‘โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน’ ก้าวสู่ปีที่ 35 ซีพีเอฟ มุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างความมั่นคงทางอาหารให้เยาวชน
ตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษ ที่ผ่านมา “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมกันดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนและเกษตรกรในชนบทห่างไกลทั่วประเทศ กลายเป็นหนึ่งในโครงการที่ร่วมบรรเทาปัญหาขาดแคลนโปรตีน สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต ทั้งร่างกายและสมองของเยาวชนในชนบทได้อย่างเป็นรูปธรรม ช่วยสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการที่ดีแก่เด็กนักเรียน และเดินหน้าสู่เป้าหมายโรงเรือน 1,000 แห่งในโรงเรียนในพื้นที่ชนบทห่างไกลทั่วประเทศ เพื่อผลักดันสู่ห้องเรียนอาชีพจากการเรียนรู้การเลี้ยงไก่ไข่ ขยายผลสู่ชุมชนเป็นคลังเสบียงในวิกฤตโควิด-19
นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ เล่าว่า เครือซีพี ซีพีเอฟ ร่วมกับมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท น้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตาม “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน” สานต่อเป็น “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” มาตั้งแต่ปี 2532 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลในถิ่นทุรกันดาร ได้บริโภคไข่ไก่โปรตีนคุณภาพดี ช่วยแก้ปัญหาทุพโภชนาการในเด็กนักเรียน ช่วยเสริมสร้างโภชนาการที่ดี และการเติบโตสมวัยทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา จนถึงปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ 930 โรงเรียน มีนักเรียนมากกว่า 180,000 คน และยังพัฒนาสู่แหล่งเรียนรู้การจัดการอาชีพเกษตรเชิงธุรกิจให้กับครู 12,000 คน และมีชุมชน 1,900 แห่ง ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ จากการได้บริโภคไข่ไก่สดใหม่ในราคาย่อมเยา ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิกฤตโควิด 3 ปีที่ผ่านมา โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ กลายเป็นคลังเสบียงอาหารของชุมชน ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้เป็นอย่างดี
อีกเป้าหมายสำคัญของโครงการฯ คือการมุ่งสนับสนุนให้โรงเรียนสามารถสร้างแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดีโดยฝีมือของนักเรียน เกิดการพัฒนาระบบการบริหารจัดการผลผลิต นำไปสู่ความยั่งยืนของโครงการฯ โดยมีเป้าหมายขยายโรงเรียนเพิ่มขึ้นปีละ 25 แห่ง คาดว่าภายในปี 2568 จะมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ 1,000 โรงเรียน ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟมุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยีตอบรับยุคดิจิทัล ทั้งในระบบการเลี้ยง องค์ความรู้การจัดการมาตรฐาน รวมถึงการสื่อสารและการจัดการข้อมูล อย่างเช่นการใช้แอปพลิเคชันไลน์ (LINE) ในการสื่อสารกับโรงเรียนต่างๆ เพื่อความสะดวกรวดเร็วและลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการใช้กูเกิลฟอร์ม (Google Form) รวบรวมข้อมูลทางออนไลน์ ทำให้ทราบข้อมูลที่รวดเร็วสามารถการวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสม ถือเป็นการผลักดันเกษตรแผนใหม่และติดตามผลแบบออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม
ความมุ่งมั่นเพื่อเยาวชนไทยดังกล่าวทำให้หน่วยงานและองค์กรอื่นๆ เห็นความสำคัญของโครงการและเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่าย อาทิ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok) หรือ JCC ที่สนับสนุนโครงการฯอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2543 รวมถึง บมจ.สยามแม็คโคร ที่ร่วมสนับสนุนโครงการฯ เดินหน้าสู่เป้าหมายการผลักดันให้โครงการฯนี้ กลายเป็นศูนย์เรียนรู้และคลังความรู้ในโรงเรียน ที่พร้อมเปิดรับชุมชนและโรงเรียนที่มีความสนใจ เข้ามาเรียนรู้อาชีพเกษตร เทคโนโลยีการจัดการฟาร์ม และการตลาด เพื่อนำโมเดลธุรกิจเกษตรฉบับย่อไปประยุกต์ใช้ในอาชีพต่อไป
“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ซีพีเอฟดำเนินการภายใต้ 3 เสาหลัก คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ในข้อ 2 การขจัดความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร และข้อ 3 การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน ทุกช่วงอายุ โดยซีพีเอฟสนับสนุนโรงเรือน อุปกรณ์การเลี้ยง พันธุ์สัตว์ และอาหารสัตว์สำหรับการเลี้ยงรุ่นแรก (ระยะเลี้ยงประมาณ 60 สัปดาห์) โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีผู้เชี่ยวชาญของบริษัทให้ความรู้ ด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงไก่ไข่ การติดตามผล การดูแลสุขภาพสัตว์ การจัดการโรงเรือน ตามหลักวิชาการและสุขาภิบาล เพื่อให้โครงการฯมีผลประกอบการที่ดี พร้อมให้คำแนะนำการบริหารจัดการผลผลิตและบัญชี พร้อมช่วยบริหารจัดการฟาร์มให้มีกำไรต่อเนื่อง มีเงินเข้ากองทุนสำหรับการเลี้ยงเองในรุ่นถัดไป ส่วนการเลี้ยงไก่ตั้งแต่รุ่นที่ 2 เป็นต้นไป โรงเรียนสามารถซื้อพันธุ์ไก่ไข่และอาหารในราคาพิเศษ โดยส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้นมีซีพีเอฟเป็นผู้ให้การสนับสนุน
สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อขอข้อมูลได้ที่ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท โทรศัพท์ 02-766-7340/4310 โทรสาร 0-2638-2716
A11265
ทีเอ็มบีธนชาตจับมืออีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ ฉลองความสำเร็จแรกกับกิโลยิ้มที่ 1 งานวิ่งแห่งปี ‘ทีทีบี | อีสท์สปริง พาร์ครัน 2022’ พร้อมตั้งเป้าพิชิต 3 กิโลยิ้ม เพื่อระดมเงินบริจาคช่วยเหลือและเติมเต็มโอกาสให้เยาวชนไทยผ่าน 3 มูลนิธิ
ทีเอ็มบีธนชาต ร่วมกับ อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ ฉลองความสำเร็จแรกกับกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศลแห่งปี “ทีทีบี | อีสท์สปริง พาร์ครัน 2022” (ttb | Eastspring parkrun 2022) ครั้งที่ 10 งานวิ่งที่จะเปลี่ยน...ให้น้องๆ กลับมามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง หลังจากสตาร์ทก้าวแรกไปเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นักวิ่งสายบุญได้รวมพลังร่วมสะสมระยะวิ่งมาถึงกิโลยิ้มที่ 1 ซึ่งทีเอ็มบีธนชาตสมทบเงินบริจาค 300,000 บาท เพื่อมอบให้ 3 มูลนิธิ พร้อมเชิญชวนคนไทยร่วมเติมเต็มโอกาสและช่วยเหลือเยาวชนไทยเพื่อก้าวเข้าสู่กิโลยิ้มที่ 2 ในรูปแบบ Virtual Run วิ่งที่ไหนและเวลาใดก็ได้ ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 กับเป้าหมายร่วมพิชิตภารกิจพิเศษสะสมระยะวิ่งรวม 1.5 แสนกิโลเมตร เปลี่ยนเป็น 3 กิโลยิ้มให้น้อง ทีเอ็มบีธนชาตพร้อมบริจาคเงินเพิ่มอีก 1 ล้านบาท โดยมีนายแบบและนักแสดงชั้นนำร่วมวิ่งสร้างรอยยิ้มให้น้องๆ อาทิ ลุค-อิชิคาว่า พลาวเด้น และเชียร์-ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า ธนาคารมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายเพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เล็งเห็นความสำคัญของเยาวชนไทยที่จะต้องได้รับการดูแลและพัฒนาให้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ แต่ยังมีเด็กจำนวนมากที่ยังขาดโอกาสและความเท่าเทียมทั้งด้านการศึกษาและการแพทย์ ทีเอ็มบีธนชาตจึงได้จัดงาน ttb | Eastspring parkrun 2022 กิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศลแห่งปี ครั้งที่ 10 ภายใต้แนวคิด RUN FOR CHANGE เติมเต็มโอกาสและช่วยเหลือเยาวชนไทย ด้วยการร่วมวิ่งเปลี่ยนกิโลเมตรของคุณ…เป็นกิโลยิ้มให้น้อง ในรูปแบบ Virtual Run ที่นักวิ่งสามารถสะสมระยะวิ่งจากที่ไหนและเวลาใดก็ได้ และในปีนี้เราก็ได้พันธมิตรหลักที่ไม่ได้ร่วมมือกันแค่ด้านธุรกิจแต่ยังร่วมเป็นพันธมิตรในการร่วมสร้างสังคมไทยให้ดีขึ้นด้วย นั่นคือ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย)
“กิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศล ttb | Eastspring parkrun 2022 ธนาคารได้จัดต่อเนื่องเพื่อนำรายได้ทั้งหมดมอบให้มูลนิธิการกุศลที่ช่วยเหลือสนับสนุนเด็กที่ประสบปัญหา ต้องการความช่วยเหลือหรือเด็กด้อยโอกาส โดยที่ผ่านมาธนาคารได้มอบเงินบริจาคไปแล้วราว 40 ล้านบาท นำไปช่วยเหลือเป็นค่าผ่าตัดหัวใจแก่น้องๆ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ทั้งในเด็กแรกเกิดและเด็กโตได้มากกว่า 1,500 ราย และในปีนี้ธนาคารมีเป้าหมายระดมเงินจากการขายบัตรวิ่งและเงินบริจาค โดยไม่หักค่าใช้จ่ายนำไปช่วยเหลือและเติมเต็มโอกาสที่หายไป...ให้น้องๆ กลับมามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง ผ่านการมอบให้ 3 มูลนิธิในสัดส่วนที่เท่ากัน ได้แก่ มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ที่จะช่วยให้น้องๆ ที่ป่วยได้กลับมาแข็งแรงและยิ้มได้อีกครั้ง มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ที่จะช่วยให้น้องๆ เด็กอ่อน ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม และมูลนิธิทีทีบี ที่มีโครงการไฟ-ฟ้า เพื่อช่วยเหลือดูแลและพัฒนาเยาวชนไทยในชุมชน ด้วยการจุดประกายความคิด ทักษะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนต่อไป”
นายปิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในวันนี้ ttb | Eastspring parkrun 2022 ได้ประสบความสำเร็จไปอีกหนึ่งขั้นในการก้าวผ่านกิโลยิ้มที่ 1 หรือ 50,000 กิโลเมตร ซึ่งทีเอ็มบีธนชาตได้สมทบเงินบริจาค 300,000 บาท จึงอยากเชิญชวนคนไทยมาร่วมกันเปลี่ยนพลังการเดิน-วิ่งสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย เพื่อเปลี่ยนกิโลเมตรเป็นกิโลยิ้มให้กับน้อง ช่วยกันเติมเต็มโอกาสที่หายไปให้เด็กๆ กลับมามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง และก้าวเข้าสู่กิโลยิ้มที่ 2 ไปด้วยกัน เพื่อพิชิต! กิโลยิ้มที่ 3 ธนาคารจะมอบเงินสมทบเพิ่มรวมเป็น 1,000,000 บาท”
ด้านนางสาวปนัดดา ตัณฑ์ชาญชีวิน รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายช่องทางการจัดจำหน่ายและธนบดีธนกิจ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวว่า “อีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจช่วยเหลือสังคมในทุกมิติ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชนที่ขาดโอกาส ซึ่งกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศลแห่งปี ttb | Eastspring parkrun 2022 ถือเป็นกิจกรรมที่ดีมีจุดมุ่งหมายหลักที่จะสร้างโอกาสให้กับเด็กๆ ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมนี้จะเป็นแรงส่งต่อพลังงานบวกให้กับสังคมไทยที่จะช่วยให้เด็กๆ ที่เป็นอนาคตของชาติกลับมามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง และหวังว่าการให้ ‘โอกาส’ ในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่ง ‘ของขวัญ’ ที่มีค่าต่ออนาคตของชาติ จึงอยากเชิญชวนคนไทยมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อเปลี่ยนการก้าวทุกกิโลเมตรให้เป็นกิโลยิ้มเพื่อน้อง นำเงินค่าบัตรวิ่งและเงินบริจาคทุกบาททุกสตางค์ไม่หักค่าใช้จ่ายมอบให้กับ 3 มูลนิธิเกี่ยวกับเด็ก โดยผู้ร่วมกิจกรรมสามารถเลือกเดิน-วิ่งที่ไหนและเวลาใดก็ได้ตาม เรียกได้ว่าเป็นการให้ที่ได้ทั้งบุญและสุขภาพที่แข็งแรง”
งาน ttb | Eastspring parkrun 2022 ยังมีนายแบบและนักแสดงชั้นนำ อาทิ นายแบบสุดฮอต ลุค-อิชิคาว่า พลาวเด้น นักแสดงสาว เชียร์-ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ และพี่ป๊อก-อิทธิพล สมุทรทอง ผู้ก่อตั้งกลุ่มเฟซบุ๊กแอดมินเพจผู้ใจดีจาก “42.195K_Club เราจะไปมาราธอนด้วยกัน” ที่คร่ำหวอดกับวงการวิ่งมานานกว่ 3 ทศวรรษ มาร่วมเปลี่ยนพลังการเดิน-วิ่งสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีความหมาย
ทั้งนี้ ttb | Eastspring parkrun 2022 เปิดโอกาสให้ทุกคนรวมพลังสะสมระยะวิ่งจากที่ไหนและเวลาใดก็ได้ เพียงสมัครและซื้อบัตรวิ่ง ซึ่งมี 2 รูปแบบ ได้แก่ บัตร Virtual Run ราคา 600 บาท รับเสื้อวิ่ง และเหรียญที่ระลึกเมื่อส่งผลวิ่ง และบัตร Virtual Run (VIP) ราคา 2,000 บาท รับเสื้อวิ่ง เหรียญที่ระลึกเมื่อส่งผลวิ่ง พิเศษกว่าด้วยกระเป๋าและผ้าบัฟรุ่นลิมิเต็ดที่ออกแบบมาเพียง 1,000 ชิ้นเท่านั้น โดยสามารถซื้อบัตรวิ่ง / ส่งผลระยะวิ่งจากการถ่ายภาพหน้าจอแอปพลิเคชันจับเวลาระยะวิ่ง และร่วมบริจาคเพิ่มเติมเพื่อเติมเต็มโอกาสและสร้างรอยยิ้มกับให้น้องๆ ได้ที่ https://parkrun-2022.ttbfoundation.org/ ตั้งแต่วันนี้ - 30 พฤศจิกายน 2565 โดยค่าบัตรวิ่งและเงินบริจาคสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากรได้อีกด้วย
A11234
ครั้งแรก!'บ้านปู' ประเดิมจัด 'บิสซิเนส พิชชิ่ง' เชื่อมผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคม และนักลงทุน หนุนภาคธุรกิจโตได้อีกขั้น สู่การสร้าง’พลังเปลี่ยนแปลงสังคม’ ที่ยั่งยืน
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ร่วมกับ สถาบัน ChangeFusion จัดกิจกรรมการเชื่อมโยงผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) ศักยภาพสูงกับเครือข่ายนักลงทุน-พันธมิตรทางธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐที่ส่งเสริม SE กว่า 20 ราย อาทิ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) และ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งแรกเพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงองค์ความรู้และแหล่งเงินทุนเพื่อการเติบโตขึ้นอีกขั้น พร้อมเสริมแกร่ง SE Ecosystem ไทยสู่การสร้างพลังเปลี่ยนแปลงสังคมที่ยั่งยืน
นายรัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“การส่งเสริม SE ให้เดินหน้าต่อไปได้เป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่ SE ในประเทศเรายังต้องการการสนับสนุน แต่อาจยังเป็นช่องทางที่ถูกมองข้ามไปด้วยปัจจัยภายนอกหลายประการ โครงการพลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม Banpu Champions for Change ตระหนักถึงความสำคัญในข้อนี้ ดังนั้นในปีที่ 11 นอกเหนือจากโปรแกรมการบ่มเพาะ SE ระยะเริ่มต้นแล้ว เราจึงตั้งอีกหนึ่งกิจกรรมชื่อ Acceleration Program ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อขยายการเติบโตของ SE ที่ได้ดำเนินธุรกิจมาระยะหนึ่ง มีที่มาของผลกำไรชัดเจน และต้องการสร้างการเติบโตขึ้นไปอีกขั้น
ในช่วงที่ผ่านมาเราได้มีการคัดเลือก 6 กิจการที่ผ่านเข้ารอบเพื่อเข้ารับคำปรึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลของกิจการจากทีมผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่ตอบโจทย์กับประเด็นของกิจการต่างๆ รวมถึงให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคในแบบที่จำเพาะเหมาะสมกับแต่ละกิจการ ซึ่งกิจกรรมในวันนี้ ก็เป็นหนึ่งภายใต้ Acceleration Program ที่ต้องการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SE ทั้ง 6 กิจการและผู้ลงทุนได้ทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันซึ่งผลที่เกิดขึ้นอาจจะหมายถึงโอกาสในการเติบโตในธุรกิจทั้งของผู้ลงทุนและผู้ประกอบการ SE เอง”
สำหรับ กิจการเพื่อสังคมที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ มีจำนวนทั้งสิ้น 6 กิจการ ประกอบด้วย ‘อาชีฟ’ (a-chieve) แพลตฟอร์มแนะเส้นทางอาชีพเด็กไทย ‘ยังแฮปปี้’ (YoungHappy) แอปพลิเคชันสร้างสุขของวัยเกษียณ ‘บั๊ดดี้โฮมแคร์’ (Buddy Homecare) แอปพลิเคชันอาสาสมัครดูแลสูงวัย ‘อูก้า’ (OOCA) แพลตฟอร์มให้คำปรึกษาสุขภาพจิต ‘โนบูโร’ (Noburo) แพลตฟอร์มสวัสดิการแก้หนี้พนักงาน และ ‘มอร์ลูป’ (moreloop) แพลตฟอร์มฝากขายผ้าส่วนเกินจากอุตสาหกรรมแฟชั่น ทั้งนี้ ผลลัพธ์จากการเพิ่มระดับความเข้มข้นของโครงการฯ ด้วย Acceleration Program ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการเพื่อสังคม นับเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ และความหวังในการขยายพลังผู้ประกอบกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทยให้เติบโตขึ้น
นายอมรพล หุวะนันทน์ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มฝากขายผ้าส่วนเกินจากอุตสาหกรรมแฟชั่น ‘มอร์ลูป’ (moreloop) กล่าวถึงความรู้สึกหลังได้รับการคัดเลือกว่า ‘รู้สึกภาคภูมิใจที่โปรแกรม Acceleration ของบ้านปู รวมถึงนักลงทุนมองเห็นถึงศักยภาพของ moreloop ที่ตรงกับเงื่อนไขกิจกรรมเพื่อเข้าร่วมบ่มเพาะธุรกิจให้เติบโตได้อีกขั้น ซึ่งหากได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนหรือพันธมิตรทางธุรกิจ ตนมีแผนขยายทีมทำงาน และปรับปรุงระบบการทำงานให้สามารถรองรับการทำการตลาดเชิงรุก โดยเน้นการจัดจำหน่ายผ้าส่วนเกิน และรับจ้างผลิต (OEM) เพิ่มมากขึ้น การจัดกิจกรรม Business Pitching ของบ้านปู ถือเป็นอีกหนึ่งสนามสำคัญที่ช่วยในการฝึกฝนทักษะการนำเสนอแผนธุรกิจของผู้ประกอบการ สร้างคอนเนคชันที่ดีระหว่างผู้ประกอบการกับนักลงทุน และ ระหว่างนักลงทุนกับนักลงทุนด้วยกัน หรือกระทั่งนักลงทุนบางรายยังได้ทำความรู้จักกับกิจการ SE อื่นๆ ซึ่งนับเป็นหมุดหมายสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับ SE Ecosystem ไทยให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น”
ด้าน นางสาวไพลิน สันติชัยเวคิน ผู้จัดการฝ่ายลงทุน กองทุน Disrupt Impact Fund กล่าวเสริมว่า 'สำหรับปัจจัยที่ทำให้เลือกลงทุนกับกิจการเพื่อสังคมมี 3 ปัจจัยหลักคือ 1. กิจการมีศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมได้ควบคู่กันในขนาดตลาดที่ใหญ่ (Scalable & Sustainable Growth) 2. ผู้นำองค์กร (Founder) มีพลังขับเคลื่อน และวิสัยทัศน์ในการขยายผลในวงกว้าง 3. กิจการมีข้อมูล (Traction) ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถแก้ไขปัญหาของกลุ่มเป้าหมายได้จริง และขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ จากการเข้าร่วมกิจกรรม Business Pitching ทำให้มองเห็นโอกาสของธุรกิจใหม่ๆ ที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ เราเชื่อว่า ธุรกิจที่สร้างการเติบโตทางสังคม (Social Impact) และ สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้ (Business Capability) จะเติบโตได้อย่างยั่งยืน เพราะสามารถเลี้ยงตัวเอง และขยาย Impact ได้ในวงกว้าง’
นอกจากนี้ บ้านปู พร้อมด้วยสถาบัน ChangeFusion เตรียมจัดงาน 'อิมแพ็ค เดย์'(Impact Day) ภายใต้แนวคิด 'Impact Day 2022: Maximize the Impact ผนึกเครือข่าย ขยายพลัง SE' เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์การดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม ตลอดจนส่งต่อแรงบันดาลใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม นำโดยผู้เชี่ยวชาญการตลาด นักลงทุน และผู้ประกอบการธุรกิจ ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ที่ศูนย์การค้าสามย่าน มิตรทาวน์ กรุงเทพฯ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการ 'พลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม' (Banpu Champions For Change: BC4C) ได้ที่ www.facebook.com/banpuchampions
กสิกรไทยจัด HACKATHON มัธยมปลาย ประชันไอเดียธุรกิจนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ผลงานชนะเลิศ ผงโปรตีนจากหนอนนก ราคาถูก เข้าถึงง่าย ได้ทุกคน
ธนาคารกสิกรไทย จัดกิจกรรม AFTERKLASS Business Kamp: START UP FOR BETTER SOCIETY HACKATHON 2022 จัดติวเข้มน้องๆ มัธยมปลายเข้าค่ายเขียนแผนธุรกิจ 3 วัน พร้อมร่วมแข่งขันไอเดียธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสังคมที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน ทีม DKRG คว้าแชมป์ไปครองกับผลิตภัณฑ์ แบรนด์ “หนอนติดล้อ” ผงโปรตีนจากหนอนนก ราคาถูก เข้าถึงง่าย ได้ทุกคน
นายรวี อ่างทอง ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสื่อสารและองค์การสัมพันธ์ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยมีความตั้งใจที่จะดำเนินโครงการเพื่อสังคมผ่านแพลตฟอร์ม AFTERKLASS มาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นให้ความรู้ทางการเงิน การลงทุน การทำธุรกิจแก่เยาวชนไทย อายุระหว่าง 15 - 20 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นตอนปลายที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย และเติบโตไปเป็นกลุ่มคนทำงานที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มคนรุ่นใหม่นี้มีความสนใจเกี่ยวกับการประกอบอาชีพอิสระ การเป็นผู้ประกอบการ รวมทั้งการใช้ไอเดียเพื่อสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทำให้การดำเนินธุรกิจแตกต่างไปจากเดิม ธนาคารจึงได้จัดกิจกรรม AFTERKLASS Business Kamp: START UP FOR BETTER SOCIETY HACKATHON 2022 เพื่อสร้างทักษะ ความรู้ แนวคิดและหลักการทำธุรกิจให้แก่เยาวชนกลุ่มมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่สนใจจะสร้างนวัตกรรมธุรกิจใหม่ พร้อมแข่งขันชิงเงินรางวัล ภายใต้โจทย์การแข่งขันในปีนี้ START UP FOR BETTER SOCIETY โดยตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมและประเทศ
กิจกรรม AFTERKLASS Business Kamp จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 มีนักเรียนมัธยมปลายสมัครเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 140 ทีม และคัดเหลือ 8 ทีมสุดท้ายที่ได้เข้าค่าย 3 วัน ซึ่งน้องๆ ได้เรียนรู้การสร้างไอเดียธุรกิจ นวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์สังคมอย่างยั่งยืน พร้อมฝึกทักษะ Problem Finding โดยมีเมนเทอร์คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด และเสริมด้วยเทคนิคการสร้าง UX/UI ให้โดนใจลูกค้า
ผลการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีม DKRG กับผลิตภัณฑ์แบรนด์ “หนอนติดล้อ” ผงโปรตีนที่สกัดมาจากหนอนนก 100% ซึ่งมีราคาถูกกว่าผงโปรตีนชนิดอื่นๆ ทำให้ผู้ที่ต้องการบริโภคโปรตีนสำหรับเสริมสร้างกล้ามเนื้อสามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ทีม SINGLE LEAD แอปพลิเคชัน KnowHere แพลตฟอร์มที่จะพาเด็กมัธยมท่องโลกความรู้เรื่องไอที โดยมี Road Map เป็นไกด์เพื่อนำทาง มี Community คอยช่วยเหลือและมีกิจกรรมการแข่งขันให้ได้ลองทำงานจริง และรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม BEING GIMMICK แอปพลิเคชัน EduFlex แอปพลิเคชันที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้สอนได้มีพื้นที่ในการสอน พร้อมทั้งสร้างรายได้และยังช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนสิ่งที่สนใจในราคาถูก และยังมีรางวัลอื่นๆ ประกอบด้วย Teamwork for Better Society, Inspire for Better Society และ Popular Vote ทั้งโครงการมูลค่ารวมกว่า 200,000 บาท
นายรวีกล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่ธนาคารฯ ตั้งใจจะปลูกฝังแนวคิดการทำธุรกิจให้กับเยาวชนที่จะอยู่ร่วมกับโลกอย่างยั่งยืน นับเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของธนาคารกสิกรไทย ด้วยการนำ SDGs (Sustainability Development Goals) มาเป็นแนวคิดหลักในการสร้างแผนธุรกิจ โดยต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้น้องๆ เด็กรุ่นใหม่เติบโตไปเป็นพลเมืองที่ดี หรือ Good citizenship ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีส่วนช่วยเหลือ และทำให้สังคมที่เราอยู่ดีขึ้น สำหรับกิจกรรมในครั้งถัดไป ธนาคารเตรียมสนับสนุนและมอบพื้นที่ในการแสดงศักยภาพของเยาวชนรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและต่อยอดให้เกิดผลที่ชัดเจนมากกว่าเดิม รายละเอียดต่างๆ สามารถติดตามได้ผ่านเว็บไซต์ www.afterklass.com หรือ Line official account: @afterklass
A11196
‘ซี-วิท’ เดินหน้ามอบซี-วิท 1 ล้านกล่องให้เด็กไทยทั่วประเทศ นำร่อง ‘มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยฯ’
ซี-วิท (C-vitt) เดินหน้าลดปัญหาภาวะทุพโภชนาการเยาวชนไทย เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี ผลิตภัณฑ์ ซี-วิท (C-vitt) ลุยกิจกรรมใหญ่ “10 ปี C-vitt เพื่ออนาคตเด็กไทย แข็งแรง สดใสไปด้วยกัน” มอบ ซี-วิท มินิ ผลิตภัณฑ์ วิตามินซี 200% จำนวน 1,000,000 กล่อง พร้อมอุปกรณ์การเรียนการสอนและอุปกรณ์กีฬา มูลค่ารวมกว่า 14 ล้านบาท ให้เยาวชนไทยทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ (Healthy Body & Mind) นำร่องที่แรก มอบให้แก่ มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยฯ
ภายในงานโดยได้รับเกียรติจาก มร. โอซามุ โซมะ ประธานบริหาร บริษัท เฮ้าส์ โอสถสภา ฟู้ดส์ จำกัด นำทีมผู้บริหารและพนักงาน มอบซี-วิท มินิ จำนวน 40,000 กล่อง พร้อมอุปกรณ์การเรียนการสอนและอุปกรณ์กีฬา ให้แก่น้องๆ เยาวชน ในการดูแลของมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยฯ ครอบคลุมทั่วประเทศไทย อันประกอบไปด้วย หมู่บ้านเด็กโสสะบางปู สมุทรปราการ, หมู่บ้านเด็กโสสะหาดใหญ่ สงขลา, หมู่บ้านเด็กโสสะ “เฉลิมนารินทร์” หนองคาย, หมู่บ้านเด็กโสสะ “สิริเมตตา ๗๒ พรรษา เฉลิมพระเกียรติ” เชียงราย และ “หมู่บ้านเด็กโสสะภูเก็ต เฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐” โดยมี นางสาวจันทิรา สมบุญเกิด ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาทุนและการสื่อสาร มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วย นางธัญญารัตน์ สุริยะเมธีรัฐ ผู้อำนวยการหมู่บ้านเด็กโสสะบางปู สมุทรปราการ ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของมูลนิธิฯ พร้อมนำเยี่ยมชมบรรยากาศและความเป็นอยู่ของเด็กในการดูแลของมูลนิธิฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ณ หมู่บ้านเด็กโสสะบางปู สมุทรปราการ
A11191
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด