให้คล่องแคล่วเพียงพอที่จะให้มีนวัตกรรมนำบริษัทไปสู่การแข่งขันเพิ่มมูลค่าให้ตลาด ผมคิดว่าเป็นทั้งความท้าทาย และโอกาสของเครือซีพี ดังนั้นถ้าเราต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์ เป้าหมาย เคพีไอต้องเปลี่ยน”คุณศุภชัยกล่าว และว่า อย่างไรก็ตามแม้บริษัทจะเติบโตแต่ต้องไม่ลืมว่า เราต้องทำงานควบคู่กันกับความยั่งยืนด้วย
“ถ้าเรามีความสามารถมากขึ้นแค่ไหนในการสร้างสิ่งต่างๆ เราก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นในการสร้างควาเปลี่ยนแปลงที่อย่างยั่งยืน และทั่วถึง เพราะในที่สุดเศรษฐกิจเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ภาคเอกชนจึงไม่ควรทำงานโดดเดี่ยวแบบไซโล จะต้องมีการคำนึงถึงวาระที่สำคัญร่วมกัน แม้ด้านหนึ่งเราแข่งขันกัน แต่ด้านหนึ่งเราก็มีวัตถุประสงค์ร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศ”คุณศุภชัยกล่าว
สำหรับ เวทีเสวนาหัวข้อ'ASEAN CEO’s Vision 2020 & Beyond' นั้น ซีอีโอจากภาคธุรกิจเอกชนต่างๆ ได้ร่วมแสดงความเห็นถึงธุรกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญสู่ยุคดิจิทัลว่าได้มีการลงมือเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านดิจิทัลเชื่อมโยงธุรกิจไปอย่างไรบ้าง และการเปลี่ยนแปลงนี้จะต้องมองถึงความเชื่อมโยงกันทั้งภูมิภาคอาเซียนกันแบบไร้รอยต่อ อาทิ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกันในอาเซียน อาทิ รถไฟความเร็วสูง โดยภาคธุรกิจจะต้องเร่งเปิดรับและนำเทคโนโลยีมาใช้ โดย ประธานบริหาร หัวเว่ย ภูมิภาคอาเซียน
สะท้อนว่า ธุรกิจและบริษัทถ้าไม่สามารถปรับตัวให้เข้าสู่ยุคธุรกิจดิจิทัลได้ แน่นอนว่าจะมีการล้มหายตายจากไป ดังนั้นทั้งเรื่อง 5G คลาวด์เทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ธุรกิจต้องเปิดรับ เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องนำมาใช้ในการแข่งขัน และเกิดขึ้นได้เร็วกว่าที่เราคิด อาเซียนต้องเตรียมตัวพร้อมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนำเทคโนโลยีมาสร้างอนาคต ขณะเดียวกัน หัวเว่ยมีแนวคิดจะตั้งวิทยาลัยไอซีทีในประเทศไทยเพื่อสร้างบุคลากรด้านดิจิทัลที่มีความสามารถมาทำงานในภูมิภาคอาเซียน โดยหัวเว่ยพร้อมทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเขา ทั้งยังช่วยในการสร้างบุคลากรด้านดิจิทัลที่มีศักยภาพ
@ปัจจัยความสำเร็จและความเสี่ยงของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต
ทั้งนี้ ในงาน AEC Business Forum 2019 ยังได้รับเกียรติจาก ดร.ซ่ง เฉิง จือ (Dr. Sung Cheng Chih) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Avanda Investment Management ที่ปรึกษาด้านการลงทุนของกระทรวงการคลังสิงคโปร์และธนาคารกลางในสิงคโปร์ นอร์เวย์และประเทศไทย และสมาชิกคณะกรรมการบริหาร MIT Endowment ขึ้นกล่าวปาฐกถานำ โดย ดร.ซ่ง เฉิง จือ ได้สะท้อนปัจจัยสำคัญความรุ่งเรืองของประเทศในภูมิภาคอาเซียน ทั้งภูมิศาสตร์การถ่วงดุลทางการเมืองระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน การเกิดขึ้นของหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค “อาร์เซ็ป” ซึ่งเป็นไปได้ว่าอินเดียจะไม่เข้าร่วมในอาร์เซ็ป
อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อมั่นว่า ตลาดผู้บริโภคภายในภูมิภาคอาเซียนจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง แม้จะยังไม่เท่าสหภาพยุโรป แต่อาเซียนถือเป็นฐานตลาดส่งออกของจีน และเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามอาเซียนยังต้องเตรียมรับมือกับความท้าทาย ทั้งจากความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัว และการต้องขยับเป็นประเทศเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว มีรายได้ต่อหัวระดับสูงให้ได้ และต้องเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายต่างๆที่จะเกิดขึ้นจากนวัตกรรมทางการเงินที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างอย่างฉับพลัน โดยหวังว่าธุรกิจเอสเอ็มอีจะได้รับการสนับสนุนการเงินง่ายขึ้น ทำให้ธุรกิจไปสู่ภูมิทัศน์การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล และอีคอมเมิร์ซมากขึ้นได้
ขณะเดียวกัน เชื่อว่าในอนาคตภูมิภาคอาเซียนต้องเตรียมพร้อมรับมือกับกระแสของการหันกลับมาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีมาตรการและกองทุนต่างๆเพื่อรับมือกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นวาระสำคัญในอนาคตของอาเซียน
ดร.ซ่ง เฉิง จือ ระบุว่า เมื่อพิจารณาจีดีพีของทั้งอาเซียนเติบโตสูงในแง่การบริโภคต่อหัว โดยตลาดของภูมิภาคอาเซียนมีขนาดใหญ่กว่าญี่ปุ่นเล็กน้อย แต่ยังไม่เท่าสหภาพยุโรป โดยในอนาคตหากมีข้อสรุปในเรื่องผลประชุมอาร์เซ็ปต์ เชื่อว่าจำนวนการบริโภคภายในภูมิภาคจะเติบโตในอนาคตและหวังว่าจะเท่าสหภาพยุโรปได้ ขณะที่ในเรื่องเทคโนโลยี แม้ในภูมิภาคนี้เราจะไม่ใช่ผู้นำ แต่สิ่งที่เราต้องรู้คือนำเอาเทคโนโลยีเหล่านั้นมาช่วยให้เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เติบโตได้อย่างไร
“อาเซียนมีมนุษยสัมพันธ์ดี ถ่วงดุลได้ทั้งอเมริกา และจีน ทำให้เป็นโอกาสดีที่จะนำเอาเทคโนโลยี และอีคอมเมิร์ซมาช่วยปรับปรุงเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้อย่างไร และเศรษฐกิจจะก้าวหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ โดยยังต้องมีปัจจัย อาทิ การผ่อนปรนกฎระเบียบต่างๆ จัดหาแรงงานที่มีศักยภาพ การมีความง่ายในการดำเนินธุรกิจในอาเซียน ซึ่งสถิติตัวเลขส่วนนี้ค่อนข้างดี ในด้านระบบการเงิน เรามีระบบธนาคารที่เข้มแข็ง และอาเซียนได้บทเรียนมาจากช่วงวิกฤตการเงินในภูมิภาคนี้เมื่อหลายปีก่อน”
“อนาคตระยะกลางต้องพิจารณาว่าเราจะต้องขยับจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลางขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจรายได้สูงขึ้นได้อย่างไร ประเทศไทยอาจเป็นตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้ อาจมีสิ่งที่ทำได้ง่ายๆและได้ประโยชน์ คือ ตอนนี้ไทยเริ่มจะประสบปัญหาผู้สูงวัย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เริ่มคิดว่าทำอย่างไร ผลักดันให้เราเป็นประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว มีรายได้ต่อหัวระดับสูงได้ อาจเป็นเป้าหมายระยะไกล แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาและความสามารถในการปรับตัว ก็ควรต้องมองถึงส่วนนี้”ดร.ซ่ง เฉิง จือ กล่าวและให้มุมมองเพิ่มเติมว่า การพูดถึงการเจริญเติบโตกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศจะเป็นเรื่องคู่ขนานกัน เพราะผู้คนกำลังสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศนี้อาเซียนอาจจะยังไม่พบชัดเจน แต่จะเป็นปัญหาของอาเซียนในอนาคต
โดย CP E-News15 พฤศจิกายน 2562
******************************************
กด L Ike - แบ่งปัน เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน
อาเซียน-อินเดีย ร่วมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เพื่อการพัฒนาในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม
ณ ห้อง Sapphire 203 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีนเรนทร โมที (His Excellency Shri Narendra Modi) ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 16 ภายหลังเสร็จสิ้น ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 16 จัดขึ้นเพื่อทบทวนความร่วมมือในกรอบอาเซียน-อินเดียในมิติการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรมในรอบปีที่ผ่านมา รวมทั้งเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดียในอนาคต และเพื่อหารือ แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยมีผู้นำจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย
ในนามอาเซียน นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชม อินเดียถือเป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับอาเซียนที่จะร่วมมือกันในการส่งเสริมเสถียรภาพในภูมิภาค ขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนสร้างความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมมาโดยตลอด อาเซียนยินดีที่นายกรัฐมนตรีอินเดียให้ความสำคัญกับอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านนโยบายมุ่งตะวันออกของอินเดีย เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญทำให้ยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียน-อินเดียมีพลวัตมากยิ่งขึ้น
ด้านความมั่นคง อาเซียนชื่นชมที่อินเดียสนับสนุนความเป็นแกนกลางของอาเซียนบนพื้นฐานของภาคีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) และผ่านกลไกที่อาเซียนมีบทบาทนำหลากหลาย อาทิ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก(ARF) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา(ADMM plus) ซึ่งนำไปสู่การรักษาสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญก้าวหน้าในภูมิภาค ตลอดจนชื่นชมอินเดียที่ให้การสนับสนุนมุมมองของอาเซียนต่อแนวคิดอินโด-แปซิฟิก
โดยเป็นมุมมองที่ตั้งอยู่บนหลักการ 3M ได้แก่ ความเคารพซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน(Mutual Respect) ผลประโยชน์ร่วมกัน(Mutual Benefit) และความร่วมมือนี้จะช่วยส่งเสริมหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อาเซียน-อินเดียให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ตลอดจนย้ำถึงความร่วมมือกันต่อต้านการก่อการร้าย แนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรง อาชญากรรมข้ามชาติและความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์
ด้านการค้าการลงทุน เน้นย้ำความพยายามเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้บรรลุ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2022 โดยใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) ในการนี้ ไทยยินดีที่ได้ริเริ่มการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย (AITIGA) เพื่อทำให้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียสามารถใช้ประโยชน์ได้สะดวกและง่ายในทางปฏิบัติและอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งขจัดอุปสรรคทางการค้า พร้อมเน้นย้ำความสำคัญในการบูรณาการเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านการสรุปการเจรจา RCEP ภายในปี 2019
ด้านวัฒนธรรม ชื่นชมกับความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองระหว่างอาเซียนกับอินเดีย ส่งเสริมให้มีความร่วมมือด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การท่องเที่ยว การศึกษา การแลกเปลี่ยนนักวิชาการและเยาวชน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรม และไอซีที ทั้งนี้ ไทยส่งเสริมให้อาเซียนและอินเดียเพิ่มความพยายามในการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการอาเซียน-อินเดียปี ค.ศ. 2016-2020 และยินดีต่อความสำเร็จของปีความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย 2019 ชื่นชมความพยายามของอินเดียในการสนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับประชาชนและความเชื่อมโยงระหว่างอาเซียนและอินเดียให้แน้นแฟ้น
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณอินเดียในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาเซียน และให้การสนับสนุนไทยและอาเซียนมาโดยตลอด โดยเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันจะพัฒนาในมิติที่หลากหลายเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองภูมิภาคร่วมกัน
******************************************
กด L Ike - แบ่งปัน เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน
อาเซียน-สหประชาชาติ ร่วมเสริมสร้างระบบพหุภาคีนิยมและภูมิภาคนิยม เพื่อความเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค
ณ ห้อง Sapphire 203 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 ภายหลังเสร็จสิ้น ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
การประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 10 เพื่อรับทราบความคืบหน้าและทบทวนความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติ รวมทั้งการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 5 ปี เพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ ปี ค.ศ. 2016-2020 รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและวิสัยทัศน์ และร่วมกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการดำเนินความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ โดยเฉพาะการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติตามแนวคิด 'ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน' โดยมีผู้นำ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และเลขาธิการสหประชาชาติเข้าร่วมประชุม
นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดการประชุมว่า อาเซียนและสหประชาชาติควรร่วมกันสนับสนุนและเสริมสร้างระบบพหุภาคีนิยมและภูมิภาคนิยม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค และขอบคุณเลขาธิการสหประชาชาติที่สนับสนุนความพยายามของอาเซียนในการเสริมสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยไทยได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนและสหประชาชาติอย่างรอบด้าน อาทิ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ การส่งเสริมบทบาทและสิทธิของสตรี เยาวชน ผู้พิการ และกลุ่มเปราะบาง และการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ เป็นต้น เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชน และความยั่งยืนในทุกมิติแก่อาเซียนและระบบพหุภาคีนิยม
นายกรัฐมนตรี กล่าวในนามอาเซียน ยินดีและชื่นชมที่ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามปฏิญญาร่วมว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติปี ค.ศ. 2016-2020 ไปกว่าร้อยละ 93 และเห็นว่า แผนปฏิบัติการฉบับใหม่ควรมุ่งเน้นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025 และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติผ่านการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ การส่งเสริมศักยภาพของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 การเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ การยกระดับการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาเทคโนโลยี และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย
ทั้งสองฝ่ายควรร่วมกันรับมือกับความท้าทายข้ามพรมแดน ผ่านการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนในอาเซียน เสริมสร้างศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติ ผ่านความร่วมมือระหว่างศูนย์ และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตลอดจนผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งรวมถึง การอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเล ปัญหาขยะทะเลและการประเมินผลกระทบต่อสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม ขยะพลาสติก รวมถึง มลพิษและหมอกควัน
สำหรับ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายควรร่วมมือกันในการอำนวยความสะดวกทางการค้า สร้างเครือข่ายความเชื่อมโยง การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนส่งเสริมการบริโภค การผลิต การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อให้บรรลุความพยายามในการสร้าง “ประชาคมอาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปสู่อนาคต”
******************************************
กด L Ike - แบ่งปัน เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน
ค้นหาสุดยอดสตาร์ทอัพแห่งอาเซียนเข้าร่วมงาน Pitch@Palace Global ประเทศอังกฤษ
สตาร์ทอัพ 17 บริษัทจากกลุ่มประเทศอาเซียนร่วมชิงตำแหน่งสุดยอดสตาร์ทอัพแห่งภูมิภาคอาเซียนประจำปีในงาน “Pitch@Palace ASEAN” เพื่อเป็นตัวแทนของภูมิภาคเข้าแข่งขันในรอบ ชิงชนะเลิศระดับโลกในงาน “Pitch@Palace Global” เดือนธันวาคมนี้ ณ พระราชวังเซนต์เจมส์ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
งาน “Pitch@Palace ASEAN” จัดขึ้นโดยองค์กรเครือข่ายผู้ประกอบการระดับโลกในประเทศไทย (Global Entrepreneurship Network) ร่วมกับ Pitch@Palace Global เป็นครั้งแรกในประเทศไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพการจัดงานในปีนี้ที่มีขึ้นในระหว่างวันที่ 3 - 4 พฤศจิกายน 2562 โดยในวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายนจะมีการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น (Boot Camp) ณ C ASEAN และในส่วนของการนำเสนอแผนธุรกิจรอบสุดท้ายเพื่อค้นหาตัวแทนสุดยอดธุรกิจสตาร์ทอัพจากกลุ่มประเทศอาเซียนจะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน ณ โรงภาพยนตร์ IMAX ศูนย์การค้าไอคอนสยาม
ทั้งนี้ รอบชิงชนะเลิศในระดับภูมิภาคอาเซียนมีสตาร์ทอัพ 17 บริษัทจากกลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลายที่ได้รับการคัดเลือกจากธุรกิจสตาร์ทอัพกว่า 100 บริษัทของ 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนิเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ สิงคโปร์ ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยสตาร์ทอัพจากประเทศสิงคโปร์และประเทศไทยได้เข้ารอบชิงชนะเลิศมากถึงประเทศละ 3 บริษัท ในขณะที่ตัวแทนสตาร์ทอัพจากประเทศอินโดนิเซีย มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ได้เข้ารอบประเทศละ 2 บริษัท และจากประเทศอื่นๆ อีกประเทศละ 1 บริษัท
“เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จเป็นองค์ประธานงาน “Pitch@Palace ASEAN” และยินดีมากที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักธุรกิจรุ่นใหม่ในการเข้าร่วมงานปีนี้ เราขอขอบคุณบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ให้การสนับสนุนด้วยดี ทำให้งานนี้เป็นอีกงานหนึ่งที่ประสบความสำเร็จและน่าประทับใจ โดยรอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาคอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้จะเป็นอีกการแข่งขันที่น่าตื่นเต้น เพราะเราจะได้สุดยอดธุรกิจสตาร์ทอัพแห่งอาเซียนจากการโหวตลงคะแนนของผู้เข้าร่วมงานจากหลายแขนงอาชีพ โดยผู้ชนะจะเป็นตัวแทนภูมิภาคเพื่อเข้าชิงชนะเลิศระดับโลกในงาน “Pitch@Palace Global” ในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร” ดาโต๊ะ สตีเฟ่น เชียร์ ประธาน องค์กรเครือข่ายผู้ประกอบการระดับโลกในประเทศไทย กล่าว
โครงการ “Pitch@Palace” โครงการพระราชดำริในเจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์กจัดขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2557 ณ กรุงลอนดอน มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการที่เริ่มต้นทำธุรกิจให้สามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วผ่านการนำเสนอแผนธุรกิจต่อหน้าผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญจากทุกสาขาอาชีพ
นับตั้งแต่การจัดงานครั้งแรกในปีพ.ศ. 2557 งานคัดเลือกสุดยอดสตาร์ทอัพ “Pitch@Palace” ได้ถูกจัดขึ้นใน 64 ประเทศ ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัพแล้ว 1,042 ราย สร้างงานใหม่มากถึง 6,323 ตำแหน่งและรายได้กว่า 1,119 ล้านปอนด์ (หรือประมาณ 42,522 ล้านบาท) ในธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้น โดยมีธุรกิจใหม่ที่เคยเข้าร่วมโครงการ Pitch@Palace และยังดำเนินธุรกิจอยู่จวบจนปัจจุบันกว่าร้อยละ 97
สามารถค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน “Pitch@Palace ASEAN” ได้ทางเว็บไซต์ www.gethai.org หรือ https://pitchatpalace.com/aseanapplication/
AO10590
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด