NIA เปิดเวทีประกวด ‘รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติประจำปี 2565’
เฟ้นหาสุดยอดนวัตกรชิงรางวัลทรงเกียรติสูงสุดแห่งวงการนวัตกรรมไทย
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จัดกิจกรรมเปิดตัวการประกวด “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติประจำปี 2565” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 เพื่อเป็นเวทีเชิดชูเกียรติคนไทยที่สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมที่มีความโดดเด่นและก่อประโยชน์ต่อประเทศในหลากหลายมิติทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างให้เกิดความภาคภูมิใจในศักยภาพของคนไทยและเผยแพร่ต้นแบบการพัฒนานวัตกรรมด้านต่างๆ สู่สาธารณชนในวงกว้าง รวมถึงกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวด้านนวัตกรรมในทุกภาคส่วนของสังคม เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นชาติแห่งนวัตกรรม โดยรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ แบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ ด้านสื่อและการสื่อสาร และด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดเผยว่า “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติถือเป็นรางวัลนวัตกรรมอันทรงเกียรติสูงสุดของวงการนวัตกรรมไทย ซึ่งจัดขึ้นเพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติแก่คนไทยที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีความโดดเด่นและก่อประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างชัดเจน โดยที่ผ่านมา NIA มีการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อรองรับการเปลี่ยนเปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรเพื่อสังคมและชุมชน นวัตกร ล้วนแล้วแต่มีส่วนเอื้อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพผลงานนวัตกรรมและการสร้างองค์กรแห่งนวัตกรรมทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการให้คำปรึกษา และการสนับสนุนเครือข่ายทั้งด้านนโยบาย เทคโนโลยีและธุรกิจ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม ช่วยให้ “นวัตกร” สามารถพัฒนาต่อยอดและขยายฐานการเข้าถึงได้อย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งค้นพบศักยภาพใหม่บนเวทีแห่งนี้ นำไปสู่การสร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการพัฒนาธุรกิจและนโยบายนวัตกรรมของประเทศไทยต่อไปในอนาคต สิ่งต่างๆ ล้วนแล้วแต่เพิ่มความเข้มข้นและหลากหลายมากขึ้น เป็นการสะท้อนระบบนวัตกรรมไทยที่กำลังเติบโตและแข็งแกร่งพร้อมผ่าวิกฤต และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้”
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA กล่าวว่า “การจัดประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติในปีนี้ประกอบไปด้วยกัน 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเศรษฐกิจ เป็นผลงานนวัตกรรมที่สร้างให้เกิดคุณค่าเชิงพาณิชย์ และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศแบ่งประเภทตามขนาดขององค์กร วิสาหกิจขนาดกลาง วิสาหกิจขนาดย่อม และวิสาหกิจรายย่อย 2) ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นผลงานนวัตกรรมที่สร้างให้เกิดคุณค่าต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม แบ่งประเภทตามลักษณะขององค์กร หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน และองค์กรเพื่อสังคมและชุมชน 3) ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ เป็นผลงานนวัตกรรมที่นำการออกแบบมาสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์และบริการ แบ่งประเภทตามลักษณะผลงานการออกแบบผลิตภัณฑ์ และการออกแบบบริการ 4) ด้านสื่อและการสื่อสาร เป็นผลงานนวัตกรรมและบุคคลที่มีความสร้างสรรค์ในการสร้างสรรค์เนื้อหาและการสื่อสารรูปแบบใหม่ แบ่งประเภทตามลักษณะผลงานผลงานนวัตกรรมสื่อและการสื่อสาร และผู้สื่อสารนวัตกรรม และ 5) ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น เป็นองค์กรที่มีการบริหารจัดการนวัตกรรมในองค์กรอย่างโดดเด่น ตั้งแต่ระดับยุทธศาสตร์ ระดับกระบวนการ ไปจนถึงระดับโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร โดยแบ่งประเภทตามลักษณะองค์กร ได้แก่ หน่วยงานภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ
รางวัลชนะเลิศในแต่ละประเภทจะได้รับ “พระบรมรูปพระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” ในวันนวัตกรรมแห่งชาติ (5 ตุลาคม ของทุกปี) นอกจากนี้ ยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากทาง NIA ด้วย เช่น การพัฒนาต่อยอดขยายผลผลงานนวัตกรรม การอบรมพัฒนาศักยภาพในหลากหลายมิติ ตลอดจนได้รับการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความสำเร็จของผลงานผ่านสื่อหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นนิตยสารรางวัลนวัตกรรมที่แนบกับหนังสือพิมพ์จัดส่งทั่วประเทศ การเผยแพร่ผลงานผ่านสื่อแนวหน้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และโอกาสเข้าร่วมจัดแสดงผลงานกับ NIA ตลอดทั้งปี
ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจส่งผลงานนวัตกรรมเข้าร่วมการประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติประจำปี 2565 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 รายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครผ่านทางออนไลน์ที่ www.award.nia.or.th หรือติดต่อคุณพัชรีนาถ 080-070-2999
A4001
Fluke Networks เปิดเผยความสามารถใหม่ ในการทดสอบการเชื่อมต่อเครือข่าย
ที่พัฒนาอีกขั้นบนเครื่อง LinkIQ™ Cable+Network Tester
อัปเกรดเพื่อยกระดับการตรวจสอบ และแก้ปัญหาการเชื่อมต่อระดับไอพีให้ดียิ่งขึ้น
Fluke Networks ได้ประกาศการอัปเกรดเครื่อง LinkIQ™ Cable+Network Tester ที่ได้ขยายความครอบคลุมความสามารถในการทดสอบ และแก้ปัญหาบนเครือข่ายไอพี, การทดสอบสายเคเบิลอีเธอร์เน็ตอุตสาหกรรม, และรองรับผู้ใช้เพิ่มเป็นถึง 12 ภาษา โดยซอฟต์แวร์ใหม่นี้จะมีอยู่ในเครื่อง LinkIQ ตัวใหม่ที่ออกมาจำหน่ายจากนี้ไป ลูกค้าปัจจุบันก็สามารถอัปเกรดเป็นเวอร์ชั่นใหม่ได้ฟรีด้วย
“สำหรับผู้ติดตั้งระบบ และแอดมินเน็ตเวิร์กที่ต้องตรวจสอบประสิทธิภาพระบบสายเคเบิลเพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพของเครือข่ายอยู่ตลอดนั้น ก็ยังจำเป็นต้องหาวิธีตรวจเช็คว่าทราฟิกของผู้ใช้ไปถึงปลายทางได้หรือไม่ด้วย” Mark Mullins ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ และผู้ร่วมก่อตั้ง Fluke Networks กล่าว “ฟีเจอร์ทดสอบเครือข่ายของเราจะทำให้พวกเขาได้ความสามารถในการมองเห็นการเชื่อมต่อระดับเน็ตเวิร์ก รวมทั้งเวลาตอบสนองของทรัพยากรที่สำคัญ ช่วยในการตรวจสอบ และแก้ปัญหาเครือข่ายได้อย่างครบวงจร”
ฟีเจอร์อัพเดตบนเวอร์ชั่นล่าสุด ได้แก่:
• ขยายความสามารถในการทดสอบระบบ - ในเวอร์ชั่น 1.1 นี้ ลูกค้าจะสามารถตรวจสอบความถูกต้องของการเชื่อมต่อ และเวลาตอบสนองของอุปกรณ์เน็ตเวิร์กที่สำคัญได้เพียงแตะหน้าจอแค่ครั้งเดียว โดยเครื่อง LinkIQ ที่ใช้ซอฟต์แวร์ใหม่นี้ตั้งค่าให้ทดสอบปิงทั้งแบบ IPv4 และ v6 ได้ แสดงเวลาตอบสนองของปิงทั้ง 4 ครั้งของอุปกรณ์ปลายทางที่ผู้ใช้เลือก ในผลการทดสอบจะแสดงข้อมูลเซิร์ฟเวอร์ DNS, DHCP, และเกตเวย์เราเตอร์ รวมไปถึงแสดงเลขที่อยู่ไอพีของเครื่องสวิตช์ที่อยู่ใกล้สุดด้วย เมื่อใช้ร่วมกับ LinkWare PC ก็จะมีข้อมูลใหม่พวกนี้ระบุอยู่ในรายงานผลการทดสอบด้วยเช่นกัน
• การทดสอบสายเคเบิลแบบสองคู่สาย - ทดสอบประสิทธิภาพสายเคเบิลได้ถึง 100 Mb/s สำหรับสายแบบ Two-Pair ที่ใช้กันในโรงงานอุตสาหกรรม
• รองรับภาษาเพิ่มขึ้น - ปัจจุบันอินเทอร์เฟซของ LinkIQ เลือกได้มากถึง 12 ภาษาแล้ว
• การทำรายงาน - ด้วยซอฟต์แวร์ LinkWare™ PC เวอร์ชั่นใหม่ที่ออกมาพร้อมกันนี้ ซึ่งเป็นโซลูชั่นรายงานผลการทดสอบที่ได้การยอมรับอย่างกว้างขวาง ได้รองรับรายงานผลเพิ่มเติมอย่างการทดสอบระดับเน็ตเวิร์กที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ใช้ทำรายงานเหล่านี้ออกมาเป็นเอกสารได้อย่างรวดเร็ว
ซอฟต์แวร์เวอร์ชั่น 1.1 นี้มาพร้อมกับเครื่อง LinkIQ Cable+Network Tester ที่สามารถเลือกซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายของ Fluke Networks ทั่วโลก หรือบนเว็บไซต์ www.flukenetworks.com/LinkIQ
ส่วนผู้ใช้ปัจจุบันก็สามารถโหลดเฟิร์มแวร์ตัวใหม่พร้อมกับ LinkWare PC ตัวอัพเดทได้จากwww.flukenetworks.com/support/downloads
A31001
ABSS ผู้นำด้านบาร์โค้ด ซูโลชั่น เปิดตัวผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ดังระดับโลก
23 ปีสู่การเป็น Zebra’s Premier Partner ครบวงจรด้วยมาตรฐานในระดับสากล
พร้อมการบริหารจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้มากขึ้น
บริษัท แอดวานซ์ บิสซิเนส โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ ABSS ผู้ให้บริการสินค้าประเภทระบบบาร์โค้ดโซลูชั่น ระบบคลังสินค้า ระบบไอทีโซลูชั่นและซอฟท์แวร์มากว่า 20 ปี ได้รับการแต่งตั้งอย่างต่อเนื่องให้เป็น Zebra’s Premier Partner พร้อมเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ Zebra RTLS&RFID Solution เทคโนโลยีใหม่ทางด้าน RTLS& RFID สำหรับนำไปปรับใช้ในธุรกิจองค์กรได้อย่างครอบคลุม
คุณรณยศ เลี้ยงอำนวย Deputy CEO บริษัท แอดวานซ์ บิสซิเนส โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในปี 2565 ครบรอบ 23 ปี ที่ ABSS ได้รับเกียรติเป็น Zebra’s Premier Partner ซึ่ง Zebra เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกในวงการธุรกิจโซลูชั่น โดย ABSS ยังเป็นศูนย์บริการที่มีสาขาทั่วประเทศ พร้อมงานบริการ One Stop Service Exclusive ซึ่งมีมาตรฐานระดับสากล ISO 20000 ด้วยการบริหารงานบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และพร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ 4 ตัวของ Zebra RTLS&RFID Solution ได้แก่ ATR7000 RFD40 ZT400 และ FX9600 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ทางด้าน RTLS & RFID (Real-Time Location System & Radio Frequency Identification) เพื่อนำไปใช้ในธุรกิจองค์กร ตั้งแต่กระบวนการผลิต การขนส่ง การบริหารจัดการคลังสินค้า การบริหารจัดการหน้าร้าน การดูแลสุขภาพ การรักษาพยาบาลและสามารถตอบโจทย์อีคอมเมิร์ชได้เป็นอย่างดี เพราะในปัจจุบันการค้าขายสินค้าทางออนไลน์มีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะตอบโจทย์การใช้งานให้ครอบคลุมทั้ง Supply Chain ที่ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การขนส่ง การจัดเก็บ ไปจนถึงการขาย พร้อมให้ธุรกิจนำไปใช้งานได้ทันที
ผลิตภัณฑ์ที่เราเปิดตัวในครั้งนี้ เป็น 4 ผลิตภัณฑ์ใหม่จาก Zebra ตัวแรก ได้แก่ ATR7000 คือ เครื่องแทร็คสินค้าที่ติดไว้บนเพดาน สามารถแทร็คสินค้าเข้าออกได้อย่างรวดเร็ว และยังเชื่อมต่อกับจุดวางสินค้า ทำให้ทราบได้ว่าสินค้าอยู่ตรงไหน
ตัวที่สอง RFD40 เครื่องสแกนบาร์โค้ด ที่กวาดไปครั้งนึงสามารถสแกนได้หลายโค้ด ไม่ต้องมาสแกนทีละอัน โดยมีความสามารถอ่านได้ถึง 1,300 แทร็คต่อวินาที
ตัวที่สาม ZT400 หรือ ปริ้นท์เตอร์อุตสาหกรรมที่มาคู่กับ UHF RFDI เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น สามารถปริ้นท์บาร์โค้ด RFID QR และ Serial ผ่านระบบของ Zebra ใช้งานง่าย ขนาดเครื่องเล็กกระทัดรัด และสามารถ maintain ได้เอง
ตัวที่สี่ คือ FX9600 เครื่องสแกน RFID จะอยู่ตามประตู หรือจุดเชื่อมต่างๆ เช่น ประตูหรือสายพาน เพื่อแทร็คการเข้าออกสินค้า สามารถสแกนได้ทีละมากๆ อ่านค่าหลายๆ ค่าพร้อมกันได้ เพียงแค่มีตัวชิพติดอยู่ที่กล่องหรือสินค้า จะสามารถอ่านได้ว่าข้างในมีอะไรบ้างหรือข้างในเป็นอะไร ลักษณะอย่างไร เครื่องนี้สามารถยิงได้ไกลถึง 60 Feet หรือ 18 เมตร และยังต่อขึ้นระบบ Cloud ได้ทันที
โดยผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 ตัวจะเริ่มจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 2565 และคาดหวังผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 ตัวจะสามารถเพิ่มยอดขายในปีนี้ได้ถึงร้อยละ 10 ซึ่งในปัจจุบันเรามียอดขายด้านบาร์โค้ด โซลูชั่นเป็นอันดับที่ 1 ของ Zebra ในประเทศไทย
“กลุ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นแบบครบวงจรสามารถช่วยให้การบริหารจัดการข้อมูลได้แบบเรียลไทม์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการทรัพย์สินขององค์กร การจัดการกับข้อมูลการผลิตสินค้า การจัดการข้อมูลในธุรกิจค้าปลีก การจัดการข้อมูลสินค้าคงคลังและศูนย์กระจายสินค้า การบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) โซลูชั่น ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้กระบวนและวิธีการบริหารจัดการข้อมูลขององค์กรมีความถูกต้อง ความแม่นยำสามารถทำงานร่วมกันได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น” คุณรณยศ กล่าวทิ้งท้าย
A3954
NIA จับมือ 20 ภาคีเครือข่าย ต่อยอดความสำเร็จปั้น ‘นิลมังกร’ รุ่น 2 พร้อมเดินหน้าค้นหา SME/Startup/Social Enterprise หน้าใหม่จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตั้งเป้าพัฒนาธุรกิจสู่ระดับประเทศและการเติบโตที่อย่างยั่งยืน
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ 20 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ศูนย์แบรนด์เคยู คณะบริหารธุรกิจ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค 16 มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย จัดงานแถลงข่าวความสำเร็จโครงการ “นิลมังกร รุ่น 1” พร้อมเชิญชวนผู้ประกอบการไทยทั้งเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และธุรกิจเพื่อสังคมจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ “นิลมังกร รุ่น 2” ซึ่งนอกจากจะได้รับความรู้จากวิทยากรและเมนเทอร์มืออาชีพผ่านกิจกรรมอบรมเชิงเชิงปฏิบัติการแล้ว ยังมีโอกาสได้เป็น “นิลมังกร” ระดับภูมิภาคพร้อมเงินรางวัล 200,000 บาท เพื่อเป็นตัวแทนเข้าชิงแชมป์ “นิลมังกร” ระดับประเทศ และเงินรางวัล 2,000,000 บาท
ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “โครงการการแข่งขันสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทย หรือ “นิลมังกรแคมเปญ” มีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในระดับภูมิภาค (Regionalization) ที่มุ่งเน้นการยกระดับความสามารถด้านนวัตกรรมของผู้ประกอบการภูมิภาคให้เติบโตเป็นที่ยอมรับและรู้จักในวงกว้าง โดยอาศัยการสื่อสารรูปแบบ Edutainment ภายใต้ชื่อ “นิลมังกร The Reality” ออกอากาศทางช่อง 7 HD เพื่อทำให้เกิดความน่าสนใจและเข้าถึงการพัฒนานวัตกรรมได้ง่ายขึ้น โดยร่วมกับภาคีทั้ง 20 หน่วยงาน ในการสนับสนุนองค์ความรู้ เครือข่าย แนวทางการสร้างตราสินค้า ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมอื่นๆ ในการสร้าง “นวัตกรสายพันธุ์ไทย” จากทุกภูมิภาคของประเทศให้สามารถเติบโตและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3-5 เท่าในช่วงระยะเวลาการแข่งขัน 3 เดือน นอกจากนี้ NIA ยังให้ความสำคัญกับการรับรู้แบรนด์หรือตราสินค้าธุรกิจนวัตกรรมของผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีม จึงได้ใช้เครื่องมือการประเมินมูลค่าแบรนด์ คือ การประมาณมูลค่าทางการเงินทั้งหมดของแบรนด์ โดยแบรนด์ถือเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ที่มีมูลค่าสูง สามารถประเมินได้ 4 แนวทาง ได้แก่ แนวทางต้นทุน แนวทางของตลาด แนวทางรายได้ และแนวทางลูกค้า ซึ่งผลประเมินมูลค่าแบรนด์ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังออกอากาศได้ค่าเฉลี่ยมูลค่าแบรนด์ (Brand Value) เป็นค่าความนิยมของแบรนด์จากเดิมก่อนเข้าร่วมโครงการมีมูลค่าแบรนด์อยู่ที่ 50 ล้านบาท และหลังเข้าร่วมโครงการมีการเติบโตของมูลค่าแบรนด์เพิ่มสูงขึ้น มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8 เท่า”
“นิลมังกร สะท้อนถึงผู้ประกอบการไทยที่มีความแข็งแกร่ง อดทน ปราดเปรียว มีพลังความสามารถ เสมือน “ม้านิลมังกร” ในวรรณคดีไทยที่เป็นม้าวิเศษ หรือสุดยอดแห่งม้าในจินตนาการของคนไทย จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ประกอบการไทยทั้งเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และกิจการเพื่อสังคมที่มีการใช้นวัตกรรมสร้างสรรค์สินค้าและบริการให้มีความโดดเด่นและแตกต่าง โดยอาศัยอัตลักษณ์ของพื้นที่จนสามารถสร้างมูลค่าและตราสินค้าให้เป็นที่ยอมรับและรู้จักในวงกว้าง ช่วยยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับท้องถิ่นและเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 และวิกฤตการณ์ระหว่างรัสเซีย–ยูเครน สำหรับ “นิลมังกรทีมแรกของประเทศไทย” ได้แก่ ทีมไฮด์แอนซีค (Hide and seek) ตัวแทนภาคกลางจากจังหวัดกรุงเทพมหานคร เจ้าของผลงาน “นวัตกรรมทรายแมว” ที่ผลิตจากมันสำปะหลังธรรมชาติ 100% ซึ่งเกิดการเติบโตทางธุรกิจมากกว่า 5 เท่าจากการเข้าร่วมโครงการ “นิลมังกร” ถือเป็นตัวอย่างในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมและใช้เครื่องมือทางด้านนวัตกรรมมาเพิ่มความสามารถในการแข่งขันที่จะส่งผลกับผู้ประกอบการภูมิภาคและประชาชนทั่วไปเกิดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาธุรกิจท้องถิ่นเพื่อยกระดับเศรษฐกิจของพื้นที่” ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติม
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA กล่าวว่า “นิลมังกรแคมเปญเป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสานระหว่างการฝึกอบรมให้ความรู้ การวิเคราะห์ปัญหา การนำรูปแบบหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจมาช่วยแก้ไขปัญหา หรือการนำเสนอกลยุทธ์ใหม่ให้กับการทำธุรกิจนวัตกรรมของผู้ประกอบการที่ลงมือทำจริงมีสินค้าหรือบริการแล้ว และต้องการเติบโต โดยอาศัยกลยุทธ์และเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญใน 3 สาขาหลัก ได้แก่ Creative Innovation, Business Model และ Branding & Storytelling ในรูปแบบของการลงไปทำงานในพื้นที่ร่วมกับผู้ประกอบการจริง และสร้างแบรนด์เพิ่มเติม เพื่อให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและสามารถขยายหรือสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้ ตลอดจนเป็นต้นแบบหรือเป็นฮีโร่ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนในพื้นที่สร้างนวัตกรรมทั้งสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและตลาดได้อย่างตรงจุด สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาด และสร้างการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เมื่อจบกิจกรรม NIA ได้ทำการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและ/หรือมูลค่าทางสังคมเปรียบเทียบกับงบประมาณที่ใช้ในโครงการ พบว่ารายได้ที่เติบโตขึ้นในระหว่างการออกอากาศ มากกว่า 4 เท่า และคาดว่าในปี 2565 จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงถึง 18.24 เท่า รวมถึงเกิดการจ้างงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย สำหรับการจัดแข่งขันสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทยระดับภูมิภาค รุ่นที่ 2 นี้ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2565 เพื่อเฟ้นหาธุรกิจนวัตกรรมที่มีอัตลักษณ์ของพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจด้วยโปรแกรมการพัฒนาองค์ความรู้เชิงลึกในด้านนวัตกรรม การบริหารจัดการ และการสร้างแบรนด์ของธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ชิงรางวัลมูลค่ากว่า 200,000 บาท โดยสามารถสมัครผ่านช่องทางออนไลน์ที่ https://regional.nia.or.th และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage : Thailand Inno Biz Champion
ผศ. ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมในหลากหลายรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการนำองค์ความรู้ที่มหาวิทยาลัยมีอยู่มาต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรม เพื่อช่วยสร้างกลยุทธ์ และมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการของไทย สำหรับความร่วมมือกับ NIA ในโครงการ “นิลมังกรแคมเปญ” นี้ นับเป็นความสำเร็จทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบ่มเพาะผู้ประกอบการให้สามารถฝ่าวิกฤตทางเศรษฐกิจและยังสามารถสร้างการเติบโตทั้งยอดขายและมูลค่าแบรนด์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า “ธุรกิจที่มีนวัตกรรมและมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ยังสามารถเติบโตได้” ในส่วนรุ่น 2 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี้ มหาวิทยาลัยก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาเทคนิคและวิธีการในการบ่มเพาะและโค้ชชิ่งผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมทุกรายให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สง่างาม และยั่งยืนต่อไป”
A3705
กรุงศรี นิมเบิล ประกาศเป็นผู้นำด้าน IT และ Digital Solutions พร้อมสนับสนุนเทคคอมมูนิตี้ไทยทุกกลุ่ม
• ร่วมเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ในการจัดงาน Dev Mountain Tech Festival
กรุงศรี นิมเบิล บริษัทในเครือกรุงศรี ซึ่งเป็นฮับในการสร้างและดูแลโซลูชั่นด้านไอที (IT solutions hub) การพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการเงิน ได้ร่วมเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ในการจัดงาน Dev Mountain Tech Festival เทศกาลเทคโนโลยีสำหรับนักพัฒนาไทยที่ใหญ่ที่สุด เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา โดยงานนี้จะจัดขึ้นที่ Toscana Valley เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในวันที่ 19 มีนาคม - 21 มีนาคม 2565 ซึ่งมีเหล่าบรรดากูรูสายเทคและนักพัฒนาเมืองไทย มาร่วมแชร์ประสบการณ์ความรู้อย่างคับคั่ง ได้แก่ Web Application, DevOps, Security, Blockchain, Big Data, AI, Quantum Computing รวมไปถึง Metaverse
นายอภัยชนม์ พันธุ์โอภาส ผู้จัดอีเวนต์สายเทคตัวพ่อที่จัดงานมามากมาย อดีตนายกสมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย ได้กล่าวถึงการสนับสนุนงานจากกรุงศรี นิมเบิลว่า “หลังจากห่างหายจากวงการการจัดงานเทคอีเวนต์ไป 2 ปี จากสถานการณ์โควิด-19 เพื่อนๆ ในวงการหลายคนอยากพบปะเจอหน้า และอยากให้ผมกลับมาจัดงานเทคอีเวนต์อีกครั้ง”
“ผมยังไม่แน่ใจในการตอบรับนัก ก็ลองชวนๆ วิทยากรหลายท่าน โดยที่ยังไม่ได้เล่ารายละเอียดงานอะไรให้ฟังแค่บอกคร่าวๆ ว่าจะจัดที่เขาใหญ่ และธีมงานจะเล่าถึงวิวัฒนาการเทคโนโลยี ตั้งแต่ Web Application, DevOps, Security, Blockchain, Big Data, AI, Quantum Computing จนไปถึง Metaverse วิทยากรทุกท่านก็ตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่มีอีเวนต์ใหญ่ๆ สายเทคสำหรับคนเทคโดยเฉพาะมานานมากกว่า 2 ปี ทุกคนอยากเจออยากมาเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาให้เพื่อนๆ ในวงการฟัง จากนั้นผมก็เลยเริ่มร่างไอเดียและแผนงานไปเสนอต่อสปอนเซอร์ ซึ่งเมื่อหาสถานที่จัดงานได้ ก็ได้นำเสนอรูปแบบงานให้กับทาง กรุงศรี นิมเบิล ซึ่งแอบตกใจในกระบวนการดำเนินการที่รวดเร็วมากสำหรับองค์กรใหญ่ ไม่กี่วันผมก็ได้นำเสนองานในรูปแบบออนไลน์ให้กับผู้บริหารในบริษัทในเครือกรุงศรีหลายบริษัท ทุกคนดูตื่นตัวอยากสนับสนุนงานอย่างเต็มที่และในสุดก็ได้รับการตอบรับการสนับสนุนจากผู้บริหารในเวลาไม่กี่วัน และยังได้รับข้อความจากผู้บริหารว่า พร้อมสนับสนุนงานอื่นๆ ที่จะช่วยสนับสนุนคอมมูนิตี้วงการเทคโนโลยีไทยทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนพร้อมเปิดโอกาสให้นำโครงการมาเสนอได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้ผมคลายความกังวลไปได้มากหลังจากไม่ได้จัดงานมานาน รู้สึกยินดีแทนคนในวงการที่บริษัทใหญ่อย่างกรุงศรี นิมเบิล ประกาศชัดเจนแน่วแน่ที่จะช่วยสนับสนุนวงการ”
ทั้งนี้ กรุงศรี นิมเบิล ซึ่งเป็นบริษัทสาย Tech ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้วางเป้าหมายการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการเงิน เพื่อพัฒนา Digital Platform และ Application ต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าธนาคารได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ดี โดยการนำเทคโนโลยีชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Biometric Authentication, AI and Machine Learning, Open API, Blockchain และ VR/AR มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของธนาคาร ไม่ว่าจะเป็น Krungsri Mobile Application, SME Debt Crowdfunding ฯลฯ
นายธีรพงศ์ มหธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี นิมเบิล จำกัด กล่าวว่า “กรุงศรี นิมเบิล มีความยินดีอย่างมากที่จะเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของงาน Dev Mountain Tech Festival ครั้งนี้ ซึ่งเป็นงานที่รวมตัวเทคกูรูและคนเก่งๆ มากมายมาร่วมเสวนา แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์กันในเชิงลึก ซึ่งงานนี้ค่อนข้างจะแตกต่างจากงานอื่นๆ”
“กรุงศรี นิมเบิล นั้นมีพันธกิจในการสนับสนุนการสร้างเทคฯ คอมมูนิตี้ในประเทศไทยให้แพร่หลาย เสริมสร้างความรู้ความสามารถของ Tech Talent ให้แข็งแกร่ง เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศแนวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของทุกอุตสาหกรรม แน่นอนว่า ชาวเทคทุกคนมีความอยากเรียนรู้อยู่แล้ว การที่มีเทคฯ คอมมูนิตี้ในไทยเกิดอย่างแพร่หลาย และมีกิจกรรมร่วมกันย่อมทำให้เกิดการเรียนรู้และแบ่งปันอย่างก้าวกระโดด งาน Dev Mountain Tech Festival นี้ จะเป็นงานที่สำคัญมากๆ งานหนึ่งที่ทำให้เกิดเทคฯ คอมมูนิตี้ของคนที่อยากลงลึกในเทคโนโลยี ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ สายเทครุ่นใหม่ที่จะได้พบปะรุ่นพี่ที่เก่งๆ และได้มาใช้เวลาในกิจกรรม Hackathon ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากๆ” นายธีรพงศ์กล่าวเสริม
งาน Dev Mountain Tech Festival เป็นงานสัมมนารูปแบบผสมระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานได้ที่ https://bit.ly/dev-mountain-tech-fest
A3430
สงวนลิขสิทธิ์ © 2563 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด