CPF - ศูนย์ FLEC พัฒนาทักษะชีวิตลูกหลานแรงงานประมงข้ามชาติ สู่ความมั่นคงด้านอาหารและการพึ่งพาตนเอง
ศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา (Fishermen’s Life Enhancement Center หรือ ศูนย์ FLEC) มุ่งมั่นเดินหน้าขับเคลื่อนกิจกรรมเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ของแรงงานประมงข้ามชาติ รวมถึงครอบครัว ในจังหวัดสงขลา เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ เสริมสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ร่วมป้องกันการค้ามนุษย์ โดยล่าสุด ศูนย์ฯ จัดกิจกรรมทัศนศึกษา เปิดโอกาสให้บุตรหลานแรงงานประมงข้ามชาติ ได้เรียนรู้นอกห้องเรียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 4
นางสาวนาตยา เพชรรัตน์ ผู้จัดการศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา ในฐานะกรรมการศูนย์ FLEC กล่าวว่า เร็วๆ นี้ ศูนย์ FLEC พาลูกหลานของแรงงานประมงข้ามชาติ จำนวน 16 คน ซึ่งเป็นนักเรียนของ “ห้องเรียนรู้เพื่อเด็กและครอบครัวแรงงานเพื่อนบ้าน” ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ FLEC เปิดประสบการณ์เรียนรู้นอกห้องเรียน อบรมวิชาชีพการประกอบอาหารและขนมไทย ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ภาค 12 จังหวัดสงขลา สนับสนุนให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การเตรียมและปรุงอาหารอย่างปลอดภัย ต่อยอดโครงการปลูกผักสวนครัวของห้องเรียนรู้ฯ ที่เด็กๆ ดูแลและเก็บไปทานกับครอบครัว ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มตั้งแต่ปี 2560
ลูกหลานของแรงงานประมงข้ามชาติได้เรียนรู้การทำห่อหมกทะเล ขนมกะหรี่ปั๊บ ขนมเค้กไข่นึ่ง และขนมปุยฝ้าย กับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด และเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือฝึกทำอาหารตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น ชั่ง ตวงวัตถุดิบ หั่นเนื้อ ล้าง นวดแป้ง ปั้นขนม ปรุง จนถึงล้างและจัดเก็บอุปกรณ์และภาชนะที่ใช้ในการปรุงอาหาร เด็กๆ ได้ชิมอาหารที่ตนเองและเพื่อนทำทั้งยังนำกลับไปแบ่งกับครอบครัวที่บ้านอีกด้วย
ด.ญ.รอเซีย วิน อายุ 13 ปี กล่าวว่า ได้มาทัศนศึกษาเป็นครั้งแรก ชอบกิจกรรมเรียนทำอาหารครั้งนี้มาก ดีใจที่ได้มา สนุก ชอบช่วงที่นวดแป้งและทำกะหรี่ปั๊บมากที่สุด ตั้งใจว่า โตขึ้นจะเป็นแม่ครัว เรียนเป็นเชฟทำขนม
ด.ญ.คีวา นู อายุ 14 ปี กล่าวว่า สนุกมาก ปกติชอบทำอาหารอยู่แล้ว ดีใจที่ได้ร่วมกิจกรรม สนุกที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ชอบมากตอนทำขนมเค้กไข่นึ่ง และภูมิใจได้ชิมขนมฝีมือตัวเอง ตั้งใจนำกลับไปฝากที่บ้านด้วย และฝึกฝนต่อที่บ้าน ก่อนหน้านี้คุณครูพาไปเที่ยวสวนสัตว์ เมืองเก่าของจังหวัดสงขลา
“การจัดทัศนศึกษาช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เด็กและเยาวชน เปลี่ยนบรรยากาศการเรียนรู้ กระตุ้นให้เด็กตั้งใจพัฒนาตนเองมากขึ้น ปีนี้ ศูนย์ FLEC จัดกิจกรรมทัศนศึกษาให้กับเด็กแล้ว 4 ครั้ง เด็กชอบและสนุกกับกิจกรรม โดยเฉพาะ การเรียนการทำอาหารครั้งนี้สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก และช่วยให้เด็กตระหนักการปรุงอาหารที่สด สะอาด ปลอดภัย เป็นพื้นฐานช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งสามารถพัฒนาเป็นทักษะอาชีพได้อีกด้วย” นางสาวนาตยา กล่าว
กิจกรรมเรียนการทำอาหาร เป็นกิจกรรมต่อยอดจากกิจกรรมส่งเสริมปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินเอง เข้าถึงอาหารปลอดภัยที่ดีต่อสุขภาพ ลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง และร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับครอบครัวแรงงานประมงข้ามชาติ สอดคล้องกับเป้าหมายของศูนย์ FLEC ในการส่งเสริมทักษะจำเป็นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน ให้แก่กลุ่มเปราะบาง
ศูนย์ FLEC ได้ก่อตั้งและดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน เป็นการผนึกความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม 7 องค์กร ประกอบด้วย 1) องค์การสะพานปลา 2) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 3) สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยฯ 4) ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา (บ้านสุขสันต์) 5) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ 6) บริษัท จีอีพีพี สะอาด จำกัด หรือ GEPP สตาร์ทอัพไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านข้อมูลการบริหารจัดการขยะ และ 7) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บูรณาการความเชี่ยวชาญมาช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานประมงข้ามชาติ และครอบครัว กว่า 200 ครัวเรือน บริเวณท่าเรือประมงสงขลาให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ในทุกมิติ ทั้งมิติสุขภาพ การศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม โดยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ และถ่ายทอดความรู้ และพัฒนาทักษะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์และตรงกับความต้องการของครอบครัวแรงงานข้ามชาติ และต่อยอดสู่การส่งเสริมแรงงานประมงข้ามชาติเป็นอีกพลังร่วมในการจัดการปัญหาขยะในชุมชนและขยะในทะเลอย่างยั่งยืน ซึ่งจะกลายเป็นต้นแบบความร่วมมือในการยุติปัญหาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก และแรงงานผิดกฎหมาย และดูแลสิ่งแวดล้อมทางทะเล
A11027
'ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ' เปิดตัวอาคารหอบรรพบุรุษ และมูลนิธิฯ เพื่อสาธารณกุศล
จากความกตัญญู สู่การแทนคุณแผ่นดิน 'ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ' เปิดตัวอาคารหอบรรพบุรุษตระกูลหวาง(อึ๊ง) และมูลนิธิฯ เพื่อดำเนินกิจการสาธารณกุศล
ดร.ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ ประธานที่ปรึกษากลุ่มบริษัทสยามพาร์คซิตี้ ผู้ดำเนินธุรกิจ'สยามอะเมซิ่งพาร์ค' สวนน้ำสวนสนุกชั้นนำของประเทศไทย และโครงการส่วนขยาย 'บางกอกเวิลด์' ศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP และศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ถือฤกษ์ดีวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 84 ปี วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ทำพิธีเปิดอาคารหอบรรพบุรุษตระกูลหวาง (อึ๊ง) และที่ทำการมูลนิธิ ดร.ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ (เฮี้ยงเม่งตั้ว) ในพื้นที่บางกอกเวิลด์
โดยมีพระอาจารย์คณาณัติจีนพรต (เย็นงี้) เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส
ดร.ไชยวัฒน์ กล่าวว่า อาคารหอบรรพบุรุษตระกูลหวาง(อึ๊ง) และที่ทำการมูลนิธิ ดร.ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ (เฮี้ยงเม่งตั้ว) ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นอนุสรณ์แสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ และเป็นเครื่องระลึกเตือนใจว่าความสำเร็จของครอบครัว 'เหลืองอมรเลิศ' ลูกหลานสายหนึ่งของตระกูลหวาง ส่วนหนึ่งเกิดมาจากปัญญาอุตสาหะที่ได้รับการสืบทอดมาจากคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ เมื่อชีวิตประสบความสำเร็จแล้วก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันกลับคืนสู่สังคม เพื่อแสดงความกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด
สำหรับ หอบรรพบุรุษตระกูลหวาง(อึ๊ง) ก่อสร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน ตัวอาคารประดับประดาตกแต่งด้วยอักษรจีนและภาพมงคล ภายในเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม เทพเจ้ากวนอู องค์ไฉ่ซิงเอี๊ยปางบู๊ ฮก ลก ซิ่ว และอีกมากมาย เพื่อความเป็นสิริมงคล
ในส่วนของมูลนิธิ ดร.ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ (เฮี้ยงเม่งตั้ว) ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิฯ ถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2564 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการสาธารณกุศลด้านต่างๆ อาทิ ด้านการศึกษา มอบทุนการศึกษา ให้แก่นักเรียนที่มีความประพฤติดีแต่ฐานะยากจน มอบอุปกรณ์การเรียนการสอน อุปกรณ์กีฬา ให้แก่สถานศึกษาที่ขาดแคลน ด้านสาธารณภัย ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยต่างๆ
ตลอดจนร่วมมือกับองค์การการกุศลและองค์การสาธารณประโยชน์ในการให้ความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ สมดังเจตนารมณ์และอุดมการณ์ของ ดร.ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ ที่ต้องการฝากหอบรรพบุรุษและมูลนิธิฯ แห่งนี้ไว้เป็นมรดกแห่งชีวิตที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ พรศรี จันทรขัมมา (เล็ก) โทร. 0-2105-4294 ต่อ 220 , 090-880-1070 วิลาวัณย์ จรูญรัตนกุล (ลูกเกด) โทร. 0-2105-4294 ต่อ 299 , 090-92-6354
ธนชาตประกันภัย ลุยแก้จุดเสี่ยงอันตราย 2 ทางแยกในพื้นที่ อบต.นาขอม จ.นครสวรรค์ ติดตั้งป้ายเตือน ไฟกระพริบ ทำราวกันตกถนน เพิ่มความปลอดภัยให้ถนนของชุมชน
จังหวัดนครสวรรค์ร่วมกับธนชาตประกันภัย แก้ไขจุดเสี่ยงอุบัติเหตุบริเวณสี่แยกโคกเศรษฐีและสามแยกครูแผน อบต.นาขอม อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ ติดตั้งป้ายเตือนและไฟกระพริบ เพิ่มระยะการมองเห็นและเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ พร้อมตีเส้นจราจรทำแนวชลอความเร็ว และทำราวกันตกบริเวณสุดทางแยก ช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ หลังได้รับเสียงสะท้อนจากชุมชนผ่านโครงการพลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย ชี้ปัญหาของถนนสายรองเริ่มมีปริมาณรถมากและวิ่งลงจากภูเขาด้วยความเร็วสูง ก่อนถึงทางแยกไม่มีอุปกรณ์เตือนภัย จนเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง มั่นใจแผนปรับปรุงถนนครั้งนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนที่ใช้เส้นทาง
นายจุมพฏ วรรณฉัตรสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือโครงการ “พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย” ระหว่าง บมจ.ธนชาตประกันภัยและองค์การบริหารส่วนตำบลนาขอม อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ และรับมอบอุปกรณ์เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบนถนนบริเวณสี่แยกโคกเศรษฐีและสามแยกครูแผน พร้อมร่วมกิจกรรมปรับปรุงถนนทั้ง 2 แห่ง ให้มีความปลอดภัย
นายสุวัฒน์ ระดมสุทธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่สายงานสินไหม บมจ.ธนชาตประกันภัย กล่าวว่า ชุมชนนาขอมได้สะท้อนปัญหาจุดเสี่ยงของถนนบริเวณสี่แยกโคกเศรษฐี ซึ่งเป็นเส้นทางหลักของชุมชนและเป็นถนนสายรองที่เชื่อมผ่านไปยังถนนสายเอเชีย ทำให้มีรถจากนอกพื้นที่สัญจรผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่รถต้องลงจากภูเขาทำให้รถวิ่งลงมาด้วยความเร็วสูง แต่สี่แยกดังกล่าวยังขาดอุปกรณ์เตือนภัยทางถนน รวมถึงพฤติกรรมของผู้ใช้รถใช้ถนนยังขาดความระมัดระวัง ทำให้เกิดอุบัติเหตุและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนบริเวณสามแยกครูแผน เป็นเส้นทางถนนคอนกรีตซึ่งมีต้นไม้ขึ้นเต็มทำให้บังสายตาผู้ใช้รถใช้ถนน มีความเสี่ยงเนื่องจากไม่มีไหล่ทาง และมีคลองอยู่บริเวณสุดทางแยก แต่ขาดอุปกรณ์เตือนภัย จนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งทั้งรถที่ขับตกข้างทางและตกคลอง
“ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขโดยโครงการพลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย สนับสนุนงบประมาณดำเนินการ 200,000 บาท เพื่อปรับปรุงถนนให้มีความปลอดภัย บริเวณสี่แยกโคกเศรษฐี ก่อนถึงทางแยกทั้ง 4 ฝั่งได้ติดตั้งป้ายสัญลักษณ์ทางแยกและป้ายหยุดรถ ติดตั้งไฟกระพริบ พร้อมตีเส้นจราจรเป็นแนวชะลอความเร็ว เช่นเดียวกับสามแยกครูแผน ก่อนถึงทางแยกทั้ง 3 ฝั่งได้ติดตั้งป้ายสัญลักษณ์ทางแยกและป้ายหยุดรถ ติดตั้งไฟกระพริบ และติดตั้งราวกันตกถนน ความยาว 8 เมตร บริเวณสุดทางแยก เพื่อป้องกันความเสี่ยงอุบัติเหตุรถตกคลองส่งน้ำ โดยการดำเนินการทั้งหมดได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ เชื่อมั่นว่าถนนทั้ง 2 สายของชุมชนนาขอมจะมีความปลอดภัยมากขึ้น”
ทั้งนี้ โครงการพลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย ยังคงเดินหน้าลดจุดเสี่ยงอุบัติเหตุบนถนนสายรองอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ได้พื้นที่เป้าหมายเพิ่มขึ้นอีก 10 ชุมชน สามารถติดตามข้อมูลและข่าวสารของโครงการฯ ได้ที่ เว็บไซต์และเฟซบุ๊ก “พลังชุมชนสร้างถนนปลอดภัย”
A101048
ครบรอบ 60 ปี โตโยต้า สานต่อเจตนารมณ์สร้างโอกาสเด็กไทย มอบเงินสมทบทุนให้มูลนิธิโตโยต้า 500 ล้านบาท รวมมูลค่าเงินทุนจดทะเบียน ทั้งสิ้น 900 ล้านบาท มุ่งมั่นต่อยอดการแบ่งปันที่ไม่สิ้นสุด สู่การขับเคลื่อนความสุขอย่างยั่งยืน
ในวาระครบรอบ 60 ปี โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย คุณนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคณะกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ให้เกียรติในพิธีฉลองครบรอบ 30 ปี มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย และมอบเงินสมทบทุนจดทะเบียนให้แก่มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย เป็นจำนวน 500 ล้านบาท โดยมีคุณประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย เป็นผู้รับมอบ ทำให้เงินทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้นเป็น 900 ล้านบาท เพื่อขยายการดำเนินกิจกรรมสนับสนุนในด้านทุนการศึกษา และร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาส ทั้งในด้านความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อม และสุขอนามัยซึ่งนับเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน ในวันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม 2565 ณ ห้องเบญจสิริ บอลรูม โรงแรมแบงค็อก แมริออท สุขุมวิท 57
มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2535 ภายใต้เจตนารมณ์ของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ให้ได้รับโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตให้เติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ โดยได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจาก นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิ จากสถาบันการศึกษาในประเทศ เพื่อพัฒนาทรัพยากรบุคคลอันเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ 1. สนับสนุนการศึกษาทุกระดับชั้น 2. ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม 3. ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์
สนับสนุนการพัฒนาด้านการศึกษาในทุกระดับชั้น ดังนี้
สนับสนุนด้านการศึกษา
• มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
- โครงการเยาวชนไทยวันพรุ่งนี้ (มอบทุนการศึกษาให้แก่เยาวชนที่มีผลการเรียนดีแต่ขาดโอกาส)
- โครงการทุนการศึกษาเยาวชนภาคเหนือ
• มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- ทุนการศึกษานักเรียน นักศึกษาขาดแคลนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- ทุนการศึกษานักเรียนพยาบาล แก่คณะพยาบาลศาสตร์
• มหาวิทยาลัยบูรพา
- ทุนการศึกษานักเรียน นักศึกษาขาดแคลน ในภาคตะวันออก
• มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
- ทุนการศึกษานักเรียน นักศึกษาขาดแคลนในภาคใต้
• มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- โครงการจัดพิมพ์หนังสือผลงานทางวิชาการ TTF Award
สนับสนุนการพัฒนาด้านคุณภาพชีวิต ตลอดจน สนับสนุนองค์กรสาธารณกุศล ดังนี้
สนับสนุนด้านคุณภาพชีวิต
• มูลนิธิ พล.ต.อ.เภา สารสิน
- ทุนการศึกษาแก่บุตรธิดาเจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
- โครงการบ้านตะวันใหม่ (ศูนย์ฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหายาเสพติด)
• มูลนิธิหมอเสม พริ้งพวงแก้ว
- ทุนการศึกษาสำหรับเด็กที่พ่อแม่เสียชีวิตจากการติดเชื้อเอชไอวี
โดยตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ได้มุ่งเน้นในการช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการศึกษา ซึ่งได้มอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชน ไปแล้วกว่า 18,000 ทุน ครอบคลุม 4 ภูมิภาคทั่วประเทศไทย รวมถึงในด้านของการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 500 ล้านบาท
ซึ่งในปีนี้ ในวาระครบรอบ 60 ปี ในการดำเนินกิจกรรมในประเทศไทยของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด บริษัทฯ จึงมีความมุ่งมั่นในการสานต่อเจตนารมณ์ เพื่อสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กไทย โดยได้มอบเงินเพื่อสมทบทุนจดทะเบียนให้กับมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย เป็นจำนวน 500 ล้านบาท ทำให้ทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้นเป็น 900 ล้านบาท เพื่อขยายการดำเนินกิจกรรมสนับสนุนทุนการศึกษาให้เยาวชนผู้ด้อยโอกาสในทุกระดับชั้น และร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในถิ่นทุรกันดารอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ก็ยังได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษาด้านวิชาชีพ รวมไปถึงปัญหาด้านความขาดแคลนบุคลากรด้านสาธารณสุข จึงได้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในการส่งเสริมฝีมือแรงงาน โดยจะสนับสนุนทุนการศึกษาด้านอาชีวศึกษา และนักเรียนพยาบาล อีกทั้งยังสนับสนุนให้มีโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนและชุมชนที่อยู่ห่างไกล เพื่อให้เด็กในวัยเรียนได้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการ
มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย จะยังคงมุ่งมั่นสร้างโอกาสทางการศึกษา ควบคู่ไปกับการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาส อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสังคมให้ดีขึ้น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้สังคมไทยไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ผ่านการแบ่งปันที่ไม่สิ้นสุด สู่การขับเคลื่อนความสุขอย่างยั่งยืน
A101037
GED รุดลงพื้นที่สนับสนุน อบต. ในภาคเหนือและอีสาน เตรียมรับมือฝุ่น PM2.5 พุ่งช่วงฤดูหนาว
ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่า ฤดูหนาวปีนี้ อากาศจะหนาวเย็นกว่าปีที่แล้วนั้น หน่วยงานท้องถิ่นในจังหวัดทางภาคเหนือและอีสานหลายแห่ง ได้เริ่มเตรียมการดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ เพื่อปลอดภัยจากอากาศที่จะหนาวเหน็บและ ค่าฝุ่นพิษ PM2.5 ที่จะกลับพุ่งสูงในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัท เกร๊ต อิสเทอร์น ดรั๊ก จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางเดินหายใจ ได้รุดลงพื้นที่ในจังหวัดนครราชสีมาและเชียงใหม่เพื่อให้การสนับสนุนด้วยการมอบยาและอุปกรณ์เครื่องใช้จำเป็น รวมถึงให้คำแนะนำเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ
นายธนดล กูกขุนทด นายก อบต. บ้านเก่า อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา กล่าวว่า “ปัจจุบัน ในพื้นที่ อบต. บ้านเก่า มีผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงประมาณ 1,600 คน คิดเป็น 22% ของประชากรในตำบล โดยประชากรเหล่านี้เป็นกลุ่มเสี่ยง ที่เมื่อสูดเอาฝุ่นพิษ PM2.5 เข้าไปมากๆ จะมีอาการป่วยต่างๆ เช่นภูมิแพ้ทางเดินหายใจ โรคหัวใจ ทางเรามีการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตนเองอยู่เสมอ โดยมีเจ้าหน้าที่จาก อบต.ร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ทีมแพทย์ และเจ้าหน้าที่บริบาล เข้าไปดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริม สอดส่องให้สวมใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี รวมถึงการรณรงค์ให้ล้างมือล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ดื่มน้ำสะอาด พักผ่อนให้มาก ขอขอบคุณทีมงาน บริษัท เกร๊ต อิสเทอร์น ดรั๊ก จำกัด (GED) ที่ได้มอบหน้ากากอนามัย N95 ยารักษาโรคระบบทางเดินหายใจ และสิ่งของจำเป็นต่างๆ เช่น ผ้าห่ม ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ข้าวสาร นมกล่อง อาหารกระป๋อง น้ำมันพืช เป็นการช่วยให้เราสามารถดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ภญ.ปรีชญา พันธุ์คำ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท เกร๊ต อิสเทอร์น ดรั๊ก จำกัด กล่าววา “ฝุ่น PM2.5 มีขนาดเล็กมาก เมื่อเข้าไปสะสมในปอดปริมาณมากผ่านการสูดลมหายใจ อาจทำให้ผู้สูงอายุเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ และหากผู้สูงอายุมีอาการป่วยเป็นโรคปอดเรื้อรังอยู่แล้ว ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฤดูหนาวที่มีฝุ่น PM2.5 หนาแน่นเป็นพิเศษ ประกอบกับอากาศหนาวเย็น เพราะมีโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคถุงลมโป่งพอง โรคปอดบวม ทาง GED มีความห่วงใยกลุ่มเปราะบางนี้ และตระหนักถึงการป้องกันดีกว่าการแก้ไข จึงได้ดำเนินการมอบความช่วยเหลือตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงส่งทีมเภสัชกรของบริษัทฯ ออกพื้นที่ในโคราชและเชียงใหม่เพื่อให้ความรู้ประชาชนในการรักษาสุขภาพให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM2.5 ด้วย”
กิจกรรมดังกล่าวเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ GED ทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย ประชาชนทั่วไปสามารถศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกันและรักษาโรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆ ได้ที่ เว็บไซต์ www.gedgoodlife.com และเฟสบุ๊ก https://www.facebook.com/GEDGoodLife/
A101000
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด